กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1068.4 มีสักกี่คนที่แลเห็นชุดเขียว
“ประโยคนี้ของเจ้าพูดได้ตรงใจข้านัก แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่บน สมุดคุณความชอบของภูเขาพวกเราก็ต้องบันทึกความผิดของเจ้า หนึ่งครั้ง หากสะสมครบสามครั้งจะถูกขับไล่ออกจากพรรคแล้ว”
“หา?”
“กลัวอะไรเล่า เจ้ายังมีโอกาสอีกครั้งหนึ่ง”
“หา?!”
“อย่าสิ เดี๋ยวเจ้ากลับไปจาไว้ว่าไปบอกคงโหวที่ก่อนหน้านี้รับ หน้าที่เป็ นผู้ดูแลกฎของภูเขาพวกเราด้วยว่า นางไม่ใช่คนของพรรค แล้ว อันที่จริงทุกวันนี้บนภูเขาก็เหลือแค่พวกเราสองคนแล้ว คงโหว อยากจะได้สถานะบนท าเนียบกลับคืนมาก็ต้องค่อยๆ สะสมคุณ ความชอบไปช ้าๆ ภารกิจหนักหน่วงทั้งยังยาวไกล ให้นางพยายาม เข้าอีกหน่อย อย่าได้ทดท้อทอดอาลัยเด็ดขาด”
“…”
ธรณีประตูของภูเขาพวกเราสูงถึงเพียงนี้ กฎระเบียบก็เข้มงวด ขนาดนี้เลยหรือ?
ข้ากับเด็กชายผมขาวผู้นั้น จะดีจะชั่วก็เป็ นขอบเขตบินทะยาน ทั้งสองคนเลยนะ
ก็ได้ๆๆ แบบนี้ต่างหากถึงจะถูกต้อง ไม่เสียแรงที่เป็ นเจ้าประมุขก วอผู้เคร่งครัดยุติธรรมไร ้ความเห็นแก่ตัว!
ใบหน้าฉางมิ่งประดับยิ้มบางๆ ถามเสียงเบาว่า “จู๋จิ่ว เจ้าคิดว่า ท าไมพวกเขาถึงควบคุมปากและมือเอาไว้ได้?”
กวอจู๋จิ่วไม่แม้แต่จะหยุดคิดด้วยซ้า นางชี้ไปยังทะเลสาบชิวชี่ที่ อยู่เบื้องหน้าแล้วโพล่งออกมาว่า “ใจคนของที่แห่งนี้เหมือนทะเลสาบ ผืนนี้ มีแม่น้าลาคลองพาดผ่าน มีสายน้าที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ไปๆ มาๆ ข่าวสารก็ว่องไวตามไปด้วย จึงรู ้ว่าด้านนอกมีฟ้ าสูงแผ่นดินหนา จึงไม่กล้าทาอะไรตามแต่ใจตัวเอง หากเป็ นสถานที่เล็กจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นเขตและอาเภอที่อยู่ห่างไกล ข่าวสารติดขัด ก็จะ เหมือนกับสระน้าที่บางครั้งมีฝนตกลงมา ล้วนเป็ นเอกสารราชการ จากเบื้องบน นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีช่องทางอย่างอื่นอีก ข่าวสารไม่รื่น ไหลก็สร ้างฟ้ าดินขึ้นมาเอง หากไม่เป็ นฮ่องเต้ในท้องถิ่นที่วาง อ านาจบาตรใหญ่ก็ต้องเป็ นพวกลูกชายคนโง่ของพวกตระกูลมี อ านาจ ไม่ว่าจะพูดจาหรือท าอะไรก็ล้วนขาดไหวพริบ ไม่ใช ้สมอง ด้วยซ้า แต่จะตาหนิพวกเขาแบบนี้ก็ไม่ได้ อันที่จริงล้วนเป็ นผลลัพธ ์ที่ พวกเขาไม่สนใจซึ่งได้ผ่านการไตร่ตรองผลลัพธ ์ในใจมาก่อนแล้ว ก็ เหมือนอย่างทะเลสาบชิวชี่แห่งนี้ หากไม่เป็ นเพราะมีการประชุมครั้งนี้ ไม่มีการเปิ ดโลกกว้าง ก็ดูเถอะว่าบุรุษพวกนั้นจะปากเปราะกัน หรือไม่? มีโอกาสที่จะมือไม้ยุ่มย่ามเลยด้วยกระมัง”
เพ่ยเซียงอึ้งตะลึง คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกกระบี่เด็กสาวจะเอ่ยประโยคนี้ ออกมาได้ ผู้ฝึ กกระบี่ในภาพจาของนางล้วนเป็ นพวกที่ไม่ชอบใช ้ สมอง…แน่นอนว่าภูเขาลั่วพั่วและสานักกระบี่ชิงผิงคือข้อยกเว้น
ในความทรงจ า พูดถึงแค่แม่นางน้อยอย่างกวอจู๋จิ่วที่มาอยู่ภูเขา ลั่วพั่วช ้ามากแล้วนางคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าขุนเขาเฉิน มองดู เหมือนไม่ค่อยชอบพูดคุย เวลาอยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็เหมือนจะพาเด็ก สาวสวมหมวกขนเตียวและเด็กชายผมขาวเล่นสนุกส่งเดชกันทั้งวัน
ส่วนเรื่องที่ว่ากวอจู๋จิ่วซึ่งเป็ นผู้ฝึ กกระบี่อยู่ที่หอบูชากระบี่มี สภาพการณ์อย่างไร จะเปลี่ยนไปเป็ นคนละคนหรือไม่ เพ่ยเซียงย่อม ไม่มีทางรู ้ แล้วนางก็ไม่กล้าไปสืบเสาะอย่างส่งเดชด้วย
เซี่ยโก่วก็ยิ่งเลื่อมใสอย่างหนัก ยกนิ้วโป้ งให้ “เจ้าประมุขกวอ มี ความคิดเห็นที่ดี!”
