กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1069.3 ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์น้องเล็ก
โดยทั่วไปแล้วทางอารามจะต้องมีทรัพย์สินเป็ นของตัวเอง อีกทั้ง การบรรยายธรรมและงานพิธีบูชาเทพเจ้าก็จะต้องมีการบริจาคเงินค่า ธูปเทียน เมื่อชายหญิงผู้มีจิตศรัทธามีเยอะ อารามก็จะไม่ขาดเงิน เจ้า อาวาสของอารามบางส่วนที่หากมีชื่อเสียงก็สามารถรับหน้าที่เป็ น อาจารย์ผู้ถ่ายทอดธรรมโองการ เท่ากับว่าอารามเต๋ามีผู้สืบทอดเป็ น ของตัวเองแต่อารามหลิงจิ้งของอาเภอฉางเส้อต้องการอะไรกลับไม่มี ขาดอะไรก็ล้วนขาดไปเสียทุกอย่าง!
หากไม่พูดถึงการซ่อมแซมในช่วงเวลาที่หงเหมี่ยวอยู่ นับตั้งแต่ที่ คนใจบุญผู้หนึ่งออกเงินซ่อมแซมไปครั้งหนึ่งเมื่อในอดีต ก็ดู เหมือนว่าอารามหลิงจิ้งจะไม่เคยเพิ่มอิฐเพิ่มกระเบื้องใหม่มานานสอง สามร ้อยปีแล้ว
เจี่ยนซู่หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “หากเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ อารามกันดารห่างไกลอย่างอารามหลิงจิ้งนี้ ช่วงแรกเริ่มของการ ก่อสร ้าง แม้จะมั่นคงอยู่ก็จริง แต่พวกช่างไม้ในเวลานั้นต้องไม่มีใคร แอบอู้หรือลดคุณภาพของวัตถุดิบในการผลิตกระมัง?”
ไฉอวี้ดื่มเหล้า ไม่เสียแรงที่เป็ นศิษย์น้องหญิง ใจกว้างจริงๆ
เจี่ยนซู่เอ่ย “แบบนี้ก็ดีมากไม่ใช่หรือ ไม่ต้องมีการต้อนรับขับสู้ ใคร จะได้อยู่อย่างเงียบสงบ”
นางออกจากเมืองหลวงมาครั้งนี้ เดิมทีก็เพื่อหลบความวุ่นวายอยู่ แล้ว
ไม่อย่างนั้นด้วยชาติตระกูลและคุณสมบัติในการฝึกตนของนาง หากจะบอกว่าให้ไปอยู่ภูเขาที่ได้รับพระราชทานชื่อหรืออารามเต๋า ของเชื้อพระวงศ์ที่ต้องคัดลอกคัมภีร ์ถวายให้แก่ฮ่องเต้และไทเฮาด้วย มือตัวเอง เดินก้าวเดียวก็ขึ้นสู่ตาแหน่ง รับหน้าที่เป็ นเจ้าอาราม นั่น คือความฝันของคนปัญญาอ่อน หรือหากคิดรับตาแหน่งที่ค่อนข้าง โดดเด่นอย่างผู้บรรยายก็ยังค่อนข้างจะยากล าบาก แต่หากจะบอกว่า ท่านปู่ทวดของเจี่ยนซู่ยินดีที่จะช่วยวิ่งเต้นในกรมขุนนางให้นาง บวก กับการปักบุปผาลงบนผ้าแพรของพรรคจินกั่วที่เป็ นสานักของนางให้ เจี่ยนซู่ไปรับหน้าที่ในอารามในอาณาเขตของจังหวัดใหญ่หรือ อารามที่ราชสานักสั่งให้สร ้าง เพื่อรับ “ตาแหน่งดีที่สบาย” โดยไม่ หวังอานาจที่แท้จริง ก็ไม่มีปัญหาใดๆ เลย
