กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1067.5 ยุทธภพเงียบเหงาหนึ่งร ้อยปี
ชายหนุ่มมีสีหน้าประหลาด เหงื่อแตกท่วมเต็มศีรษะ อยากจะหนี แต่กลับไม่กล้าหนีได้แต่ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิม
จูเหลี่ยนส่ายหน้า ยิ้มถามด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย เคยอ่านตารามา ก่อน แต่อ่านมาไม่เยอะหรือ?
คนหนุ่มพยักหน้า
จูเหลี่ยนถามอย่างสงสัย ในเมื่ออยากฆ่าข้าขนาดนี้ วางแผนซุก ซ่อนลมปราณไว้เป็ นอย่างดี มาหลบซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว ทาไมแม้กระทั่งบทกวีหรือรวบรวมบทความก็ยังไม่รู ้จัก? ไม่รู ้จักค าว่า รู ้เขารู ้เราหรอกหรือ?
คนหนุ่มตอบตามสัตย์จริงว่า ผู้เยาว์ไม่สนใจเรื่องพวกนั้น แค่ อยากเรียนวรยุทธกับท่าน แต่ไม่กล้ามาหาท่าน เพราะต่างก็พูดกันว่า จูเหลี่ยนมีนิสัยประหลาด ไม่เคยรับลูกศิษย์คนที่กล้ามาหาท่านเพื่อ กราบท่านเป็ นอาจารย์ก็ไม่เคยมีใครที่มีจุดจบดีสักคน ชีวิตมีแค่ชีวิต เดียว แน่นอนว่าข้าไม่กล้าเดิมพัน
จูเหลี่ยนยิ้มถาม คือคนของลัทธิมารหรือ? ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้า ใช ้หมัดต่อยทะลุหัวใจของชิงเซียนก็สัมผัสได้แล้วว่าลมหายใจของ เจ้าผิดปกติ ดูเหมือนว่านางจะเป็ นบุคคลอันดับสองของลัทธิมารพวก เจ้า คืออาจารย์ของเจ้าหรือบรรพจารย์ของเจ้าล่ะ?
คนหนุ่มพยักหน้า บอกว่าชิงเซียนเถียนหลิงเอ๋อคือบรรพจารย์ ของตัวเอง ลูกศิษย์ของนางก็คืออาจารย์ของข้า คือเศษสวะที่ทั้งเห็น แก่ตัวทั้งขี้ขลาด สอนคนไม่เป็ นแล้วก็ไม่กล้าจะสอนใคร กลัวว่าข้าจะ เรียนรู ้ความสามารถที่แท้จริงได้สาเร็จแล้วหันไปกาจัดเขา แน่นอนว่า อาจารย์คิดไม่ผิด วันนี้ขอแค่ข้ามีชีวิตรอดกลับไป คนแรกที่จะฆ่าก็ คือเขา
ผู้เฒ่าทาท่ากระจ่างแจ้ง พึมพากับตัวเองว่าโหยวหลิงเอ๋อ ที่แท้ นางชื่อนี้เองหรือ จาได้แค่ฉายา แต่จาไม่เคยได้เสียทีว่านางชื่อว่า อะไร
หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ หิมะใหญ่หนาเท่าขนห่านทับถมปูเป็ นชั้น อยู่บนเส้นทาง ฟ้ าดินมีแต่สีขาวโพลน
คนหนุ่มตาแดงก่า กัดฟันเอ่ยว่า ข้าเดาประโยคนั้นไม่ออก
จูเหลี่ยนชาติสุนัข คนคลั่งวรยุทธ เจ้าจะให้ข้าเดาอย่างไร?!
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ยว่า หมดเวลาแล้ว
คนหนุ่มยังคงยืนอยู่ที่เดิม
จูเหลี่ยนถามว่าทาไมถึงไม่หนี? แสวงหาความร่ารวยเกียรติยศ ท่ามกลางความเสี่ยงไม่รู ้จักไขว่คว้าโอกาสรอดชีวิตไว้บ้างเลยหรือ?
