กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1067.3 ยุทธภพเงียบเหงาหนึ่งร ้อยปี
ทั้งสองฝ่ ายได้พบเจอกันก็ได้พูดคุยกันไปหลายคา แน่นอนว่า ตอนนั้นทั้งเกาจวินและเขาต่างก็มีใจระแวดระวังค่อนข้างมากจึงไม่ กล้าพูดเรื่องเกี่ยวกับการฝึกตนของตัวเองมากเกินไป
ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่สวมกวานสูง ในมือถือแส้ปัดฝุ่ นยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “มองออกว่าเพิ่งจะไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี ตบะของเกาเซียนจวินก็ เพิ่มขึ้นอีกแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย”
ผู้ฝึ กลมปราณแห่งโลกมนุษย์ที่ดีแต่จะขโมยเอาโอกาสแห่ง สวรรค์ สูบดึงปราณวิญญาณแห่งฟ้ าดินอย่างบ้าคลั่งพวกนี้ หากได้ ครอบครองพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคล ได้ฝึ กตนเดินขึ้นสู่ที่สูง ก็เป็ นการ เหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลปประโยชน์เป็ นเท่าตัวจริงๆ
เกาจวินนั่งอยู่บนเบาะรองนั่งใบหนึ่งที่เป็ นตาแหน่งของตัวเอง “ที่ นั่ง” อยู่ข้างกายชิวชี่หูจวินผู้เป็ นเจ้าบ้าน เห็นได้ชัดว่าต าแหน่งของ นางสูงกว่าซานจวินห้ามหาบรรพตอยู่ระดับหนึ่ง
นี่คือการแสดงความเคารพอย่างที่ไม่ต้องพูดอย่างหนึ่งที่ ทะเลสาบชิวขี่มีต่อเทพเซียนพสุธาในต านาน
ผู้ที่ตบะสูงย่อมได้รับความเคารพเลื่อมใส
คนที่เปิ ดปากแสดงความยินดีกับเกาจวินคือซานจวินขุนเขา เหนือในทุกวันนี้ คนบนโลกล้วนไม่มีใครรู ้ชื่อแซ่ของเขา รู ้แค่ฉายาที่ เขาเรียกตัวเองว่า “อวี้เตี้ยซ่างเหริน (คนบนท าเนียบหยก)
ในช่วงเวลาที่ล่างภูเขาในอาณาเขตขุนเขาเหนือกาลังเจอกับ อากาศร ้อนแผดเผา แต่บนภูเขากลับมีหิมะทับถม เกาจวินได้บังเอิญ เจอกับนักพรตที่ขี่กวางขาว ในมือถือแส้ปัดฝุ่ นอยู่บนภูเขาผู้นี้ ตอน นั้นเขาบอกว่าตัวเองคือเทพภูเขาในพื้นที่ ต่อให้จะรู ้ทั้งรู ้ว่าเกาจวิ นคือผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่ “บรรลุมรรคาแล้ว” แต่คาพูดคาจาก็ ยังคงวางโต ยังคงมองนางเป็ นคนเบื้องล่าง นักพรตกวางขาวมอง ตัวเองเป็ นเทพเบื้องบนอย่างภาคภูมิใจ
ชายหนุ่มสวมชุดสีขาวเหมือนปัญญาชนคนหนึ่งมีสายตาลุ่ม หลง เอ่ยด้วยน้าเสียงอ่อนโยนว่า “แม่นางเกา นอกภูเขาต่างพูดกันว่า จากกันสามวันยาวนานเหมือนสามใบไม้ร่วง ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว คิดถึงเจ้ามากเหลือเกิน”