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าคิดว่าจะเป็ น อย่างไรล่ะ? ตอนนั้นที่ข้าพากวอจู๋จิ่วเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลบร ้อน ครึ่งหนึ่งนั้นถือว่าอาจารย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างข้าใช ้งาน เฉพาะคนสนิทเท่านั้น อีกครึ่งหนึ่งเป็ นเพราะกวอจู๋จิ่วอาศัย ความสามารถที่แท้จริงถึงเข้าไปอยู่ได้ หากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ไม่พยักหน้าตอบตกลง ต่อให้ข้าแนะน าจู๋จิ่วด้วยตัวเองก็เป็ นเรื่องที่ไม่ มีทางท าได้เลย พวกเจ้าคงไม่ได้คิดว่าใครอยากจะเห็นอยากจะเข้าไป อยู่ในคฤหาสน์หลบร ้อนก็เข้าไปได้กระมัง ธรณีประตูสูงมากนะ พูด ถึงแค่เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ของพวกเราที่บังเอิญโชคดีได้เข้าไปอยู่ใน
คฤหาสน์หลบร ้อน ทุกวันก็ต้องง่วนอยู่กับการช่วยเฝ้ าประตู ว่างมาก เลยล่ะ แต่จู๋จิ่วกลับไม่เหมือนกัน ข้าเคยลองค านวณมาก่อนแล้ว คุณ ความชอบของจู๋จิ่ว แม้จะบอกว่าสู้หลินจวินปี้ที่ฉลาดล้าไม่ได้ แต่จู๋จิ่ว กับพวกเสวียนเซิน ไม่ว่าจะเป็ นมันสมองหรือคุณความชอบก็ล้วนมี มาตรฐานเดียวกัน”
กวอจู๋จิ่วหัวเราะหึหึ
นี่คืออาจารย์พ่อหลับตายกยอลูกศิษย์ตัวเองต่างหาก อย่างมาก สุดนางก็แค่ดีกว่าแม่นางแก่คนหนึ่งที่ขายไม่ออกและพวกหลัวเจินอี้ เล็กน้อยเท่านั้น
มาถึงริมชายฝั่ งที่ต้นหลิวต้นหยางเรียงราย เฉิ นผิงอัน ทอดสายตามองไปยังทิศไกลเอ่ยว่า “จานวนคนเยอะกว่าที่คิดมาก เลยนะ”
ตามการประมาณการณ์คร่าวๆ ในช่วงแรกสุดของภูเขาลั่วพั่ว กองกาลังฝ่ ายต่างๆ ของพื้นที่มงคลรวมกันแล้วน่าจะไม่เกินสามสิบ คน
ต่อให้รวมสมาชิกที่มาเข้าร่วมการประชุม คนสนิทและผู้ติดตาม ด้วยแล้ว อย่างมากสุดก็น่าจะมีแค่ห้าสิบคน ตอนนี้ลองมองดูแล้ว คน ต่างถิ่นที่มาพักอยู่บนเกาะต่างๆ บนทะเลสาบมีมากเกือบจะสองร ้อย คนแล้ว? ส่วนบนชายฝั่งที่มองไป หากไม่ใช่แผงลอยข้างทางก็เป็ น เหลาสุราที่สร ้างขึ้นมาชั่วคราว ครึกครื้นเหมือนตลาดนัดอย่างไร
อย่างนั้น นี่ทาให้เฉินผิงอันไพล่นึกไปถึงความเคยชินที่ต้องดื่มสุรา ช่วงเช ้าของที่จวนจิงหยางแคว้นชิงหลิงทันที ดื่มสุราตอนเช ้าอย่าง น้อยที่สุดก็ต้องเมากริ่มอยู่ครึ่งวัน เวลาเดินเหมือนเมฆคล้อยน้าไหล แต่หากไม่ดื่มสุราตอนเช ้าก็จะไม่กระปรี้กระเปร่าไปทั้งวัน ดื่มก็ดีกว่า ไม่ได้ดื่ม
ก่อนหน้านี้มีเกาจวินเป็ นผู้นา ผู้ฝึ กลมปราณกลุ่มใหญ่ของ พรรคหูซานซึ่งรวมถึงตัวนางด้วยได้พากันลงจากภูเขา แต่ละคนต่าง ก็ถือจดหมายลับของเจ้าประมุขไว้ฉบับหนึ่งในมือ จากนั้นกระจายกัน ไปทั่วสารทิศ ติดต่อคนทั้งใต้หล้า
พูดถึงแค่ผู้ฝึ กยุทธเต็มตัวที่ถูกเชิญมาในครั้งนี้ก็ต้องเป็ นผู้ฝึ ก ยุทธขอบเขตหกขึ้นไปเพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณและสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ของฝ่ ายต่างๆ แล้ว ปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธเหล่านี้ก็ยังดูโดด เดี่ยวมีกาลังน้อยกว่าอยู่ดี
นี่คือการเอนเอียงของสถานการณ์ใหญ่ที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง
เพ่ยเซียงยิ้มเอ่ย “ว่ากันไปตามเนื้อผ้านะ เรื่องนี้จะโทษเจ้าประมุข เกาไม่ได้จริงๆ ก่อนหน้านี้นางก็ได้บอกเตือนพวกเราล่วงหน้า เขียน บอกในจดหมายอย่างชัดเจนว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องการประชุมครั้งนี้ ให้คนนอกรู ้ แต่ก็ต้องมีคนที่ควบคุมปากไม่อยู่เอาไปบอกต่อ ดังนั้น สหายจึงเรียกหาสหาย ไม่ว่าใครก็อยากจะมามีส่วนร่วมด้วย ทางฝั่ง ของทะเลสาบชิวชี่จะไล่คนก็ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ขวางพวกคนที่ไม่ เกี่ยวข้องไว้บนชายฝั่ง”
เซี่ยโก่วหลุดหัวเราะพรืด “เตือน? บอกเป็ นนัยอย่างลับๆ ถึงจะถูก กระมัง เห็นได้ชัดว่านางจงใจ อาศัยว่ามากคนมากอ านาจถึงจะได้ ช่วงชิงผลประโยชน์ที่มากกว่าเดิมมาให้กับใต้หล้าแห่งนี้ได้ หากการ ประชุมครั้งนี้ ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราแสดงท่าทีบีบบังคับมากเกินไป ตลอดทั้งใต้หล้า ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขา เพียงไม่นานก็จะรู ้ แล้วว่านางยืนหยัดต่อสู้ด้วยเหตุผลที่ชอบธรรมอย่างไร หากพวกเรา พูดง่าย นางก็ไม่เสียเปรียบ การค้าครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรนางกับพรรคหู ซานก็ล้วนได้กาไร ได้ทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ วันนี้ได้ไปแล้ว ส่วนวันหน้าเกาจวินจะวางแผนอย่างไร แค่คิดก็พอจะรู ้ได้แล้ว”
ผู้คุมกฏฉางมิ่งพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เป็ นหลักการเหตุผลข้อ นี้จริง จะว่าไปแล้ววันเวลาที่เจ้าประมุขเกาไปเป็ นแขกอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว ก็ออกจะสุขสบายผ่อนคลายเกินไปสักหน่อย
เพ่ยเซียงได้ยินก็ขนลุกชันทันใด รีบใช ้หางตาเหลือบมองไปยังอิ่ นกวานหนุ่ม
นางเคยได้ยินเรื่องขั้นตอนการประชุมของเรือนชุนฟานภูเขา ห้อยหัวมาแล้วคร่าวๆ
ค าพูดของเด็กสาวสวมหมวกขนเตียวจะเป็ นการแสดงท่าที บางอย่างของเจ้าขุนเขาเฉินหรือไม่?
เดิมทีเพ่ยเซียงคิดว่าเฉินผิงอันออกจากบ้านมาคราวนี้ ข้างกาย ไม่ได้พาอาจารย์เสี่ยวโม่ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวมาด้วย พา
มาแค่ผู้คุมกฏฉางมิ่ง สมาชิกศาลบรรพจารย์แห่งยอดเขาจี๋หลิงที่มี น้าหนักถึงเพียงนี้ ย่อมไม่ถือว่าเป็ นการระดมกาลังใหญ่โตเด็ดขาด แม้ว่าการพูดคุยกันเล็กๆ น้อยๆ ในลานเรือนเมื่อคืนวาน ผู้คุมกฏฉาง มิ่งจะเอ่ยหลายประโยคที่มีเนื้อหาซ่อนเร ้นไว้ด้วยปราณสังหาร แต่เมื่อ เทียบกับภาพเหตุการณ์ที่เพ่ยเซียงคิดไว้ในช่วงแรกสุด ผู้ฝึกกระบี่จับ มือกันเดินทางไกลมาเยือนพื้นที่มงคล ปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธทะยาน ลมมาพร ้อมกัน เผยกายอย่างพร ้อมเพรียงในอารามต้ามู่ของ ทะเลสาบชิวชี่ นั่นก็ไม่ใช่การประชุมของเรือนชุนฟานครั้งที่สอง หรอกหรือ?