คนหนุ่มเอ่ยเสียงหนักว่าหนีท าบ้าอะไร เจ้าจะฆ่าคน ข้าจะหนีได้ พ้นหรือ?
กล่าวมาถึงตรงนี้คนหนุ่มที่ใจคิดว่าตัวเองต้องตายแน่แล้วก็นึก อยากจะทิ้งคาสั่งเสียสุดท้ายเอาไว้ อยากจะบอกกับคนคลั่งวรยุทธที่ เปิดฉากสังหารอย่างโหดร ้ายผู้นี้ว่าตนชื่ออะไร
แต่ไม่รู ้ว่าผู้เฒ่าที่เอาสองมือไพล่หลังเป็ นเพราะบาดเจ็บหนัก เกินไปหรือว่าหมดอาลัยตายอยากขึ้นมา เรือนกายของเขาในเวลานี้ จึงงองุ ้มลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้เฒ่าเพียงแค่ผงกปลายคางชี้ไปยัง ทิศทางนั้น ตรงนั้นมีอาวุธเล่มหนึ่งที่ถูกจูเหลี่ยนใช ้สองนิ้วบิดหัก เป็ น ดาบชั้นดี มีชื่อเสียงอย่างมากในยุทธภพ ชื่อว่าเกอเซวี่ย (ตัดหิมะ)
เพียงแต่ว่าดาบหักกับคนที่ตายคนนั้นต่างก็ถูกกลบทับอยู่ในหิมะ ไปแล้ว
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย เจ้าหนุ่มอย่ามัวยืนอึ้งอยู่เลย ดาบเล่มนั้นของบรรพ จารย์เจ้านับว่ายังพอใช ้ได้ ไปเก็บมาสิ ขอแค่ไม่หนี ก็ลองเดิมพัน ชีวิตครั้งสุดท้ายดูอีกครั้ง หากไม่ถูกข้าสังหารก็สามารถช่วยแก้แค้น แทนนาง สร ้างชื่อเสียงระบือไกลให้กับตัวเองได้
คนหนุ่มที่ทั้งบนศีรษะและไหล่สองข้างเต็มไปด้วยหิมะบอกว่า ตัวเองเดาค าตอบไม่ถูก
ความนัยในประโยคนี้ก็คือเจ้าจูเหลี่ยนต้องฆ่าคนแน่นอน เจ้าก็ แค่หาเรื่องสนุกทาเท่านั้น แต่ข้าไม่อยากตายเหมือนตัวตลก คิดจะฆ่า ก็ฆ่า อย่ามาปั่นหัวข้าเล่น
จูเหลี่ยนก็คือจูเหลี่ยน ต่อให้จะบาดเจ็บสาหัส แต่ยืนอยู่บนถนน ที่ว่างเปล่า อาศัยแค่ลมปราณของทั้งร่าง ไม่ว่าจะบนร่างหรือบนเท้า ของเขาก็ล้วนไม่มีหิมะติดเปื้อน
ผู้เฒ่าเงยหน้ามองม่านฟ้ าที่หิมะปลิวปรายแล้วหัวเราะ ไยต้องเปิด ปากเอ่ยคาตอบออกมา อันที่จริงเจ้าได้ให้คาตอบที่ถูกต้องแล้ว ถือว่า เจ้าชะตาชีวิตดี
คนหนุ่มถามเสียงดัง จูเหลี่ยน! เจ้าไม่อยากถามชื่อของข้าหรือ?! ผู้เฒ่ายิ้มย้อนถาม เจ้าลูกหมา เจ้าคู่ควรหรือ?
ผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่เจ็บแค้นสุดขีดกระโจนออกไปอย่างว่องไว เรือน กายเคลื่อนไหวปราดเปรียว ปลายเท้าเหยียบบนกองหิมะกระเทือนให้ หิมะกระจายไปสี่ทิศ คนหนุ่มกระโดดแผ่วพลิ้วเหมือนกบกระโดดแตะ ผิวน้าไปหลายครั้ง เพียงไม่นานก็เจอจุดที่หิมะฝังกลบศพและดาบ เล่มนั้น ชิงเซียนบรรพจารย์ที่เป็ นบุคคลอันดับหนึ่งด้านการใช ้ดาบ ในยุทธภพ นางตายไปแล้วก็ยังก าดาบไว้ในมือ คนหนุ่มกระทืบเท้า หนักๆ จนแขนของบรรพจารย์หัก แล้วจึงใช ้ปลายเท้าเกี่ยวทั้งดาบทั้ง แขนข้างนั้นขึ้นมาด้วยกัน คนหนุ่มดึงแขนทิ้งไป แล้วจึงบดขยี้นิ้วทั้ง ห้าของเจ้าของคนเดิมให้แหลกสลาย ตัวเองถือดาบด้วยมือข้างเดียว ย้อนกลับมาที่เดิม เขาวิ่งห้อมาตลอดทาง พุ่งกระโจนเข้าใส่เรือนกาย นั้น คนหนุ่มที่การมองเห็นพร่าเลือนยกดาบขึ้นแล้วตวัดฟันลงมา!
และคนคลั่งวรยุทธผู้นั้นก็รักษาสัญญา ตั้งแต่ต้นจนจบเขาเพียง แค่เอาสองมือไพล่หลัง ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม วางท่าว่าปล่อยให้คนหนุ่มใช ้ ดาบเกอเซวี่ยตัดหัวตัวเองได้ตามสบาย
ผู้เฒ่ามองหิมะใหญ่ที่แผ่กระจายไปทั่วผืนฟ้ า ใบหน้าเต็มไปด้วย แววหยอกเย้า เอ่ยประโยคที่มีความหมายลึกล้าว่า “เมื่อลิขิตฟ้ ามาถึง ใครเล่าจะพูดได้ คนไร ้นามสังหารคนมีชื่อ
เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนในปีนั้น ท่ามกลางซากปรักสนามรบ มีผู้ฝึกยุทธหนุ่มคนหนึ่งชูศีรษะหนึ่งในมือขึ้นสูง คนหนุ่มพูดเสียงดัง กังวานด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียม “ผู้ที่สังหารจูเหลี่ยน ติงอิงแห่งลัทธิ มาร!
คืนนี้จูเหลี่ยนนั่งอยู่ข้างกองไฟ หยิบแผ่นแป้ งย่างสองชิ้นที่ซื้อมา จากร ้านอื่นในตรอกหลงออกมาจากชายแขนเสื้อ วางทับซ ้อนไว้ ด้วยกัน กัดกินแล้วเคี้ยวอย่างละเอียด
เมืองเล็กมีขนมของร ้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง นอกจากนี้ก็ยังมีร ้าน เหล้าของหวงเอ้อเหนียง ร ้านซาลาเปาของบ้านเหมาต้าเหนียงที่ต่าง ก็เคยขึ้นชื่อว่าเป็ นของดีราคาถูก ทุกวันที่ราคาเพิ่มขึ้นสูงมากแล้ว เพราะถึงอย่างไรชาวบ้านในท้องถิ่นก็เหลือกันอยู่แค่ไม่กี่คน เอาไว้ หลอกขายคนต่างถิ่นโดยเฉพาะ ไปๆ มาๆ หากไม่ใช่เทพเซียนบน ภูเขาก็เป็ นปัญญาชนที่มีฐานะทางบ้านดีหรือไม่ก็ลูกหลานคนมี อานาจร่ารวยที่กระเป๋ าเงินตุงแน่น คาดว่าหากราคาต่าเกินไป พวก เขาก็คงไม่ยินดีจะซื้อแล้ว