ไปสืบข่าวมาแล้วว่าเจ้าประมุขคนปัจจุบันของพรรคหูซานผู้นี้ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้แต่งงาน ในเมื่อมีบุพเพวาสนาเช่นนี้อยู่ ถ้า อย่างนั้นคู่บาเพ็ญเพียรของนางในอนาคตก็ไม่มีใครมาแย่งชิงกับตน ได้แล้ว
ที่แท้ตอนที่อยู่ในอาณาเขตของขุนเขาตะวันตกที่มีกลุ่มยอดเขา สูงตระหง่าน แผ่อ านาจเคร่งขรึมทรงพลัง เกาจวินได้ไปเจอกับ ปัญญาชนหนุ่มที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งมรรคาประหนึ่งเทพ
ประหนึ่งเซียนผู้นี้ เขาเรียกตัวเองว่าซ่งไหวเป้ า ในอดีตเคยเป็ นคน ยากจนไร ้ชื่อเสียงในแคว้นหนันเยวี่ยน คนผู้นี้สร ้างหอเซียนที่โอ่อ่า งดงามขึ้นมาแห่งหนึ่งท่ามกลางกลุ่มก้อนเมฆสีเหลืองและสีชาดใน ภูเขาบ้านตัวเอง พื้นที่ประกอบพิธีกรรมมีชื่อว่าดินแดนเฟิ นอวิ๋น เสมียนขุนนาง “เหล่าทูตสวรรค์” กลุ่มใหญ่ นางกานัลเทพธิดาที่ เลื่อนขั้นเป็ นเซียน และยังมีสาวใช ้ประจ าห้องอีกนับไม่ถ้วนล้วนไม่ใช่ คนมีชีวิต แต่เป็ นผีภูเขาเป็ นผีพราย หรือไม่ก็เป็ นภูตที่หลอมเรือน กายได้ส าเร็จ
เห็นได้ชัดว่าขุนเขาตะวันตกคือภูเขาแห่งแรกในโลกมนุษย์ที่ ตั้งใจระดมกาลังผู้คน ซ่งไหวเป้ าได้เก็บรวบ “ผู้ที่ไม่ใช่คน” ทั้งหมด ในอาณาเขตของขุนเขาบ้านตัวเองมาไว้นานแล้ว
หากพูดถึงแค่จ านวนสมาชิกมากน้อยของกองก าลังบนภูเขา ดู เหมือนว่าอันที่จริงก็ยังเป็ นจวนซานจวินของขุนเขาตะวันตกแห่งนี้ ที่มาเป็ นอันดับหนึ่ง นาทุกคนไปไกลไม่เห็นฝุ่ นทิ้งเพื่อนร่วมงานใน วงการภูเขาสายน้าไว้เบื้องหลังไกลมากแล้ว
ซานจวินขุนเขาใต้คือ “เด็กน้อย” หน้าตาเฉยเมยที่มีชื่อว่าไหว เซี่ย
เขาแต่งตัวประหลาดที่สุด ทัดดอกไม้ไว้บนมวยผม สวมชุดผ้า ป่าน สวมรองเท้าสานพกลูกธนูที่ทาหยาบๆ ไว้เต็มเอว
เกาจวินออกเดินทางท่องเที่ยวไปครั้งหนึ่ง ทุกวันนี้ตบะของนาง ได้พัฒนาไปแล้วไม่น้อย ถึงได้มองรากฐานมหามรรคาของซานจวิน ขุนเขาใต้ออกว่าเป็ นภูตประหลาดแห่งภูเขาสายน้าที่มีภาพ บรรยากาศแห่งความเที่ยงตรง
อันที่จริงส่วนลึกในใจของเกาจวิน เมื่อเทียบกับแขกทุกคนใน ห้องแล้ว แขกที่นางเคารพนับถือที่สุดยังคงเป็ นคนผู้หนึ่งที่จงใจทิ้ง ระยะทางจากซานจวินท่านอื่นๆ ก็คือซานจวินขุนเขาตะวันออกที่ หลับตาไม่พูดไม่จาผู้นั้น
และเขาก็เป็ นซานจวินมหาบรรพตใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่มีชาติ ก าเนิดมาจากผี