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ความรู ้สึกทั่วไปของ คนเรา หากเกาจวินไม่เช่นนี้ หากนางรู ้จักแต่จะวางแผนช่วงชิง ผลประโยชน์ของตัวเองมาอย่างเดียว นั่นต่างหากจึงจะท าให้ทุกคน ผิดหวัง”
ได้ยินเจ้าขุนเขาพูดแบบนี้ เซี่ยโก่วก็รีบเปลี่ยนน้าเสียงเสียใหม่ พยักหน้าเอ่ยทันทีว่าแล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องนี้ยังต้องเสี่ยง อันตรายอย่างมาก เหนื่อยแรงแล้วยังไม่ได้ดีหากไม่ทันระวังก็จะ ขัดแย้งกับพวกเรา เกาจวินไม่ใช่ผู้ฝึ กลมปราณทั่วไป นางเคยไป เยือนเขาลั่วพั่วมาก่อน มีความเข้าใจต่อใต้หล้าไพศาลมากพอแล้ว เกาจวินยังกล้าทาเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเอาชีวิตทั้งหมดของตัวเองและ ความมีเกียรติความอัปยศของพรรคหูซานวางลงบนโต๊ะเดิมพัน พร ้อมกัน นับว่าหาได้ยากยิ่ง”
กวอจู๋จิ่วตบหมวกขนเดียว “ขนบธรรมเนียมเที่ยงตรงอย่างมาก กระดูกเหล็กแข็งแกร่งไม่คดงอ ข้าเก็บสมบัติได้แล้วจริงๆ”
ในใจของเซี่ยโก่วรู ้สึกอยุติธรรม หากไม่เพราะข้าต้องการเป็ น ขุนนางที่ตาแหน่งใหญ่ยิ่งกว่านี้ มีหรือจะยอมขับเรือตามกระแสลม เช่นนี้ สหายฉางมิ่งของพวกเราได้เป็ นผู้คุมกฏบนภูเขาก็เพราะทา
อย่างนี้ไม่ใช่หรือ?
ฉางมิ่งใช ้เสียงในใจถาม “คุณชาย ทาไมไม่ให้เกาจวินได้เข้าใจ ศักยภาพที่แท้จริงของภูเขาลั่วพั่วเรา?”
เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจอธิบายอย่างละเอียด “เป็ นทั้งคาแนะนา จากโจวอันดับหนึ่งแล้วก็เป็ นความลังเลใจของข้าแต่แรกแล้ว โจว อันดับหนึ่งบอกว่าต้องการทาความผิดบางอย่างแน่นอน หลบไม่พ้น ขวางไม่อยู่ ถึงขั้นที่ว่าไม่อาจป้ องกันไว้ก่อน จัดการดูแลพื้นที่มงคล แห่งหนึ่ง ทั้งไม่อาจปล่อยปละละเลยไม่สนใจ พันธนาการหละหลวม เกินไปก็จะทาให้ใจคนไม่เพียงพอ คาว่า “ใจคนไม่เพียงพอ” นี้ไม่ใช่ ความหมายในทางที่ไม่ดี ลองเอาตัวเองไปยืนอยู่ในมุมของสรรพชีวิต ในพื้นที่มงคล ไม่ว่าจะเป็ นเซียนซือที่แสวงหามหามรรคาเป็ นอมตะ หรือจะเป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่อยากจะถามหมัดในจุดสูง ใครเล่าจะ ยินดีให้เหนือศีรษะมีเทพเทวดาที่ขวางหูขวางตาอยู่ พวกเขาก็ต้อง ทดลองงัดข้อดูเหมือนกันไม่ใช่หรือ? แต่ใจคนไม่เพียงพอ ทั้งสามารถ ยืดขยายออกไปให้เป็ นความกล้าหาญและมุ่งมั่นพากเพียรอย่างไม่
หยุดยั้ง แล้วก็สามารถแตกกิ่งก้านไปเป็ นความละโมบไม่รู ้จักพอ นี่ก็ จะยุ่งยากมากแล้ว”
“แต่ก็ไม่อาจเข้มงวดเกินไป ยิ่งมีการป้ องกันอย่างแน่นหนามาก เท่าไรก็มีแต่จะเป็ นการใช ้ไม้แข็งปะทะไม้แข็ง คนและใจคนทั้งหมดที่ ถูกภูเขาลั่วพั่วของพวกเราใช ้วิธีการรุนแรงบังคับกดข่มลงไป เมื่อยิ่ง ซ่อนอยู่ในโลกมนุษย์ก็จะยิ่งดาดิ่งลงลึกมากเท่านั้น พวกมันจะเลือก นอนหมอบอยู่บนพื้นดินก่อนชั่วคราว แต่กลับเงยหน้า ใช ้สายตาที่ เปี่ยมไปด้วยความแค้นมอง…ข้า มองภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา รอ กระทั่งจานวนมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย ใจคนรวมเป็ นหนึ่ง สักวันหนึ่งก็จะเหมือนสะเก็ดเพลิงที่พุ่งเข้าไปยังจุดลึกของกองหญ้า แห้ง จะไม่ติดเป็ นไฟกองใหญ่ในทันทีทันใด แต่รอกระทั่งมีควันลอย ขึ้นมา พวกเราก็ต้องเข้าไปดู จากนั้นก็เป็ นจุดที่สอง จุดที่สาม ยิ่ง นานก็ยิ่งมีมาก ที่น่ากลัวที่สุดก็คือฟ้ าดินเงียบสงัดและโหดร ้าย สะเก็ด เพลิงแห่งใจคนลุกโชติช่วงขึ้นมาพร ้อมกัน สุดท้ายก็เกิดไฟใหญ่ลาม ทุ่ง เดินขึ้นฟ้ า…ไปพร ้อมกัน กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ ยอมให้วอดวายกันไปทั้งสองฝ่ าย แต่สรรพชีวิตในโลกมนุษย์จะไม่ ยอมก้มหัวให้ฟ้ าเด็ดขาด”
“แต่หากจะบอกว่าอุดตันไม่สู้ปล่อยให้ไหล หลักการเหตุผลก็ เรียบง่ายมาก หากต้องลงมือทาจะเป็ นเรื่องยากแล้ว ความสัมพันธ ์ ระหว่างภูเขาลั่วพั่วกับพื้นที่มงคลรากบัว คนเรามีความสัมพันธ ์หลัก กับรอง เรื่องราวก็มีลาดับก่อนหลัง หากจะพูดถึงวิธีการเพียงหนึ่ง
