กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1069.1 ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์น้องเล็ก
ในอาณาเขตของอิ่งชวนมีม้าสามตัวขี่เคียงข้างกันมาท่ามกลาง ลมพายุหิมะ มุ่งหน้าไปตามพิกัดบนแผนที่ แยกออกจากทางหลวงที่ ค่อนข้างกว้างขวางเข้าสู่ทางเส้นเล็กสายหนึ่งในภูเขา
ยามเที่ยงวัน เพียงแค่เพราะหิมะใหญ่เท่าขนห่านครั้งนี้ตกลงมา ไม่หยุด การมองเห็นของคนทั้งสามจึงพร่าเลือน เป็ นเหตุให้เส้นทาง สายเล็กระหว่างภูเขาที่เดิมทีก็คดเคี้ยวอยู่แล้วยิ่งเดินทางได้ลาบาก โชคดีที่ม้าของพวกเขาสามคนไม่ใช่ม้าชั้นเลว แต่เป็ นม้าพันธ ์ดีที่มา จากศูนย์เต้าหย่วนของเมืองหลวง ว่ากันว่าเป็ นทายาทของเจียวภูเขา แม้ว่าสายเลือดจะเจือจางไปบ้างแล้ว แต่กระนั้นก็ยังสามารถขึ้นเขาลง ห้วยได้เหมือนเดินบนพื้นราบ การออกเดินทางครั้งนี้ นอกจาก เอกสารผ่านด่านของพวกเขาแล้ว สิ่งที่สาคัญที่สุดยังคงเป็ นเอกสาร ที่มาจากลายมือของรองเจ้ากรมขุนนางแห่งเมืองหลวง จากนั้นมีเจิน เหรินผู้พิทักษ์แคว้นเป็ นผู้ลงนาม แล้วจึงผ่านการตรวจสอบของ อารามเต๋าที่ใหญ่ที่สุดของหรูโจวจึงจะออกเอกสารนี้มาได้
ม้าตัวที่เป็ นผู้นาคือหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมหมวกม่านสีดา บน ร่างสวมชุดเต๋าสีเขียวมรกตหนาชั้นอบอุ่น
คิ้วโก่งโค้งพวงแก้มอวบอิ่ม เรือนร่างมองดูคล้ายผอมแต่แท้จริง กลับอวบ นางขี่ม้าพันธ ์ดีสีเหลืองอ่อนจางตัวหนึ่ง
รองเท้าปักคู่นั้นเผยให้เห็นว่ามีการแต้มสีทองลงไปบางเบา
ม้าสองตัวด้านหลังคือหนึ่งชายหนึ่งหญิง บุรุษขี่ม้าสีดา แต่งกาย ด้วยชุดเต๋สีเขียวเรียบง่าย บนศีรษะสวมงอบไม้ไผ่สาน สะพายกระบี่
สตรีเรือนกายแข็งแกร่งกายา เดิมทีผิวพรรณก็ดาคล้าอยู่แล้ว ยิ่ง อยู่ใต้หิมะขาวโพลนเช่นนี้ก็ยิ่งขับให้นางดาเกรียมเป็ นถ่านมาก กว่าเดิม แต่นางกลับสวมเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด สวมกระโปรงแดงสีชาด ที่ปักลายกลุ่มบุปผาสีทอง ตรงชายแขนเสื้อปักเป็ นลายนกหลวน
ในฐานะสาวใช ้ผู้ติดตาม อายุของนางยังไม่มาก เพียงแต่ว่าร่าง ก าย าไปสักหน่อย ตรงเอวพกดาบที่เรียบง่ายเล่มหนึ่ง
และม้าที่นางขี่ก็เป็ นม้าสูงใหญ่ สองข้างของตัวม้าห้อยหีบใบเก่า ไว้ข้างละใบ หีบใบหนึ่งบรรจุเสื้อผ้า อีกใบหนึ่งบรรจุตารา
และยังมีวัตถุฟางขุ่นมูลค่าควรเมืองอีกชิ้นหนึ่งที่คุณหนูมอบให้ นางดูแลพร ้อมกัน คือสมบัติหนักที่นายท่านผู้เฒ่าของตระกูลมอบให้ คุณหนูตอนที่นางเลื่อนเป็ นขอบเขตถ้าสถิต