ปี นั้นตอนที่อยู่ตีนเขาของขุนเขาโอฬารซึ่งตั้งอยู่ที่ชายหาด ตะวันออก เกาจวินที่ยังไม่ได้ขึ้นเขาก็เคยเห็นมังกรร ้ายที่ก่อคลื่นลม มรสุมอยู่ในสระลึกกับตาตัวเอง มันลากเอาเรือนกายใหญ่โตยาวร ้อย จั้งเลื้อยขึ้นไปบนภูเขา แต่กลับถูกเทพองค์หนึ่งที่พิทักษ์ขุนเขาเผย ร่างกายธรรมใหญ่ยักษ์ ในมือถือตราประทับอาคมที่แกะสลักเป็ น อักษรเหนี่ยวจ้วนซัดมันกลับลงไปในสระมังกร ปากอมกฎสวรรค์ ออกโองการลงโทษให้มันบ าเพ็ญตนอยู่ในสระลึกสามร ้อยปี ถึงจะ กลับมาเห็นแสงตะวันได้อีกครั้ง
ส่วนนอกเหนือจากมหาบรรพตใหญ่พวกนี้แล้ว ยามที่อยู่ระหว่าง ขุนเขาตระหง่านและแม่น้าทะเลสาบไร ้ชื่อเสียง เกาจวินก็ได้เห็นคน ประหลาดมามากมาย เคยเห็นสมบัติวิเศษแห่งฟ้ าดิน เห็นต้นไม้
โบราณพืชพรรณเขียนที่งอกงามตามลาดับ กลิ่นอายแห่งมรรคาแผ่ อบอวล เดี๋ยวรวมตัวเดี๋ยวแยกจากไม่แน่นอน โชควาสนาผุดขึ้นจาก สี่ทิศ โชคชะตาภูเขาสายน้าไหลริน เมืองหลวงของราชวงศ์โลก มนุษย์มีปราณมังกรล้อมวน พื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลทั้งหลายทยอยกันมี เค้าโครงของพื้นที่ประกอบพิธีกรรมหยกทองและถ้าสถิตจวนเซียนที่ เหมาะให้ผู้ฝึกลมปราณมาบุกเบิก
โลกมนุษย์ใหม่เอี่ยมเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
คือ “ภาพเหตุการณ์ประหลาดที่รอคอยให้ฟ้ าประทานฝนรส หวานลงมา” อย่างที่บรรพจารย์อวี๋กล่าวถึง หลังจากที่พื้นที่มงคลราก บัวเลื่อนเป็ นพื้นที่มงคลระดับสูงก็มีการก่อกาเนิดตามโชคชะตา หยิน หยางฟูมฟักมหามรรคาถูกจาแลงขึ้นมามากมาย
คืนนี้ในเรือนลั่วฮวาแห่งนี้ สุ่ยจวินกงฮวาคือเจ้าบ้าน ซานจวินห้า ท่านคือแขกผู้มีเกียรติ เจิ้งเฟิ่งโจวแห่งขุนเขากลาง จ้าวจวี้หรานแห่ง ขุนเขาตะวันออก อวี้เตี๋ยซ่างเหรินแห่งขุนเขาเหนือ ซ่งไหวเป้ าแห่ง ขุนเขาตะวันตก ไหวเซี่ยแห่งขุนเขาใต้
เกาจวินรับชาร ้อนถ้วยหนึ่งที่หูจวินหญิงข้างกายส่งมาให้ เอ่ย ขอบคุณหนึ่งคา ใช ้สองมือประคองถือถ้วย พูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “ข้าเคยไปเยือนนอกฟ้ ามาแล้วรอบหนึ่ง เพิ่งจะกลับมาเมื่อไม่นานนี้”
เกาจวินเพิ่งจะพูดเปิดประเด็น ซ่งไหวเป้ าก็รีบยิ้มบางๆ พูดคล้อย ตามทันที “รู ้สึกเป็ นอย่างไรบ้าง เป็ นเหมือนอย่างที่ในตาราบอกว่า ผู้
ที่นั่งปากบ่อมองฟ้ าบอกว่าฟ้ าดินเล็ก แต่หาใช่ฟ้ าดินเล็กไม่ จริง ไหม?”