พื้นที่ส่วนใหญ่ของแคว้นซงไล่ที่มีการผลัดเปลี่ยนราชสานักและ พื้นที่ส่วนน้อยของแคว้นเป่ยจิ้น อันที่จริงล้วนเคยเป็ นมาตุภูมิเดิมของ จูเหลี่ยน
มาตุภูมิก็คือกระดาษคาตอบแผ่นหนึ่ง ยิ่งอยู่ห่างบ้านเกิดไปไกล มากเท่าไรก็ยิ่งถูกหักคะแนนมากเท่านั้น ความคิดถึงในแต่ละครั้งก็ คือการจรดพู่กันเขียนคาตอบ บัณฑิตที่เดินทางไปสอบ มาตุภูมิที่ เป็ นขุนนางผู้คุมสอบ ยิ่งนานวันก็มีแต่จะยิ่งผิดหวัง
จูเหลี่ยนถอนหายใจ น่าเสียดายที่ออกจากบ้านมาคราวนี้ไม่ได้ พกเหล้ามาด้วย
และเวลานี้เองกระโปรงหลากสีพลิ้วไสวที่คล้ายกับเคลื่อนออกมา จากดวงจันทร ์ก็เยื้องย่างลงมาจากบนฟ้ า รองเท้าปักลายของสตรี ไม่ได้สัมผัสกับดิน นางยืนลอยตัวอยู่กลางอากาศ
บอบบางแต่กลับเป็ นความงามที่เย็นชา
นางตวาดกร ้าว “เจ้าไม่รู ้หรือว่าที่นี่คือสถานที่ต้องห้ามของศาล เทพภูเขา?”
ผู้เฒ่าทาคอย่น ไม่ได้หันหน้าไป เพียงแค่พูดด้วยน้าเสียงแหบ พร่าว่า “แค่บังเอิญผ่านทางมา ไม่เคยรู ้มาก่อน”
เหนียงเนียงเทพวารีรูปโฉมงามล้าที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศผู้นี้ ด้านหลังของนางมีวงกรดแสงจันทร ์ที่ส่องสว่างเรืองรอง แพรต่วนสี สดที่ยาวมากสองเส้นพลิ้วสะบัดไปตาม ยลม
นางเอ่ยเตือนเสียงเย็น “เห็นแก่ที่เจ้าเพิ่งเคยทาความผิดเป็ นครั้ง แรก ข้าจะละเว้นโทษให้ รีบไปจากที่แห่งนี้ซะ คราวหน้าอย่าได้ทา อีก”
พ่อครัวเฒ่ากินแผ่นแป้ งย่างไส้ผักดอง หันหน้ามาถามว่า “คฤหาสน์ใต้เมฆาของทีแห่งนี้ไม่มีเจ้าของนานแล้ว มันกลายมาเป็ น ถิ่นของเจ้าได้อย่างไร?”
นางสีหน้าเย็นชา ใบหน้าเต็มไปด้วยโทสะ “เจ้าเป็ นใครกันแน่ รู ้ ได้อย่างไรว่าที่แห่งนี้มีชื่อว่าคฤหาสน์ใต้เมฆา?!”
ผู้เฒ่าทอดถอนใจ พูดเสียงอู้อี้ว่า “คาพูดของสตรีหน้าตางดงาม มักจะเชื่อถือไม่ได้บอกแล้วว่าต่อให้กลายเป็ นเถ้าถ่านก็ยังจากันได้ ตอนนี้มาอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่รู ้จักกันเสียแล้ว?”
