กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1068.1 มีสักกี่คนที่แลเห็นชุดเขียว
ระลอกคลื่นสีเขียวยิ่งใหญ่สุดลูกหูลูกตา ฟ้ าและน้าเป็ นสีเดียวกัน สมกับเป็ นดินแดนเซียนในโลกมนุษย์
ในทะเลสาบมีเกาะอยู่ทั้งสิ้นพันกว่าแห่ง กระจายตัวกันดั่ง ดวงดาว ประหนึ่งเปลือกหอยที่ขดตัวอยู่บนถาดสีเขียวมรกต
ห่างจาก “ภูเขาบรรพบุรุษ” ใจกลางทะเลสาบซึ่งเป็ นที่ตั้งของ อารามต้ามู่และศาลหูจวินมีเกาะสองแห่งน้อยใหญ่ที่อยู่ห่างกันไม่ไกล มาก สามารถมองไปเห็นกันได้
เกาะอวี้จานที่ค่อนข้างใหญ่แห่งนั้น บนเกาะมีตาหนักหอเรือน ลดหลั่นเรียงราย เนื่องจากกงฮวาผู้เป็ นหูจวินชอบความสงบ ไม่ยินดี ให้คนนอกขึ้นมาบนภูเขาบรรพบุรุษจึงเป็ นเหตุให้เกาะอวี้จานกลาย มาเป็ นสถานที่รับรองแขกของทะเลสาบชิวซี่ เวลานี้จักรพรรดิของสี่ แคว้นต่างก็มาพักกันอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขา สายน้าอีกหลายท่านที่มีความสัมพันธ ์อันดีกับทะเลสาบชิวชี่ที่ตั้งใจ ทิ้งระยะห่างจากราชสานักของแคว้นต่างๆ ทั้งไม่ได้จงใจทาตัวห่าง เหินเกินไป แต่ก็ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมมากเกินไป ทว่าทั้งสองฝ่ าย ต่างก็รู ้กันดีอยู่แก่ใจว่า ความสัมพันธ ์ประเภทนี้เป็ นแค่ชั่วคราว เท่านั้น เพราะราชสานักของแต่ละแคว้นได้ท าการแบ่งใต้หล้ากัน อย่างที่มองไม่เห็นทั้งในทางลับและในทางแจ้ง ผู้ฝึกลมปราณสามารถ
้
ขี่เมฆทะยานหมอก ไปมาไม่อยู่กับที่กับทาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขา สายน้าสามารถปิดประตูไม่ออกไปไหน แต่พื้นที่ประกอบพิธีกรรมที่ รวบรวมปราณวิญญาณฟ้ าดินและศาลที่เสวยสุขจากควันธูปของ โลกมนุษย์กลับต้องอยู่ที่เดิม แล้วนับประสาอะไรกับที่ควันธูปในศาล ล้วนมาจากชาวบ้าน และชาวบ้านที่จุดธูป ถึงอย่างไรก็ต้องมี ส ามะโนครัวมีภูมิล าเนาของตัวเอง หากทางการของราชส านัก ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะให้ศาลเถื่อนแห่งหนึ่งต้องสูญเสียควันธูปไปก็ แค่ต้องตั้งด่านขวางไว้บนทางหลวงหลักๆ ทั้งหลายก็พอแล้ว
ส่วนเกาะหลัวไต้ที่อยู่ใกล้กันกลับถูกอารามต้ามุ่ยกให้กับพวก ภูตผีและผู้ฝึ กตนอิสระที่คือตั้งพรรคเป็ นของตัวเอง รวมไปถึง ปรมาจารย์วิถีวรยุทธอีกกลุ่มหนึ่งที่มีชื่อเสียงอยู่ในช่วงยี่สิบกว่าปีนี้ไป
ชั่วคราว
หากไม่อาจขึ้นมาบนเกาะสองเกาะนี้ได้ก็ควรจะรู ้ตัวได้แล้ว อย่าได้พูดจาเสียงดังอีกเพราะในสายตาของทะเลสาบชิวชี่แล้ว พวก เจ้าถือว่าเป็ นพวกปลายแถว
