กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1068.3 มีสักกี่คนที่แลเห็นชุดเขียว
เกร็ดประวัติและเรื่องราวน่าสนใจมีอยู่มากมาย เหตุการณ์บนเสื่อ ไม้ไผ่ของยอดเขาแห่งนี้เป็ นเพียงแค่หนึ่งในนั้นเท่านั้น
โลกมนุษย์ในทุกวันนี้มีเรื่องแปลกใหม่อยู่ทุกหนทุกแห่ง คน ประหลาดคนมหัศจรรย์มีให้พบเห็นได้บ่อยจนไม่น่าแปลกใจอีกต่อไป
นักพรตวัยกลางคนกวาดตามองไปรอบด้าน ทันใดนั้นเขาก็ทาสี หน้ากลัดกลุ้มราวกับเปลี่ยนไปเป็ นคนละคน เห็นเพียงว่าเขาก้มหน้า นิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น “ดื่มเหล้าไปแล้วก็จะพูดเรื่อง เป็ นการเป็ นงาน สุขและทุกข์อยู่ร่วมกัน เกียรติยศและความอัปยศก็ ไม่แยกจากกัน”
ไม่รู ้ว่าเหตุใด นักพรตถึงได้มองพวกเขาอย่างเหม่อลอย สีหน้า หม่นหมองเศร ้าใจทันใดนั้นน้าตาก็หลั่งอาบใบหน้า พูดเสียงสะอื้นว่า “เมื่อบุปผาผลิบานก็คือวสันตฤดูใหม่ที่มาเยือนอีกครั้ง เมื่อใบไม้ร่วง โรยก็รู ้ว่าสารทฤดูมาเยือนใต้หล้า”
แต่แขกทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่รู ้ว่าเหตุใดส่วนลึกในใจถึงได้ไม่ รู ้สึกว่าอีกฝ่ ายเสแสร ้งแกล้งท า อีกฝ่ ายก าลังมองพวกเขาเหมือนคน แก่ที่ผ่านร ้อนผ่านหนาวมามากมาย ในสายตามองเห็นการล่มสลาย ของตระกูลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กลุ่มบุปผาชูช่อ ประชันสีสันสดใส
กันไปแล้วก็คือหิมะขาวพร่างพราว สัตว์บกสัตว์ปีกแยกย้าย จากไป ไม่เหลือสักตัว
นักพรตยื่นมือมาเช็ดน้าตา ใช ้มือข้างหนึ่งดันหว่างคิ้ว ฝ่ ามือ ของมืออีกข้างวางแนบไว้บนเสื่อไม้ไผ่ ฟ้ าและดินเชื่อมโยงเข้า ด้วยกัน เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าจะต้องผดุงความเป็ นธรรมแทนสวรรค์ มาที่นี่เพื่อเกลี้ยกล่อมให้ท่านทั้งหลายยอมพ่ายแพ้”
ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็นเคยมีดวงตาสีทองบริสุทธิ์คู่ หนึ่ง ประหนึ่งดวงตะวันกลางนภาที่หลุบมองลงมายังโลกมนุษย์
เมื่อเขา “ตื่นขึ้นมา” ก็เคยลังเลอยู่นานกว่าจะกล้าเงยหน้าขึ้น แต่ เพียงแค่มองไปไกลๆ ครู่เดียวก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาที่จ้องดวงตะวัน ร ้อนแรงแผดเผาเป็ นเวลานานแล้ว
โชคดีที่สายตาสองข้างของบุคคลผู้นั้นสอดส่ายไปอย่างว่องไว ตอนนั้นไม่ได้สัมผัสถึงการลอบมองของเขา และเขาเองก็ก้มหน้าลง อย่างรวดเร็ว
เขาไม่รู ้ชื่อแซ่ ประวัติความเป็ นมาและอดีตของตัวเอง ถึงขั้นที่ไม่ รู ้ด้วยว่าตัวเองใช่คนหรือไม่
แต่เพียงไม่นานเขาก็ได้เห็นขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงของโลก มนุษย์ทั้งใบ เหมือนว่ามีคนเปิดหนังสืออ่านอยู่ข้างๆ ท าให้เขาจะไม่ มองไม่จ าก็ไม่ได้