มีวัตถุฟางขุ่น การออกเดินทางครั้งนี้ของพวกเขาถึงคล่องตัว เพราะมีสัมภาระน้อยนอกจากห่อสัมภาระที่ต่างคนต่างสะพายไว้บน ไหล่และหีบสองใบที่ห้อยไว้ข้างอานม้าแล้วพวกม้านั่งที่พับได้ กล่อง ใส่อาหารรวมไปถึงกระปุกขวดทั้งหลายล้วนบรรจุไว้ในวัตถุฟางชุ่น ทั้งหมด
สตรีที่มารับหน้าที่เป็ นผู้ดูแลอารามเล็กที่อาเภอฉางเส้อเขตอิ่ง ชวนมีชื่อว่าเจี่ยนซู่ เมื่อฤดูหนาวของปี ก่อน นางเพิ่งจะเลื่อนเป็ น ขอบเขตถ้าสถิต ตอนนี้ยังไม่มีฉายา
ศิษย์พี่ไฉอวี้ นามหยวนเจีย ขอบเขตชมมหาสมุทร ฉายา “เสิง โม่” ภูมิลาเนาไม่ได้อยู่ที่แคว้นหนันซานซึ่งอยู่ใต้อาณัติของเขตอิ่ง ชวน แต่เป็ นแคว้นกูลวี่ซึ่งเป็ นที่ตั้งพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของพรรค จินกั่ว ในอาณาเขตของแคว้นมีต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้ า มีชื่อเสียง อย่างมากในหรูโจวของมืดสลัว
สาวใช ้ซูเฉิง ชื่อเล่นว่าฮวาเชี่ยว คือ “คนคลั่งดอกไม้” อย่าง แท้จริง เชี่ยวชาญการปลูกพืชพรรณดอกไม้นานาชนิด แต่จะถนัด ปลูกดอกโบตั๋นมากเป็ นพิเศษ สวนดอกไม้ของตระกูลเจี่ยนค่อนข้าง มีชื่อเสียงอยู่ในเมืองหลวง คุณความชอบครึ่งหนึ่งก็ต้องยกให้กับฮวา เชี่ยว
หนึ่งปีที่ผ่านมาดินฟ้ าอากาศค่อนข้างจะแปลกประหลาด ตอน แรกก็เป็ นหน้าร ้อนของเมื่อปีก่อนที่แล้งหนัก เรียกได้ว่าไม่เคยเจอมา ก่อนในรอบห้าร ้อยปี เทพวารีของแต่ละมณฑลและเซียนน้าสายต่างๆ ในใต้หล้าต่างก็โอดครวญกันไม่ขาดปาก ได้ยินมาว่าพ่อปู่ ล าคลอง หลายคนถูกแสงแดดแผดเผาจนร่างทองปริแตก จากนั้นพอเข้าสู่ หน้าหนาวก็เจอกับหิมะตกกระหน่าติดต่อกัน พูดถึงแค่วันนี้ที่เป็ นช่วง ปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่กลับยังมีหิมะใหญ่ปลิวปรายราวบุปผา ไฉอวี้จับประคองงอบบนศีรษะ ยื่นมือมาป้ องข้างปาก เอ่ยว่า “ศิษย์
น้องหญิง ฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า นครอวี่หวงก็จะมีการป่ าวประกาศ ฉายา เจ้าไปอยู่ที่อารามอาเภอฉางเส้อแล้วก็อย่าลืมตั้งฉายาที่ตัวเอง ชอบเอาไว้ล่ะ ทางที่ดีที่สุดก่อนจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ก็ให้ทั้ง ทางตระกูลในเมืองหลวงและศาลบรรพจารย์ของส านักช่วย เตรียมการไว้ให้เจ้าแต่เนิ่นๆ ช่วยวางแผนให้เจ้าไว้ก่อน พยายามให้ เจ้าได้ฉายาที่ตัวเองชื่นชอบ รับรองว่าจะผ่านมติของนครอวี่หวง อย่างน้อยที่สุดต้องมีการส่งจดหมายไปมาหากันครั้งหนึ่ง เชื่อศิษย์พี่ เถอะ ฉายาบางอย่างที่ความหมายยิ่งใหญ่เกินไปก็อย่าคิดจะเสี่ยงดวง เลย ไม่มีทางผ่านแน่ แม้จะบอกว่าเต้ากวานต้องมีฉายาที่คิดขึ้นเอง สามชื่อไว้เตรียมไปให้กับนครอวี้หวงแต่สิบสี่มณฑลของมืดสลัว หก สิบปีถึงจะมีการประชุมครั้งใหญ่จัดขึ้นครั้งหนึ่ง เต้ากวานในใต้หล้าที่ ฝากความหวังไว้กับเรื่องนี้มีมากมายถึงเพียงใด จานวนนับล้านคน ทุกคนมีคนละสามชื่อ รวมกันแล้วก็หลายสิบล้านฉายา ระดับความ ยากที่จะตั้งชื่อได้สาเร็จมีมากแค่ไหนแค่คิดก็พอรู ้ได้แล้ว…”
เจี่ยนซู่ยิ้มพูดตัดบทคาบ่นของศิษย์พี่ “ขอการแต่งตั้ง” จากนคร อวี้หวงป๋ ายอวี้จิง เดิมทีก็เป็ นเรื่องที่ต้องเสี่ยงดวงอยู่แล้ว ไม่ผ่านก็เป็ น เรื่องปกติมาก ผ่านได้นั่นแหละจึงจะเป็ นเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน ถึง อย่างไรหากไม่ได้รับการแต่งตั้ง อย่างมากข้าก็แค่ใช ้ฉายาที่ตระกูล ของตัวเองในแคว้นหนันซานพวกเราเตรียมไว้ให้ก็พอ”
เต้ากวานของแต่ละมณฑลมีหรือไม่มีฉายาคือการแบ่งขอบเขต อย่างหนึ่ง นี่หมายความว่านักพรตที่ได้รับโองการเจอกับอาจารย์
ผู้ทาพิธี ประหนึ่งมนุษย์ธรรมดาที่เข้าพิธีสวมกวาน มีนามเป็ นของ ตัวเอง
เพียงแต่ว่าอยู่ในใต้หล้ามืดสลัว คิดอยากจะมีฉายาก็ไม่ใช่เรื่อง ง่ายเลย
ราชสานักของแต่ละแคว้นต่างก็มีคลังเก็บเอกสารที่เอาไว้เก็บ บันทึกฉายาโดยเฉพาะทุกๆ หกสิบปี จะมีการแก้ไขให้ถูกต้อง ปรับเปลี่ยนใหม่และเสริมส่วนที่ขาดหนึ่งครั้ง
เพราะอารามน้อยใหญ่และสือฟางฉงหลินทุกแห่งในสิบสี่มณฑล ของใต้หล้าล้วนถือเป็ นของป๋ ายอวี้จิง นี่จึงเป็ นเหตุให้ฉายาของเต้า กวานทุกคนมิอาจซ้ากันได้
ดังนั้นทุกๆ หกสิบปีจึงจะถึงระยะเวลาที่กาหนดไว้ ก็คืองานพิธี ยิ่งใหญ่ในการ “แสวงหามรรคา” ซึ่งมีผู้คนเข้าร่วมมากมายเหมือน ปลาตะเพียนข้ามแม่น้า หากสามารถได้รับฉายาที่นครอวี้หวงป่ าว ประกาศด้วยตัวเองทั้งยังมีเอกสารส่งมาให้ ก็จะถูกเต้ากวานมองเป็ น การ “บรรลุมรรคา” ถือเป็ นนิมิตหมายอันดีใหญ่เทียมฟ้ า ดังนั้นไฉอวี้ กับเจี่ยนซู่ที่คุยกันถึงได้พูดถึง “การขอแต่งตั้ง อีกทั้งนักพรตที่สร ้าง นครอวี่หวงก็ยังเป็ นถึงเจ้าลัทธิใหญ่ของป๋ ายอวี้จิง คือลูกศิษย์คนแรก ของมรรคาจารย์เต๋า ดังนั้นฉายาที่ได้มาจากงานพิธีครั้งนี้จึงมี ความหมายไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