เดียวที่สามารถขจัดภัยแฝงให้สิ้นซากได้อย่างสิ้นเชิงก็ใช่ว่าจะไม่มี เลย ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดคุยเรื่องนี้กับโจวอันดับหนึ่งอย่างละเอียดมา ก่อน ยกตัวอย่างเช่นว่าภูเขาลั่วพั่วของพวกเราสร ้างจวนเซียนแห่ง หนึ่งที่คล้ายคลึงกับสานักเบื้องล่างขึ้นมาในพื้นที่มงคล อย่างน้อย ที่สุดต้องมีขอบเขตหยกดิบสองคนที่จะเข้ามาแทนที่ตาแหน่งของ พรรคหูซานในทันทีทันใด ผู้ฝึกตนของสานักเบื้องล่างยี่สิบคนท่องไป ทั่วโลกมนุษย์ ละทิ้งการฝึกตนไว้ก่อนยี่สิบปี เข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตา ตามนับแต่นี้ ขณะเดียวกันก็เปลี่ยนซานจวินห้ามหาบรรพตน้อยใหญ่ ไปเกินครึ่ง ฉวยโอกาสที่ราชสานักของแคว้นต่างๆ ยังไม่ทันคืนสติ เข้าควบคุมอานาจใหญ่ในการแต่งตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้า อย่างรวดเร็ว เป็ นผู้นาอยู่บนภูเขา จากนั้นจึงเปลี่ยนวงการขุนนาง ภูเขาสายน้าให้เป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแห่งที่สอง แต่ว่าเมื่อเป็ น เช่นนี้ พื้นทีมงคลรากบัวก็จะกลายไปเป็ น…วงการขุนนางที่ กฎระเบียบเข้มงวด ไม่ใช่ใต้หล้าสมบูรณ์แบบที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา อีกต่อไป” ไม่ใช่ใต้หล้าสมบูรณ์
“หากยังเป็ นพื้นที่มงคลดอกบัวเก่าที่ยังเป็ นระดับล่าง ผู้ฝึ ก ลมปราณมีน้อยนิดเพียงหยิบมือ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองก็มีน้อย จนนับนิ้วได้ หัวไชเท้าหนึ่งหัวกับหลุมหนึ่งหลุมอันที่จริงกลับจะ จัดการได้ง่ายมาก”
“ต่อให้เลื่อนเป็ นพื้นที่มงคลระดับกลางอย่างช ้าๆ ก็ยังถือว่าดี ภู เขาลั่วพั่วและพื้นที่มงคลต่างก็มีระยะเวลาการทางานของฟันเฟืองให้
มีความแน่นหนาขึ้น ความอดทนของทั้งสองฝ่ าย เงินทุนส าหรับการ ลองผิดลองถูก ล้วนมีมากพอเหลือแหล่”
ฟังมาถึงตรงนี้ ผู้คุมกฏฉางมิ่งก็เอ่ยอย่างละอายใจว่า “เจ้าขุนเขา ไม่อยู่บ้าน เป็ นพวกเราที่ช่วยดึงหญ้าให้เติบโตก่อนเวลาแล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว นอกจาก การฝึกตนของตัวเองแล้ว ขอแค่เกี่ยวพันกับคนภายนอกและเรื่องราว ทางโลก ใต้หล้านี้จะมีสักกี่เรื่องที่ได้แต่ผลประโยชน์ไม่มีผลเสียบ้าง เลย?”
“สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว นี่ก็คือข้อสอบข้อหนึ่งที่เจ้าอารามผู้เฒ่า ออกให้กับภูเขาลั่วพั่ว ระดับความยากจะมากหรือน้อยก็ได้ หากว่าไป ตามเนื้อผ้าอย่างเดียว ระดับความยากอาจจะน้อยมาก แต่หากเพิ่ม ความใส่ใจในเรื่องราว ความยากก็จะมากขึ้น”
“พูดให้ง่ายหน่อยก็คือ เจ้าอารามผู้เฒ่ากาลังมองดู มองพื้นที่ มงคลรากบัวหนึ่งในสี่ส่วนที่หล่นมาอยู่ในมือของข้า จะกลายไปเป็ น ดั่งพื้นที่มงคลถ้าเมฆาของสกุลเจียงสานักกุยหยก หรือกลายไปเป็ น …”
“ป๋ ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัว”
ผู้คุมกฏฉางมิ่งได้ยินมาถึงตรงนี้ จิตแห่งมรรคาก็พลันสะเทือน ไหว
เฉินผิงอันยังคงมีสีหน้าเยือกเย็น ท่วงท่าผ่อนคลาย ยิ้มบางๆ เอ่ย ว่า “เจ้าอารามผู้เฒ่ากาลังรอดูเรื่องตลก ก่อนที่เฉินผิงอันจะถาม กระบี่กับอวี๋โต้ว ยังไม่ทันไปเยือนใต้หล้าสลัว ยังไม่ทันได้เห็นป๋ ายอวี้ จิง ภูเขาลั่วพั่วก็จะกลายไปเป็ นป๋ ายอวี้จิงแห่งที่สองแล้วหรือไม่ เฉิน ผิงอันก็จะกลายไปเป็ นอวี๋โต้วแห่งพื้นที่มงคลรากบัวแล้วหรือไม่”
ผู้คุมกฏฉางมิ่งที่เดิมทีผิวพรรณก็ขาวนวลยิ่งกว่าหิมะ สีหน้า เวลานี้พลันซีดขาด
นางคิดเป็ นร ้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ จ าต้องถามว่า “ท าไมเจ้า อารามผู้เฒ่าถึงต้องพุ่งเป้ าเล่นงานคุณชายเช่นนี้?”
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองรองเท้าผ้าบนเท้าของตัวเองแล้วหัวเราะ โคลงศีรษะเอ่ยอธิบาย “ไม่ใช่การจงใจเล่นงานเพราะเกลียดขี้หน้าข้า คนที่ตบะสูงอย่างเจ้าอารามผู้เฒ่ามาเล่นงานเด็กหนุ่มขาเปื้อนโคลน ในอดีตคนหนึ่ง เป็ นการลดเกียรติตัวเองเกินไป ไม่มีความจาเป็ นเลย แล้วนับประสาอะไรกับที่สาหรับในใจของข้าแล้ว เจ้าอารามผู้เฒ่าก็ ถือเป็ น ‘คนยุติธรรม” คนที่สองที่ข้าได้เจอมาในชีวิตนี้ อืม ก็คือ ยุติธรรม หากจะบอกว่าผู้อาวุโสท่านนี้มีคุณธรรม จะเป็ นการด่าเขา แล้ว”
“คงเป็ นเพราะเจ้าอารามผู้เฒ่ารู ้สึกว่า….คนคนหนึ่งพูดจา ใหญ่โตก็ต้องมีฝี มือที่คู่ควรกับคาพูดนั้นด้วย เจ้าอารามผู้เฒ่าไม่ สนใจคนอื่น แต่ในเมื่อเฉินผิงอันพูดออกมาต่อหน้าเขาถ้าอย่างนั้นก็ อย่าหวังว่าหยิบขึ้นมาแรงแล้วจะวางลงเบาๆ ได้ บางทีในความคิดของ
เจ้าอารามผู้เฒ่า คาพูดในใจของคนคนหนึ่ง จะพูดออกมาจากปาก หรือไม่ ก็ต้องมีการแบ่งหลักรองเหมือนกัน อดกลั้นไว้ ก็คือเจ้าของ คาพูด อดกลั้นไม่อยู่ ก็ต้องออกเดินทางไปพร ้อมกับค าพูดประโยค นั้นด้วย”
อารมณ์ของฉางมิ่งซับซ ้อน เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายจะต้องไม่มี
ทางเปลี่ยนไปเป็ นคนแบบนั้น ใช่หรือไม่?”