แต่เรื่องราวในหนังสือที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางมีจุดจบ และ หนังสือที่อยู่ในมือก็ดูเหมือนจะเป็ นเล่มแรกไปตลอดกาลนี้ ช่วงท้าย ของเล่มแรกก็ได้มีการแบ่ง “เล่มรอง” ออกมาอีกสี่เล่ม แบ่งเส้นสาย ออกเป็ นสี่เส้น
และในความหมายที่เข้มงวดแล้ว อันที่จริงเขาไม่ได้ตื่นขึ้นมาใน พื้นที่มงคลรากบัวแห่งนี้ แต่อยู่บนเส้นสายของเรื่องราวอีกเส้นหนึ่ง อยู่ที่นั่น เจ้านาย หรือควรจะพูดว่าเทพเทวดาน้อย คือนักพรตหนุ่ม คนหนึ่งที่บนบ่ามีวานรสีขาวนั่งยองอยู่ จากนั้นเขาก็ได้เห็นลู่ฝ่ างแห่ง ยออดเขาเหนี่ยวค่านจากหนังสือเล่มรองอีกเล่มหนึ่ง ในฐานะเจ๋อ เซียนที่มาจากต่างถิ่น ในที่สุดลู่ฝ่ างก็ไม่ถูกพันธนาการด้วยความรัก อีกต่อไป เขาหันไปตั้งใจศึกษาพระธรรม ความ รักชายหญิงล้วน กลายไปเป็ นกระดูกขาว อาศัยสิ่งนี้เชื่อมโยงถึงกันแล้วฝ่ าทะลุ ขอบเขตจนกลายเป็ นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งไปแล้ว เป็ น เหตุให้ในฟ้ าดินแห่งนั้นลัทธิพุทธเจริญรุ่งเรือง มีวัดน้อยใหญ่ตั้งเรียง รายอยู่ในโลกมนุษย์ มากนับหมื่นแห่ง และยังมีใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งที่ กองกาลังของลัทธิมารเฟื่องฟู เจ้าลัทธิสามท่านหนึ่งหลักสองรองที่ สืบทอดตาแหน่งต่อมาจากลู่ไถได้เหยียบย่าพรรคหูซานให้ราบเป็ น หน้ากลองก่อน จากนั้นร่วมมือกับแคว้นหนันเยวี่ยน กีบเท้าม้าควบ ตะบึงไปไม่หยุดยั้ง ยึดครองแผ่นดินมาไว้ในมือ แต่เด็กหนุ่มที่ใช ้กระบี่ คนหนึ่งเปิดภูเขาก่อตั้งพรรค เป็ นศิษย์น้องเล็กของสามคนนั้น หรือ ลูกศิษย์ปิดสานักของอาจารย์ลู่ไถ เขาได้มาหาศิษย์พี่ทั้งสามคนแล้ว
พูดคุยกัน ได้ข้อตกลงว่าราชส านักคือราชส านัก ยุทธภพคือยุทธภพ ต้องขีดเส้นแบ่งกันให้ชัดเจน ไม่ก้าวก่ายกันและกัน…
ครั้งนี้เกาจวินกลับจากภูเขาลั่วพั่วมายังพรรคหูชานเคยได้ ทดลองปล่อยจิตหยินออกจากช่องโพรงเดินทางไกล มีชั่วขณะหนึ่งที่ นางเหมือนได้ไปอยู่ท่ามกลางธารดวงดาวที่กว้างใหญ่ไพศาลไร ้ที่ สิ้นสุด แล้วมองเห็นนักพรตวัยกลางคนที่ใบหน้าพร่าเลือนคนหนึ่ง อย่างเลือนราง
กระทั่งบัดนี้นางถึงเพิ่งนึกบทสนทนาที่คุยกับอีกฝ่ ายก่อนหน้านั้น ออก
นั่นคือตอนที่เกาจวินรับหน้าที่ดูแลพรรคหูซานแล้วเพิ่งจะฝึกตน ประสบความส าเร็จได้เล็กน้อย เรียนวิธีการพูดคุยเสียงในใจเป็ น
กลางดึกของคืนหนึ่งที่ผู้คนพากันหลับใหล หลอมลมปราณเสร็จ สิ้นแล้ว เกาจวินก็ยื่นมือมาโบกปัดไอขุ่นมัวในห้องให้สลายหายไป
จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง
ในเมื่อร่างนี้คือเซียนดินพสุธา ความกลัดกลุ้มกังวลในโลก มนุษย์จะท าอะไรเจ้าได้ จะถูกใช ้งานหรือถูกทอดทิ้งขึ้นอยู่กับเวลา จะ แสดงหรือหลบซ่อนอยู่ที่ตัวข้า ซ่อนมือในชายแขนเสื้ออยู่บนภูเขา พเนจรออกจากภูผา ไยต้องรีบร ้อน”
“เจ้าคือใคร? หมายความว่าอะไร?”
