กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1069.2 ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์น้องเล็ก
เจี่ยนซู่ถอนหายใจ “น่ าเสียดายที่ถูกทิ้งร ้างไปทั้งอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นหากสร ้างศูนย์เต้าหย่วนประจาเมืองไว้ที่นี่สักแห่งก็มาก พอเหลือแหล่”
ไฉอวี้ยิ้มเอ่ย “หากสิ่งที่บันทึกไว้ในอักขรานุกรมท้องถิ่นเป็ น ความจริง เซียนเหรินเจ้าส านักเต๋าเคยวาดมังกรมอบให้กับฮ่องเต้ ของราชวงศ์ก่อนโดยไม่คิดค่าตอบแทน ถ้าอย่างนั้นฮ่องเต้ผู้บุกเบิก แคว้นหนันซานที่ถือเป็ นจักรพรรดิพระองค์ใหม่ แน่นอนว่าต้องไม่ ยินดีจะมาสร ้างส านักเต๋าใหม่ไว้ที่นี่”
ไปพักผ่อนกันอยู่ในห้องด้านข้าง พอจะอาศัยผนังและกาแพงที่ผุ พังหลบลมหลบฝนได้ ฮวาเชี่ยวหยิบข้าวของทั้งหลายออกมาจาก วัตถุฟางชุ่นเล้วก็เริ่มก่อไฟ วางหม้อหุงข้าวจากนั้นอุ่นเหล้าให้เต้า กวานไฉอวี่หนึ่งกา
เจี่ยนซู่นั่งอยู่บนม้านั่งปักลายตัวเล็ก นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงถาม ว่า “สถานการณ์ของที่อารามหลิงจิ้งเป็ นอย่างไร?”
“คุณหนูหนอ ในที่สุดท่านก็คิดเรื่องเป็ นการเป็ นงานออกเสียที”
สาวใช ้ฮวาเชี่ยวรีบวางชามและตะเกียบลง หยิบสมุดเล็กเล่มหนึ่ง ออกมาจากชายแขนเสื้อ ในที่สุดก็ได้เอาออกมาใช ้งานเสียที ด้านใน คือเนื้อหาที่นางรวบรวมมาจากช่องทางต่างๆ และเอามาจัดระเบียบ
อย่างละเอียด แต่ละข้อแต่ละเรื่องล้วนถูกนางบันทึกไว้ในสมุดเล่มนี้ อย่างรอบคอบ
“พอหงเหมี่ยวเจ้าอารามคนก่อนจากไป ในอารามก็ไม่มีนักพรต ที่ได้รับธรรมโองการอีก มีแค่นักพรตที่ประจาการอยู่แค่ไม่กี่คน เท่านั้น คนเฝ้ าศาลชื่อว่าหลิวฟาง อายุห้าสิบสามปี เป็ นคนในท้องถิ่น คนแต่ละรุ่นของตระกูลเขาล้วนอาศัยอยู่ใกล้กับอารามหลิงจิ้ง ชาติ กาเนิดขาวสะอาด ที่ดินของอารามครึ่งหนึ่งล้วนเป็ นที่ดินของตระกูล หลิวพวกเขา ดูเหมือนว่าตระกูลหลิวจะมีคาสั่งสอนจากบรรพบุรุษอยู่ ข้อหนึ่งบอกว่าลูกหลานสกุลหลิวทุกรุ่นจะต้องมอบ “ที่นาควันธูป” ให้กับทางอาราม ไม่ว่าจะเป็ นกี่ไร่หรือนากี่ผืน สกุลหลิวก็ต้องทุ่มเท ให้เต็มที่”
เจี่ยนซู่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “มีใจมากแล้ว พอไปถึงที่นั่น พวกเราไปพักที่อารามเต๋ากันก่อน จากนั้นค่อยไปเยี่ยมเยือนสกุล หลิวรอบหนึ่ง เตรียมของขวัญที่เหมาะสมเพื่อแสดงน้าใจของพวกเรา ไปด้วยสักชิ้น”