“จะต้องเป็ นอย่างไรหรือไม่เป็ นอย่างไร บางทีอาจจะเป็ นผลลัพธ ์ ตามความเป็ นจริงทีมีอาจคาดการณ์ได้”
เฉินผิงอันหัวเราะ ยื่นมือมากาเป็ นหมัดแล้วทุบลงตรงหัวใจเบาๆ “หากจะเป็ นอย่างไรและไม่เป็ นอย่างไร บางทีอาจเป็ นความต้องการ ส่วนตัวที่สาคัญมากยิ่งกว่า ถามเพียงการหว่านไถ อย่าได้ถามหาผล เก็บเกี่ยว”
เงียบไปพักหนึ่ง เฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ย “ข้าเพิ่งจะคิดถึงลาดับ ก่อนหลังอย่างหนึ่งได้”
“เชื่อว่าความสาเร็จอยู่ที่ความพยายามของคน แต่เรื่องไม่เป็ นไป ตามที่ใจหวัง ก็คือความผิดหวัง”
“แม้เรื่องไม่เป็ นไปตามที่ใจหวัง แต่เชื่อว่าความสาเร็จอยู่ที่ความ พยายามของคน ก็คือความหวัง”
บทที่ 1068.5 มีสักกี่คนที่แลเห็นชุดเขียว
ฉางมิ่งใคร่ครวญคาพูดสองประโยคนี้อย่างละเอียดแล้วรู ้สึกไม่ แน่ใจอยู่บ้าง จึงถามว่า “คุณชาย ดูเหมือนว่าความผิดหวังอย่างแรก ก็ยังพอรับได้นะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มตอบ “ไม่เสียแรงที่เป็ นสหายฉางมิ่ง พูด เข้าเป้ าในค าเดียว”
ฉางมิ่งกาลังจะพูดอะไรบางอย่าง เฉินผิงอันกลับพูดขึ้นก่อนว่า “เพ่ยเซียง การที่เมื่อวานถามถึงผู้ฝึ กตนบนทาเนียบของแคว้นหู เพราะเจ้าลัทธิลู่ไปรู ้เรื่องหนึ่งจากอาจารย์อาคนหนึ่งของเขามาแล้ว ให้ข้าน าความมาบอกต่อเจ้าอีกที วันหน้าในแคว้นหูอาจจะมีภูต จิ้งจอกที่ผลสาเร็จบนมหามรรคาสูงมากคนหนึ่งปรากฏตัว นางจะเผย ตัวเมื่อไหร่ วันหน้าหากข้าได้เจอกับนาง บางทีอาจต้องช่วยปกป้ อง มรรคาให้นางครั้งหนึ่ง”
หากไม่ผิดไปจากที่คาด รอกระทั่งนางเลื่อนเป็ นขอบเขตถ้าสถิต เฉินผิงอันจะมอบชื่อจริงให้นางว่า “ชุ่ยป๋ าย
เพ่ยเซียงได้ยินแล้วก็พูดความคิดแรกของตัวเองออกมาอย่าง ตรงไปตรงมา “นังหนูผู้นี้มีโชควาสนาลึกล้าขนาดนี้ วันหน้านางคง ไม่แย่งชิงต าแหน่งเจ้าแห่งแคว้นหูไปจากข้ากระมัง?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด
เพ่ยเซียงเป็ นเจ้าแห่งแคว้นหู คือเรื่องที่มั่นคงอย่างมากแล้ว
เซี่ยโกวยกนิ้วโป้ งให้ เอ่ยชื่นชมว่า “พี่หญิงเพ่ยเซียงที่สวมหมวก ม่านปิดบังใบหน้าแม้ว่าส่วนเว้าส่วนโค้งจะเผยให้เห็นอย่างชัดเจน อิ่ม เอิบมีราศีเหมือนคนรวย แต่กลับปากไวใจเร็ว เป็ นคนตรงไปตรงมา คนหนึ่งเลย!”
เพ่ยเซียงถูกเด็กสาวสวมหมวกขนเตียวชมเช่นนี้ นางไม่ได้รู ้สึก ดีเลยสักนิด กลับกันยังรู ้สึกจากใจจริงว่าตนไม่ค่อยฉลาดเท่าไรเลย จริงๆ
แคว้นหูที่ทุกวันนี้อยู่ในสภาวะปิดภูเขา เส้นทางการฝึกตนในทุก วันนี้ก็มีลาดับขั้นตอนยกตัวอย่างเช่นหากอิงตามสัญญาระหว่าง ภูเขาลั่วพั่วกับแคว้นหู ทุกครั้งที่ภูตจิ้งจอกมีหวังจะเลื่อนเป็ นขอบเขต ถ้าสถิตก็สามารถออกไปข้างนอก ไปฝึกประสบการณ์ในโลกโลกีย์ มองดูเหมือนออกไปเพียงล าพัง แต่แท้จริงแล้วแคว้นหูจะต้องจัดหาผู้ ปกป้ องมรรคาให้อย่างลับๆ คนถึงสองคน จดลงบันทึกเอกสาร และ ขณะเดียวกันกับที่ฝ่ ายหลังปกป้ องมรรคาให้กับผู้เยาว์ที่ขอบเขตต่า กว่า ทั้งภูเขาลั่วพั่วและเพ่ยเซียงต่างก็รู ้กันดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่ไม่มี ใครพูดออกมา นั่นคืออันที่จริงฝ่ ายหลังสามารถอาศัยโอกาสนี้ไปฝึก ประสบการณ์ในโลกมนุษย์ได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นมีความสัมพันธ ์ อย่างฉาบฉวยเกิดขึ้น แค่ว่าไม่อาจอยู่นอกอาณาเขต ของแคว้นหูได้ นาน แล้วก็ไม่อาจแพร่งพรายที่ตั้งของแคว้นหู ดังนั้นรอกระทั่ง ชาวบ้านของสี่แคว้นในพื้นที่มงคลค่อยๆ ทาความคุ้นเคยกับบนภูเขา
รู ้ว่า “เป็ นดั่งที่ในตาราบอกไว้จริงและโลกภายนอกก็ล้วนพูดกัน เช่นนี้” รู ้ว่ามีบุคคลจาพวกเทพเซียนอยู่ รู ้ว่าที่แท้ในโลกมนุษย์ก็มี ภูตผีปะปน ทนต่อไปสักสามสิบห้าสิบปี อย่างมากสุดหกสิบปีก็จะให้ แคว้นหูเปิดประตูเรือน ภูตจิ้งจอกกับผู้ฝึกลมปราณหรือบัณฑิตของ โลกภายนอก เมื่อทั้งสองฝ่ ายไม่มีประตูกั้นขวางอีก ก็จะสามารถเข้า
ออกได้อย่างอิสระเสรี
ก็เหมือนอย่างที่ก่อนหน้านี้เพ่ยเซียงไประบายความทุกข์กับจูเห ลี่ยนที่ภูเขาลั่วพั่ว หรือควรจะบอกว่าเป็ นการปูพื้นสาหรับเรื่องนี้ บอก ว่าในแคว้นหูบ้านตนทุกวันนี้มีผู้ฝึกตน ทาเนียบที่เคยชินกับความสุข ทางโลก รู ้สึกว่าเมื่อเทียบกับรถราแล่นสวนกันขวักไขว่ในโลกมนุษย์ ที่รุ่งเรืองอย่างอดีตแล้ว ชีวิตทุกวันนี้ก็ช่างขมขื่นน่าเบื่อหน่ายเกินไป จริงๆ พวกนางได้ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งอยู่ในแคว้นหู ที่ตั้งของพื้นที่ ประกอบพิธีกรรมมีปราณวิญญาณเพิ่มมาเป็ นเท่าตัวก็จริง แต่ถึง อย่างไรเผ่าพันธุ์จิ้งจอกก็ไม่เหมือนกับผู้ฝึกลมปราณทั่วไป พวกเขา มองธุลีแดงคละคลุ้งเป็ นหนทางแห่งอันตราย แต่เผ่าจิ้งจอกกลับมอง เป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแห่งที่สองที่สามารถขัดเกลาจิตแห่ง มรรคาของตัวเองได้
แม้กระทั่งเพ่ยเซียงเองที่ก่อนจะได้รับคาตอบ อันที่จริงก็ไม่เข้าใจ เหมือนกันว่าท าไมเจ้าขุนเขาหนุ่ม ไท่ซ่างหวง’ แห่งแคว้นหูคิด อย่างไรอยู่กันแน่ ปล่อยอ่างรวมสมบัติขนาดใหญ่ใบหนึ่งเอาไว้ไม่ไป ดูแลให้ดี ถึงกับปิดภูเขาเลยด้วยซ้า มีเงินแต่ไม่ยอมกอบโกยต้องการ
อะไรของเขากัน? หรือจะบอกว่าเจ้าขุนเขาเฉินที่ว่ากันว่าอายุยังน้อย มากผู้นั้นคือวิญญูชนผู้เที่ยงตรงที่มุ่งมั่นคร่าครึอยู่แต่กับการเรียน เท่านั้น?