แต่เกาจวินกลับได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ ไม่มีประโยคใด ตามมาอีก
ครั้งนี้ได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง ดูเหมือนอีกฝ่ ายจะรู ้ถึง ความคิดที่อยู่ในใจของเกาจวิน แล้วก็คล้ายจะพยายามโน้มน้าวเกาจ วินอีกครั้งว่าฝึกตนอยู่ในภูเขาอย่าเพิ่งไปให้ความสนใจธุลีแดงที่ตลบ อบอวลอยู่นอกภูเขา (เปรียบเปรยถึงเรื่องทางโลก โลกภายนอกที่ วุ่นวายเป็ นการหาเรื่องใส่ตัว
รู ้ถึงความใหญ่ของร่างกายตน จึงจะมองเห็นความเล็กของฟ้ าดิน อย่าได้กลับจากภูเขาสมบัติมามือเปล่า มรรคาต้องขยายจากภายใน สู่ภายนอก คนบนภูเขาอยู่ใกล้มรรคาแล้ว
เกาจวินเงียบไปพักใหญ่ สายตาของนางเด็ดเดี่ยว ตอบกลับอีก ฝ่ ายไปตามความคิคเตรียมไว้ในใจนานแล้ว “รู ้ว่ามิอาจได้มาอย่าง ฉับพลัน การเริ่มต้นก็คือการรักษาเวลา สวรรค์แม่มอบโอกาสให้คน ถึงสองครั้ง โอกาสไม่มีทางอยู่นาน ความสามารถของคนมิอาจทา สองอย่าองให้ดีได้ในเวลาเดียวกัน กุญแจสาคัญในการทาเรื่องใดให้ สาเร็จอยู่ที่การคว้าโอกาสใ
ไม่กลัวว่าจะเป็ นมดแดงเขย่าต้นไม้ เป็ นตั๊กแตนที่ขวางหน้ารถ หรือ
“มรรคาอยู่ที่ใด จิตใจมุ่งไปที่นั่น เกาจวินกล้าใช ้ความตายมา พิสูจน์ให้โลกยุคหลังเห็นว่าทางสายนี้สามารถเดินได้หรือไม่ได้
เขาที่ได้รับคาตอบชัดเจนแล้วไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่ว่า กาลเวลาได้หมุนย้อนกลับรอกระทั่งเชิญเกาจวินออกมาจากฟ้ าดิน เล็กแล้ว จิตแห่งมรรคาและความทรงจ าของนางล้วนกลับคืนมาสู่จุด เดิมทั้งสิ้น
ทางฝั่งของเสื่อไม้ไผ่ “นักพรตวัยกลางคน” มองใจคนที่ขึ้นลง อย่างลุ่มลึกก็รู ้แล้วว่าการ “เกลี้ยกล่อมให้ยอมแพ้” ด้วยความหวังดี ของตน การอธิบายถึงสภาพการณ์ของโลกมนุษย์ให้พวกเขาฟัง อย่างละเอียดด้วยหวังว่าพวกเขาจะมีความอดทนมากขึ้นกว่าเดิม จะ ได้ผลแค่ชั่วคราวเท่านั้น ในอนาคตใจคนก็จะยังเป็ นดั่งน้าไหล อยู่ใน สภาพการณ์ที่เหมือนใช ้ตะกร ้าไม้ไผ่ตักน้า ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าก็ เพราะการเข้ามาในสถานการณ์ของตน