บนเกาะอกี้จานมีการกลับมาพบเจอกันของคนรู ้จักเก่าซึ่งหาได้ ยากครั้งหนึ่งเกิดขึ้น ในอดีตก็ไม่เคยเป็ นศัตรูคู่แค้นที่มิอาจคลายปม แค้นต่อกันอะไร ดังนั้นเหล้ามื้อนี้จึงดื่มอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์
คนที่ยุให้มีงานเลี้ยงสุราครั้งนี้ก็คือถังเถี่ยอี้ จักรพรรดิพระองค์ ใหม่ของแคว้นเป่ ยจิ้นที่ถือว่าใช ้อานาจชิงบัลลังก ์ท่านนี้ตรงเอวพก ดาบชื่อว่า “เลี่ยนซือ” คือสมบัติหนักบนภูเขาที่สมชื่อชิ้นหนึ่ง
้
เฉิงหยวนซานที่มีฉายาว่าปี้เซิ่ง ปีนั้นเพราะรักตัวกลัวตาย ไม่ว่า อะไรก็ไม่ลงมือทาทั้งนั้น สามารถมีชีวิตรอดถึงช่วงท้ายสุดได้จริง เดิม ที่สามารถเก็บตกของดีชิ้นใหญ่ได้ แต่เพราะขี้ขลาดกลัวว่าจะเกิด เรื่องมากเกินไปถึงได้พลาดโชควาสนาตระกูลเซียนจากการเดินขึ้น หัวก าแพงเมืองในครั้งนั้น สุดท้ายเขาก็เลยไปสวามิภักดิ์กับอวี๋เจินอี้ที่ ขึ้นเขาฝึกวิชาเซียน อย่างลับๆ ในที่สุดก็ได้สมใจปรารถนา ได้รับ โชคตระกูลเซียนมาครั้งหนึ่ง
โจวเม่ยเจินไทเฮาแคว้นหนันเยวี่ยนในอดีต เจ้าของหอจิ้งหย่าง เก่า นับตั้งแต่ที่นางหันไปหลอมลมปราณฝึกวิชาเซียนหลายสิบชนิด ที่ไม่ใช่หอเรือนกลางอากาศ ไม่ใช่ศาสตร ์พิฆาตมังกร (เป็ นค าเปรียบ เปรยหมายถึงทักษะสูงส่งที่ไม่มีโอกาสได้ใช ้จริง) อะไรอีกต่อไปโจว เม่ยเงินก็ปลดประจาการจากตาแหน่งเจ้าหอหันไปเริ่มตั้งใจฝึ กตน อย่างจริงจัง
ไม่เหมือนกับผู้ฝึกลมปราณจวนเซียนแห่งอื่น นางได้ครอบครอง หอเก็บตาราที่จานวนต าราลับและระดับขั้นของตาราล้วนเป็ นอันดับ หนึ่งในใต้หล้า เล่าลือกันว่าในบรรดานั้นก็มีหนังสือเซียนอยู่ไม่น้อย ให้นางได้เลือกสรรตามใจชอบ หนังสือที่ปีนั้นถูกหอจึงหย่างมองเป็ น ซี่โครงไก่ไร ้สาระ เมื่อหลายปีก่อนถูกนางเอามาแบ่งแยกประเภทด้วย ตัวเอง จากนั้นเอาไปวางไว้บนชั้นที่สูงที่สุดอย่างระมัดระวัง ร่ายตรา ผนึกขุนเขาสายน้าทับไว้ชั้นหนึ่ง นั่นก็เป็ นวิชาค่ายกลยันต์ที่เรียนรู ้ จากตาราเก่าเล่มหนึ่งแล้วเอามาใช ้ทันทีเช่นกัน
้
ปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่ในอดีตมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า พวกนี้ ล้วนเป็ นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้าสถิตกันหมดแล้ว
เพียงแต่ว่าต่อให้แต่ละคนจะเก็บง าฝี มือกันแค่ไหน หรือบางที ขอบเขตอาจจะสูงกันยิ่งกว่าเดิมแล้ว แต่เมื่อเทียบกับเว่ยเหลียงไท่ ซ่างหวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่เป็ นคอขวดขอบเขตประตูมังกรแล้ว พวก