นีจึงเป็ นเหตุให้เจ้าลัทธิใหญ่โค่วหมิงกลายมาเป็ นเหมือน “อาจารย์ผู้คุมสอบ ส าหรับการสอบเคอจวี่ครั้งใหญ่ทุกหกสิบปีของ เต้ากวานกลุ่มนี้
เพื่อแย่งชิงและกาหนดฉายาไว้ล่วงหน้า วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ นครอวี่หวงแห่งป๋ ายอวี้จิงที่ดูแลเรื่องการประกาศทะเบียนชื่อบน ท าเนียบของนักพรตจึงจะท าการ “เปิดประตู” ในยามจื่อ กระบิบินแจ้ง ข่าวและยันต์เจ็ดสีจะแผ่มืดฟ้ ามัวดิน กรูกันมาถึงเหมือนฝูงตั๊กแตน นี่ ก็เพื่อช่วยให้เต้ากวานในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมราชสานักบ้านตัวเอง ได้รับฉายาที่มี “ความหมายงดงาม” ตรงใจแต่เนิ่นๆ
สิบสี่มณฑล ผู้ฝึกตนใหญ่หลายคนที่เลื่อนเป็ นห้าขอบเขตบน นานแล้ว ถึงขั้นที่ว่าจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีฉายาที่จริงจัง นี่ก็เพื่อ “ลองเสี่ยงดวง” ผลคือสิบกว่าครั้งแล้วก็ยังขอการแต่งตั้งได้ไม่สาเร็จ
ฮวาเชี่ยวยื่นมือมาปัดหิมะที่ทับถมอยู่บนขนคอม้า เอ่ยว่า “คุณหนู กรมพิธีการของราชสานักสารองฉายาไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ป๋ า ยอวี้จิงมาถึงหรู่โจวของพวกเรา แต่ไหนแต่ไรมาก็ต้องผ่านมือของ ราชสานักชื่อจินมาก่อน บางทีระหว่างนี้อาจยังต้องถูกราชวงศ์ใหญ่ อีกหลายแห่งคัดเลือกมาก่อนแล้วรอบหนึ่ง สุดท้ายกว่าจะมาถึง แคว้นหนันชานของพวกเราฉายาที่เหลืออยู่ก็มีแค่ร ้อยกว่าฉายา แล้ว ยังเป็ นของเหลือที่คนอื่นเลือกไปแล้วด้วย ความหมายธรรมดา ฟัง แล้วสามัญอย่างมาก มีบางฉายาที่ฟังยากจนไม่เหมือนฉายาเลยด้วย ซ้าอักษรบางตัวข้าถึงกับไม่รู ้จักด้วย ฉายาหนึ่งมีตั้งสามสี่ตัวอักษร
มันเข้าท่าแล้วหรือ ฉายาที่พอจะใช ้ได้หน่อยก็ถูกศาลบรรพจารย์ของ สองพรรคนั่นแย่งไปแล้ว หรือไม่ก็ถูกอารามที่ใหญ่ที่สุดพวกนั้นใช ้ เส้นสายกับราชสานัก ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อไปเงียบๆ กว่าจะเหลือ ฉายาที่พอใช ้ได้ไว้ไม่ใช่เรื่องง่ายก็ยังถูกคนแย่งไปหมดแล้ว แย่งกัน แทบหัวร ้างข้างแตก”
เห็นว่าศิษย์น้องหญิงเหม่อลอย ไฉอวี้ก็เอ่ยว่า “มักจะเกิดคลื่น มรสุมเพราะเรื่องนี้บ่อยๆ ตระกูลชนชั้นสูงหลายแห่งต่อสู้กันทั้งในทาง ลับและทางแจ้ง ไม่กินเส้นกันก็เพราะเหตุนี้”