การพาตัวมาอยู่ใน เหตุการณ์นี้ จะยิ่งทาให้ทิศทางการดาเนินไปของใต้หล้าเหมือนปม เชือกที่ขมวดพันกันยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม ถึงขั้นที่ไม่บริสุทธิ์และ กระจ่างแจ้งได้เท่าการพูดคุยกับเกาจวินเป็ นการส่วนตัวทั้งสองครั้ง ด้วย
นักพรตวัยกลางคนถอนหายใจ ร่ายวิชาอภินิหารที่เป็ นพรที่ ได้รับจากสวรรค์ซึ่งเป็ นแม่น้าแห่งกาลเวลาช่วงเล็กๆ ที่มีติดตัวมา ตั้งแต่เกิดอีกครั้ง
อันที่จริงเขาปรากฏตัวในงานเลี้ยงสุราบนยอดเขาของเกาะหลัว ไต้ นาทีที่เท้าทั้งสองข้างของนักพรตสัมผัสกับพื้นดิน สถานที่แห่งนี้ก็ สร ้างฟ้ าดินของตัวเองขึ้นมาเหมือนน้าวนลูกหนึ่งแล้ว
เขาทั้งไม่ยินดีจะสิ้นเปลืองเวลาไปกับพวกเด็กสาวสวมชุดคลุม มังกร ยิ่งกังวลว่าจะถูกดวงตาสีทองคู่นั้นค้นพบเบาะแส ยามที่เผย กายอีกครั้งเขาก็ลงภูเขาไปอย่างหม่นหมอง เมื่อปรากฏอยู่ในสายตา ของคนบนเสื่อไม้ไผ่ก็คือผีขี้ขลาดคนหนึ่งที่พอถูกเปิดโปงก็ได้แต่ จากไปอย่างรีบร ้อน
และเวลานี้เอง นักพรตพลันหันหน้าไปมองก็เห็นบุรุษชุดขาวที่ ยิ้มตาหยีเดินตามมาด้านหลัง ใบหน้าของเขาพร่าเลือนเห็นไม่ชัด แต่ ดวงตาสีทองที่ราวกับว่าไม่เคยแปรเปลี่ยนนับแต่โบราณกลับน่าขน ลุกอย่างถึงที่สุด
อีกฝ่ ายยิ้มบางๆ “บังเอิญขนาดนี้เชียว เจ้าออกจากภูเขา ข้าลง จากภูเขา ในเมื่อตอนนี้ยังเป็ นคนบนเส้นทางเดียวกันชั่วคราวก็ สามารถเดินร่วมทางกันไปได้”
นักพรตชะลอฝีเท้าให้ช ้าลง
บุคคลผู้นั้นสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เดินมาอยู่ข้างกาย นักพรต ยื่นมือออกจากชายแขนเสื้อ กดหัวของนักพรตแล้วบิดเบาๆ ราวกับต้องการจะบอกว่า….อย่าได้ห่วงหน้าพะวงหลัง ให้เขามองไป ข้างหน้าอย่างเดียวเท่านั้นพอ
“เป็ นเจ้าที่ข้ามผ่านบ่อสายฟ้ ามาก่อน ส่วนข้าก็ค่อยให้เจ้ารู ้ว่า ตัวเองทาผิด เมื่อไหร่ที่ตัวเองรู ้แล้ว คิดดูแล้วไม้ก็น่าจะกลายเป็ นเรือ ไปแล้ว ก็ไม่จ าเป็ นต้องตบบ้องหูตัวเอง”
นักพรตหยุดเดิน ถามคาถามที่เหมือนกับเกาจวินอย่างไม่มี ผิดเพี้ยน “เจ้าคือใคร?”