เขาก็ยังด้อยกว่าไม่น้อย
ครั้งนี้มาเข้าร่วมการประชุมที่ทะเลสาบชิวชี่ เป็ นครั้งแรกที่พวก เขาได้กลับมาพบเจอกันหลังผ่านไปนานหลายปี ต้องโยนสถานะและ บุญคุณความแค้นส่วนตัวทิ้งไปก่อน คิดไม่ถึงว่าเมื่อได้กลับมาพบกัน อีกครั้ง แต่ละคนต่างก็เปลี่ยนมามีสถานะอย่างหนึ่งที่เหมือนกันเสียได้ นั่นก็คือล้วนเป็ นผู้ฝึ กลมปราณ พวกเขาต่างก็พากันทอดถอนใจ อย่างปลงอนิจจัง ผู้อาวุโสเก่าแก่หลายคนที่เคยอยู่ร่วมในยุทธภพ เดียวกันล้วนล่วงลับกลายเป็ นคนในอดีตไปแล้ว
แน่นอนว่าที่นี่ไม่มีการแบ่งขอบเขตด้วยการกาหนดชื่ออย่าง ชัดเจน บนภูเขายังมีแค่ธรณีประตูสองขั้นที่ผู้คนให้การยอมรับ ธรณี ประตูขั้นแรกก็คือผู้ฝึกลมปราณสามารถสะสมปราณวิญญาณไว้ใน ฟ้ าดินเล็กร่างมนุษย์
ส่วนธรณีประตูขั้นที่สอง แน่นอนว่ามีเพียงเกาจวินแห่งพรรคหู ซานเท่านั้นที่ได้ไปครอบครอง นางสามารถปล่อยจิตหยินออกจาก ช่องโพรงเดินทางไกลเหมือนที่กล่าวไว้ในตาราเรื่องเล่าประหลาดได้ ช่างน่าเหลือเชื่อ มหัศจรรย์เกินกว่าจะบรรยายจริงๆ
้
ดื่มเหล้าพลางชมทิวทัศน์กันไป เนื้อหาที่พวกเขาพูดคุยกันก็หนี ไม่พ้นบุคคลอย่างมารร ้ายติงอิง เซียนกระบี่เด็กหนุ่มเฉินผิงอัน โจวเฝ ยแห่งตาหนักคลื่นวสันต์ ลู่ฝ่ างแห่งยอดเขาเหนี่ยวค่าน ฯลฯ หรือ หากจะขยับไปก่อนหน้านั้นอีกหน่อย แน่นอนว่าก็ต้องเป็ นคนคลั่งวร ยุทธที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเจอมาก่อนผู้นั้น
เฉินหยวนซานหัวเราะเสียงดังลั่น “ตอนอายุน้อยเรียนวิชาหอก มักจะรู ้สึกว่าจูเหลี่ยนคือคนที่ไม่เชี่ยวชาญในด้านนี้ ได้ยินมาว่าเขา พูดว่าปรมาจารย์ในยุทธภพของสมัยโบราณแทบจะให้ความส าคัญ กับช่วงล่างกันทั้งหมด เป็ นเหตุให้พันปีหมื่นปีก็ไม่แปรเปลี่ยน ล้วน หนีไม่พ้นคาว่าท่ายืน วิชาดีๆ ที่แท้จริงส่วนใหญ่มักจะไม่น่ามอง ยกตัวอย่างเช่นหอกเคลื่อนเป็ นเส้นตรงก็ไม่มีการขยับเขยื้อนอย่าง หวือหวาอะไรเลย ตอนนั้นข้าแค่นเสียงออกจากจมูกดูแคลนคากล่าว หยาบๆ พวกนี้ คิดไม่ถึงว่าฝึ กไปฝึกมากลับค้นพบว่าเป็ นเหมือนที่ เขาพูดไว้แค่นี้เท่านั้น น่าเบื่อ น่าเบื่อเกินไปแล้ว”
โชคดีที่วันนี้ไม่เหมือนวันวานแล้ว ฟ้ าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง ครั้งใหญ่ วิถีแห่งวรยุทธถึงอย่างไรก็เป็ นแค่ทางหัวขาดที่ผลสาเร็จมี ขีดจ ากัด ไม่ฝึ กวิชาเซียน มนุษย์ธรรมดาจะมีชีวิตเป็ นอมตะได้ อย่างไร?
ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่วางดาบพาดไว้บนเข่ายิ้มเอ่ยว่า “มีใบหน้าอย่าง เขา ยังจะต้องการฝึไม้ลายมือที่สวยงามไปทาอะไรอีกเล่า? ต่อให้จูเห
้
ลี่ยนลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น ทั่วร่างเปื้อนไปด้วยดินโคลน เกรงว่าสตรี เห็นเข้า พวกนางก็ยังรู ้สึกว่าน่ามองอยู่ดี”
ถังเถี่ยอี้พยักหน้าเอ่ยคล้อยตาม “อิจฉายิ่งนัก”
เล่าลือกันว่าปี นั้นแม่ทัพใหญ่หลงอู่แห่งแคว้นเป่ ยจิ้นผู้นี้เคยมี ความคิดอยากจะแต่งงานกับองค์หญิงแคว้นหนันเยวี่ยน ผลคืออีก ฝ่ ายไม่ยอมตอบตกลง อันที่จริงรูปโฉมของถังเถี่ยอี้ก็ไม่ได้แย่ ถ้า อย่างนั้นนางก็คงรังเกียจว่าเขาอายุมากไปสินะ?
อู๋แชว่ที่ทุกวันนี้ทั้งเส้นผมและหนวดล้วนเป็ นสีขาว คือยอดฝีมือ ในการใช ้ดาบที่มีชื่อเสียงมานานแล้ว คือคนในยุทธภพรุ่นเดียวกับ ถังเถี่ยอี้ อู๋แชว่อายุค่อนข้างมาก แต่เมื่อเทียบกับอวี๋เจินอี้และจ้งชิว แล้วก็ยังอายุน้อยกว่ามาก ความครึกครื้นในเมืองหลวงแคว้นหนัน เยวี่ยนคราวก่อน เนื่องจากอู๋แชว่มีบัญชีเก่าที่ต้องชาระที่บ้านเกิด เขาจึงไม่ได้ไปร่วมวง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเสียดายไม่หาย
เมื่อภาพเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างฟ้ าดิน ในโลกมนุษย์มี บุคคลที่เดิมทีเป็ นมายาเลื่อนลอยอย่างพวกเทพเซียนและภูตผีเพิ่ม เข้ามา อู๋แชว่เคยสังหารภูตผีที่ออกอาละวาดตนหนึ่งกับมือตัวเอง ผู้ เฒ่าต้องใช ้สารพัดช่องทาง บ้างก็ทุ่มเงินซื้อมา บ้างก็ฉกฉวยปล้นชิง มา จนกระทั่งได้ตาราบนภูเขามาหลายเล่ม ผลคือเขารู ้จักตัวอักษร ทุกตัวที่อยู่บนตาราลับตระกูลเซียนพวกนั้น แต่พอร ้อยเรียงเข้า ด้วยกัน มารดามันกลับอ่านไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
้
หายใจหลอมลมปราณ กลั้นหายใจเป็ นเส้นยาวดั่งแม่น้า จากนั้น รวบรวมดวงจิตเป็ นเมล็ดงาอะไรนั่น และยังมีวิชาหลอมดวงตะวัน กราบไหว้ดวงจันทร ์ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าอู๋แชว่จะขบคิดใคร่ครวญ ทดลองซ้าไปซ้ามาอย่างไรก็ทาไม่สาเร็จ ข้าผู้อาวุโสไม่เหมาะจะเป็ น เทพเซียนกับเขาเลยจริงๆ ได้แต่ยอมแพ้ กลับมาฝึกหมัดเรียนวรยุทธ ของตัวเองต่อไปแต่โดยดี ค่อยๆ ขัดเกลาหล่อหลอมเรือนกายไปทีละ น้อย ยังดีที่ทุกวันนี้บนเส้นทางของบ้านตัวเองได้มีคนพิสูจน์แล้วว่า เส้นทางแห่งการเรียนวรยุทธ หากฝึ กไปได้ถึงขีดสูงสุดก็มีภาพ บรรยากาศที่ไม่อ่อนด้อยเช่นกัน พลังพิฆาตก็ไม่เป็ นรองให้กับผู้ฝึก ลมปราณเลย
อู๋แชว่หลุดหัวเราะพรืด “เจ้าจงเชี่ยนชายใจหญิงผู้นั้นทาไมถึงไม่
ปรากฏตัวเสียที?”