จั่ยนซู่ยื่นมือออกไปรองหิมะที่ตกลงมา พึมพาว่า “ฉายาก็เป็ นแค่ ของนอกกายเท่านั้นไม่ใช่หรือ? มนุษย์ธรรมดาช่วงชิงชื่อเสียงและ ผลประโยชน์กัน เป็ นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ แต่พวกเราคือนักพรตนะ”
ไฉอวี่ส่ายหน้า รู ้สึกอ่อนใจเป็ นทบทวี กาลังจะอธิบายต่ออีกสัก หน่อยเพื่อไม่ให้ศิษย์น้องคิดอะไรไร ้เดียงสาเช่นนี้ นี่ไม่ควรเลย
แต่เห็นได้ชัดว่าเจี่ยนซู่ไม่อยากจะเถียงกับศิษย์พี่ในเรื่องนี้ นาง จึงคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “รู ้แล้วๆ ข้าจะเก็บมาใส่ใจแน่”
นอกจากนี้ฉายาของเต้ากวานห้าขอบเขตบนทุกคน ต่อให้จะ เป็ นคนที่สละร่างไปจากโลกนี้แล้ว คนยุคหลังก็มิอาจใช ้ฉายาซ้ากับ พวกเขาได้
ได้ยินมาว่าเจ้าลัทธิลู่มีการเสนอแนะมาโดยตลอด เรียกร ้องให้ ประกาศฉายาของเต้ากวานขอบเขตหยกดิบในประวัติศาสตร ์ ทั้งหลายให้โลกภายนอกทราบ
เล่าลือกันว่าเจ้าลัทธิท่านนี้ยังแนะนาด้วยว่าฉายาของเซียนดินที่ เสียชีวิตไปแล้วบางคน ป๋ ายอวี้จิงสามารถเก็บรักษาไว้ให้แทนเป็ น
เวลาร ้อยปีได้
ลูกหลานรุ่นหลังของพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแต่ละแห่งหรือ ลูกหลานในตระกูล หากในอนาคตมีใครที่มีความหวังจะเลื่อนเป็ น เซียนดินก็สามารถมาเสริมตาแหน่งนี้ได้ ถือว่าเป็ นการสืบทอดฉายา นี้ต่อ ซึ่งก่อนหน้าที่จะเป็ นนี้นักพรตก็สามารถทาไปตามลาดับ ขั้นตอนสามารถมีฉายาที่ได้มาตามกระบวนการ แต่เมื่อเลื่อนเป็ น เซียนดินเมื่อไหร่ หากอยากจะสืบทอดฉายาก็สามารถไปเยือนนค รอวี้หวงของป๋ ายอวี้จิงรอบหนึ่งเพื่อเอาฉายาที่บรรพจารย์ของพื้นที่ ประกอบพิธีกรรมหรือบรรพบุรุษในตระกูลเคยตั้งไว้มาใช ้ อีกทั้งฉายา ทั้งสองก็ไม่ถือว่าขัดแย้งกัน ไม่จ าเป็ นต้องเลือกฉายาหนึ่งแล้วทิ้งอีก ฉายาหนึ่ง สามารถครอบครองฉายาสองอย่างได้ในเวลาเดียวกัน ก็ เหมือนที่ปัญญาชนมีฉายาที่ตั้งเอง มีนามปากกาที่ตั้งเอง
แต่น่าเสียดายที่ข้อเสนอสองข้อนี้ไม่ผ่านความเห็นชอบ คนทั้ง ใต้หล้าต่างก็รู ้กันดีอยู่แก่ใจว่านักพรตของป๋ ายอวี้จิงที่สามารถตีตก ค าแนะนาของเจ้าลัทธิลู่ได้ก็มีแค่เจ้าลัทธิอวี๋เท่านั้นแล้ว
ได้ยินมาว่าที่ใต้หล้าไพศาลไม่มีข้อพิถีพิถันเช่นนี้ มีแค่ฉายา ของผู้ฝึ กตนท าเนียบของจวนเซียนใหญ่บางแห่งเท่านั้นที่จะต้อง รายงานและถูกจดลงบันทึกของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางอย่างเข้มงวด