บุรุษยิ้มบางๆ “ข้าไม่ใช่ใครทั้งนั้น ก็แค่คนที่กักขังตัวเอง เจ้ากลับ ไม่เหมือนกันสามารถออกมาเที่ยวเล่นในม้วนภาพวาดทั้งสี่ภาพได้ ตามใจชอบ ทุกวันจะได้เห็นคนและเรื่องราวที่แตกต่างกันออกไป”
นักพรตถอนหายใจ “เจ้าคือเฉินผิงอัน”
บุรุษเองก็ถอนหายใจ ยื่นสองนิ้วออกมาบดขยี้ตัวอักษรสีทองห้า ตัวนี้ให้แหลกละเอียดเสียงเหมือนถ่านไม้ที่แตกปะทุอยู่ในเตาไฟ เขา เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “เอาเถอะ พลาดอีกแล้ว”
เจ้าคือเฉินผิงอัน
แม้จะเป็ นความจริง แต่ประโยคนี้ไม่น่าฟังเลยจริงๆ
หากบุรุษเอ่ยประโยคว่า “ข้าก็คือเฉินผิงอัน” ก็สามารถกลับไป ทางเดิมได้เลย แต่หากอีกฝ่ ายรู ้ใจกันสักหน่อย เอ่ยประโยคที่ว่าเฉิน ผิงอันคือเจ้า ถ้าอย่างนั้นก็จะน่าสนใจอย่างมากแล้ว
ก่อนหน้านี้ฉวยโอกาสที่นักพรตซึ่ง “ผดุงความเป็ นธรรมแทน สวรรค์ ผู้นี้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เขาก็หวังว่าตัวเองจะโชคดีปิดแผ่นฟ้ า ข้ามมหาสมุทรมาลองเสี่ยงดวงที่นี่ ได้ผลประโยชน์จากการ “ขอให้ สมพรปากเจ้า
แน่นอนว่ายังคงไม่อาจหนีออกมาจากกรงขังแห่งนั้นได้ แล้ว นับประสาอะไรกับที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดจะหนี บอกว่ากักขังตัวเองก็ คือกักขังตัวเอง หนึ่งใจใช ้สองทาง (เปรียบเปรยว่าสองสิ่งในเวลา เดียวกัน) ถึงอย่างไรก็ยังเป็ นคนคนเดียวกัน ยังคงเป็ นตัวเอง
แต่แน่นอนว่าเขาไม่ถือสาที่จะได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกเป็ น
บางครั้ง
อันที่จริงนักพรตโน้มน้าวคนอื่นด้วยความหวังดีว่าให้มีความ อดทนมากหน่อย แต่ตัวนักพรตเองกลับมีความอดทนไม่มากพอ ก็ เหมือนอย่างก่อนหน้านี้ “เฉินผิงอัน” ผู้นี้อาศัยหนึ่งในร่างแยกของ เฉินผิงอันผู้นั้น อันที่จริงก็ได้เห็นเงาร่างที่ท่องพเนจรอยู่ในโลกมนุษย์ พื้นที่มงคลของนักพรตมานานแล้ว อีกทั้งยังมองรากฐานที่แท้จริง ของอีกฝ่ ายออกในทันทีแต่จงใจแสร ้งท าเป็ นไม่รับรู ้ เพราะถึงอย่างไร ร่างแยกก็คือร่างแยกที่ได้แค่อาศัย “เนตรสวรรค์ ส่วนหนึ่งที่ได้มา ชั่วคราวจากการใช ้ยันต์เท่านั้น ตบะยังคงตื้นเขินเกินไป
นักพรตวัยกลางคนถาม “เจ้าหาข้าเจอแล้ว คิดจะท าอะไร?”