เด็กรุ่นหลังในยุทธภพที่ไม่รู ้ว่าโผล่มาจากไหนผู้นี้เหยียบโชคดีขี้ หมาจริงๆ เดินไปบนเส้นทางการเรียนวรยุทธสายเก่าที่พวกถังเถี่ยอี้ โยนทิ้งไม่ต้องการ แต่เขากลับกลายมาเป็ นปรมาจารย์ใหญ่ที่อยู่ใน อันดับสูงสุดได้ ว่ากันว่ายามที่ผู้ฝึกยุทธหนุ่มคนนี้เดินบนถนนตอน กลางคืน ไม่ต้องให้เขาลงมือก็สามารถทาให้พวกภูตผีสิ่งชั่วร ้ายหลบ หลีกหนีห่างไปได้ด้วยตัวเอง ไม่กล้าเข้าใกล้เขาแม้แต่น้อย
โจวเม่ยเจินกลอกตามองบน เอ่ยด้วยน้าเสียงหวานหยดว่า “ปี นั้นตอนที่เอาชนะเขาไม่ได้ลงมืออย่างอามหิต ระวังว่าตอนนี้คนเขาตี
้
เจ้าด้วยมือแค่ข้างเดียวก็จะชัดให้เจ้าเป็ นเหมือนเด็กน้อยที่ถูกชาย ฉกรรจ์รังแกได้แล้วล่ะ”
อู๋แชว่เบ้ปาก ยื่นมือไปลูบฝักดาบ “ตอนนั้นไม่ได้เห็นเจ้าคนที่ไม่ ว่าจะมีไอ้จ้อนหรือไม่มีไอ้จ้อนก็ไม่มีอะไรแตกต่างผู้นี้อยู่ในสายตา เพียงแค่ว่าลูกศิษย์ในพรรคเคยมีความขัดแย้งกับเขาเล็กๆ น้อยๆ ข้า เป็ นผู้อาวุโสแก่กว่าเขา ย่อมไม่มีความจาเป็ นที่จะต้องสังหารเขาป้ อน หมัดไปรอบหนึ่ง แล้วแนะนาเขาอีกสองสามประโยคก็พอแล้ว ดังนั้น ทุกวันนี้เจ้าเด็กจวินเชี่ยนมาเจอกับข้าอีกครั้ง เรียกข้าว่าอาจารย์ก็ไม่ เกินกว่าเหตุเลยสักนิด ข้าเองก็ยอมรับได้”
ทุกวันนี้พูดถึงแค่นอกภูเขา สี่ปรมาจารย์ใหญ่แห่งยุทธภพหรือ สิบยอดฝีมือแห่งใต้หล้าอะไรนั่น ไม่ว่าจะใช ้กระบี่ ใช ้ดาบ ให้หอกใช ้ ทวน หรืออาวุธอื่นใด บางทีอาจยังต้องมีการแยกรายชื่อออกมา เดี่ยวๆ แล้วดึงเอาชายฉกรรจ์แข็งแรงมาผสมให้ครบจานวน เอาเป็ น ว่าก็คือรายชื่อวุ่นวายสารพัดรูปแบบ มีไม่หมดไม่สิ้นก็แล้วกัน มีเพียง รายชื่อสองฉบับที่ออกมาจากหอจิ้งหย่างเท่านั้นที่เอาชนะใจคนได้ หนึ่งคือรายชื่อของอันดับปรมาจารย์วิถีวรยุทธอีกหนึ่งคือการแบ่ง ระดับสูงต่าให้กับพื้นที่ประกอบพิธีกรรมจวนเซียน
เฉิงหยวนซานยกจอกเหล้าขึ้น ชี้ไปยังยอดเขาที่อยู่บนเกาะอีก แห่งหนึ่ง “เจ้าหอโจวขอถามอะไรหน่อยสิ เจียงเสินจื่อที่อายุเพิ่งจะ ยี่สิบปีผู้นั้น สวมหน้ากากอยู่ทั้งวัน เก็บตัวไม่ออกไปไหน ไม่ว่าใครก็ ไม่รู ้ประวัติความเป็ นมาของเขา เจ้าหมอนี่คือตัวประหลาดที่โผล่มา