สีหน้าของนางพลันสดใส สองเท้าเหยียบลงบนพื้น ถามเสียงสั่น อย่างระมัดระวัง “เจ้าคือ…”
พูดได้แค่สองคา น้าตาของนางก็หลั่งริน ราวกับว่าได้ใช ้เรี่ยวแรง ทั้งหมดไปแล้วจึงไม่เหลือแรงให้เอ่ยประโยคช่วงท้ายต่ออีก นางสูดลม หายใจเข้าลึก หันหน้าไปอีกทาง ครู่ใหญ่นางถึงได้หันหน้ากลับมา มองผู้เฒ่าคนนั้น ในใจนางคิดหวังว่าตัวเองจะโชคดี จึงเปลี่ยนวิธีการ พูดเสียใหม่ พยายามให้น้าเสียงของตัวเองสูงยิ่งกว่าเดิม คาพูดก็เย็น ชาเฉยเมย “ยังจาได้หรือไม่ว่าข้าคือใคร ข้าชื่อว่าอะไร?”
จูเหลี่ยนกินแผ่นแป้ งย่างหมดแล้วจึงปัดมือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้า ไม่เคยหลอกใคร โดยเฉพาะกับสตรี ดังนั้นขอโทษด้วย ชื่อของแม่ นางท่านนี้ ข้าจาไม่ได้จริงๆ”
สีหน้าของนางซับซ ้อน คล้ายจะยิ้มคล้ายจะร ้องไห้ “เป็ นเจ้าจริง เสียด้วย จูเหลี่ยน เป็ นเจ้าจริงเสียด้วย จูหนันหัว”
ใช่แล้ว คาพูดใจจืดใจดาเช่นนี้ก็มีแต่เขาเท่านั้นที่พูดได้ แล้วก็มี แค่เขาเท่านั้นที่จะพูดออกมา ความสามารถประหนึ่งคาหวาน ทั้งกรีด ใจคน ทั้งทาให้คนพะวงหา
ในอดีตมีสตรีที่โดดเด่นกี่มากน้อยที่ไม่ยอมเชื่อ พอได้ยิน เรื่องราวของคนผู้นี้ก็รู ้สึกแค่ว่าเหลวไหลไร ้สาระ ปัญญาอ่อนกันไป หมดแล้วหรือไร แค่เจอหน้าคนผู้นี้แล้วจะเหมือนถูกทาของใส่ได้ อย่างไร
ผลคือพวกนางที่เคยเอ่ยเยาะเย้ยพวกนาง ล้วนกลายไปเป็ น เหมือนผีที่ใช ้เส้นผมตัวเองต่างเชือกผูกคอตายเหมือนกันหมดแทบ ไม่มีใครเป็ นข้อยกเว้น ชีวิตนับแต่นั้นโหวงเหวงว่างเปล่า มีแต่ความ อึมครึมหม่นเศร ้า
นางมองซากปรักเบื้องหน้า ยังคงเก็บไว้ไม่ไปแตะต้อง เหนียง เนียงเทพภูเขาที่ยึดครองภูเขาสายน้าบริเวณโดยรอบที่แห่งนี้ไม่เคย คิดจะสร ้าง ‘คฤหาสน์ใต้เมฆา ขึ้นมาใหม่อีกครั้งเพราะนางตัดใจ ไม่ได้
ทุกวันนี้แม้จะผุพัง แต่มันก็ยังคงเป็ นมัน หากตนอาศัยความทรง จาอันพร่าเลือนสร ้างขึ้นมาใหม่ในสถานที่เดิม ก็กลัวว่ามันจะไม่ใช่ มันอีกแล้ว ไม่มีทางเป็ นมันได้อีกตลอดกาลเมื่อได้เห็นก็มีแต่จะ รังเกียจชิงชัง
จาได้ว่าเคยมีดอกท้อหลายต้นขึ้นอยู่ริมลาธาร ทุกปี ยามที่ ดอกไม้บานดอกไม้ร่วงโรยศาลาเล็กๆ หลังหนึ่งถูกบดบังอยู่ด้านใน น้าในลาธารล่างศาลาขึ้นสูงยามใบไม้ผลิ ลดต่าตื้นยามถึงหน้าร ้อน
คนในอดีตหวนกลับคืนมายังสถานที่เดิม แต่กลับไม่กล้าหวนคิด เรื่องในวันวานอีกแล้ว
ในอดีตเจ้าของคนเดิมก็เคยมาพักผ่อนผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่ บ้างเป็ นบางครั้งคุณชายชุดขาวจุดธูป สั่งให้สตรีม้วนม่านไม้ไผ่ขึ้น ในห้องอึมครึมจึงอยากจะหันไปมองดอกท้อด้านนอก
นางถามอย่างยังไม่ยอมตัดใจ “จ าไม่ได้จริงๆ หรือว่าข้าเป็ น ใคร?”