บุรุษเก็บมือกลับมาในชายแขนเสื้อ “อยู่ว่างไม่มีอะไรท าก็แอบ ออกมาผ่อนคลาย อารมณ์ ถือโอกาสเตือนสหายและตัวเองคนละครึ่ง ประโยคว่า อริยะเคยบอกไว้ว่า เสื่อไม่เรียบร ้อยไม่นั่ง อาหารหั่นไม่ ละเอียดไม่กิน”
นักพรตลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะคารวะด้วยการก้มหัวกราบ “รับคาสั่งสอนแล้ว”
บุรุษยิ้มเอ่ย “รับคาสั่งสอนอะไรกัน เจ้าจาไม่ได้เสียหน่อย”
พริบตานั้นนักพรตวัยกลางคนก็กลับไปนั่งลงบนเสื่อไม้ไผ่อีกครั้ง ทาท่ามือฟ้ าดินเชื่อมโยงอีกคราว แล้วก็เอ่ยประโยคว่าผดุงความเป็ น ธรรมแทนสวรรค์ เกลี้ยกล่อมให้ทุกท่านยอมพ่ายแพ้อีกรอบ
เพียงแต่นักพรตกลับรู ้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทว่าเขากลับคิด ไม่ออกว่าผิดปกติตรงไหน
เฉินผิงอันที่สวมชุดสีขาวหิมะเดินอยู่บนทะเลสาบสีเขียวมรกต ผืนน้าราบเรียบเหมือนกระจก เส้นยาวแบ่งขอบเขต ทันใดนั้นฟ้ าดิน พลันพลิกสลับ เฉินผิงอันที่จิตวิญญาณบริสุทธิ์เดินอยู่บน โลกมนุษย์ หลากสีสัน” ที่แทบจะเหมือนของจริงแห่งหนึ่ง
หากจะพูดถึงวิชาอภินิหาร บุคคลที่จาแลงมาจากมหามรรคา ของพื้นที่มงคลรากบัวในอดีตผู้นั้น เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันคนนี้แล้วก็ ถือว่าเป็ นเด็กน้อยที่เพิ่งจะเริ่มเรียนชั้นประถมรู ้จักตัวอักษรแค่ไม่กี่ตัว จริงๆ
ฟ้ าเริ่มสว่างแล้ว ประตูภูเขาบนเกาะที่ตั้งของภูเขาบรรพบุรุษ อารามต้ามู่ นักพรตน้อยหลายคนที่อยู่หน้าภูเขาพูดคุยกันถึงตารับ ยาของตระกูลเซียน
ด้านข้างมีเหล่าเซียนอายุน้อยพูดคุยสัพเพเหระ ยามค่าคืนปัก ปิ่นหยกสวดสรรเสริญยังติดแน่นอยู่ในอารามเต๋าท่ามกลางค่าคืนอัน เหน็บหนาว
อูเจียงไม่ได้ล่องทะเลสาบขึ้นมาบนเกาะ เมื่อคืนเขาเพิ่งมาถึงที่นี่ แล้วเขาก็เลือกต้นหลิวต้นหนึ่งที่กิ่งหน่าใหญ่ยื่นขวางไปเหนือผิวน้า กอดฝักดาบไว้ในอ้อมอก เอนกายนอนหลับอยู่บนนั้น
ส่งเสียงกรนสนั่นราวเสียงฟ้ าผ่า นอนหลับอย่างนี้ไปจนฟ้ าสาง พอลืมตาขึ้นมาเห็นสีท้องฟ้ าก็พลิกกายลงจากต้นไม้ เช ้าวันนี้อูเจียง แค่เดินเล่นอยู่ริมฝั่งเท่านั้น
ชายฉกรรจ์ที่ร่างเล็กเตี้ยกายาผู้นี้ผิวค่อนข้างคล้า สวมชุดผ้า ฝ้ ายรองเท้าสาน หน้าตาดุดันบุคลิกกร ้าวกระด้าง ลมหายใจหนัก แน่นทอดยาว แค่มองก็รู ้ว่าเป็ นคนฝึกวรยุทธที่ฝึกควบทั้งวิชาหมัดใน และหมัดนอก