ไฉอวี้นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ ไม่รู ้ว่าเหตุใด ดูเหมือนว่าอารามเต๋าที่ ขนาดค่อนข้างใหญ่ในแต่ละแคว้น พอไปถึงระดับของจังหวัดก็ดู เหมือนว่าทุกวันนี้จะต้องมีการขยับขยายตาหนักหลิงกวานประหนึ่ง ไฟลามทุ่ง
“หิมะหยุดตกแล้ว”
เจี่ยนซู่กล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ออกเดินทางกันต่อ พยายามให้ไป ถึงอาเภอสวี่เซี่ยนที่อยู่ติดกับอ าเภอฉางเส้อก่อนตะวันตกดิน แล้วหา
โรงเตี๊ยมพักค้างแรมกันที่นั่น พรุ่งนี้เช ้าไปดูที่อารามของอาเภอสวี่ เซี่ยนก่อน แล้วพวกเราค่อยเดินทางไปยังอารามหลิงจิ้ง”
ตามแนวเส้นแกนกลางการก่อสร ้างอารามเต๋าแต่ละแห่ง สิ่งปลูก สร ้างจะมีความคล้ายคลึงกัน ผ่านประตูภูเขาไปแล้วก็คือต าหนักหลิง กวาน ตาหนักหลักที่ตั้งบูชาภาพเหมือนของมรรคาจารย์เต๋าและเจ้า ลัทธิสามท่านของป๋ ายอวี้จิง จากนั้นก็เป็ นเส้นที่ทอดยาวออกไป แต่ ศาลจื่อซุนกับศาลฉงหลินจะแตกต่างไปบ้างเล็กน้อย ฝ่ ายแรกใน ต าหนักบรรพจารย์มักจะเปลี่ยนภาพเหมือนของเจ้าลัทธิไปเป็ นภาพ ของบรรพจารย์ แซ่ดั้งเดิม ซึ่งเป็ นผู้ก่อตั้งอาราม แต่ในตาหนักข้าง ฝั่งตะวันออกและตะวันตก อารามเต๋าของแต่ละแคว้นก็มีความ แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่มักจะตั้งบูชาองค์เทพ เซียนเจินของลัทธิเต๋า ที่ต่างกัน ต าหนักเหวินชาง ต าหนักเหย้าหวัง เทียนกงกรมสายฟ้ า ต าหนักราชามังกร ศาลชะตาชีวิตคู่ ศาลเทพเจ้าแห่งโชคลาภบุ๋นบู๊ ฯลฯ มีมากมายนับไม่ถ้วน
ไฉอวี้ควักเอาถุงหลายใบออกมา “ศิษย์น้องหญิง รับไว้เถอะ วัน หน้าต้องได้ใช ้แน่หน้ากากที่อยู่ในนี้ข้าไปขอมาจากผู้ฝึกยุทธหญิง คนหนึ่งที่มาจากภูเขายาชาน มีครั้งหนึ่งนางผ่านอาณาเขตของ ส านักพวกเรา ข้าบังเอิญได้รู ้จักกับนาน หากอิงตามล าดับอาวุโส อาจารย์ของอาจารย์นางก็คือชีฮูหยินคนนั้น”
ถุงใบหนึ่งคือใบไม้ทอง ถุงใบหนึ่งคือเศษเม็ดเงิน บวกกับ “หน้ากาก” ที่ทาอย่างประณีติอีกชิ้นหนึ่ง
ก่อนจะออกจากบ้านมาในครั้งนี้ ชีวิตที่ผ่านมาศิษย์น้องหญิงไม่ ค่อยเคยได้สัมผัสกับเงินทองที่แท้จริงมาก่อน
เจี่ยนซู่ยิ้มเอ่ย “เงินทอง ข้ารับไว้แล้ว ส่วนหน้ากากชิ้นนี้ช่างเถิด ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพเสียหน่อย หน้าตาข้าไม่เหมาะให้ไปพบเจอ ใครขนาดนั้นเลยหรือ?”