หลังจากได้พูดคุยกับจูเหลี่ยน เพ่ยเซียงถึงได้รู ้ถึงความหวังดีของ เจ้าขุนเขาเฉิน
ก็ดีเหมือนกัน โลกมนุษย์มีความขมเจือจาง มีความหวานซ่าน ลิ้น นางจะลองเชื่อดูสักครั้งแล้วกัน
เพ่ยเซียงยินดีเชื่อมั่นในตัวเฉินผิงอันและภูเขาลั่วพั่ว หรือควรจะ พูดให้ถูกก็คือนางยังคงเชื่อใจจูเหลี่ยน
เฉินผิงอันพูดพึมพากับตัวเองว่า “ในเมื่อในหนังสือมีพระเอก ก็ ต้องมีตัวร ้ายที่ก่อกรรมทาเข็ญ หรือไม่ก็ฝ่ ายตรงข้ามที่ยืนอยู่คนละ ฝั่งกับพระเอก ทั้งสองฝ่ายอยู่คนละฝั่งกัน จึงไม่ชอบขี้หน้ากัน”
เซี่ยโก่วขยับหมวกขนเตียว ท าท่าหมายมั่นปั้นมือเต็มที่ พูดด้วย สีหน้าสดใสแช่มชื่น “เป็ นตัวร ้ายหรือ? หรือจะเป็ นตัวร ้ายตัวฉกาจที่ อยู่เบื้องหลัง?! เจ้าขุนเขา เรื่องนี้ข้าถนัดเลย!”
ทุกวันนี้มีตาแหน่งสูงศักดิ์เป็ นถึงผู้ถวายงานอันดับรองแล้ว หาก ยังเลื่อนขั้นไปอีกก็ต้องเป็ นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งแล้ว นั่นก็ไม่เท่ากับ ว่าได้นั่งทัดเทียมกับฉางมิ่งที่เป็ นผู้คุมกฏเลยหรือ?
กวอจู๋จิ่วตบหลังมือของเซี่ยโก่ว เอ่ยเตือนว่า “อย่างเจ้านี่เรียกว่า โจรร ้ายที่ใจคิดแต่จะช่วงชิงบัลลังก ์ เป็ นพวกตัวร ้ายใหญ่ที่มีกลอุบาย ลึกล้า มีลูกไม้สารพัดรูปแบบไม่ได้หหรอก” เซียโก่วยิ้มกว้าง
เจ้าของเก่าของฉายาที่ยาวเป็ นพรวนของตนน่าจะไม่ได้คิดแบบ นี้กระมั้ง?
เซี่ยโก่วมองเจ้าขุนเขาบ้านตนแวบหนึ่ง ในตารามีกลอนบทหนึ่ง บอกว่า ริมทะเลสาบมีนักท่องเที่ยวมากมาย แต่จะมีสักกี่คนที่มองไป เห็นภูเขาเขียว หึ จะมีสักกี่คนที่แลเห็นคนชุดเขียว
เฉินผิงอันกล่าว “พวกเจ้าขึ้นเรือไปพร ้อมกับเพ่ยเซียง ใช ้สถานะ ของผู้ฝึ กตนท าเนียบคว้นหูต่อไป ข้าจะแวะไปที่อารามต้ามู่ช ้าสัก
หน่อย” กวอจู๋จิ่วถามอย่างประหลาดใจ “อาจารย์พ่อ?” เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ “ไปเป็ นตัวร ้ายสักครั้ง”
เซียโก่วถูฝ่ามือ “ดีสิ แบบนี้ก็ดีเลย เจ้าขุนเขา ข้างกายตัวร ้ายไม่ ต้องมีลูกสมุนคอยช่วยเหลือสักคนหรอกหรือ?”
กวอจู๋จิ่วกล่าว “นั่นจะเป็ นแค่ตัวร ้ายเล็กๆ ที่ถูกพระเอกต่อยตาย ได้ด้วยหมัดเดียว ตัวร ้ายกลางๆ ที่ประลองปัญญาประลองความกล้า ล้วนแพ้ให้พระเอกก็ไม่ได้มีความหมายอะไรตัวร ้ายใหญ่อย่างอาจารย์ พ่อไม่ต้องการผู้ช่วยหรอก”
…… อารามเสวียนตู ฉีโจว ใต้หล้ามืดสลัว
คราวก่อนที่อู๋ซวงเจี้ยงมาเยือนถึงที่ได้เป็ นฝ่ ายแสดงตบะ ขอบเขตสิบสี่ให้เห็น นักพรตซุนรู ้ความหมายของเขา แน่นอนว่าอู๋ซว งเจี้ยงเป็ นคนที่ฉลาดเข้าขั้นหัวกะทิ ไม่ต้องพูดอะไรก็รู ้ความหมาย
ของนักพรตซุนแล้ว
แม้ว่าทั้งสองฝ่ ายจะมีศัตรูคนเดียวกัน แต่ข้าซุนไหวจงไม่มีทาง ร่วมมือกับเจ้าอู๋ซวงเจี้ยง
อารามเสวียนตูกับต าหนักสู้ยฉูยิ่งไม่มีทางเป็ นพันธมิตรกันได้
เมื่ออยู่บนมือของหวังซุนศิษย์พี่หญิงของเจ้าอารามซุน อาราม เสวียนตูก็ค่อยๆ ถูกปลูกฝังความเคยชินที่ดีอย่างหนึ่ง คือการสืบทอด อันดีงามที่แค่ใต้หล้ามืดสลัวพูดถึงก็หน้าซีดด้วยความกลัวทันที “เปิด โอกาสให้สหายบางท่านได้ท้าทายคนกลุ่มใหญ่ตัวคนเดียว
แต่คราวนี้นักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูตัดสินใจว่าจะออกเดิน ทางไกลเพียงล าพังเพื่อทาการท้าดวลเพียงลาพังตามความหมายที่ แท้จริง
วันนี้
ในห้องมีชั้นไม้ที่วางอ่างล้างหน้าไว้ใบหนึ่ง เวลานี้มีน้าอยู่เต็มอ่าง นักพรตเฒ่ายกม้านั่งมานั่งลง ปลดปิ่นเต๋าออก คลายมวยผม ในมือ
ถือฝักจ้าวเจี่ยว (พืชดอกสมุนไพรของจีนที่ถูกน ามาใช ้ท าเป็ นสบู่) แล้วเริ่มสระผม
แรกเริ่มเขายังพูดคุยกับคนที่อยู่หน้าประตู เพียงแต่ว่านางไม่เอ่ย อะไร นักพรตเฒ่าจึงหุบปาก หลีกเลี่ยงไม่ให้ศิษย์พี่หญิงที่ไม่ค่อยมี ความอดทนเท่าไรรู ้สึกร าคาญ
หวังซุนนั่งอยู่บนธรณีประตูเงียบๆ
ศิษย์พี่หญิงที่ยังคงมีรูปโฉมเป็ นเด็กสาวหันหลังให้กับศิษย์น้อง ในห้องที่มีรูปโฉมแก่ชรา
นางรู ้ว่าตัวเองเศร ้าใจอย่างมาก แต่รอกระทั่งนางยื่นนิ้วไปเช็ดที่ หางตากลับไม่มีน้าตาสักหยด
นับแต่เด็กมาจิตแห่งมรรคาก็ใสกระจ่าง อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องดี คนอื่นเสียใจอย่างสุดซึ้งก็อาจจะเงียบงัน แต่กลับรู ้สึกร ้าวรานปานจะ ขาดใจ หรือไม่ก็ร่าไห้น้าตาอาบใบหน้า
ทว่านางกลับได้แต่เบิกตามองตัวเอง ถามใจตัวเองว่าไฉนจึงไม่ เสียใจอย่างสุดแสน
นางถาม “เสี่ยวซุน ไม่ไปไม่ได้หรือ?”