้
จากไหนกัน ได้ยินมาว่าอีกเดี๋ยวหอจิ้งหย่างของพวกเจ้าก็จะมีรายชื่อ ที่ประเมินผู้ฝึกยุทธออกมาใหม่แล้ว อันดับของเขาอยู่ต้นๆ เลยทีเดียว จงเชี่ยนอยู่อันดับแรกไปแล้ว เจ้าเด็กนี่สามารถแย่งสามอันดับแรก กับอู๋แชว่และอูเจียงที่ใช ้ดาบผู้นั้นได้หรือไม่?”
โจวเม่ยเงินคลี่ยิ้มหวาน “เขาน่ะหรือ มีชาติกาเนิดจากผี อายุที่ แท้จริงคิดกันอย่างไรข้าเองก็ไม่ใช่เทพเซียนที่นับนิ้วคานวณได้ แต่ เจียงเสินจื่อกลับเป็ นคนนิสัยดึงดันคนหนึ่ง เป็ นผีเร่ร่อน เดิมที่ควรฝึก วิชาตระกูลเซียนนอกรีตถึงจะถูก แต่เขากลับไม่ฝึกหลอมลมปราณ กลับมุ่งมั่นคิดอยากแต่จะฝึกวิชาหมัดเท่านั้น นี่ไม่เรียกว่าหาเรื่องใส่ ตัวแล้วจะเรียกว่าอะไร”
“เมื่อหลายปีก่อนไม่รู ้ว่าเขาหาที่ตั้งที่ถูกต้องของหอจิ้งหย่างพวก เราเจอได้อย่างไร ทั้งโขกหัวทั้งร ้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หน้าประตู ขอร ้องให้หอจิ้งหย่างของพวกเรามอบตาราลับวรยุทธให้เขาสี่ห้าเล่ม ไม่ว่าจะไล่อย่างไรก็ไม่ยอมไป ไม่ว่าคนอื่นจะถามเขาอย่างไร เขาก็ พูดแค่ว่าต้องการแก้แค้นใครบางคน ควรจะแก้แค้นอย่างไร แก้แค้น ใคร เรื่องที่มากกว่านี้ ถามเท่าไรเขาก็ไม่ตอบแล้ว”
“ภายหลังข้าเห็นว่าเขาน่าสงสาร อีกทั้งยังไม่เหมือนผีร ้ายที่จะ สร ้างความวุ่นวายก่อกรรมท าเข็ญ จึงให้ลูกศิษย์โยนต าราลับไปให้ เขาสามเล่ม วิชาหมัด เวทกระบี่ และยังมีคัมภีร ์พื้นฐานที่แนะนาเรื่อง การหลอมลมปราณของวัตถุหยิน อันที่จริงล้วนไม่ใช่ตาราที่สูงส่ง อะไร ตอนที่หอจิ้งหย่างมอบตาราไปให้ก็บอกไว้ชัดเจนแล้วว่าพวก
้
มันมีค่า แต่ไม่ถึงกับมีมูลค่าควรเมือง แต่เขาก็ยังซาบซึ้งใจอย่างมาก สุดท้ายกอดต าราสามเล่มเอาไว้ คุกเข่าโขกศีรษะสามทีให้กับหอจิ้ง หย่างอย่างนอบน้อม แล้วถึงได้จากไป”
ใบหน้าของอู๋แชว่เต็มไปด้วยความตกตะลึง เหล่ตามองไปทาง เกาะหลัวได้ ถามอย่างประหลาดใจว่า “เจียงเสินจื่อผู้นี้ถึงกับเป็ นผีตน หนึ่ง? แล้วอูเจียงล่ะ ก็มีรากฐานเป็ นผีเหมือนกันใช่ไหม?”