ไฉอวี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มันจะช่วยลดความยุ่งยากที่ไม่จาเป็ นได้ อีกมากแน่นอน”
ฮวาเชี่ยนจุ๊ปากประหลาดใจ “ชีฮูหยิน ผู้ฝึ กยุทธขอบเขต ปลายทาง! นางคือลูกศิษย์คนที่สองของหลินซือพวกเราเชียวนะ!”
ทั่วทั้งหรูโจว ไม่ว่าจะเป็ นนักพรตหรือผู้ฝึ กยุทธ บนภูเขาล่าง ภูเขาล้วนรู ้สึกเป็ นเกียรติที่บ้านตัวเองมี “หลินซือ
สาวใช ้ที่บึกบึนล่าสันมีพละกาลังผู้นี้ นางมักจะเป็ นเช่นนี้เสมอ พอได้ยินเรื่องเล่าน่าสนใจของเทพเซียนจากฝ่ ายต่างๆ จะชอบงีบ หลับ แต่พอพูดถึงปรมาจารย์ด้านวรยุทธของ หรูโจวก็จะ กระปรี้กระเปร่าได้ทันใด
เจี่ยนซู่ออกมาจากส านักเต๋าเก่าผุพัง หมุนตัวกลับแล้วก้มกราบ คารวะตามขนบลัทธิเต๋า
ลงจากภูเขามาแล้วก็เข้ามาบนทางหลวง ม้าสามตัวควบตะบึงไป ถึงอาเภอสวี่เซี่ยน พวกเขาหาโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งพักค้างแรมกันที่นี่
ที่ว่าการอาเภอฉางเส้อได้รับการแจ้งข่าวจากเอกสารที่ส่งมาจาก เขตอิ่งชวนแล้วว่าวันนี้นักพรตผู้ดูแลอารามหลิงจิ้งจะมารับตาแหน่ง
ขุนนางหลักของอ าเภออย่างนายอ าเภอต้องเป็ นเต้ากวาน แต่ ความสัมพันธ ์ระหว่างอ าเภอหันเซี่ยนกับอารามหลิงจิ้งนั้นธรรมดา มากมาโดยตลอด แทบจะไม่เคยมีการไปมาหาสู่กันมาก่อน
หลักๆ แล้วก็เพราะหงเหมี่ยวเจ้าอารามคนก่อนมีสถานะเป็ นตัว ส ารองเต้ากวาน ดูแลอารามหลิงจิ้งมานานหลายปีแต่กลับไม่เคยมา เยี่ยมเยือนกันที่ที่ว่าการอาเภอมาก่อน นี่ท าให้นายอ าเภอหันนินทา ในใจไม่หยุด ตัวส ารองเต้ากวานอย่างเจ้าไม่เป็ นฝ่ ายมาหาข้าหรือ จะต้องให้ข้าผู้เป็ นขุนนางไปหาเจ้าที่อารามหลิงจิ้ง ไม่มีกฎระเบียบ เช่นนี้หรอกนะ!
เพราะได้ยินมาว่าเจี่ยนซู่เจ้าอาวาสคนใหม่ของอารามคือ ลูกหลานตระกูลใหญ่ชั้นสูงที่มาจากเมืองหลวง อายุน้อยมาก โดยทั่วไปแล้วเต้ากวานประเภทนี้ต่างก็มา ชุบทองชุบตัว ในพื้นที่ ทั้งสิ้น อยู่ได้แค่ไม่กี่ปีก็ต้องย้ายไปที่อื่น ในใจของที่ว่าการท้องถิ่นรู ้ดี ไม่มีความจาเป็ นที่จะต้องทาให้ความสัมพันธ ์ของสองฝ่ ายตึงเครียด เกินไป ดังนั้นครั้งนี้ที่ว่าการอาเภอฉางเส้อจึงไว้หน้าอารามหลิงจิ้งอยู่ บ้าง ให้ผู้ช่วยนายอ าเภอและหัวหน้ามือปราบออกหน้ามาพร ้อมกัน ตาแหน่งขุนนางสองตาแหน่งนี้ไม่เหมือนกับเสมียนชั้นผู้น้อย ต่างก็มี จดลงบันทึกของกรมขุนนาง จ าเป็ นต้องเป็ นตัวส ารองเต้ากวาน เท่านั้น หากเป็ นอาเภอใหญ่ทั้งหลาย เต้ากวานทั่วไปไม่มีภูมิหลังชาติ