ครั้งนี้ถึงคราวที่คนในห้องเงียบงันไม่พูดตอบบ้างแล้ว
นางเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนถามอีกว่า “ค่อยไปช ้ากว่านี้ไม่ได้หรือ? ยกตัวอย่างเช่นรอให้ข้าเป็ นขอบเขตสิบสี่ก่อนค่อยว่ากัน?”
ผู้เฒ่าในห้องพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ศิษย์พี่หญิงคุณสมบัติดี จิต แห่งมรรคาก็ยิ่งดี ไม่เลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ถึงจะเป็ นเรื่องแปลก ศิษย์ พี่หญิงเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่เป็ นแค่เรื่องที่จะเกิดขึ้นเร็วหรือช ้า เท่านั้น ในเมื่อเป็ นเช่นนี้จะไปช ้าไปเร็วก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง ข้าล้วน วางใจได้”
หวังซุนถาม “หรือไม่ให้ข้าช่วยจุดตะเกียงต่อชะตาให้กับเจ้าสัก ดวง?”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “แม้ว่าท่านจะเป็ นศิษย์พี่หญิง แต่ข้ากลับเป็ นเจ้า อาราม หวังซุน ท่านลองบอกมาสิว่าควรต้องฟังใคร”
หวังซุนก้มหน้า เหม่อมองไปยังทิศไกล
ผู้เฒ่าสระผมเสร็จแล้วก็รวบผมมัดเป็ นมวยอีกครั้ง ปักปิ่นเต๋าให้ เรียบร ้อย ยื่นมือมาถู “ใบหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “เป็ นความรู ้สึกสดชื่นที่ ไม่ได้สัมผัสมานานมากแล้ว”
หันหน้าไปมองทางหน้าประตู ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ศิษย์พี่หญิง ก่อน หน้านี้ออกเดินทางท่องไปในไพศาล เคยอ่านเจอหลักการเหตุผลข้อ หนึ่งในตารา รู ้สึกว่าดีมากเลย”
“ไหนลองว่ามาสิ”
“เปรียบเหมือนแสงประทีปหนึ่งดวง จุดสว่างให้อีกนับร ้อยนับพัน ดวง แม้ในที่มืดก็ยังสว่างไสว และแสงสว่างนั้นก็ไม่มีวันหมดสิ้น”
“นี่ไม่ใช่ภาษาของลัทธิพุทธหรือ?”
“หลักการเหตุผลในใต้หล้านี้ไม่มีการแบ่งฝักฝ่ าย ไม่ใช่ว่าฝ่ าย ใดมีเหตุผลแล้วฝ่ายอื่นก็จะต้องไร ้เหตุผลไม่ใช่หรือ?”
“ก็คงใช่กระมัง”
ผู้เฒ่ากล่าว “อันที่จริงวิถีทางโลกในทุกวันนี้ก็ไม่เลว”
หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “แต่ว่า ยัง ดีได้มากกว่านี้”
ชายแดนหรูโจว ในเขตการปกครองอิ่งชวนของแคว้นเล็กแห่ง หนึ่งมีอารามเต๋าขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในถิ่นกันดารห่างไกล มีชื่อว่า อารามหลิงจิ้ง
ท่ามกลางม่านราตรี เด็กหนุ่มที่สวมชุดเต๋าทาจากผ้าฝ้ าย เท้า สวมรองเท้าผ้าฝ้ ายคู่เก่าผลักประตูห้องของท่านลุงฉางให้เปิดออก แล้วเดินอาดๆ เข้าไปข้างใน
บนโต๊ะมีตะเกียงน้ามันหนึ่งดวงกับถั่วลิสงอีกหนึ่งจาน
ผู้เฒ่าเหล่ตามองเด็กหนุ่ม ไม่ได้พูดอะไร เพียงอ่านหนังสือของ ตัวเองต่อไป
ส่งท่านไกลพันลี้สุดท้ายก็ยังต้องจากลากันอยู่ดี
แต่ตอนนี้คากล่าวนี้ คล้ายว่าจะยังเร็วไป
ผู้เฒ่าผลักจานไปทางเด็กหนุ่ม
เฉินฉงยื่นนิ้วมาคีบถั่วลิสงเมล็ดหนึ่งโยนเข้าปาก เหลือบตามอง ต าราเล่มเก่าในมือของท่านลุงฉาง ถามอย่างประหลาดใจว่า “เปิดไป เปิดมา อ่านตั้งกี่รอบแล้ว สนุกหรือ”
ท่านลุงฉางตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย “อ่านหนังสือร ้อยรอบ ความหมายย่อมปรากฏ”
เฉินฉงไม่ชอบฟังหลักการเหตุผลเลื่อนลอยพวกนี้มาโดยตลอด หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ท่านลุงฉาง เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ปวดไหล่หรือไม่ ให้ข้าทุบให้ไหม?”