เช ้าตรู่ของวันนี้ เฉินผิงอันเพิ่งจะกลับอาณาเขตแคว้นหูไปพร ้อม กับกลิ่นสุราอบอวลเต็มร่าง
จากนั้นพวกเขาก็โดยสารเรือตระกูลเซียนส่วนตัวที่อยู่ในนาม ของเพ่ยเซียงลอดทะลุเมฆหมอก พุ่งทะยานไปว่องไวราวกับสายฟ้ า แลบ ตรงมาที่ทะเลสาบชิวซี่ที่คลื่นน้ากว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้
เพราะเพ่ยเซียงอยู่ในรายชื่อแขกสูงศักดิ์ที่ได้รับเชิญจาก ทะเลสาบชิวซี่ ในมือมีเอกสารผ่านด่านที่พรรคหูซานแจกจ่ายให้ คือ
หยกมันแพะชิ้นหนึ่งที่มีปราณวิญญาณเหมือนก้อนเมฆไหลวนอยู่ ท่ามกลางภูเขาเขียวน้าใส
บวกกับที่บุคคลยิ่งใหญ่ที่มาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ต่างก็พา ลูกศิษย์ผู้สืบทอดจวนเซียน ลูกหลานบ้านตัวเองหรือไม่ก็สหาย ผู้ติดตามมาด้วยกลุ่มใหญ่ ดังนั้นวันนี้เพ่ยเซียงที่สวมหมวกม่านคลุม ใบหน้า ข้างกายพาเจ้าขุนเขาเฉิน ผู้คุมกฏฉางมิ่ง เซี่ยโก่วและกวอ จิ๋ว มองดูแล้วจึงเหมือนมี “ผู้ติดตาม” มาด้วยแค่ไม่กี่คนเท่านั้น เป็ น เหตุให้สามารถผ่านด่านมาได้อย่างราบรื่น ทางฝั่ง “ห้องข้าง” ห้อง แรกของทะเลสาบชิวซี่มีผู้ฝึกลมปราณที่แต่งกายเป็ นนักพรตกับผู้ฝึก ยุทธกลุ่มหนึ่งร่วมกันรับผิดชอบเฝ้ าด่าน นักพรตยังบอกตาแหน่งที่ พักส าหรับกลุ่มของเพ่ยเซียงอย่างนอบน้อม คือเกาะหลัวได้ที่อยู่ใกล้ กับเกาะกลางทะเลสาบของภูเขาบรรพบุรุษ อยู่ข้างเกาะอวี้จานนี่เอง ภูเขาต่าเตี้ยกว่าเล็กน้อย แต่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นอย่างมาก พวก ท่านทั้งหลายมาช ้าไปสักหน่อย ทางฝั่งของท่าเรือมีเรือหอเรือนล า หนึ่งจอดรอเพื่อคอยต้อนรับการมาถึงของพวกท่านโดยเฉพาะ
นักพรตมีสีหน้านอบน้อม พูดจาระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่าเป็ นหนึ่ง ในสมาชิกศาลบรรพจารย์ของอารามต้ามู่ คงเป็ นเพราะรู ้น้าหนักถึง ค าเรียกขานว่า “แคว้นหู” อยู่บ้าง
เพียงแต่ว่าพวกบุรุษผู้ฝึกยุทธที่รับหน้าที่เฝ้ าด่านเหล่านั้นต่างก็ อดเกิดการคาดเดาในใจกันไม่ได้ แคว้นหู? ไม่เคยได้ยินมาก่อน คือ พรรคพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแห่งใด?
หรือจะเป็ นสถานที่ที่ภูตจิ้งจอกซึ่งฝึกตนประสบความสาเร็จมา รวมตัวกัน?