เขาไม่ชอบกลอนคู่ที่อยู่หน้าประตูของอารามต้ามู่มานานแล้ว แสร ้งทาเป็ นลี้ลับซับซ ้อน พูดจาวางโตโดยไม่ละอาย แค่มองก็รู ้ว่า เป็ นลายมือของคุณชายผู้สูงศักดิ์คนนั้นท าเอาเขาสะอิดสะเอียนแทบ แย่
ตอนนั้นซ่งไหวเป้ ายืนอยู่หน้าประตูก็อดกลอกตามองบนติดๆ กัน ไม่ไหว เกือบจะหันหลังเดินกลับไปแล้ว
หากไม่เป็ นเพราะคิดถึงแม่นางเกาที่เขาหลงรักตั้งแต่แรกเห็น เขาก็ไม่ยินดีจะเดินเข้ามาในอารามแห่งนี้ด้วยซ้า
เกาจวินพูดด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “เหนือฟ้ ายังมีฟ้ า ผู้ฝึกลมปราณ ของที่นั่นที่เป็ นเหมือนข้า พูดถึงแค่คนเป็ นขอบเขตโอสถทอง เพิ่งจะ เดินข้ามธรณีประตูของเซียนดินเข้าไปก็มีเยอะมากแล้ว”
สีหน้าของเด็กหนุ่ม “ไหวเซี่ย” มืดทะมึน พูดเสียงทุ้มหนักว่า “ตามบันทึกลับที่มีอยู่ในหอจิ้งหย่าง ดูเหมือนว่าเมื่อก่อนทุกๆ สามวัน ห้าวันก็จะมี “เจ๋อเซียน” ของที่แห่งนั้นวิ่งมาทาตัวกร่างอยู่ในพื้นที่ ของพวกเรา ท าตามใจปรารถนา ไม่ใช่ก่อกวนแคว้นก็ท าให้ใต้หล้า ปั่นป่ วนจนโกลาหลวุ่นวาย หรือไม่ก็ชอบฆ่าคนบริสุทธิ์ในยุทธภพ พร่าเพื่อ พูดถึงแค่ครั้งล่าสุดเจ๋อเซียนที่สามารถยืนยันสถานะได้ก็คือ กลุ่มที่มีโจวเฝยแห่งตาหนักคลื่นวสันต์และลู่ฝ่ างแห่งยอดเขาเหนี่ยว
ค่านเป็ นหนึ่งในนั้น บางคนก็ตายไปในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน แล้วบางคนก็ยังไม่ตาย แต่ขึ้นไปบนหัวกาแพงแล้วจากไป เชื่อว่าใน เอกสารที่อยู่ในคลังลับของพรรคหูซาน เรื่องลับๆ ของพวกเซียนใน ดินแดนเบื้องบนพวกนี้มีแต่จะถูกบันทึกไว้มากยิ่งกว่า”
พอประโยคนี้เอ่ยออกมา ทั้งเจ้าบ้านและแขกที่อยู่ในห้องต่างก็ เงียบงันไร ้ค าพูด คนในห้องเหมือนกาลังนั่งเข้าฌาน
ในที่สุดเจิ้งเฟิ่ งโจวก็เป็ นคนท าลายความเงียบ “ขอถามเจ้า ประมุขเกาหน่อยเถิดว่านอกฟ้ าแห่งนั้น ผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตสูง ที่สุด มรรคกถาสูงถึงขนาดไหน? พวกเรามีข้อให้อ้างอิงหรือไม่?”