ท่านลุงฉางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เลิกใช ้มุกนี้กับข้าเถอะ มีลม ก็รีบผาย”
ถึงอย่างไรเฉินฉงก็ยังมีนิสัยเป็ นเด็กหนุ่ม เขาเอ่ยสัพยอกว่า “ท่านลุงฉาง พวกเรามีชีวิตพึ่งพากันและกันมานานหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยมีญาติมิตรแวะมาเยี่ยมเยือนเลย ถ้าอย่างนั้นท่านก็มีข้าเป็ น ญาติคนเดียวแล้วใช่ไหม? ท่านมีของมีค่าที่เป็ นสมบัติกันกรุอยู่บ้าง หรือเปล่า? ข้าเองก็ไม่ได้โลภมากอยากได้ของพวกนี้หรอกนะ ก็แค่ เอาออกมาให้ข้าได้ดูเป็ นบุญตา เปิดหูเปิดตาให้ข้าสักหน่อย”
ท่านลุงฉางยิ้มเอ่ย “ห้องนี้ก็ใหญ่แค่เท่านี้ เจ้าไปหาดูเอาเองเถอะ เชิญเจ้าพลิกค้นหีบตู้ชั้นพวกนั้นได้ตามสบาย หากหาเจอก็ถือว่าเจ้า มีความสามารถ ขอแค่เป็ นของที่มีค่าก็จะกลายเป็ นของเจ้าแล้ว”
เฉินฉงนอนฟุบลงบนโต๊ะ หัวคิ้วขมวดมุ่นไม่คลาย ทอดถอนใจ ดังเฮือกๆ “ท่านลุงฉางบ้านของพวกเรายากจนขนาดนี้ อยู่ในอาราม ก็สะสมเงินได้แค่ไม่กี่แดง วันหน้าข้าจะแต่งภรรยาได้อย่างไร”
ท่านลุงฉางกลั้นขา “หากเจ้ากล้าหาภรรยาที่นี่ก็ถือว่าเจ้ามี ความสามารถมากแล้วอย่างนี้เลยล่ะ”
เฉินฉงเหล่ตามองไป ท่านลุงฉางยกนิ้วโป้ งให้ตน ใบหน้าเต็มไป ด้วยรอยยิ้มชั่วร ้าย
เด็กหนุ่มบ่น “แก่แล้วยังไม่รู ้จักท าตัวจริงจังเสียบ้าง”
ผู้เฒ่ายื่นมือมาตบหัวเด็กหนุ่ม “พูดกับเจ้าตั้งกี่รอบแล้ว ไม่รู ้จัก เด็กไม่รู ้จักผู้ใหญ่ มิน่าเล่าถึงเป็ นเมล็ดพันธ ์บัณฑิตไม่ได้”
เฉินฉงยังคงนอนฟุบตัวต่อไป เขากางแขนออก ใช ้มือเคาะผิว โต๊ะ หัวเราะหึหึ “เมล็ดพันธ ์บัณฑิต? นั่นก็ต้องมีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่ใช่หรือ ท่านลุงฉาง ท่านบอกกับข้ามาให้แน่ชัด ท่านหวังให้ข้า เป็ นเต้ากวานที่ได้รับธรรมโองการอย่างเป็ นทางการซึ่งยากราวกับ เดินขี้นสวรรค์ หรือจะให้ถอยมาเลือกอันดับรอง สอบเป็ นจ้วงหยวน สร ้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูล? บอกไว้ก่อนนะว่าข้าไม่มี ความสามารถนั้นหรอก ท่านอย่าได้ฝากความหวังไว้เด็ดขาด จะได้ ไม่ต้องผิดหวังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พวกเราสองคนได้แต่ตาใหญ่มองตา เล็ก ถอนหายใจเฮือกๆ กันทุกวัน ถึงเวลานั้นท่านราคาญข้าก็ ราคาญ น่าเบื่อจะตายไป ว่าไหม?”
“ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์พอใจกับสภาพที่เป็ นอยู่ก็พอ”
ผู้เฒ่าพยักหน้าด้วยสีหน้าปราณี ใช ้นิ้วขยี้ไส้ตะเกียง ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ผิดหวัง ดีมากแล้ว”
เฉินฉงถามเสียงเบา “ท่านลุงฉาง ท่านอายุเท่าไรแล้ว”
ท่านลุงฉางมองเด็กหนุ่ม ยิ้มเอ่ยว่า “ยังไม่ตายเร็วๆ นี้หรอก”
เฉินฉงร ้องเพ้ยๆๆ ถลึงตากล่าว “อย่าพูดเหลวไหล ตายไม่ตาย อะไรกัน ต้องมีชีวิตอยู่อีกนานมาก!”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เฉินฉงถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านลุงฉาง ได้ยินมาว่าชาโก่ว ฉี่บ ารุงสุขภาพได้ดีมาก ท่านต้องการหรือไม่?”
ผู้เฒ่ายิ้มตาหยียกฝ่ ามือโบกไปทางเด็กหนุ่ม กตัญญูขนาดนี้ ยื่นหัวมา จะช่วยให้เจ้าได้เปิดสติปัญญา
เฉินฉงไม่ได้โง่ เขาเอ่ยว่า “ท่านลุงฉาง ช่วงนี้ข้ามีคาถามอยู่ข้อ หนึ่งที่ค่อนข้างสับสนจริงๆ คิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ”
ท่านลุงฉางวางตาราในมือลง ยิ้มถาม “ลองว่ามาสิ”
เฉินฉงกล่าว “ในต ารามีบอกไว้ว่าลูกผู้ชายควรกวาดล้างความอ ยุติธรรมในใต้หล้า จะมัวปัดกวาดแค่ห้องของตนได้อย่างไร? ผลคือ ต าราก็บอกไว้อีกว่าไม่ปัดกวาดห้องจะปัดกวาดใต้หล้าได้อย่างไร นี่
ไม่ใช่ว่าเหตุผลตีกับเหตุผลเองหรอกหรือ แล้วอันไหนที่ถูก ใครจะ ชนะ?”
ท่านลุงฉางยิ้มเอ่ย “ประโยคหนึ่งพูดถึงจิตใจ อีกประโยคหนึ่งพูด ถึงเรื่องราว เจ้าคิดว่าหลักการเหตุผลกาลังขึ้นเวทีต่อสู้กัน นั่นก็เป็ น เพราะเจ้าอ่านหนังสือได้ไม่เข้าใจมากพอเอาแต่คร่าเคร่งอ่านตารา
ถ่ายเดียว จะโทษคนโบราณไม่ได้หรอกนะ”
เฉินฉงขมวดคิ้ว “ทาไมต้องพูดให้ฟังดูลี้ลับขนาดนี้? ถ้าอย่าง นั้นข้าจะยกตัวอย่างให้ฟังแล้วกัน เปลี่ยนเป็ นท่าน สรุปแล้วควรจะมี ปณิธานห้าวหาญของผู้กล้าที่อยากปัดกวาดความอยุติธรรมในใต้ หล้าก่อน หรือควรจะวิ่งไปปัดกวาดบ้านเรือนตัวเองให้สะอาดก่อน?”
ผู้เฒ่าพูดด้วยประโยคที่แฝงความหมายลึกล้า “ข้าจะปัดกวาด บ้านเรือนก่อน”
เฉินฉงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง กระโดดลุกขึ้นยืน “ท่านลุงฉาง นี่ ท่านพูดเองนะ ถ้าอย่างนั้นท่านยังบ่นว่าข้าแอบอู้อยู่ทาไมทุกวัน ไม่มี เหตุผลเอาเสียเลย ท่านลุงฉาง พรุ่งนี้ท่านช่วยข้ากวาดอารามต่อนะ ข้าจะได้นอนตื่นสายได้”
ทาเอาผู้เฒ่าโมโหจนลุกขึ้นยืน วิ่งไปหยิบไม้กวาดที่วางไว้ในมุม ห้องขึ้นมา ทาท่าจะฟาดเจ้าลูกกระต่ายน้อยผู้นี้
เด็กหนุ่มวิ่งออกจากห้องไปแล้ว เขายกขาขึ้นสูง ทาท่าวิ่งช ้าๆ หันหน้ามายิ้มให้
ท่านลุงฉางกอดไม้กวาดไว้ในอ้อมอก ยืนอยู่ตรงหน้าประตู มอง
เฉินฉง ด่าช ้าๆ ว่าเจ้าเด็กหน้าเหม็น เด็กหนุ่มมีนิสัยเช่นนี้ นี่ต่างหากจึงจะเป็ นรูปโฉมดั้งเดิมของเขา ซิ่วหู่ชุยฉานแห่งใต้หล้าไพศาลเคยบดขยี้จิตแห่งมรรคาของศิษย์
น้องเล็กของตัวเองให้แหลกละเอียดเองกับมือ ผู้เฒ่าเหลือบตามองสีท้องฟ้ า ถอนสายตากลับมา มองแผ่นหลัง
ของเด็กหนุ่ม ศิษย์น้องเล็ก อีกไม่นานฝนก็จะตกแล้ว