ใบหน้าเปลี่ยนไปแล้ว แววตาก็เปลี่ยนไปแล้ว บุคลิกก็เปลี่ยน เปลี่ยนไปหมดแล้ว
แต่ไม่รู ้ว่าเหตุใด นางกลับแน่ใจว่าต้องเป็ นเขา คือชายใจร ้ายแล้ง น้าใจของปีนั้นจริงๆ
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ยื่นมือไปอังไฟหาความอบอุ่น “จะหลอกเจ้าทาไมคนโง่คนใดที่ชอบโดนด่าชอบถูกตีบ้าง จาไม่ได้ แล้วจริงๆ”
นางเหม่อลอยไป
ก็เหมือนอย่างอารามแห่งหนึ่งที่ถูกสร ้างขึ้นมาบนเกาะใจกลาง ทะเลสาบชิวชี่แห่งนั้น
โลกภายนอกต่างก็ไม่รู ้ถึงความตั้งใจของหูจวินกงฮวา ทว่า เหนียงเนียงเทพภูเขาท่านนี้กับจอมยุทธหญิงในยุทธภพ สตรีมีชาติ ตระกูลในอดีตซึ่งทุกวันนี้กลายมาเป็ นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศาลเถื่อน กลายมาเป็ นผีตามภูเขา พวกนางกลับรู ้ชัดเจนดี
ใจกลางทะเลสาบก็คือกลางใจ ภูเขาก็คือขนคิ้ว
ในอารามกลางภูเขายังมีเรือนลั่วฮวาอยู่หลังหนึ่ง ซึ่งก็เป็ นสตรีที่ ทุกวันนี้ใช ้นามแฝงว่า “กงฮวา” ผู้นั้นที่เฝ้ าคิดถึงคะนึงหาอยู่ตลอด นางรอคอยคนอยู่ในเรือนถั่วฮวาแห่งนี้ หวังว่ายามที่ดอกไม้ร่วงโรย (ลั่วฮวา) จะได้พบท่านอีกครั้ง
เกลียดจริงๆ เกลียดอย่างถึงที่สุด!
นางเก็บความคิดกลับคืน บดฟันขาวสะอาดจนแทบแตก ถลึงด วงตาเรียวยาวคลอประกายน้าคู่นั้น เอ่ยคาว่าดีติดๆ กันหลายครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุดัน “โดนด่าโดนตี? คิดง่ายเกินไปแล้ว… ตายซะเถอะ!”
ในเมื่อเจ้าจูเหลี่ยนกล้ามีชีวิตกลับคืนมา แล้วยังมีหน้าออกท่อง ยุทธภพอีกครั้ง ใครเห็นก็อยากฆ่าทิ้ง ฆ่าเจ้าถึงจะทาให้ทุกคนสาแก่ ใจ ถึงจะคลายความเคียดแค้นชิงชังในใจของข้าได้!