เกาจวินยิ้มเจื่อนเอ่ย “ตบะสูงมากจริงๆ ไม่อาจคานวณได้เลย”
ตอนที่อยู่ภูเขาพอวิ่นมหาบรรพตอุดรของแจกันสมบัติทวีป เกาจ วินเคยมีการสอบถามที่ค่อนข้างละลาบละล้วงต่อเว่ยซานจวินว่า นาง จะสามารถท าการถามมรรคาประลองเวทคาถากับขอบเขตก่อก าเนิด ที่ปีนั้นขอบเขตเท่าเทียมกับอาจารย์ได้หรือไม่
แต่ตอนนั้นเว่ยป้ อเพียงแค่ส่ายหน้ายิ้มๆ ปฏิเสธเกาจวินไปอย่าง ละมุนละม่อม พูดแค่ว่าาสามารถอ่านตาราที่เก็บสะสมไว้ในจวนให้ มากหน่อยได้ การรบราฆ่าฟันก็ไม่จ าเป็ นแล้ว
ในเมื่อแม้กระทั่งขอบเขตก่อกาเนิดที่ถือว่าอยู่ในขอบเขตของ เซียนดิน เกาจวินก็ยังไม่เคยได้สัมผัสตบะสูงต่าและพลังพิฆาต
แข็งแกร่งและอ่อนแอของอีกฝ่าย แล้วจะเอาอะไรมาพูดถึงห้าขอบเขต บนที่เหนือเกินกว่าก่อกาเนิดขึ้นไป?!
ขณะเดียวกันเว่ยป้ อยังบอกเป็ นนัยแก่เกาจวินว่าพูดมากเกินไป ย่อมก่อให้เกิดข้อผิดพลาด สถานการณ์ของภูเขาพีอวิ๋นและภูเขาลั่ว พั่วนั้น เจ้าประมุขเกากลับไปแล้วก็พยายามเลือกแต่ในสิ่งที่สามารถ พูดได้ อะไรที่พูดไม่ได้ก็พยายามอย่าพูด
อวี้เตี้ยซ่างเหรินสะบัดแส้ปัดฝุ่ น เปลี่ยนมือที่ถือ แค่นเสียงเย็นชา หนักๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ประหลาดใจแล้ว สรุปแล้วสถานที่แห่งนี้ของ พวกเราคืออะไรกันแน่?”
เกาจวินกล่าว “คือหนึ่งใจเจ็ดสิบสองถ้าสวรรค์ที่อยู่ในฟ้ าดินของ ด้านนอก ชื่อเก่าคือดอกบัวทุกวันนี้เปลี่ยนชื่อเป็ นรากบัว”
กาด้ามหยกขาวของแส้ปัดฝุ่ นที่อยู่ในมือแน่น อีกมือหนึ่งบีบแก้ว กระเบื้องที่อยู่ในมือแตก ถลึงตาเอ่ยอย่างดุดัน “อะไรนะ?! ที่นี่ของ พวกเราเป็ นแค่หนึ่งในเจ็ดสิบสองถ้าสวรรค์เท่านั้นเองหรือ?!”
เกาจวินสะบัดชายเสื้อของชุดเต๋าง่ายๆ รวบเศษกระเบื้องที่แตก กระจายแล้วสาดยิงออกไปรวดเร็วราวลูกธนูไว้กลางอากาศอีกครั้ง มันกลับคืนมาเป็ นแก้วกระเบื้องดังเดิมแล้วจึงพลิ้วลงบนพื้นเบาๆ
นางกล่าวต่อว่า “โลกที่อยู่นอกพื้นที่มงคลมีใต้หล้าอยู่หลายแห่ง และยังมีสิบถ้าสวรรค์ใหญ่และสามสิบหกถ้าสรรค์เล็ก แต่ถ้าสวรรค์ กับพื้นที่มงคลก็มีความแตกต่างกันอย่างแรกส่วนใหญ่จะเป็ นพื้นที่
ประกอบพิธีกรรมเฉพาะของผู้ฝึ กตนใหญ่บางคนที่อยู่ในโลก ภายนอก”
หูจวินหญิงจิบน้าชาหนึ่งอีกแล้วเงยหน้าถามเสียงอ่อนโยน “เจ้า ประมุขเกา ในเมื่อถ้าสวรรค์มีเจ้าของ คิดดูแล้วพื้นที่มงคลก็น่าจะเป็ น สถานการณ์ที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร?”