ผู้ฝึ กตนท าเนี ยบของพรรคเ ล็ก ขอแค่ไม่เอะอะไป ได้ ผลประโยชน์แล้วแอบมีความสุขอยู่กับตัวเอง ไม่ป่ าวประกาศเรื่องนี้ ไปข้างนอกอย่างก าเริบเสิบสาน แน่นอนว่าก็ไม่สามารถตั้งฉายา “เก่าแก่” ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเกินไปได้เหมือนกัน โดยทั่วไปแล้วก็ไม่ได้ เป็ นปัญหาอะไร เพราะส านักศึกษาของศาลบุ๋นเองก็ดูแลได้ไม่ทั่วถึง ราชสานักในท้องถิ่นก็ไม่อยากจะสนใจ ส่วนผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายก็ ยิ่งสามารถตั้งฉายาได้ตามใจชอบ
หากจะพูดถึงใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง ที่นั่นคือสถานที่ไร ้ชื่อไร ้แป ไหน เลยจะมีกฎเกณฑ์อะไรให้พูดถึง
สาวใช ้ฮวาเชี่ยวเอ่ยอย่างเป็ นกังวล “คุณหนู ตอนที่หงเหมี่ยว ปลดประจาการได้ทิ้งเรื่องเละเทะที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กเอาไว้เรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับผีสาวที่หลบหนีฝ่ าฝืนข้อต้องห้ามรากฐานสถานะของนางยัง ไม่มีข้อสรุป ผีตนนี้จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ถูกจับ ร่องรอยไม่ชัดเจน พวกเราควรต้องระวังสักหน่อย พยายามใช ้ทางหลวงจุดพักม้าให้มาก เดินทางผ่านเส้นทางเล็กตามป่าเขาให้น้อย”
เส้นทางโบราณระหว่างภูเขาไม่มีรอยเท้าคนไปเยือน ถนน หนทางคับแคบ รถม้ามิอาจเคลื่อนผ่านได้ หลุมบ่อระหว่างเส้นทาง ภูเขาส่วนใหญ่มักจะเกิดจากกีบเท้าม้าของพ่อค้าที่ขนส่งชาและเกลือ
ทิ้งไว้ บนเส้นทางมีหิมะทับถมหนาชั้น หากม้าไม่ระวังเหยียบเข้าก็จะ ขากะเผลก ไฉอวี้จับประคองงอบไม้ไผ่สานบนศีรษะให้ตั้งตรง พยัก หน้าเอ่ยว่า “ฮวาเชี่ยวกล่าวได้ถูกต้องแล้ว พวกเราควรต้องระวังให้ มากหน่อย”
เจียนซู่ยิ้มเอ่ย “จากบันทึกในอักขรานุกรมท้องถิ่น ในภูเขาลูกนี้ มีสานักเต๋าถูกทิ้งร ้างแห่งหนึ่งซึ่งมีประวัติศาสตร ์ยาวนาน พวกเราเจอ เมื่อไหร่ก็ค่อยออกเดินทางกันต่อ”
ไฉอวี้กล่าวอย่างอ่อนใจ “ศิษย์น้องหญิง หากข้าจาไม่ผิด ก่อน หน้านี้ไปเยือนอารามหวงถิงที่ตั้งอยู่ตีนเขาของยอดเขาจี๋ชุ่ย และยังมี ชากปรักโบราณอีกสองแห่งที่ไปเยือนตอนหลัง ดูเหมือนว่าเจ้าจะ ไม่ได้พูดอย่างนี้นะ”
ในอาณาเขตหรู่โจว ซากปรักโบราณที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ อารามหวงถึงที่สร ้างขึ้นตรงดินเขาของยอดเขาจี๋ชุ่ย เรียกได้ว่าเป็ น อารามขนาดใหญ่ยักษ์ ถูกขนานนามว่าเป็ นที่ตั้งของศาลบรรพชน สายเต๋าของสายหวงถึงที่แยกออกมาจากนครหนันหัวป๋ ายอวี้จิง บรรพจารย์ที่ถูกตั้งบูชาอยู่ภายในมีคุณธรรมสูงส่งยึดมั่นใน หลักธรรมอย่างลึกล้า ก็คือรองเจ้านครหนันหัว นางถูกเรียกขานว่า เว่ยฮูหยิน ฉายาว่า “จื่อชวี” คือหยวนจวินหญิงอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า มืดสลัว
และเว่ยฮูหยินก็คือหนึ่งในสิบตัวสารองของใต้หล้าในครั้งนี้
ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของนางมีนักพรตหญิงคนหนึ่งที่ ได้รับวิชาอภินิหารจากสวรรค์ ทาหน้าที่ควบคุมการผลิบานและร่วง โรยของดอกไม้ทั้งหล้า ในประวัติศาสตร ์นางเคยมีการกระทาที่ “บัญชาเหล่าหมู่มวลดอกไม้ไม่ให้ออกจากภูเขา วสันตฤดูในโลก มนุษย์ไม่มีบุปผาผลิบาน” ด้วยเหตุนี้จึงเกือบจะถูกเจ้าลัทธิอวี๋จับตัว ให้เข้าไปทบทวนความผิดอยู่ในถ้าแยนเสียตาหนักเจิ้นเยว่ ยังคงเป็ น เจ้าลัทธิใหญ่ที่ช่วยขอร ้องแทนนาง แล้วก็ได้ออกท่องไปตามมณฑล ต่างๆ ในใต้หล้าพร ้อมกับนักพรตหญิงคนนั้น คืนร ้อยบุปผาให้แก่ โลกมนุษย์ทาความดีชดใช ้ความผิด ถึงได้หลีกเลี่ยงการลงทัณฑ์ใน ครั้งนั้นไปได้
อารามเต๋าขนาดใหญ่ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตาหนักบางแห่ง ส่วนมากมักจะมีป้ ายศิลาที่ประวัติศาสตร ์ยาวนานอยู่เป็ นจานวนมาก ยกตัวอย่างเช่นศิลาที่ซ่อมแซมขึ้นใหม่ในวันเดือนปีใด ศิลาที่เป็ น รายการบริจาคของเหล่าผู้มีจิตศรัทธา หรือไม่ก็บันทึกทรัพย์สมบัติ บันทึกจานวนที่ดิน รวมไปถึงป้ ายศิลาควันธูปที่บันทึกระบบการสืบ ทอดเอาไว้ ฯลฯ ทุกครั้งที่มีงานวัด เหล่าพ่อค้ามารวมตัวกัน เดินไหล่ เสียดสีสันเท้าเบียดกัน ทุกครั้งที่มีงานพิธีก็ยิ่งมีทั้งเซียนและมนุษย์ ธรรมดาปะปนกัน พวกภูตที่จาแลงร่างได้สาเร็จก็จับมือกันมาเยือน มาฟังค าสรรเสริญสดุดีเหล่าเทพเจ้าของพวกเซียนแห่งลัทธิเต๋า เสียง ระฆังเสียงกลองดังก้องพร ้อมเพรียง เสียงชิ่งหยกตีแว่วกังวาน
ม้าสามตัวลุยหิมะควบมาถึงสานักเต๋าที่ผุพังสภาพไม่เหลือดี กลางภูเขาแห่งนั้น พวกเขาต่างก็ต้องผิดหวังกันเล็กน้อย เดิมทีหาก อิงตามเนื้อหาที่บันทึกไว้ในอักขรานุกรมท้องถิ่นบนผนังของต าหนัก ข้างที่อยู่ในสานักเต๋ามีลาเนางูและมังกรบทหนึ่งที่หายสาบสูญไปนาน แล้ว บันทึกถึงเรื่องราวของตระกูลเซียนบอกว่า เคยมีนายพรานเด็ก หนุ่มคนหนึ่งพลัดหลงเข้ามาในภูเขาแห่งนี้ เพราะโชควาสนานาพา จึงได้รับคาถาเซียนไป เคยลุยน้าฆ่าเจียวจับฉิวและมังกร ได้เทพธิดา สองคนกลับไปเป็ นภรรยา สุดท้ายมองทะลุความวุ่นวายแห่งโลก มนุษย์ท่ามกลางชีวิตผู้คนในตลาด จึงจับมือคนรักหวนกลับมาใน ภูเขา สร ้างสานักเต๋าขึ้น เจ้าของสานักเต๋าท่านนี้เชี่ยวชาญการวาด ภาพ เคยสร ้างฉากบังลมชิ้นหนึ่งขึ้นมาในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมบ้าน ตัวเอง ด้านบนวาดฝูงม้าที่แปรเปลี่ยนได้สารพัดรูปแบบ มีชีวิตชีวา สมจริง ทุกครั้งที่ผ่านไปหนึ่งปีก็จะมีม้าตัวหนึ่ง “กระโดด” ออกมาจาก ฉากบังลม จ าแลงร่างกลายเป็ นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ควบตะบึงอยู่ระหว่างฟ้ า ดิน และสีสันของม้าตัวนี้ที่อยู่บนฉากบังลมก็จะซีดจางตามไปด้วย รอ กระทั่งร ้อยปีให้หลัง ฝูงม้าที่มีสีสันก็กลายเป็ นภาพลายเส้นสีขาวเจ้า สานักชอบออกไปเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ มักจะปิดบังชื่อแซ่ไปทาการ แต้มนัยน์ตามังกรให้กับภาพวาดมังกรบนฝาผนังของวังหลวงใน แคว้นต่างๆ หากเจอวันที่มีลมมีฝน มังกรบนผนังหินก็จะสะบัดเรือน กาย พุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้ า บ้างก็ไปวาดนกอินทรี นกกระจอกบน ผนังบังตาหรือไม่ก็บนโต๊ะในห้องหนังสือของตระกูลชั้นสูง มีชีวิตชีวา เห็นแล้วเหมือนเป็ นของจริง ต้องยื่นมือออกไปลูบถึงจะรู ้ว่าเป็ นแค่
ภาพวาด เล่าลือกันว่าเซียนท่านนี้ยังเคยวาดมังกรไว้บนผ้าแพรต่วน สีขาวแล้วมอบให้กับจักรพรรดิองค์สุดท้ายของแคว้นหนึ่งที่ล่มสลาย ยามที่แพรต่วนคลี่กางก็จะมีไอเมฆหมอกล้อมวน แม้มันจะถูกเก็บ รักษาไว้ในกล่องภาพวาดอย่างดีก็ยังได้ยินเสียงเหมือนฟ้ าค ารณดัง ขึ้นบ่อยๆ…สุดท้ายเจ้าอารามก็จับมือคนรักสองคนบินทะยานจากไป ด้วยกัน ทิ้งไว้เพียงสานักเต๋าที่ว่างเปล่าไร ้ผู้คน นายพรานและขบวน พ่อค้าที่ผ่านทางมาทางนี้มักจะได้ยินเสียงกีบเท้าม้าควบตะบึงอยู่บน ก าแพงและเสียงม้าร ้องยามค่าคืนอยู่เป็ นประจา ประหนึ่งต้องการจะ ขอดื่มน้า ขอกินหญ้าจากคนที่ผ่านทางมาแล้วมาค้างแรมที่นี่…
ผลคือพอถึงตอนเช ้ากลับไม่เห็นอะไรสักอย่างในสานักเต๋าที่ถูก ทิ้งร ้างกลายเป็ นซากปรักมานานแล้วแห่งนี้
อย่าว่าแต่ฉากบังลมขึ้นนั้นเลย แม้กระทั่งภาพม้าที่อยู่ในก าแพง ของห้องข้างก็ยังมีรอยขวานจามรอยขุดเจาะเต็มไปหมด ถึงขั้นที่ว่า อิฐหลายก้อนยังถูกคนมางัดเอาไป คาดว่าคงจะถูกน าไปแกะสลักเป็ น จานฝนหมึก กลายไปเป็ นของประดับตกแต่งบนโต๊ะหนังสือของ ปัญญาชนยุคหลังกระมัง