เข็มขัดสีสดเส้นหนึ่งพุ่งมารวดเร็วราวลูกธนู สาดยิงไปที่ไหล่ของ ผู้เฒ่าหลังค่อมก่อนเห็นว่าเขาคร ้านจะหลบเลี่ยง คิดว่านางไม่กล้า สังหารเขาจริงๆ หรือ? เหนียงเนียงเทพภูเขาที่อับอายจนพานเป็ น โกรธจึงเปลี่ยนทิศทางของเข็มขัด กระแทกเข้าใส่ศีรษะของผู้เฒ่า อย่างแรงจนเกิดเสียงดังปัง ร่างของผู้เฒ่าปลิวกระเด็นออกไปทันใด ไปกระแทกลงบนกาแพงที่แตกหักแถบหนึ่ง ฝุ่ นคลุ้งกระจายตลบ อบอวล
ผู้เฒ่าที่ทั่วร่างเปื้อนดินลุกขึ้นนั่งด้านล่างกาแพงแถบนั้น ยื่นมือ มาดีดฝุ่ นออก ยิ้มพลางลุกขึ้นยืนช ้าๆ สะบัดไหล่ เศษฝุ่ นเศษดินที่ เกาะเต็มร่างก็ร่วงกราวลงมา ถามเสียงเบาว่า “หายกันแล้วหรือยัง?”
นางมองผู้เฒ่าชราภาพแปลกหน้าที่สวมรองเท้าผ้าธรรมดา สามัญคนนั้น
ความคิดนับร ้อยประดังประเดเข้าหานาง แล้วจู่ๆ ความโศกเศร ้า ก็พุ่งโจมตี ปิดหน้าร่าไห้
เสียงร ้องครวญแผ่วเบาดังลอดร่องนิ้วขาวนวลของนางออก มาแล้วปลิวหายไปตามสายลม ประหนึ่งเสียงร ้องไห้ยามเผากระดาษ เงินสีขาวหิมะเป็ นเถ้าถ่านอยู่หน้าหลุมศพ
จูหลาง เจ้ากลายมาเป็ นแบบนี้ได้อย่างไร
คุณชายผู้สูงศักดิ์ในอดีต เจ๋อเซียนในโลกมนุษย์
จูเหลี่ยน นามหนันหัว ฉายาฉางเล่อ อีกชื่อคือเตี่ยนเจี่ยนหลาง เจ้าของเก่าแห่งยุทธภพ
มีชาติกาเนิดจากตระกูลขุนนาง เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ พิณ หมาก ล้อม พู่กัน ภาพวาดการตรวจสอบหินทอง ไม่มีอะไรที่เขาไม่ เชี่ยวชาญ ตระกูลได้ครอบครองหอเก็บตาราที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไป ทั้งใต้หล้า คือสิ่งปลูกสร ้างที่สูงที่สุดในเมืองหลวง เพียงแค่เพราะ หลานชายเกิดนึกสนุกขึ้นมาตอนเด็ก ผู้เฒ่าที่ตอนนั้นรับหน้าที่เป็ น อัครเสนาบดี อีกทั้งยังได้ครองยศไท่ซือก็ถึงกับเปลี่ยนชื่อหอเก็บ ต าราเป็ นหอป๋ ายเลี่ยว อีกทั้งยังให้เด็กน้อยเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่ แล้วเอาใส่กรอบป้ ายแขวนไว้สูง ภายหลังชั้นบนสุดของหอตาราได้มี การเปิดเป็ นห้องหนังสือชื่อว่า “ชิวโหมว” ปีนั้นไม่รู ้ว่าสตรีชนชั้นสูง หญิงออกเรือนแล้วของตระกูลใหญ่กี่มากน้อยที่พอเห็นแสงไฟจุด สว่างในหอสูงก็ต้องพากันทอดสายตามองไปไกลๆ