ไฉอวี้ยิ้มเอ่ย “อันที่จริงในฐานะนักพรตที่เป็ นเจ้าอาวาส หง เหมี่ยวไม่เคยอยู่ในทาเนียบเต๋า แค่เป็ นเต้ากวานตัวสารองเท่านั้น สภาพการณ์เช่นเดียวกับเจ้าฮวาเชี่ยว รับหน้าที่เป็ นเจ้าอารามก็ถือ ว่าเป็ นการแต่งตั้งโดยไม่ยึดตามกฎเกณฑ์แล้ว”
เจี่ยนซู่กล่าว “ก็ไม่ถือว่าเป็ นการแหกกฎเอาตัวมาใช ้ในงาน ส าคัญ เพราะถึงอย่างไรอดีตเจ้าอารามหงก็เป็ นเต้ากวานตัวส ารอง
ขอบเขตชมมหาสมุทร มารับหน้าที่เป็ นนักพรตผู้ดูแลที่อาเภอฉาง เส้อก็ไม่ถือว่าเป็ นงานที่ดีอะไร”
ฮวาเชี่ยวยิ้มกว้าง “หม่าฉงก็คือญาติห่างๆ ของสกุลหลิว ใช ้เส้น สายเข้าไปอยู่ในอารามหลิงจิ้ง ในเอกสารที่ปลดตาแหน่งของหง เหมี่ยวได้ตั้งใจพูดถึงข้อหนึ่ง หม่าฉงผู้นี้ต้องมีโอกาสได้ฝึ กตน แน่นอน แน่นอนว่ายังมีเอกสารแนบท้ายเอกสารปลดหงเหมี่ยวอีก หนึ่งฉบับที่ไม่ต้องเก็บเข้าระเบียนของที่ว่าการ นี่ก็เพราะจงใจเอาไว้ ให้เจ้าอารามคนใหม่ได้ใช ้อ้างอิงด้านบนกล่าวไว้ว่าหลิวฟางคนเฝ้ า ศาลเคยรับปากกับอารามหลิงจิ้งไว้นานแล้วว่าจะจัดสรรนาสองไร่และ ที่ดินภูเขาที่ปลูกต้นมะพลับไว้เต็มพื้นที่อีกผืนหนึ่งให้ ที่ดินภูเขาได้มี การส่งมอบโฉนดกันไปนานแล้ว แต่นาข้าวสองไร่นี้ หลายปีมานี้ล้วน ยื้อมาโดยตลอด แค่มองก็รู ้ว่าน่าจะเบี้ยวหนี้แล้ว หึ ภูเขาเหี่ยวแห้งน้า แล้งย่อมเกิดชาวบ้านหัวหมอ”
“ฉางเกิงที่เป็ นเตี่ยนเค่อคือปัญญาชนในท้องถิ่นที่ตระกูลตกอับ ตอนยังหนุ่มที่บ้านมีฐานะดี คือคุณชายเสเพลที่มีชื่อเสียงในอ าเภอ ทั้งหลายของเขตอิ่งชวน ใช ้ชีวิตที่สุขสบายมาจนชินแล้ว เพราะไม่ เชี่ยวชาญการทาการค้า ทุกปีมีค่าใช ้จ่ายเยอะมาก รายรับไม่พอกับ รายจ่าย รอกระทั่งอายุมากขึ้น เงินในมือก็ฝืดเคือง ว่ากันว่าเพราะใน อดีตอารามหลิงจิ้งติดหนี้เขาก้อนหนึ่ง กลายเป็ นคดีฟ้ องร ้องที่เละเทะ ครั้งหนึ่ง ดูเหมือนว่าจานวนเงินจะไม่น้อย ทางอารามจนปัญญาจริงๆ เพราะถึงอย่างไรก็เกี่ยวพันไปถึงเจ้าอารามคนก่อน หงเหมี่ยวที่มารับ
ต าแหน่งก็ไม่สะดวกจะสืบเสาะต่อไป ถึงได้ท าให้ฉางเกิงเข้ามาเป็ น เตี่ยนเค่อที่อาราม หลายปีมานี้ก็ถือว่าทาหน้าที่อย่างซื่อตรง”
“เฉินฉง อายุสิบหกปี เป็ นญาติของเตียนเค่อฉางเกิง พวกเขา เข้ามาอยู่ในอารามหลิงจิ้งปีเดียวกัน”
“หลินซู”
“หืม?”