เกาจวินพยักหน้า “ที่แห่งนี้ถือเป็ นของจวนเซียนแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ภูเขาลั่วพัว ภูเขาลั่วพั่วตั้งอยู่ในแจกันสมบัติทวีปหนึ่งในเก้าทวีปของ ใต้หล้าไพศาล ใต้หล้าที่มีฐานะเท่าเทียมกับใต้หล้าไพศาลยังมีอีก หลายแห่ง ใต้หล้าใหม่เอี่ยมที่เพิ่งปรากฏใหม่ล่าสุดมีชื่อว่าใต้หล้าห้า สี ว่ากันว่าผู้ฝึกลมปราณอยากจะเดินทางไกลข้ามใต้หล้าให้ส าเร็จ จ าเป็ นต้องเป็ นขอบเขตบินทะยาน”
นางลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ได้เพิ่มคาว่า เริ่มต้นที่… เข้าไป ต้อง เริ่มต้นที่ขอบเขตบินทะยาน!
นี่ก็หมายความว่าเหนือบินทะยานขึ้นไปยังมีผู้ฝึ กลมปราณที่ ขอบเขตสูงกว่าอีกหนึ่งขั้นอยู่ด้วย
อวี่เตี๋ยซ่างเหรินอดไม่ไหวสบถด่าออกมา “มารดามันเถอะ ขอบเขตบินทะยานคืออะไรอีกเล่า?! หรือจะเป็ นอย่างสตรีบางคนที่ใน ปี นั้นพกกระบี่ทะยานขึ้นเบื้องบน จนเกือบจะทะลุแผ่นฟ้ าไปได้ ส าเร็จ?”
กงฮวาหูจวินหญิงมีสีหน้าเย็นชา ไม่ปิดบังความไม่สบอารมณ์ ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย นางเอ่ยเตือนด้วยน้าเสียงเย็นชาว่า “นาง ชื่อสุยโย่วเปียน!”
อดีตผู้ฝึกยุทธหญิงในยุทธภพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าใน ปัจจุบัน พวกนางต่างก็ยินดีจะแสดงความเคารพจากใจจริงต่อสุยโย่ วเปียน
อวี้เตี้ยซ่างเหรินกระตุกมุมปาก ตอนนั้นหากสุยโย่วเปี ยนทา สาเร็จหรือได้ฟื้นคืนชีวิตกลับมาบนโลกอีกครั้งเหมือนดั่งกงฮวาหูจวิ นที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ให้เคารพนางเขาก็คงจะยอมอยู่หรอก…
เกาจวินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ทุกวันนี้สุยโย่วเปียนก็คือผู้ ฝึกตนท าเนียบของภูเขาลั่วพั่ว นางเปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธหันไปฝึ ก เวทกระบี่วิชาเซียนแทน สุยโย่วเปี ยนคือหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์บน ภูเขาของแจกันสมบัติทวีป ข้าเดาว่าขอบเขตของนางก็คือก่อก าเนิด ที่อยู่เหนือโอสถทอง”
อวี้เตี้ยซ่างเหรินได้ยินเรื่องนี้ก็สะอึกอึ้งพูดไม่ออกไปทันใด
ซ่งไหวเป้ าส่ายหน้ายิ้มๆ “น่าสงสาร น่าเวทนา แม้จะไม่รู ้ว่านาง ไปฟื้นคืนชีพอยู่ที่นั่นได้อย่างไร แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็คิดไม่ถึงว่าอดีต ปรมาจารย์ใหญ่หญิงที่เป็ นบุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าอย่างสุยโย่ วเปียนจะถึงกับไปอยู่ใต้อาณัติของใคร ต้องไปพึ่งพาอยู่ใต้ชายคา ของผู้อื่น หรือว่านี่ก็คือการกลายเป็ นเซียนอย่างที่ใน….นิยายที่พวก
ชาวบ้านของแคว้นต่างๆ ของพวกเราชอบพูดถึงกันเมื่อสมัยก่อน? นางสุยโย่วเปี ยนก็แค่เปลี่ยนสถานที่ไปรับเงินเดือนจากสวรรค์ เท่านั้น?”