ตระกูลที่มากพอก็อย่าหวังจะได้เป็ นนายอาเภอหรือหัวหน้ามือปราบ ได้เลย
มีแขกผู้สูงศักดิ์สองท่านมาเยือนอารามหลิงจิ้งตั้งแต่เช ้าตรู่ หาก จ าไม่ผิด บางทีพวกเขาก็น่าจะเพิ่งเคยมาเยือนอารามเป็ นครั้งแรก
ยามหิมะตกไม่หนาว ยามหิมะละลายจึงจะหนาว เมื่อวานนี้มีหิมะ ใหญ่ตกลงมาอีกครั้ง วันนี้พวกเด็กหนุ่มของอารามเต๋าแต่ละคนตัว แข็งเหมือนนกกระทา ไหล่ลู่คอตก สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ คอยกระทืบเท้าไม่หยุด
เพราะถึงอย่างไรก็มีนายท่านขุนนางที่มีอานาจสูงจากที่ว่าการ อ าเภอสองท่านอยู่ด้วยพวกเด็กหนุ่มจึงไม่อาจเอาตะกร ้าใส่ถ่าน ออกมาหาความอบอุ่นได้
หลินซูรู ้สึกว่านี่เป็ นโอกาสที่หาได้ยาก จึงบากหน้าขยับเข้าไป ใกล้ ยืนอยู่หน้าประตูห้องโถงรับแขก ปลุกความกล้าเอ่ยเรียกนาย ท่านหัวหน้ามือปราบที่นั่งอยู่ข้างกระถางไฟในห้องว่าท่านลุงหวง
คราวนี้ทาเอาหัวหน้ามือปราบหวงอึ้งตะลึงไปทันที ญาติจากฝ่ าย ใดกัน?
กลับเป็ นนายท่านรองนายอาเภอที่ลูบหนวดยิ้ม “คือลูกชายของ เถ้าแก่หลินกระมัง ไม่เลว เป็ นนักพรตที่ประจาการอยู่ในท้องถิ่นของ พวกเราแล้ว พยายามเข้าอีกหน่อย ตั้งใจอ่านตาราอยู่ที่นี่ให้ดี
พยายามช่วงชิงต าแหน่งตัวส ารองเต้ากวานมาให้ได้ก็จะถือว่าสร ้าง ชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูลได้เช่นกัน”
ใบหน้าหลินซูแดงก่า สีหน้าตื่นเต้นผิดปกติ คาดไม่ถึงว่าท่าน รองนายอ าเภอจะถึงกับยังจ าตนได้ เขาไม่กล้ารบกวนการพักผ่อน ของท่านรองนายอ าเภออย่างรู ้กาลเทศะ พูดตอบกลับไปเสียงเบาหนึ่ง คาก็หมุนกายถอยออกไป เดินกลับไปยังระเบียงที่อยู่ใต้ชายคา เด็ก หนุ่มรู ้สึกเพียงว่าทั่วร่างอุ่นซ่านไปหมด
เห็นว่าหลินซูถึงกับพูดคุยกับท่านรองนายอ าเภอได้ หม่าฉง และถู่เกาต่างก็อิจฉาอย่างมาก ถู่เกาก็ยิ่งรีบขยับมาอยู่ข้างกายหลินซู กดเสียงลงต่าถามโน่นถามนี่
หลินซูถามประโยคหนึ่งว่า เจ้าเฉินฉงล่ะ? หม่าฉงตอบกลับอย่าง ไม่สบอารมณ์ว่า เขาเจ้าเล่ห์มาก มารออยู่ตรงนี้พักหนึ่งก็ไปหลบผิง ไฟอยู่ในห้องของท่านลุงฉางแล้ว