เด็กหนุ่มอัจฉริยะในอดีต มีความรู ้ความสามารถโดดเด่นราวกับ ได้รับประทานพรจากสวรรค์ ต่อมาได้กลายเป็ นคุณชายรูปงามหล่อ เหลา และหลังจากนั้นก็ได้เป็ นเสาคานของราชสานักเป็ นเสาหลัก ของแคว้น ใช ้สถานะของขุนนางปุ่นนาทัพ กอบกู้สถานการณ์ใหญ่ที่ กาลังจะล้มครืนลงให้กลับคืนมาดีได้อีกครั้ง ทุกครั้งที่เขาออกจาก ที่ว่าการกลับบ้าน หรือไม่ก็กลับจากสนามรบชายแดนก็จะมีสาวใช ้ที่
ถือโคมไฟคอยจุดไฟไล่ระดับความสูงขึ้นไปตามหอหนังสือ สุดท้ายมี เพียงคนชุดขาวที่ยืนพิงราวรั่วอยู่เพียงลาพัง
เขามองใต้หล้า พวกนางมองเขา
คนผู้นี้ได้สร ้าง “สวนอวี๋อวี๋” ไว้ที่ชานเมืองหลวง หนึ่งปีสี่ฤดูกาล ล้วนมีดอกไม้ผลิบาน ดอกไม้ล้าค่าแต่ละชนิดล้วนเป็ นพันธ ์แท้ที่มี ชื่อเสียง เล่าลือกันว่าในสวนลาพังแค่คนปลูกดอกไม้ก็มีมากหลาย ร ้อยคน คอยรวบรวมหินมีชื่อของแต่ละแคว้นมา ขอแค่เป็ นหินที่มี ปัญญาชนยุคโบราณสลักนามเอาไว้ก็ยอมทุ่มทองพันชั่งซื้อมา แต่ เจ้าของกลับใช ้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง เพียงแค่เอาพวกมันมากอง รวมกันไว้เป็ นภูเขาจ าลอง ทว่าทุกปี หากถึงช่วงเทศกาลฉงหยาง สวนดอกไม้ขนาดยักษ์จะเปิดให้คนนอกเข้าเยี่ยมชม ไม่ว่าจะมีฐานะ สูงศักดิ์หรือยากจน ขอแค่ทุกคนพกดอกจูอวี๋มาคนละกิ่งก็สามารถ เข้ามาในสวนได้แล้ว เดินขึ้นบันไดไปบนภูเขาจาลองลูกนั้นพลางร่า สุราไปด้วย ว่ากันว่าทุกครั้งที่เทศกาลฉงหยางผ่านพ้นไป งานเลี้ยง สุราเลิกรา ถุงหอมและรองเท้าปักลายที่ถูกทิ้งไว้บนภูเขาจาลองลูก นั้นมีมากเกินกว่าจะนับได้ไหว
เขายังเคยสร ้าง ‘โรงไจ้อู๋เจี้ยน” (ไม่มีกระบี่อีกต่อไป) ขึ้นมาแห่ง หนึ่ง มีอีกชื่อหนึ่งว่า “ตาหนักปะการังแห่งปฐพี” คนผู้นี้ชอบรวบรวม กระบี่ที่มีชื่อเสียงในใต้หล้าเอามาเก็บซ่อนไว้ในที่แห่งนี้ กระบี่ยาวที่ เขาเคยพกซึ่งเคยปรากฏในยุทธภพอีกทั้งยังมีหลักฐานให้ตรวจสอบ เล่าลือกันว่ามีมากถึงห้าเล่ม
น่าเสียดายที่ศึกในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน จูเหลี่ยนได้ตาย ไป
บุรุษเจ้าสาราญจูหนันหัวจากลา ยุทธภพเงียบเหงาหนึ่งร ้อยปี
สตรีไม่ใช่เหนียงเนียงเทพภูเขาอะไรอีกแล้ว นางที่น้อยเนื้อต่าใจ อย่างถึงที่สุดทรุดตัวนั่งร่าไห้อยู่บนพื้น
ไม่รู ้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ จูเหลี่ยนที่สวมรองเท้าผ้ามานั่งยองอยู่ข้าง กายนาง ลูบศีรษะของนางด้วยท่าทางนุ่มนวล ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เซี่ย เถา เจ้ายังคงชอบร ้องไห้เหมือนเดิมเลยนะ”