พอมองอีกทีก็เหมือนมากจริงๆ ในบรรดาคนทั้งห้า สี่คนล้วนเป็ น สตรีที่อายุแตกต่างกันไป เพียงแค่ว่าส่วนสูงต่างกัน บ้างสูงบ้างเตี้ย
ไม่พูดถึงสตรีบุคลิกเย้ายวนที่บอกว่าตัวเองคือเจ้าแห่งแคว้นหูคน นั้น เพราะนางสว สมวกม่านคลุมใบหน้า เห็นแค่รูปร่างไม่เห็นหน้าตา
พูดถึงแค่สตรีร่างสูงโปร่งที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ รูปโฉม เหมือนวัยกลางคน น้าตาไม่ได้โดดเด่นเท่าไรจริงๆ แต่เรือนกายที่มี ส่วนเว้าส่วนโค้ง บวกกับขายาวทั้งคู่ของ าง จุ๊ๆ สุดยอดไปเลย!
เวลานี้ไม่มองใบหน้า มองแค่แผ่นหลังของสตรีผู้นั้นก็ยิ่งน่ามอง เข้าไปใหญ่ อีกทั้ง แอกจากขาจะยาวแล้ว นางก็ตัวสูงมากจริงๆ
ท าให้พวกบุรุษรู ้สึกเพียงว่าต่อให้ใบหน้าของนางจะไม่งดงามก็ ไม่ได้ส าคัญอะไรเลยต าหนิเล็กน้อยมิอาจบดบังความงามโดย ภาพรวม ขอแค่สตรีผู้นั้นยินดี พวกเราก็คิดชื่อลูกชายไว้พร ้อมแล้ว
มองไปมองมา บุรุษชุดเขียวผู้นั้นก็ออกจะขวางหูขวางตาอยู่บ้าง
การที่พวกเขาไม่กล้าปากเปราะใช ้ค าพูดหยาบโลนเอ่ยหยอก เย้าพวกนาง แน่นอนว่าเป็ นเพราะป้ ายหยกที่พรรคหูซานมอบให้แผ่น นั้น
สมาชิกทุกคนที่มีป้ ายหยก ไม่ใช่เทพเซียนก็ต้องเป็ นภูต ประหลาด ถูกลิขิตมาแล้วว่าเป็ นพวกมีภูมิหลังที่พวกเขาไม่ควรไปหา เรื่อง ไม่มีความจาเป็ นที่จะต้องให้พี่ใหญ่ตายเพราะน้องชายคนเล็ก เลยจริงๆ
เด็กสาวสวมหมวกขนเตียวโมโหนัก ใช ้เสียงในใจฟ้ องว่า “เจ้า ประมุขกวอ พวกเราสองคนถูกภูตจิ้งจอกอย่างเพ่ยเซียงและผู้คุมกฏ ฉางมิ่งแย่งความมีหน้ามีตาไปหมดแล้ว”
“ท าใจให้กว้างหน่อย ชินไปแล้วก็ดีเอง”
กวอจู๋จิ่วตบหมวกขนเตียวของเซี่ยโก่ว พูดอย่างหนักแน่นว่า “อย่าได้โทษพวกนางเลยจะโทษก็โทษที่ตั้งแต่หัวจรดเท้าเจ้าเหมือน ตอไม้ตอหนึ่ง ไม่ว่าจะหน้าอกหรือกันก็ขาดเนื้อไปหลายจิน”
เซี่ยโก่วสูดจมูก คาพูดประโยคนี้ของเจ้าประมุขกวอช่างทาร ้าย ความรู ้สึกกันเหลือเกินหากใช ้คาพูดของภูตน้าน้อยก็คือท าให้เหล่า ทหารกล้าเสียขวัญก าลังใจแล้ว
กวอจู๋จิ่วเอ่ย “สายนี้ของพวกเราต้องพูดจาตามสัตย์จริงไม่รื่นหู จะเอาอย่างภูเขาของศิษย์พี่หญิงเผยไม่ได้เด็ดขาด หากเป็ น ขนบธรรมเนียมแบบเดียวกันจะต้องมีการแบ่งแยกกันท าไม”
เซี่ยโก่วพยักหน้า “คากล่าวนี้ของเจ้าประมุขกวอมีเหตุผล ข้า รู ้สึกมานานแล้วว่าขนบธรรมเนียมของสายเผยเฉียนนั้น…ไม่ควร นินทาคนอื่นลับหลัง เอาเป็ นว่าข้าไม่ชินก็แล้วกัน