นายท่านขุนนางทั้งสองดื่มน้าชาอยู่ที่นี่ น่าเสียดายที่มีหน้าที่ติด ตัวจึงมิอาจดื่มเหล้าได้
ผลคือรอกระทั่งถึงยามเที่ยงวัน ยังไม่ทันได้เห็นเงาร่างของเจ้า อารามคนใหม่ พวกเขาก็เริ่มบ่นพึมพากันแล้วว่า คงไม่ใช่ไปกราบ ภูเขาที่ที่ว่าการอาเภอแล้วหรอกนะ? ไม่หรอกกระมัง หากเป็ นเช่นนี้ จริง พวกเขาสองคนต่างก็เป็ นคนสนิทที่มีใจเดียวกับนายอาเภอหัน จะต้องมีเสมียนวิ่งมาแจ้งข่าวพวกเขาที่นี่แน่ ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ระหว่าง
เดินทางมาอารามเต๋าหรือ? อารามหลิงจิ้งเล็กเกินไป ฉางเกิงเตี่ย นเค่อที่รับผิดชอบต้อนรับขับสู้แขกจึงต้องควบทาหน้าที่หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่นหุงหาอาหาร ในเมื่อถึงเวลากินข้าวแล้ว ผู้เฒ่าจึงรีบ ไปท าอาหารกลางวันมามื้อหนึ่ง เพิ่มกับข้าวอีกสองสามอย่าง นาย ท่านขุนนางทั้งสองกินรองท้องกันไปก่อน จากนั้นก็ค่อยย้ายไปที่ ห้องรับแขกรอเจ้าอารามคนใหม่ที่ว่ากันว่ามีชาติกาเนิดดีเยี่ยม อายุ ไม่มาก แต่มาดกลับไม่น้อย ก็ถูกนะ ต่อให้เป็ นอารามที่เล็กแค่ไหน ในฐานะนักพรตผู้ดูแลอาราม หากไม่มีความสามารถที่แท้จริงเลย แม้แต่น้อย อาศัยแค่ชาติก าเนิดดีอย่างเดียวก็คงมาเป็ นไม่ได้
ตั้งแต่เช ้าตรู่จนตอนนี้ฟ้ าใกล้มืดแล้วก็ยังไม่ได้เห็นเงาร่างของ เจ้าอารามคนใหม่ผู้นั้นต่อให้จะมีความอดทนดีแค่ไหนก็ถูกเอามาใช ้ จนเกือบจะหมดสิ้นแล้ว
เตียนเค่อฉางเกิงต้มน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ใบชาก็เปลี่ยนไปแล้ว หลายครั้ง หากนายท่านขุนนางของที่ว่าการอาเภอทั้งสองท่านยังดื่ม ต่อไป ดูจากก าลังทรัพย์อันน้อยนิดของอารามเต๋า ต่อไปก็คงได้แต่ ดื่มน้าเปล่าเท่านั้นจริงๆ แล้ว
หัวหน้ามือปราบหวงหน้าดาทะมึน ยื่นมือมาหยิบเหล็กเขี่ยไฟ ขยับถ่าน เอ่ยเสียงเบาว่า “นี่มันน่าหงุดหงิดเกินไปแล้ว พี่ใหญ่ฉิน เอาอย่างไรดี? คนจากเมืองหลวงร ้ายกาจนักหรือไม่มีกฎระเบียบเลย สักนิด”
ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “รออีกสักครึ่งชั่วยามแล้วกัน หากเกิน กว่านี้จะไม่รอแล้ว ถึงเวลาพวกเรากลับ คงไม่อยู่รอปรนนิบัติแล้ว จริงๆ แน่จริงวันหน้าก็อย่าไปที่ว่าการของพวกเราเชียว”