ซ่งไหวเป้ าพูดเองเออเองว่า “ข้าคิดถูกจริงๆ เสียด้วย สามารถ ฟื้นคืนชีพกลับมาได้อาศัยจิตวิญญาณที่แท้จริงส่วนหนึ่งกลายเป็ น เทพ ประหนึ่งการตื่นจากฝันครั้งใหญ่ สุดท้ายยิ่งนานก็ยิ่งรู ้สึกเปล่า เปลี่ยวเงียบเหงายิ่งรู ้สึกเบื่อหน่ายไร ้รสชาติ”
อันที่จริงการ “ตื่น” ขึ้นมาในครั้งนี้ เขาก็อยากจะพบสุยโย่วเปียน คนนี้อย่างมาก เวลานี้ในชายแขนเสื้อของเขาก็มีรายชื่ออยู่ฉบับหนึ่ง ชื่อที่เขียนไว้ด้านบนมีสิบกว่าชื่อ ล้วนเป็ นสาวงามที่เป็ นภัยในแต่ละ ยุคแต่ละสมัยทั้งหมด คือโฉมงามที่งามล่มบ้านล่มเมือง คือสตรีที่เป็ น อันดับหนึ่งแห่งยุค และสุยโย่วเปียนที่เวทกระบี่โดดเด่นก็อยู่ติดสาม อันดับแรก ดังนั้นครั้งนี้ซ่งไหวเป้ ามาเข้าร่วมการประชุมที่ทะเลสาบ ชิวชี่ จุดมุ่งหมายที่มากกว่านั้นก็คือหวังว่าจะได้เจอกับ “พวกนาง” ซึ่งมีเกาจวินและหูจวินของสถานที่แห่งนี้เป็ นหนึ่งในนั้น
ซ่งไหวเป้ าถอนหายใจ “น่าเสียดายสุยโย่วเปียนแล้ว”
คาว่าแล้วมีความหมายว่าจบสิ้น
เจ็บใจก็แต่สวรรค์ไม่เมตตา หญิงงามสามพันถูกฝังอยู่ในพง หญ้า
น่ายินดีที่สวรรค์เป็ นใจ เหล่าสาวงามของแต่ละยุคสมัยมาชุมนุม กันในวันนี้
เพียงแต่น่าเสียดายสุยโย่วเปียนที่ไม่ติดอันดับสาวงามในใจของ เขา
สุยโย่วเปี ยนที่เดิมทีเป็ นคนมีความสามารถโดดเด่น แต่ดัน ยินยอมพร ้อมใจกลายไปเป็ นทาสรับใช ้คนอื่นผู้นี้ ในเมื่อนาง สวามิภักดิ์ต่อภูเขาลั่วพั่วไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นนางอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วก็ขอ อย่าได้ไปเป็ นคนรัก เป็ นชู้รักหรือเป็ นนางบ าเรอของใครเลย
พอคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ยื่นมือมากุมหัวใจ ถอนหายใจเฮือกๆ
ไหวเซี่ยถาม “ศักยภาพของภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้เป็ นเช่นไร อยู่ใน แจกันสมบัติทวีปและใต้หล้าไพศาลถือว่าเป็ นจวนเซียนอันดับที่ เท่าไร?”