ในเมื่อต่างก็ใช ้ดาบเหมือนกัน แน่นอนว่าต้องมีการแย่งชิงอันดับ หนึ่งอันดับสองกัน ผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่ชื่อว่าอูเจียงใช ้ดาบ อีกทั้งเขาที่ ท่องอยู่ในยุทธภพเป็ นเวลาหลายสิบปีก็ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับใครมา ก่อน
โจวเม่ยเจินส่ายหน้า “อูเจียงไม่ใช่ผี เขาคือคนตัวเป็ นๆ ส่วนวิชา ดาบของเขาได้รับสืบทอดมาจากใคร หอจิ้งหย่างมีแค่เบาะแสและการ คาดเดาบางอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้…”
นางชี้ไปที่ม่านฟ้ า แล้วก็ไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คาเดียว
อู่แชว่ถามอย่างสงสัย “คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเทพเซียนผู้ เฒ่าอวี๋หรือ?”
พรรคหูซานแห่งนั้น สายของวิชาเซียนเป็ นของเกาจวิน สายวร ยุทธเป็ นของอูเจียง บรรพจารย์อวี๋เลือกอย่างนี้ก็ไม่ถือว่าแย่
โจวเม่ยเจินส่ายหน้า พูดเสียงเบาด้วยสีหน้าซับซ ้อน “คือคนอีก คนหนึ่ง”
้
อู๋แชว่และเฉิงหยวนซานต่างก็กระจ่างแจ้งในทันที เข้าใจแล้ว คือ คนประหลาดที่เคยเป็ นคู่ปรับของ “อวี๋เซียน” คนผู้นี้เคยนัดรบกับอวี๋ เจินอี้ทุกๆ สิบปี
หลังจากที่มารร ้ายติงอิงถูกฆ่าตาย ก็เป็ นคนผู้นี้ที่รวบรวมเอาคน เก่าๆ ของลัทธิมารให้กลับมาแล้วชูธงขึ้นใหม่อีกครั้ง อีกทั้งก็ด้วย น้ามือของคนผู้นี้ จานวนคนและพลังอานาจของลัทธิมารทั้งในที่ลับ และที่แจ้ง ทั้งหน้าเวทีและหลังม่าน ล้วนทะยานไปถึงระดับที่น่า หวาดกลัวอย่างยิ่ง เป็ นเหตุให้ปีนั้นขอแค่เป็ นคนฝึ กยุทธที่พอจะมี ฝีมืออยู่บ้าง หากออกนอกบ้านไปท่องยุทธภพ ยามที่พบเจอกัน ทาง ที่ดีที่สุดก็ควรต้องบอกว่าตัวเองเป็ นคนของลัทธิมารหาไม่แล้วก็อาจ ถูกคนทุบหัว จับถอดเสื้อผ้าเอากระสอบป่านมาครอบ แล้วถูกจับโยน ไปทิ้งไว้ในตลาดที่ผู้คนจอแจได้ ไม่เคยเอาชีวิตใคร แต่ไม่ว่าใครก็ไม่ อยากต้องอับอายขายขี้หน้าด้วยเรื่องแบบนี้
“คนหนุ่ม” ผู้นั้นมีนิสัยประหลาดถึงเพียงนี้ ประเด็นสาคัญคือเขา ยังสามารถต่อสู้แบบผลัดกันรุกผลัดกันรับกับอวี๋เจินอี้ที่ฝึกวิชาเซียน บนภูเขาเป็ นคนแรกของโลกได้อีกด้วย
“เป็ นผู้ที่ฝึกเซียนอยู่บนภูเขา แต่กลับมารังแกคนฝึกวรยุทธล่าง ภูเขาอย่างพวกเรา เจ้าอวี๋เจินอี้ไม่อายบ้างหรือไร?