“ซู ตัวอักษรที่มีส่วนประกอบคาว่ามือ บวกกับอักษรลวี่จากคาว่า พิจารณาไตร่ตรอง ที่บ้านเปิดร ้านค้าสามร ้านอยู่ในอ าเภอ พอจะมี เงินอยู่บ้าง ถือว่าเป็ นตระกูลมีอันจะกินบรรพบุรุษล้วนท างานเป็ น เสมียนในที่ว่าการอาเภอของท้องถิ่น เพราะเมื่อหลายปี ก่อนกอง ก าลังส่วนใหญ่ของแคว้นหนันซานของพวกเรายกเลิกต าแหน่ง พนักงานที่ไม่จาเป็ นทิ้งไป คนรุ่นพ่อของหลินซูจึงไม่อาจใช ้ชีวิตอยู่ ต่อไปได้ ถึงได้หันไปทาการค้า ทุกวันนี้มีความสัมพันธ ์ที่ไม่เลวกับ ที่ว่าการอาเภอ พอจะถือว่าเป็ นงูเจ้าถิ่นได้อยู่กระมัง แต่ก็เป็ นอย่างถู ไถมากแล้ว”
“ถู่เกา ถู่เกาจากประโยคที่ว่า “ปราณหยางลอยระอุ ดินสมบูรณ์ ขยับเคลื่อนไหว”
ฮวาเชี่ยวเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะเช่นกัน น้าฝนกระตุ้นให้ดินอุด สมบูรณ์ขยับเคลื่อนหมื่นหญ้าพันบุปผาพากันเบ่งบาน
เจียนซู่ถาม “ถู่เกา? ชื่อเดิมหรือ?”
ฮวาเชี่ยวพยักหน้า “เป็ นชื่อเดิม แต่ว่าอันที่จริงคนผู้นี้มีชาติ ก าเนิดธรรมดา บรรพบุรุษคือคนต่างถิ่นที่ย้ายจากนอกเขตมายัง อ าเภอฉางเส้อ เคยเปิ ดศูนย์ฝึ กยุทธอยู่นานหลายปี แต่ไม่นานก็ ด าเนินกิจการต่อไม่ไหว บางทีทรัพย์สมบัติที่เก็บสะสมเอาไว้นั่น ต่างหากถึงได้ท าให้ถู่เกาเข้าไปอยู่ในอารามได้”
ไฉอวี้ยิ้มเอ่ย “แซ่สกุลล้วนหาได้ยาก”
เจี่ยนซุ่ขมวดคิ้วน้อยๆ ยิ่งฟังยิ่งรู ้สึกผิดปกติ “ต่อให้อารามหลิงจิ้ง จะเล็กแค่ไหน แต่จะดีจะชั่วก็เป็ นอารามที่ทางราชสานักจดลงบันทึก ที่ว่าการในท้องถิ่นออกเงินสร ้างขึ้นอย่างเป็ นทางการ คิดอยากจะ กลายเป็ นนักพรตที่ประจาการณ์อยู่ในอารามเต๋าประเภทนี้ ดู เหมือนว่าไม่ใช่แค่จ่ายเงินไม่กี่แดงก็เข้าไปอยู่ได้กระมัง?”
ไฉอวี้กลั้นขา “อันที่จริงก็เข้าใจได้ไม่ยาก เดิมทีเขตอิ่งชวนก็ ไม่ใช่เขตการปกครองใหญ่อะไร อ าเภอฉางเส้อยังเป็ นอาเภอที่ ยากจนที่สุด ตั้งอยู่ในพื้นที่กันดารห่างไกล คาดว่าอารามก็น่าจะ ยากจนมากเหมือนกัน”
สถานการณ์ของอารามเต๋าที่คล้ายคลึงกันนี้มีให้พบเห็นอยู่ไม่ น้อย เพียงแต่ว่าศิษย์น้องหญิงมาจากตระกูลชนชั้นสูงของแคว้น อีก ทั้งยังฝึ กตนมาตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่านางจึงไม่ค่อยเข้าใจเรื่อง ขนบธรรมเนียมผู้คนประเภทนี้
พูดถึงแค่เขตและอาเภอที่อยู่ในหนึ่งแคว้น ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร ์ที่ อ่านยาก บางอาเภอก็ร่ารวยมีเหลือกินเหลือใช ้ แต่บางเขตบาง จังหวัดกลับยากจนจนไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกปากหม้อ
เขตและจังหวัดมากมายที่มีอาณาเขตกว้างขวาง ภาษีที่ส่งมอบ ในแต่ละปี บางทีอาจยังสู้อาเภอแห่งอื่นไม่ได้ด้วยซ้า
เจี่ยนซู่ถาม “ในเอกสารเจ้าอารามหงได้เขียนหรือไม่ว่า เขาได้ ถ่ายทอดเวทคาถาชักน าของตระกูลเซียนขั้นพื้นฐานให้พวกเขาสัก บทสองบทบ้างหรือไม่?”
ฮวาเชี่ยวพยักหน้า “มี เพียงแต่ว่าได้ผลไม่ดีนัก บางทีคนที่พอจะ มีความเกี่ยวข้องกับเต้ากวานบ้างเล็กน้อยก็น่าจะมีแค่หม่าฉงเท่านั้น”
เพราะถึงอย่างไรเต้ากวานก็ไม่ได้เป็ นกันง่ายขนาดนั้น หากไม่มี ฐานกระดูกในการฝึกตน คิดอยากจะอาศัยการสอบเคอจวี่ใน ‘อันดับ รอง’ มาคว้าสถานะเต้ากวาน ได้ทาเนียบ เต๋า “น้าขุ่น” มาครอง ระดับ ความยากกลับสูงยิ่งกว่า ข้อเรียกร ้องด้านความสามารถทาง วรรณกรรมก็ยิ่งสูงมากขึ้น
เจี่ยนซู่ถอนหายใจ “ในเมื่อเจ้าอารามหงปลดประจาการไปแล้ว แต่ไม่ได้พาใครออกไปจากอารามหลิงจิ้งสักคนเดียว นี่ก็สามารถ อธิบายปัญหาได้เป็ นอย่างดีแล้ว”
ใช่ตัวอ่อนเต้ากวานหรือไม่ มีคุณสมบัติในการฝึ กตนหรือไม่ ฐานกระดูกดีเลวสูงต่าอารามเต๋าในใต้หล้า ตระกูลใหญ่ชนชั้นสูงแต่
ละแห่งล้วนมีวิธีการในการตรวจสอบที่เป็ นความลับไม่แพร่งพรายอยู่ มากมาย
เจี่ยนซู่ถามอีก “เด็กหนุ่มพวกนี้นิสัยเป็ นอย่างไรกันบ้าง?”
ฮวาเชี่ยวลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “เกียจคร ้าน”
“ล้วนขี้เกียจกันอย่างมาก การบ้านประจาวันหรือกิจธุระน้อย ใหญ่ในอาราม หากหลบได้พวกเขาล้วนพากันหลบเลี่ยง ไม่มีสักคน ที่ขยันมือเท้าคล่องแคล่ว”
“คุณหนู พวกเขาพึ่งพาไม่ได้ก็ไม่เป็ นไร วันหน้าข้าจะรับผิดชอบ งานประจ าวันอย่างพวกการเก็บกวาดเช็ดถูพวกนี้เอง ให้พวกเขาทา กลับกลายเป็ นว่าข้าจะไม่วางใจ”
ไฉอวี้ยิ้มเอ่ย “ถึงอย่างไรก็เป็ นอู่ข้าวอู่น้าแห่งหนึ่ง ตระกูล ปัญญาชนที่สืบทอดตระกูลด้วยการท านาและศึกษาเล่าเรียนก็ยังมี อยู่ไม่น้อย โชคชะตาบุ๋นพอจะมีอยู่บ้างบางส่วนเพียงแต่ว่าค่อนข้าง กระจัดกระจายไม่รวมเป็ นหนึ่ง”
แล้วจากนั้นไฉอวี้ก็ใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “หงเหมี่ยวกับถานโส่วที่ เพิ่งมาอยู่ในอารามตอนหลัง นับว่าท าอะไรค่อนข้างมีคุณธรรมอยู่ บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผ่านการตรวจสอบลมและน้าจากถานโส่ว คิดดูแล้วปัญหาในเขตอ าเภอฉางเส้อคงมีไม่มาก พูดถึงแค่บริเวณ ใกล้เคียงกับอารามเต๋าก็ค่อนข้างจะมั่นคงอยู่มาก”
ซูเฉิงยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าถานโส่วเพิ่งจะเลื่อนเป็ น ขอบเขตถ้าสถิตตอนอายุสามสิบ เมื่อเทียบกับคุณหนูของพวกเราก็ ถือว่าด้อยกว่ามาก ไม่ถือว่าเป็ นคนมีพรสวรรค์อะไร”
ไฉอวี้ส่ายหน้า “ตระกูลถานมีฐานกาลังทรัพย์หนาล้า คือตระกูล ใหญ่ที่มีชื่อเสียงอย่างสมชื่อ ถานโส่วยังเป็ นผู้สืบทอดที่เจ้าประมุข เลือกตัวมาเอง นางต้องไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่แสดงออกภายนอกแน่ จะดูแค่ขอบเขตอย่างเดียวไม่ได้”
ไฉอวี้จาได้อย่างชัดเจนว่ามีครั้งหนึ่งเจ้าประมุขสกุลถานไปเป็ น แขกที่พรรคจินกั่ว บรรพจารย์เจ้าประมุขที่ไม่ชอบไปมาหาสู่กับใคร ที่สุดถึงกับไปยืนรอต้อนรับเซียนดินโอสถทองที่หากนับกันตาม อายุขัยการฝึกตนถือว่าเป็ นคนรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งที่หน้าประตู นอกจากนี้ สิ่งที่ทาให้ตระกูลถานมีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือได้ครอบครองแท่น ประกอบพิธีกรรมส่วนตัว อยู่ในหรู่โจวที่อาณาเขตกว้างขวางอย่าง มากแห่งนี้ถือว่าเป็ นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง เพราะถึงอย่างไรในอาณา เขตของหรู่โจว แท่นทาพิธีแต่ละฝ่ ายที่มีคุณสมบัติจะมอบธรรม โองการเป็ นการรวนตัว รวมๆ แล้วก็มีไม่เกินยี่สิบกว่าแห่งเท่านั้น
เจี่ยนซู่กล่าว “ฮวาเชี่ยว ถึงเวลานั้นเจ้าก็จ่ายเงินซื้อเรือนสักหลัง ไว้ในอ าเภอฉางเส้อข้ามีเวลาว่างแล้วจะไปหาเจ้า”
ในฐานะนักพรตผู้ดูแลอาราม สามารถตัดสินใจได้ว่าในกลุ่มของ นักพรตที่ประจาการในอารามใครจะอยู่ใครจะไป
ไม่พูดถึงสถานะเจ้าอาวาส พูดถึงแค่นักพรตที่ได้รับธรรม โองการอย่างแท้จริง กับนักพรตที่ประจาการซึ่งไม่ถือว่าเป็ นเต้ากวาน ที่เป็ นตัวสารอง ก็เหมือนความต่างระหว่างขุนนางและเสมียนชั้น ผู้น้อยในที่ว่าการ ต่างกันราวฟ้ ากับเหว
แต่เจี่ยนซู่รู ้สึกว่าไม่มีความจาเป็ นที่จะต้องเป็ นขุนนางใหม่ไฟแรง สามกอง แค่รักษาภาพลักษณ์เดิมของอารามไว้ก็พอแล้ว นางจะ ตั้งใจอ่านตาราฝึ กตนอยู่ที่นั่น พวกเขาก็ใช ้ชีวิตของตัวเองต่อไป อย่าได้ก่อเรื่องก่อราวอะไรอีกเลย
ฮวาเชี่ยวได้ยินก็ร ้อนใจขึ้นมาทันใด นางรีบเอ่ยโน้มน้าวคุณหนู ของตัวเองว่า “คุณหนูไม่มีข้าอยู่ข้างกาย แล้วก็ไม่มีคนใกล้ชิดที่คอย ปรนนิบัติรับใช ้ แบบนี้จะได้อย่างไร ไม่ได้เด็ดขาดเลย! อีกอย่างใน อารามหลิงจิ้งก็มีคุณหนูเป็ นสตรีแค่คนเดียว คุณหนูยังหน้าตางดงาม ถึงเพียงนี้ พวกคนขี้เกียจในอารามไม่มีอนาคตอะไร แต่กลับเป็ นคน หนุ่มบุ่มบ่ามที่กาลังอยู่ในช่วงวัยเลือดร ้อน สวรรค์เท่านั้นที่รู ้ว่าพวก เขาจะสมองเลอะเลือนทาเรื่องต่าช ้าอะไรหรือไม่ คุณหนูคือผู้ฝึกตน แน่นอนว่าต้องไม่กลัวว่าพวกเขาจะล่วงเกิน แต่อยู่ด้วยกันทุกวัน ถึง อย่างไรก็ไม่สะดวก ทั้งอาบน้า เข้าห้องส้วม เสื้อผ้าที่ซักแล้วต้องเอา ไปตาก…”
ไฉอวี้รีบเอ่ยคล้อยตามทันใด “ฮวาเชี่ยวพูดมีเหตุผล ถึงอย่างไร ชายหญิงก็มีความแตกต่าง ทางที่ดีสุดที่สุดให้ฮวาเชี่ยวได้ฝึกตนพัก อยู่ในอารามหลิงจิ้งชั่วคราว แค่ให้เงินไปสักเล็กน้อยก็พอแล้ว เชื่อว่า
ทางฝั่งของที่ว่าการอาเภอก็ไม่น่าจะมาชักไช ้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบ นี้”
แม้จะบอกว่าไม่ต้องกังวลว่าในอารามหลิงจิ้งจะมี…คู่ต่อสู้ แต่พอ คิดถึงภาพที่ชายหนุ่มเลือดร ้อนกลุ่มนั้นจ้องเขม็งไปยังเสื้อผ้าอาภรณ์ ของสตรีที่ตากอยู่บนราวไม้ไผ่ ไฉอวี้ที่เป็ นศิษย์พี่ก็รู ้สึกไม่สบายใจ
แล้ว
ไม่ได้ พอไปถึงที่นั่น ตนจาเป็ นต้องให้เด็กหนุ่มที่มีชาติกาเนิดมา จากสถานที่เล็กๆ กลุ่มนั้นได้รู ้ว่าอะไรควรไม่ควร ให้พวกเขาได้รู ้ถึง ความต่างระหว่างเซียนและมนุษย์ธรรมดา
เจี่ยนซู่เอ่ยสัพยอก “ก็ต้องโทษเจ้านั่นแหละ หากมีสถานะเต้า กวานอย่างเป็ นทางการข้าก็สามารถพาเจ้าไปรับหน้าที่ด้วยกันได้ ให้ เจ้าไปเป็ นผู้บรรยายอะไรก็ยังได้ ผลคือเจ้ากลับดีนัก นับแต่เด็กมา พออ่านตาราทีไรก็ง่วงทุกที คนอื่นอ่านหนังสือ แต่เจ้ากลับเอาน้าลาย มาล้างหนังสือเสียอย่างนั้น หากไม่เป็ นเพราะขาดไหวพริบเกินไปก็ คงไม่ถึงกับคว้ามาไม่ได้แม้กระทั่งทาเนียบผู้รับโองการ จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังเป็ นตัวส ารองเต้ากวานอยู่ หากยอมทุ่มเทความคิดจิตใจสัก ครึ่งหนึ่งของการปลูกดอกไม้และฝึ กวรยุทธ เอาไปไว้กับการท่อง ต าราป่านนี้ก็สอบติดไปนานแล้ว”
หงเหมี่ยวเจ้าอารามคนก่อนของอารามหลิงจิ้งก็ถือเป็ นคน ประเภทนี้ อันที่จริงขอบเขตเพียงพอมานานแล้ว แต่กลับมิอาจผ่าน
การทดสอบครั้งสุดท้ายได้ ไม่ได้รับทาเนียบเต้าอย่างเป็ นทางการที่ ทางราชส านักแจกจ่ายให้เสียที
ฮวาเชี่ยวเอ่ยเสียงเบา “หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็จะหาแท่นพิธีบูชาสัก แห่งแล้วซื้อทาเนียบส่วนตัวมาก็แล้วกัน คุณหนูท่านวางใจได้ ข้า สะสมเงินไว้ส่วนหนึ่ง สามารถออกเงินซื้อ…”
เจี่ยนซู่ถลึงตากล่าว “เป็ นตัวส ารองเต้ากวานแล้ว ขาดก็แค่การ ทดสอบของศูนย์เต้าหย่วนในเมืองหลวงเท่านั้น จะปล่อยให้ทุกสิ่งที่ ท ามาเสียเปล่าไปได้อย่างไร เจ้าช่วยมีเป้ าหมายบ้างได้หรือไม่?! บอก ไว้ก่อนนะว่าพอไปถึงอ าเภอฉางเส้อ เจ้าจงตั้งใจท่องตาราแต่โดยดี อย่าได้หวังว่าจะแอบอู้ ทุกเดือนข้าจะตรวจสอบการบ้านของเจ้า หาก ว่าไม่ผ่านด่านสองครั้ง เจ้าก็ต้องกลับเมืองหลวงไปแต่โดยดี ไม่ว่า ใครขอร ้องแทนเจ้าก็ไม่ได้ผล ต่อให้เป็ นท่านปู่ทวดก็เหมือนกัน!”
ทาเนียบส่วนตัวที่ได้มาจากแท่นพิธีบูชาของแซ่หนึ่ง ถือเป็ น “วิธี นอกลู่นอกทาง” สาหรับใต้หล้ามืดสลัว แต่อยู่ในสิบสี่มณฑลของใต้ หล้าแห่งนี้ อันที่จริงกลับไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
บวกกับผู้ฝึ กตนบนยอดเขาและเต้ากวานใหญ่หลายคนใน ประวัติศาสตร ์ที่ต่างก็เคยก่อตั้งพรรค สร ้างแท่นพิธีกรรม สืบทอดสาย ของตัวเอง ควันธูปทอดยาวมาจนถึงทุกวันนี้
ถานโส่วมาจากตระกูลถานตระกูลปัญญาชนที่มีชื่อเสียงของ เขตซินมี่ ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในคนกลุ่มนี้ ได้ครอบครองแท่นทาพิธีส่วนตัว แห่งหนึ่งเช่นกัน
ดังนั้นในใต้หล้ามืดสลัวจึงมีคากล่าวอย่างหนึ่งที่สามารถคิดเป็ น จริงหรือจะไม่คิดเป็ นจริงก็ได้ “ยอมหาเรื่องลูกศิษย์ผู้สืบทอดของ ส านัก แต่อย่าไปผูกปมแค้นกับแท่นท าพิธีของตระกูลใด
เพียงแค่เพราะว่าตระกูลที่ “บรรพบุรุษ” มีแท่นทาพิธีส่วนตัว จะต้องเคยมีชีวิตหรูหราร่ารวยมาก่อนเหมือนกันโดยไม่มีข้อยกเว้น อีกทั้งต้องไม่ใช่แค่ “ความร่ารวย” ทั่วไปเท่านั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็ น นักพรตขอบเขตหยกดิบขึ้นไป
ผู้ฝึกตนบางส่วนที่ยึดมั่นในแนวทางของตัวเอง เมื่อถึงขอบเขต เซียนดิน หรือแม้กระทั่งเป็ นห้าขอบเขตบนแล้วก็ยังเป็ นแค่นักพรตที่ ได้รับธรรมโองการส่วนตัวเท่านั้น
แม้จะบอกว่าทาเนียบเต๋าที่แท่นพิธีของตระกูลต่างๆ มอบให้ไม่มี ทางได้รับการยอมรับจากป๋ ายอวี้จิงแน่นอน แต่ป่ ายอวี้จิงกลับผ่อน ปรนให้ในเรื่องนี้คล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนาซึ่งก็หมายความว่า นักพรตที่ได้รับธรรมโองการส่วนตัวซึ่งมีมากมายหาที่สิ้นสุดไม่ได้ พวกนี้เนื่องจากไม่ถูกต้องชอบธรรม มิอาจรับหน้าที่เป็ นขุนนางน้าใส ของราชส านักในแต่ละแคว้นได้ มิอาจรับหน้าที่ใดๆ ในอารามเต๋าที่ ทางการเป็ นผู้ก่อตั้งได้ แต่หากออกจากบ้านไปข้างนอก เรียกตัวเอง ว่านักพรตก็ยังไม่มีปัญหาใดๆ ขอแค่แสดงทาเนียบเต๋าฉบับนั้น
โดยทั่วไปแล้วก็สามารถผ่านด่านในสิบสี่มณฑลได้อย่างราบรื่น แต่ หากไปเจอกับราชสานักบางแห่งที่มีการสั่งห้ามโองการส่วนตัวอย่าง เข้มงวด ถึงขั้นที่ว่ามองแท่นทาพิธีของแต่ละตระกูลเป็ นการกระทาที่ ละเมิดกฎ เต้ากวานนอกลู่ที่ “ประวัติความเป็ นมาไม่ถูกต้อง” พวกนี้ก็ ได้แต่เดินอ้อมไปทางอื่นเท่านั้น
ในประวัติศาสตร ์แท่นทาพิธีโองการส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดก็คือของ …โจรขโมยข้าวสายเหยี่ยนโจว!
แต่เรื่องนี้ได้กลายเป็ นหัวข้อต้องห้ามสาหรับเต้ากวานทุกคนใน ใต้หล้ามืดสลัวไปแล้ว
ฮวาเชี่ยวหน้าม่อย
หากรู ้แต่แรกนางคงไม่คุยเรื่องธรรมโองการส่วนตัวแล้ว
ฮวาเชี่ยวทาท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ไฉอวี้เปิดอ่านกิจธุระน้อยใหญ่ที่บันทึกอยู่ในสมุดเล่มนั้น จัดเรียง อย่างเป็ นระเบียบอย่าเห็นว่ารูปโฉมของซูเฉิงค่อนข้างจะ…หยาบ กระด้าง แต่อันที่จริงนางเป็ นคนที่จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผม
ช่วงนี้การที่นางสวมชุดสีแดงสดเช่นนี้เป็ นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะยามอยู่ในตลาดที่คึกคักจอแจมักจะถูกคนมาถามทางหรือไม่ก็ เกี้ยวพาราสีเป็ นประจา ซึ่งคาทักทายของพวกเขาก็คือ “ท่านผู้แกร่ง กล้า
ฮวาเชี่ยวบ่น “คุณหนู ควันธูปของอารามหลิงจิ้งในอาเภอฉางเส้ อแห่งนี้…มีเท่ากับไม่มีเลยนะ! ยากจนจริงๆ! หากไม่เป็ นเพราะเมื่อสอง ปี ก่อนมีการซ่อมแซมบูรณะใหม่ พวกเราไปครั้งนี้ก็ต้องไปดื่มลม ตะวันตกเฉียงเหนือแล้วจริงๆ ที่ข้าพูดนี่คือความหมายตามตัวอักษร นะ! หิมะใหญ่เท่าขนห่านตกลงมาครั้งเดียวก็ทับเรือนหลายหลังให้พัง ถล่ม แล้วยังเป็ นหงเหมี่ยวที่ไปร ้องขอแทบกราบกรานกว่าจะขอให้ชน ชั้นสูงในท้องถิ่นยอมบริจาคเงินได้ พูดถึงแค่อารามที่อยู่ติดกันใกล้ กับอ าเภอฉางเส้อแห่งนั้น ไหนเลยจะชักหน้าไม่ถึงหลังขนาดนี้เมื่อปี ก่อนก็เพิ่งจะขยับขยายพื้นที่สร ้างตาหนักหลิงกวานและห้องบรรยาย ของอารามที่กินพื้นที่หลายไร่ไปไม่ใช่หรือ คนเปรียบเทียบกับคน ชวนให้คนโมโหตาย ของเปรียบเทียบกับของชวนให้โยนทิ้งจริงๆ!”