เกาจวินส่ายหน้า “ความลึกล้าของรากฐานภูเขาลั่วพั่ว ลึกจน มองไม่เห็นกันบึง แม้ว่าข้าจะไปเป็ นแขกอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วนานหลาย วัน แต่ก็ยังไม่อาจลอบมองภาพรวมทั้งหมดได้อย่างชัดเจน พูดถึงแค่ …เด็กชายชุดเขียวที่ไม่ค่อยสนใจการฝึกตนเท่าใดนักคนหนึ่ง ก็ดู เหมือนว่าจะเป็ นเจียวน้าผู้บรรลุมรรคาขอบเขตก่อกาเนิดแล้ว แต่ เซียนซือที่มีศาสตร ์คงความเยาว์ผู้นี้ อยู่ในศาลบรรพจารย์ยอดเขา จี้หลิงของภูเขาลั่วพั่ว ว่ากันว่าตาแหน่งที่นั่งไม่ได้อยู่ข้างหน้า ตาแหน่งไม่สูงไม่ต่า น่าจะธรรมดาอย่างมาก”
เด็กชายชุดเขียวคนนั้น ทุกวันรู ้จักแต่จะไปชวนคนอื่นดื่มเหล้า จริงๆ
นี่ทาให้เกาจวินบรรยายถึงเขาได้ค่อนข้างยากลาบาก กินแรง อย่างมาก
จาได้ว่าเวลาเดินอีกฝ่ ายชอบสะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง หากมา อยู่ในพรรคหูซานบ้านตน เดินไม่มีท่าทางของการเดินเช่นนี้ จะพูด ถึงเรื่องการฝึ กตนได้อย่างไร เป็ นผู้ฝึ กลมปราณแต่กลับไม่เห็นค่า ของเวลา เกรงว่าคงโดนสั่งสอนไปนานแล้ว จะต้องถูกพวกผู้อาวุโส ในสานักด่าจนโงหัวไม่ขึ้นไปแล้ว
แต่เด็กชายชุดเขียวผู้นั้น ทุกครั้งที่เจอเกาจวินก็ถือว่าพูดจา เกรงใจมีมารยาทอย่างมาก แม้ว่าจะไม่หยุดเดิน แต่ก็กุมหมัดคารวะ คลี่ยิ้มสดใส ไม่ขี้เหนียวถ้อยคาดีๆ ชอบพูดจาไพเราะเหมือนคนแก่ กับนางอยู่หลายประโยค
การที่รู ้ขอบเขตที่แท้จริงของเฉินหลิงจวินผู้นั้นก็ต้องยกคุณ ความชอบให้กับการคุยเล่นบนโต๊ะอาหารของพ่อครัวเฒ่าครั้งหนึ่ง ท าให้นางได้ยินมาเต็มๆ หู
เด็กชายชุดเขียวตบโต๊ะบอกว่า พ่อครัวเฒ่า เจ้าพูดจาไม่น่าฟัง เช่นนี้ได้อย่างไร ให้ความเคารพนายท่านใหญ่เฉินบ้าง อย่าได้ไม่เห็น ก่อก าเนิดเป็ นส าคัญ!
ไม่รอให้พ่อครัวเฒ่าพูดอะไร แค่ถูกแม่นางน้อยที่ชื่อว่าหน่วนซู่ ถลึงตาใส่ เฉินหลิงจวินก็หงอยทันที ไม่มีพลังอ านาจใดๆ ให้เอ่ยถึง อีก
ส่วนผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ บนภูเขาลั่วพั่วมีขอบเขตสูงหรือต่า ตบะตื้นหรือลึก จะให้เกาจวินไปถามเอาจากใคร
เกาจวินรู ้ดีอยู่แก่ใจว่า รายงานขุนเขาสายน้าทุกฉบับที่จวน ซานจวินภูเขาพีอวิ๋นน ามาให้นางอ่าน ล้วนต้องผ่านการคัดเลือก อย่างใส่ใจจากซานจวินเว่ยป้ อทั้งสิ้น
อวี้เตี๋ยซ่างเหรินถามด้วยสีหน้ามืดทะมึน “ดูเหมือนว่าจะยังไม่มี ใครถามเรื่องเป็ นการเป็ นงาน แล้วก็ดูเหมือนว่าเจ้าประมุขเกาจะลืม ไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าเป็ นคนถามเจ้าประมุขเกาก็แล้วกัน ไม่ ทราบว่าภูเขาลั่วพั่วแห่งนั้นมีผู้ฝึ กลมปราณที่ฝึ กตนอยู่ในภูเขา จ านวนเท่าใดกันแน่? แล้วแจกันสมบัติทวีปล่ะมีสภาพการณ์เป็ นเช่น ไร?”