ท่ามกลางแสงสายัณห์คนเฝ้ าศาลหลิวฟางและเตี่ยนเค่อฉางเกิง ยืนอยู่ในระเบียงนอกห้องรับแขก พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันเบาๆ หลิว ฟางพูดว่าหยางหม่าจื่อเพิ่งจะฆ่าหมูไปตัวหนึ่ง ไม่ผอม ไม่ถอนขนก็ ยังหนักตั้งเกือบสองร ้อยจิน หากมีเวลาว่างพวกเราสองพี่น้องน่าจะไป ดื่มเหล้าสักสองจอก
ฉางเกิงถูมือพยักหน้า พูดติดๆ กันว่าดีเลย ดีเลย
หันไปมองสีหน้าที่ไม่น่ามองอย่างถึงที่สุดของนายท่านขุนนาง สองคนในห้อง หลิวฟางก็ส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยเบาๆ ว่า “ยังคงเป็ น เหมือนเดิม ชีวิตยากล าบากแล้ว”
เจ้าอารามหงคือคนที่ไม่เชี่ยวชาญการสานสัมพันธ ์กับผู้คน แต่ อารามหลิงจิ้งกับที่ว่าการอาเภอ จะดีจะชั่วก็ยังรักษามารยาท ภายนอกต่อกันไว้ ตอนนี้เจ้าอารามคนใหม่ยังไม่ทันเผยตัวก็ตบหน้า ของที่ว่าการอาเภอเน้นๆ หนักๆ ไปรอบหนึ่งแล้ว วันหน้าจะยังอยู่ ร่วมกันได้อย่างไร?
ลุงฉางหัวเราะร่วน “โชคดีที่วันนี้นายอาเภอหันไม่ได้มา”
หลิวฟางถอนหายใจหนักๆ “วันหน้าอารามของพวกเราก็รอถูก เล่นงานไปเถอะ เจ้าอารามคนใหม่ไม่ต้องกลัวเรื่องนี้ น่าสงสารก็แต่ นักพรตที่ประจาการอยู่ที่นี่อย่างพวกเราที่จะทาตัวไม่ถูกนี่แหละ”
ความสัมพันธ ์ระหว่างอารามแห่งหนึ่งกับที่ว่าการในท้องถิ่น ส่วน ใหญ่แล้วจะเป็ นฝ่ ายแรกที่อาศัยฝ่ ายหลัง อารามยากจนที่เวลาปกติ ต้องอาศัยควันธูปจากชาวบ้านยากที่จะด ารงชีวิตในแต่ละวันได้ เงิน ทองทรัพย์สมบัติมากมายที่เป็ นรายรับล้วนมาจากงบประมาณที่ที่ว่า การอ าเภอจัดสรรมาให้ จะให้หรือไม่ให้ก็ได้ จะให้มากหรือน้อย ก็ ต้องดูว่าความสัมพันธ ์ระหว่างอารามกับที่ว่าการในท้องถิ่นเป็ น อย่างไร ไม่บังเอิญเลยที่อารามหลิงจิ้งก็อยู่ในอารามประเภทนี้ด้วย
ม้าไม่มีหญ้ากลางคืนให้กินก็ไม่อ้วนพี อารามหลิงจิ้งที่อยู่ในมือ ของหงเหมี่ยวก็เพราะเตียนเค่อฉางเกิงที่เป็ นกุนซือคอยออกความคิด ให้ ถึงได้ทาให้ทุกปีจะดีจะชั่วทางอารามก็พอจะแจกจ่ายชุดเต๋าที่ไว้ สวมใส่ในหน้าหนาวและหน้าร ้อนสองตัวให้กับพวกเด็กหนุ่ มได้ ไม่อย่างนั้นหากอาศัยแค่เงินควันธูปของอารามน่ะหรือ? พูดถึงแค่ คราวก่อนที่ฝ่ ายต่างๆ ระดมเงินซ่อมแซมอารามก็เป็ นลุงฉางที่ออกไป ช่วยสานสัมพันธ ์กับคนภายนอกให้ แล้วก็คงเพราะเป็ นเช่นนี้ ในคา ประเมินที่มีต่อนักพรตที่ประจาการเหล่านั้น เกี่ยวกับเตียนเค่อฉางเกิง หงเหมี่ยวถึงได้มีคาวิจารณ์ที่ถือเป็ นการมอบผลท้อตอบแทนผลหลี ว่า “ทาหน้าที่อย่างซื่อสัตย์
หากใช ้ค ากล่าวของเจ้าเด็กเฉินฉงก็คือผู้มีจิตศรัทธายินดีโยน เงินเหรียญทองแดงเหรียญสองเหรียญใส่ไปในตู้บริจาคก็เสียงดัง เหมือนฟ้ าผ่าได้แล้ว
ในสายตาของหลิวฟางคนเฝ้ าศาล เจ้าเด็กเฉินฉงผู้นี้แม้จะเกียจ คร ้านไปสักหน่อย แต่กลับมีไหวพริบหัวไว เวลาปกติก็พูดจาน่าสนใจ แก้เบื่อได้ดียิ่ง
มองเหมือนเด็กหนุ่มที่ชื่อตรง แต่แท้จริงแล้วกลับร ้ายมาก ในท้อง มีแต่ความคิดชั่วๆ ดูเหมือนว่าเขาจะยังเคยพูดโน้มน้าวเจ้าอารามหง มาก่อนว่า พึ่งพาคนอื่นไม่สู้พึ่งตัวเอง ควันธูปของอารามพวกเราไม่ โชติช่วง เจ้าอารามท่านไม่ลองจุดธูปขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดูบ้างล่ะ?
ท่ามกลางแสงสนธยา ภูเขาที่ตั้งของอารามหลิงจิ้งมีเนินเขาเล็ก ไม่สะดุดตาอยู่แห่งหนึ่ง แต่ต้นไหวโบราณที่ขึ้นอยู่สองข้างทางกลับ นับว่าพอจะเข้าท่าเข้าที่อยู่บ้าง
คนทั้งสามพลิกตัวลงจากหลังม้าตรงตีนเขา เจี่ยนซู่จูงม้าเดิน แหงนหน้ายิ้มเอ่ย “ทัศนียภาพของอารามดีกว่าที่ข้าคิดไว้มากเลย นะ”
ฮวาเชี่ยวเอ่ยอย่างจนใจ “คุณหนูเป็ นคนพูดง่ายเกินไปแล้ว”
ไฉอวี้ทรุดตัวลงนั่งยอง ยื่นมือไปลูบหิมะทับถมหนาชั้นบนถนน ออก จากนั้นคว้าดินขึ้นมาหนึ่งกามือ ใช ้ปลายนิ้วขยี้ สูดดมกลิ่น พยักหน้าเอ่ยว่า ดินและน้าของที่แห่งนี้นับว่ายังพอใช ้ได้
ฮวาเชี่ยวเห็นจนชินตาเสียแล้ว ศิษย์พี่อวี้ของคุณหนูคนนี้ อันที่ จริงเหมาะสมกับคุณหนูมาก ก็แค่ว่าดูเหมือนคุณหนูจะไม่มีความคิด ใดๆ กับศิษย์พี่ร่วมสานักคนนี้
ทางฝั่งของอาราม นายท่านขุนนางแห่งที่ว่าการอาเภอสองท่าน เตรียมจะกลับกันแล้วพวกเขาเก็บความโมโหไว้เต็มท้อง ผลคือเพิ่ง ออกมาจากประตูก็เห็นคนต่างถิ่นสามคนที่เดินตรงเข้ามา
หลินซูดวงตาเป็ นประกายทันใด ล าพังแค่ต าแหน่งการเดินของ คนทั้งสามก็เดาออกแล้วว่าเจ้าอารามคนใหม่บ้านตนก็คือพี่สาวที่… อายุน้อยหน้าตางดงามตรงกลางผู้นั้น?!
นางก็คือเจ้าอารามคนใหม่ของอารามหลิงจิ้งหรือ?! เด็กหนุ่ม รู ้สึกเพียงว่าชีวิตนี้มีความหวังแล้ว วันหน้าได้อยู่ร่วมกับสตรีที่หน้าตา งดงามเช่นนี้ทุกวัน การบ้านเช ้าค่าเขาต้องตั้งใจทาแน่นอน!
ถู่เกาถามอย่างประหลาดใจ “คนไหนถึงจะเป็ นเจ้าอาราม?”
หม่าฉงเหม่อมองเทพธิดาที่คล้ายเดินออกมาจากภาพวาดคน นั้น
เฉินฉงกวาดตามองการแต่งกายของพวกเขาอย่างรวดเร็ว โอ้โห ม้าสามตัวนี้องอาจยิ่งนัก ไม่เคยเห็นจากในอาเภอมาก่อนเลย!
เจี่ยนซู่ส่งเชือกจูงม้าให้กับสาวใช ้ข้างกาย คารวะตามขนบลัทธิ เต๋าต่อทุกคน “เจี่ยนซู่นักพรตผู้ดูแลคนใหม่ของอารามหลิงจิ้งคารวะ สหายทุกท่าน”
เดิมทีไฉอวี้อยากจะแนะน าตัวเองสักหน่อย แต่คิดแล้วก็ล้มเลิก ความคิดนี้ไป ไฉอวี้ที่เป็ นลูกศิษย์รุ่นที่เจ็ดของพรรคจินกั่ว อีกทั้งยัง เป็ นเต้ากวานผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์มาถึงเขตและจังหวัดใน ท้องถิ่นของแคว้นตัวเอง อันที่จริงก็ถือว่ามีบารมีมีพลังอานาจอย่าง มาก
สาวใช ้ฮวาเชี่ยวจงใจทาสีหน้าดุดัน กวาดตามองไปยังกลุ่มเด็ก หนุ่มรอบหนึ่ง ยังดีล้วนเป็ นพวกไม่มีฝีมือที่ลมหายใจขุ่นมัว คาดว่ามี ใจเป็ นโจรก็คงไม่มีความกล้าพอจะท าตัวเป็ นโจรจริงๆ
อารามหลิงจิ้งไม่ใช่ศาลจื่อซุนที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นหลาย สมัย จึงสามารถเปิดประตูต้อนรับแขกจากสี่ด้านแปดทิศได้ เพียงแต่ ว่าพวกเขายากจนจนไม่ได้ยินเสียงเหรียญกระทบกัน ไหนเลยจะมี สหายต่างถิ่นมารบกวนถึงที่นี่ จะให้พวกเขาท้องร ้องโครกคราก ได้ แต่จ้องตากันอยู่ทุกวันหรือไร?
ไฉอวี้คิดว่าจะพักอยู่ที่นี่สักช่วงเวลาหนึ่ง ถึงอย่างไรก็อ้างว่าลง เขามาหาประสบการณ์เพื่อจะได้เดินทางอยู่เคียงข้างศิษย์น้องหญิง อยู่แล้ว
เตียนเค่อฉางเกิงรีบคารวะกลับคืนอย่างเข้าท่าเข้าที แล้วยังดึง คนเฝ้ าศาลที่อยู่ข้างกายให้คารวะไปพร ้อมกันด้วย “เตี่ยนเค่อฉางเกิง และคนเฝ้ าศาลหลิวฟางน้อมต้อนรับเจ้าอารามเจี่ยน นายท่านทั้งสอง นี้คือใต้เท้าฉินรองนายอาเภอของอาเภอฉางเสื้อและใต้เท้าหวง หัวหน้ามือปราบของพวกเรา ใต้เท้าทั้งสองมารอเจ้าอารามอยู่ใน
อารามของพวกเราตั้งแต่เช ้าแล้ว นี่ก็เพราะรอจนร ้อนใจ รอง นายอ าเภอฉินเห็นว่าฟ้ ามืดแล้วก็เลยตกลงกับหัวหน้ามือปราบหวงว่า จะมารออยู่ข้างนอกแทน อารามไม่ใหญ่ พอฟ้ ามืด บนภูเขาแห่งนี้ หากไม่มีเสียงพูดคุยกันสักหน่อย คาดว่าเจ้าอารามเจี่ยนก็คงต้องมอง หาอยู่พักใหญ่กว่าจะเจอ”