แม้จะพูดแบบนี้ เรียกได้ว่ามีคุณธรรมอันเด็ดเดี่ยวกล้าหาญอย่าง มาก แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าเจ้าหมอนี่หน้าไม่อายยิ่งกว่าอวี๋เจินอี้เสียอีก
้
วิธีการแปลกประหลาดมีสารพัดอย่างวิชาอภินิหารตระกูลเซียนก็มีให้ ใช ้ไม่จบไม่สิ้น?
หาไม่แล้วการจับคู่เข่นฆ่ากันครั้งนั้น มีหรือจะต่อสู้กันจนภูเขา ถล่มแผ่นดินแตกแยกแม่น้าลาธารเปลี่ยนเส้นทางได้?
เล่นสนุก
ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทุกคนคิดคานึงถึงและแสวงหาอย่างยากลาบาก สาหรับคนผู้นี้แล้วล้วนเป็ นสิ่งที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครอง อีกทั้งยัง ไร ้ค่าถึงขั้นที่สามารถโยนทิ้งเหมือนรองเท้าเก่าๆ คู่หนึ่งได้ทุกเมื่อ
ในฟ้ าดินไม่มีใครที่ “ล้อเล่นเย้ยหยันไม่เคารพโลก” ได้เท่านี้อีก แล้วจริงๆ จะบอกว่าเป็ นผู้มีพรสวรรค์ที่ร ้อยปีก็ยากจะพานพบอย่างติง
อิง อวี๋เจินอี้?
เป็ นวีรบุรุษที่นอนเมามายอยู่บนหัวเข่าสาวงาม? คือผู้พิชิตที่แย่ง ชิงความเป็ นเจ้าแห่งแผ่นดิน? เหมือน แต่กลับไม่ใช่
ปีนั้นทั่วทั้งยุทธภพต่างก็พูดกันว่าหากคนผู้นี้มีปณิธานอยู่ที่การ ช่วงชิงใต้หล้าจริงๆ พวกคนที่บังเอิญเป็ นฮ่องเต้อยู่พอดีอย่างเว่ยเหลี ยง ถังเถี่ยอี้นี้ บางทีอาจไม่มีเรื่องอะไรให้ท าแล้วก็ได้ สามารถยื่นคอ รอให้อีกฝ่ายมาตัด ได้แค่กุมมือรอความตายเท่านั้น
โจวเม่ยเจินไม่แม้แต่จะกล้าพูดถึงชื่อของอีกฝ่ ายด้วยซ้า
้
เพียงแค่เพราะอีกฝ่ ายเคยไปเยือนหอจิ้งหย่าง อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ ครั้งเดียว จานวนครั้งอย่างละเอียด บอกได้ยาก เพราะหากเขาไม่ อยากให้โจวเม่ยเจินรู ้ร่องรอยของตัวเอง นางก็ต้องไม่มีทางรู ้ได้ แน่นอน
ครั้งแรกที่มาเยือนหอจึงหย่าง อีกฝ่ ายบอกว่าจะมาหาตาราสอง สามเล่มให้กับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง