กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1069.5 ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์น้องเล็ก
ฮวาเชี่ยวกลอกตามองบน “ดูแขนขาที่เล็กบางของเขาสิ หนาว จนตัวสั่นเพิ่มวันหน้า เวลาข้าเดินผ่านข้างกายเขายังกลัวว่าหากเดิน เร็วจนเกิดลมจะพัดให้เขาล้มด้วยซ้า”
เจี่ยนซู่กลั้นขา “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ระวังหน่อย”
ฮวาเชี่ยวคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธที่เกิดมาก็มีพละกาลัง น่าตกใจ แต่ตระกูลจี่ยนทั้งไม่มีปรมาจารย์ด้านวรยุทธที่ทาหน้าที่เป็ น ผู้ถวายงานประจ าตระกูล แล้วก็ไม่มีต าราลับด้านการเรียนวรยุทธที่ เหมาะสมให้นางได้เรียนรู ้ ดังนั้นในเรื่องนี้ท่านปู่ ทวดของเจี่ยนซู่จึง รู ้สึกผิดต่อแม่นางน้อยคนนี้มาโดยตลอด มักจะพูดว่าฮวาเชี่ยวเด็ก คนนี้ หากสามารถได้ไปเสี่ยงดวงที่ภูเขายาชานราชวงศ์ชื่อจินได้ ตั้งแต่เล็กก็คงดี น่าเสียดายที่อายุสิบกว่าขวบถึงเพิ่งจะเข้ามาอยู่ใน บ้านของพวกเรา เรียนวรยุทธช ้าไปสักหน่อย หรือไม่หากเอาฮวา เชี่ยวไปอยู่ในสานักชั้นยอดอย่างภูเขาปิงเจี่ย เชื่อว่านางน่าจะประสบ ผลสาเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้แน่นอน
ในห้องมีเก้าอี้แค่ตัวเดียว เจี่ยนซู่บอกให้ฮวาเชี่ยวนั่งลง ตัวเองนั่ง อยู่ริมเตียง สองมือวางยันไว้บนขอบเตียง ยิ้มถามว่า “อย่ามัวเย็นเย้ ออยู่เลย รีบไปหาโรงเตี้ยมในตัวอาเภอเข้าพักแล้วค่อยหาซื้อบ้านสัก หลัง”
ฮวาเชี่ยวที่เหมือนยัดร่างทั้งร่างไว้บนเก้าอี้ถามหยั่งเชิง “คุณหนู ไม่ให้ข้าอยู่ในอารามจริงๆ หรือ? ข้าถามมาแล้วนะ คนเฝ้ าศาลหลิว ฟางบอกว่ามีห้อง ไม่ได้พักประจ า แต่ข้าจะจ่ายเงินเช่าเอาจากเขา นะ”
เจี่ยนซู่มองนางที่ทาท่าน่าสงสารก็รู ้สึกใจอ่อนอยู่บ้าง ไม่รอให้ เจี่ยนซู่พูดอะไร ฮวาเชี่ยวก็หัวเราะร่าเอ่ยว่า “คุณหนู อันที่จริงข้าตก ลงเรื่องราคากับหลิวฟางได้แล้ว ข้าจะไปห้องนั้นให้ดูดีเลยล่ะ!”
ไม่เสียแรงที่เป็ นศิษย์พี่ไฉ แผนการที่ถ่ายทอดให้ก็ช่างแยบยล จริงๆ
เจี่ยนซู่เอ่ยอย่างอ่อนใจ “ก็ได้”
แม้จะบอกว่าพวกนางเป็ นนายกับบ่าว แต่อันที่จริงความผูกพัน กลับเหมือนพี่สาวน้องสาว
ฮวาเชี่ยวคลี่ยิ้มสดใส “คุณหนู คุยกันอีกหน่อยดีไหม?”
เจี่ยนซู่พยักหน้า
ฮวาเชี่ยวดึงหนังสือเล่มหนึ่งมาจากกองหนังสือที่อยู่บนโต๊ะ นาง ไม่ชอบอ่านหนังสือแต่ว่าในตาราเล่มนี้กลับซุกซ่อนสมบัติเอาไว้
เจี่ยนซู่มองฮวาเชี่ยวที่เคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวลก็อดไม่ไหวเอ่ย สัพยอกว่า “จะเจอกับคนรักคนนั้นของเจ้าอีกแล้วหรือ? ไม่เจอหนึ่ง วันเหมือนห่างกันสามสารทฤดูเลยใช่ไหม?”
ฮวาเชี่ยวยิ้มกว้าง “ข้าไม่คู่ควรกับเขาหรอก คุณหนู…เอ่ย ประโยคที่มีมโนธรรมสักคาท่านก็ไม่คู่ควรเหมือนกันนะ”
เจี่ยนซู่พยักหน้า “นั่นมันแน่อยู่แล้ว”
ฮวาเชี่ยวหยิบ “หน้าหนังสือ” สองแผ่นออกมาจากในหนังสือเล่ม นั้น เป็ นส่วนที่นางตัดออกมาจากรายงานขุนเขาสายน้าสองฉบับ อย่างระมัดระวัง
ตระกูลเจี่ยนไม่ใช่ตระกูลร่ารวยสูงศักดิ์ใหญ่เป็ นอันดับหนึ่งใน เมืองหลวง ดังนั้นรายงานขุนเขาสายน้าทุกฉบับที่ราคาไม่ธรรมดา ล้วนถูกคัดเลือกแล้วเก็บรักษาไว้เป็ นอย่างดีนี่ก็เพราะฮวาเชี่ยวขอให้ คุณหนูช่วยถึงได้เก็บรายงานสองแผ่นนี้มาอย่างไม่ง่ายนัก ส่วน “คน รัก’ อะไรนั่น แน่นอนว่าเป็ นคาหยอกล้อของคุณหนูตน เพราะใน รายงานมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งเหมือนกัน
ทว่าอยู่ที่ใต้หล้าแห่งอื่น
เขาชื่อว่าเฉาสือ
บนรายงานแผ่นหนึ่งเขียนว่าเขาที่อยู่ในสถานที่ที่ชื่อว่าฝูเหยา ทวีปของใต้หล้าไพศาลฝ่ าทะลุขอบเขตโจมตีให้ศัตรูถอยร่นไปได้ อย่างไร รายงานแผ่นที่สองเขียนว่าเขาเอาชนะศึกเขียวขาวที่ศาลบุ๋น แผ่นดินกลางได้
ชนะอีกครั้งแล้ว!
และนี่ก็เกี่ยวข้องกับที่โชคชะตาบู๊ของหรูโจวโชติช่วงด้วย บน ภูเขาถึงได้มีข่าวเล็กๆ น้อยๆ ของเฉาสือแพร่มา ในมณฑลแห่งอื่น บางทีอาจมีเพียงคนบนยอดเขาเท่านั้นที่เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้
แต่ว่าบุคคลที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้ าประเภทนี้ สาหรับฮวาเชี่ยวแล้วก็ คือบุคคลที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้ าจริงๆ
ในสายตาของฮวาเชี่ยว เฉาสือแห่งใต้หล้าไพศาลสูงเกินจะปืน ป่าย อยู่ไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง ไม่ต่างจากเจ้านครและเจ้าหอของห้า นครสิบสองหอเรือนของป๋ ายอวี้จิงสักเท่าไร
บางทีอาจเป็ นเพราะผู้ใดที่เข้าครอบครองก่อนคนนั้นย่อม ได้เปรียบเป็ นเจ้าของ นางจึงมีความประทับใจที่ไม่ดีต่อคนวัยเดียวกัน กับเฉาสืออีกคนสักเท่าไร พูดให้ถูกก็คือ ความรู ้สึกที่นางมีต่อเขานั้น แย่มาก
แพ้แล้วแพ้อีก แต่ไฉนถึงยังมีหน้ามาตามตอแยเฉาสือไม่เลิกรา คนที่หน้าด้านหน้าทนเช่นนี้ หากตนเจอเข้า เหอะ เอาเป็ นว่าอย่าหวัง ว่าตนจะเรียกอีกฝ่ายด้วยความเคารพว่าปรมาจารย์เฉินอะไรเลย!
ฮวาเชี่ยวเริ่มบ่นอีกครั้ง “คุณหนู ท่านจินตนาการได้หรือไม่ว่า ทุกวันนี้เฉาสืออายุแค่สี่สิบต้นๆ เท่านั้นก็เป็ นปรมาจารย์ขอบเขต ปลายทางที่อยู่ยอดบนสุดของวิถีวรยุทธแล้วนะ”
“ข้ามองเขาเป็ นหลินซือคนที่สองก็คงไม่เกินกว่าเหตุกระมัง?”
“ในรายงานบอกไว้แล้วว่าจนถึงทุกวันนี้เฉาสือก็ยังไม่เคยพ่าย แพ้มาก่อน วันหน้าก็ต้องไม่มีทางพ่ายแพ้ให้แก่ใครแน่นอน”
ฟังมาถึงตรงนี้ เจี่ยนซู่ก็ยิ้มถามว่า “เขายังมีอาจารย์อยู่ไม่ใช่หรือ ระหว่างพวกเขาไม่เคยประลองฝีมือกัน เพราะหากมีการประลอง มี การสอนหมัดป้ อนหมัดก็ต้องมีแพ้ชนะไม่ใช่หรือ?”
ฮวาเชี่ยวเบิกตากว้าง ทาหน้าเหลอหรา โคลงศีรษะ พูดอย่างอัด อั้นว่า “ข้าจะไปรู ้ภาพการสอนหมัดระหว่างพวกเขาอาจารย์และศิษย์ ได้อย่างไร เอาเป็ นว่าที่ใต้หล้าแห่งนั้นพูดกันว่าเฉาสือไม่เคยแพ้มา ก่อนก็แล้วกัน”
เจี่ยนซู่ยิ้มตาหยี “ข้าได้ยินว่ายังมีคนวัยเดียวกันแช่เฉินอีกคน หนึ่งที่ถึงแม้จะแพ้ในการถามหมัดอยู่หลายครั้ง แต่การประลองฝีมือ ครั้งล่าสุด เขาก็ต่อยจนเฉาสือหน้าปูดเลยไม่ใช่หรือ?”
ฮวาเชี่ยวเอ่ยอย่างมีโทสะ “เพ้ย! คนประเภทนี้ไม่มีคุณธรรมเลย แม้แต่น้อย เขาคู่ควรจะเป็ นปรมาจารย์วิถีวรยุทธอะไรด้วยหรือ?!”
เจี่ยนซู่เอ่ยหยอกล้อ “หากวันใดเจอกับเฉินอิ่นกวานผู้นั้น เจ้า กล้าด่าเขาต่อหน้าหรือไม่ล่ะ?”
ฮวาเชี่ยวหายโมโหได้ทันที เอ่ยอย่างเชื่องซึมว่า “แน่นอนว่า…ไม่ กล้าน่ะสิ”
คนแซ่เฉินผู้นั้น นอกจากจะเป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่ อายุน้อยมากแล้ว ยังเป็ นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า คือ
เฉินสืออีด้วย? ดูเหมือนว่ายังเป็ นขุนนางด้วยเหมือนกัน เฉินอิ่นก วาน?
เหอะ มีแต่สีสันฉูดฉาด สวยแต่รูปจูบไม่หอม ดูอย่างเฉาสือของ พวกเราสิ ไม่ได้เป็ นแค่เฉาสือหรอกหรือ? มีฉายามียศอะไรไหม?
แค่ชื่อเฉาสือนี้ก็เพียงพอแล้ว
พอคิดถึงเรื่องนี้ ฮวาเชี่ยวก็อารมณ์ดีได้ทันใด
ม่านราตรีหนาหนัก อยู่ว่างไม่มีอะไรทา ไฉอวี้จึงหิ้วถุงเงินใบหนึ่ง มา ด้านในบรรจุเงินเก้าจักรพรรดิที่คัดเลือกมาจากคลังของแคว้น
คลายปมเชือกที่ผูกถุงออก ไฉอวี้กางนิ้วทั้งห้าก็มีเหรียญเงินเก้า เหรียญเด้งออกมาจากด้านใน คือเหรียญเงินประเภทต่างๆ ที่เป็ นเงิน ต้นแบบ ล้วนมีชื่อศักราชที่ความหมายแฝงดีเยี่ยม อีกทั้งเบื้องหลังทุก ศักราชล้วนหมายถึงวันเวลาแห่งความสันติสุขที่บ้านเมืองแข็งแกร่ง ชาวประชาปลอดภัย ในชายแขนเสื้อข้างหนึ่งของไฉอวี้ยังซ่อนถุงไว้ อีกใบหนึ่ง เก็บซ่อนเหรียญเงินหลายเหรียญที่เป็ นสีขาวงาช ้าง เพียงแต่ว่าไม่มีความจาเป็ นที่จะต้องระดมกาลังใหญ่โตเช่นนี้ คืนนี้ เขาแค่จะตรวจสอบพื้นที่โดยรอบอารามเพื่อป้ องกันเรื่องไม่คาดฝัน เท่านั้น
เขามีสมบัติชิ้นนี้ได้ก็เพราะได้รับสืบทอดมาจากทางตระกูล
อันที่จริงภูมิลานาเดิมของไฉอวี้ไม่ได้อยู่ที่แคว้นหนันซาน แต่ เป็ นแคว้นใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่มีอาณาเขตติดกับราชวงศ์ชื่อจิน อยู่ที่
นั่น ในราชสานักมีตาแหน่งขุนนางหนึ่งชื่อว่ารองเจ้ากรมเฉียนฝ่ า ท า หน้าที่ดูแลกิจธุระต่างๆ ในด้านการสร ้างเหรียญเงินของฝ่ ายหมิง เฉวียนและฝ่ ายเป่าหยวนของแคว้น มีอยู่ในทั้งกรมโยธาและกรมคลัง โดยทั่วไปแล้วจะให้รองเจ้ากรมฝ่ ายขวาของสองกรมควบรับหน้าที่นี้ บางครั้งก็มีหลางจงทาหน้าที่เป็ นขุนนางหลักของเฉียนฝาถัง นี่คือ ลางที่แสดงให้เห็นว่าจะถูกราชสานักเลื่อนขั้นให้ปฏิบัติหน้าที่ส าคัญ แล้ว ในท้องถิ่นก็อาจจะมีจังหวัดใหญ่ๆ ที่มีการก่อตั้งหน่วยหลอมเงิน เพื่อสะดวกในการเก็บวัตถุดิบและสร ้างเหรียญเงินขึ้นมาในพื้นที่ มี ขุนนางที่สองกรมส่งตัวมาคอยตรวจสอบดูแล เมื่อเปรียบเทียบกัน แล้วอ านาจของรองเจ้ากรมเฉียนฝ่ าของกรมโยธาจะมีมากกว่าเงินที่ สร ้างขึ้นมาจะสามารถเอามาใช ้ในแคว้นหรือแม้กระทั่งหลายๆ แคว้น รอบด้านได้ ที่บ้านเกิดของไฉอวี้ ทุกครั้งที่ราชสานักมีการเปลี่ยน รัชกาลใหม่ เต้ากวานผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ที่เชี่ยวชาญการสร ้าง เหรียญก็จะน างาช ้างมาแกะสลักเป็ นเงินต้นแบบส่งมอบให้กรมโยธา วินิจฉัยและประเมินค่า หลังจากนั้นถึงจะมีการเลียนแบบเงินบรรพ บุรุษขึ้นมา นาเงินบรรพบุรุษมาสร ้างช้าเหรียญเงินต้นแบบ ต่อให้เป็ น เงินต้นแบบ ความงดงามก็ไม่ใช่สิ่งที่เงินที่ใช ้กันทั่วไปในหนึ่งแคว้น สามารถเทียบเคียงได้ ส่วนเงินบรรพบุรุษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เงิน เหรียญทองแดง ที่แกะสลักมาจากงาช ้างทุกเหรียญ กรมโยธาของ ราชส านักจะมีการจดลงบันทึกอย่างละเอียด มีตัวเลขเรียงเป็ นล าดับ ก่อนจะถูกถ่ายโอนไปยังคลังหลวง ปิดผนึกเก็บไว้อย่างแน่นหนา มิ อาจนาออกไปข้างนอกได้ การที่ไฉอวี้ได้ครอบครองสมบัติล้าค่า
เหล่านี้ เพราะบรรพบุรุษของเขาเคยรับหน้าที่เป็ นเจ้ากรมและรอง เจ้ากรมของกรมโยธามาก่อน บวกกับที่ในตระกูลมีหนังสือต้องห้าม หลายเล่มที่เป็ นสมบัติลับ ไม่มีทางกล้าให้คนนอกรู ้โดยเด็ดขาด เล่ม หนึ่งในนั้นก็มีตาราหลี่จี้ตี้กวานที่อธิบายถึงเนื้อหาต้องห้ามเกี่ยวกับถู กุย (เครื่องมือสาหรับใช ้วัดเงาแดดในสมัยโบราณ) ที่ใช ้วัดความตื้น ลึกของรากดิน รวมถึงเนื้อหาที่บอกว่าควรจะสร ้างนครหยกบนพื้นดิน อย่างไร
นี่จึงเป็ นเหตุให้ตระกูลของไฉอวี้มีรากฐานความรู ้ลึกล้า บวกกับ ที่เต้ากวานในตระกูลแทบทุกคนเกิดมาก็มีสัมผัสที่เฉียบไวต่อทอง เหล็กและรากดินเป็ นพิเศษ
หม่าฉงกับถู่เกาต่างก็รู ้สึกว่าน่าสนใจ ไฉอวี้ก็ไม่ห้ามพวกเขา ปล่อยให้เด็กหนุ่มบ้านป่ าสองคนมองมาไกลๆ ตัวเขาเองคอยโปรย เหรียญเงินไปบนพื้นและเก็บเหรียญขึ้นมาใหม่อย่างต่อเนื่อง
ด้านหลังของอารามเล็ก บริเวณใกล้เคียงกับสวนผักมีบ่อน้า โบราณอยู่บ่อหนึ่ง
ไฉอวี้ได้เก็บเงินต้นแบบเก้าเหรียญขึ้นมาแล้ว คีบยันต์แผ่นหนึ่ง ออกมาจากชายแขนเสื้อ เด็กหนุ่มสองคนตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อครู่นี้ นักพรตหนุ่มผู้นั้นแค่เป่ าเบาๆ ทีเดียวกระดาษยันต์สีเหลืองก็ถูกเผา ไหม้ในชั่วพริบตา ประหนึ่งในมือถือโคมไฟดวงหนึ่งที่ส่องสว่างให้ สวนผักทั้งผืนสว่างไสว
ไฉอวี้ยืนอยู่ข้างปากบ่อ ยกแขนชูกระดาษยันต์ขึ้นสูง ก่อนจะก้ม หน้ามองไป บ่อนี้ไม่ถือว่าลึกนัก เห็นเพียงว่ากันบ่อมีหิมะทับถมอยู่ เล็กน้อย
สองนิ้วคีบยันต์ ท่องคาถาอยู่เงียบๆ สุดท้ายโยนทิ้งไปที่กันบ่อ ยันต์แผ่นหนึ่งเหมือนลูกธนูที่ปักลึกเข้าไปกลางหิมะทับถมกันบ่อ ระหว่างนั้นเปลวเพลิงก็พลันแผ่กระจายประหนึ่งมังกรเพลิงตัวเล็กบาง ที่ห้อยแขวนอยู่กลางบ่อ
ไม่มีความผิดปกติใดๆ
เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ไฉอวี้รอกระทั่งยันต์แผ่นนั้นเผาไหม้ อยู่ในก้นบ่อจนหมดถึงได้ขยับเท้าเดินวนรอบปากบ่อรอบหนึ่ง หยิบ เชือกยาวสีทองเส้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ จากนั้นควักกระบี่ เหรียญทองแดงขนาดเล็กยาวไม่เกินฉื่อกว่าเล่มหนึ่งออกมา ผูก เอาไว้กับเชือกยาวสีทอง เตรียมจะปล่อยกระบี่ทิ้งลงไปในบ่อ
หากมีสิ่งชั่วร ้ายแฝงตัวอยู่ในบ่อจริง เมื่อเจอกระบี่เล่มนี้ก็ไม่ต่าง อะไรจากผีในสุสานที่พลันเห็นดวงตะวันร ้อนแผดเผา
ไม่กล้าพูดว่าอาศัยกระบี่เหรียญทองแดงเล่มนี้แล้วจะสามารถ ก าจัดปีศาจปราบมารได้ทันที แต่หากคิดจะบีบให้มันออกมาจากบ่อ น้าก็ต้องไม่ยากแน่นอน
ไฉอวี้ตัดสินใจไว้แล้วว่าก่อนจะออกไปจากอารามจะต้องมอบ เหรียญทองแดงที่วัสดุและรูปแบบค่อนข้างธรรมดาให้กับเด็กหนุ่ม ทั้งหลายคนละหนึ่งเหรียญ
แต่หากพวกเขารู ้จักดูของ สามารถหาท่าเรือตระกูลเซียนหรือ อารามขนาดใหญ่ในเขตหรือในจังหวัดแล้วเอาไปขายต่อ ก็จะได้เงิน ก้อนใหญ่จ านวนมากน่าดูชมพอให้พวกเขาร่ารวยขึ้นมากะทันหันได้ เลย
ถู่เกาแอบเหลือบมองหม่าฉง
หม่าฉงเหมือนจะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย
ในหอระฆังของอาราม เฉินฉงนอนคว่าอยู่ตรงนั้น มองแสงเปลว เพลิงที่มาจากบ่อน้าของสวนผัก
อารามหลิงจิ้งอาเภอฉางเส้อกับอารามในอาเภอเล็กที่อยู่ใต้ อาณัติของอาเภอสวี่เซี่ยน หากอิงตามธรรมเนียมปฏิบัติจะยังไม่มี คุณสมบัติพอจะแขวนระฆังขนาดใหญ่หรือกลองใหญ่ ดังนั้นพิธี “เปิดความสงบใหญ่” ของเช ้าตรู่วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือน และพิธี “หยุดสงบใหญ่” ในคืนวันที่สามสิบและวันที่สิบสี่ นักพรต ประจ าการในแต่ละยุคสมัยนับแต่ที่อารามหลิงจิ้งสร ้างขึ้นมาจึงแค่เคย ได้ยินมาเท่านั้น หรือไม่หากใครยินดีที่จะเดินทางไกล ไปที่อาราม ใหญ่ทั้งหลาย พอกลับมาแล้วก็เอามาคุยโวให้ฟัง หงเหมี่ยวเจ้า อารามคนก่อนเคยบอกว่าอารามขนาดใหญ่ยักษ์ที่เชื้อพระวงศ์สั่งให้
ก่อตั้ง เสียงระฆังยามเช ้าและยามเย็นจะดังกังวานแว่วไกล ห่างไป หลายสิบลี้ก็ยังได้ยิน
เอาเป็ นว่าเด็กหนุ่มบ้านนอกอย่างพวกเขาได้ฟังแล้วก็รู ้สึก เหมือนฟังต าราสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
ส่วนข้อพิถีพิถันในพิธีการยิบย่อยทั้งหลายที่อารามดั้งเดิมปฏิบัติ กัน มาถึงอารามขนาดเล็กอย่างอารามหลิงจิ้งที่พอถึงช่วงเชือดหมู ของทุกปีก็ต้องให้เตี่ยนเค่อไปช่วยดึงหางหมู จากนั้นหยิบเอาเนื้อสอง เส้นกลับมาทาอาหารบนภูเขา ข้อพิถีพิถันทั้งหลายจึงกลายเป็ นท า อย่างขอไปที หากไม่ท าอย่างขอไปที ยังจะใช ้ชีวิตกันต่อได้หรือ?
และในขณะที่ไฉอวี้เรียกกระบี่เหรียญทองแดงเล่มนั้นออกมา นั้นเอง บังเอิญกับที่เสียงระฆังยามเย็นดังขึ้นในอารามพอดี
เฉินฉงตกใจสะดุ้งโหยง เพียงแต่คร ้านจะหันกลับไปมอง ต้องเป็ น ท่านลุงฉางที่มาท างานอีกแล้วแน่ๆ
ไฉอวี้อึ้งตะลึง แล้วก็คลี่ยิ้มอย่างสง่างาม เพราะถึงอย่างไรก็เป็ น เต้ากวาน อีกทั้งยังเป็ น “นักพรตแขวนชื่อ” ที่เพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน ต้องเคารพกฎระเบียบบ้าง จึงเก็บกระบี่เหรียญทองแดงขนาดจิ๋วเล่ม นั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ
มองบ่อน้าโบราณอีกแวบหนึ่ง ไฉอวี้ก็หมุนตัวกลับ หันไปก้มหัว คารวะทางหอดีกลอง
เดิมทีก็เป็ นตนที่สงสัยคลางแคลงใจไปเอง หากดังไปเข้าหูของ ศิษย์น้องเข้าจะไม่ถูกอีกฝ่ ายหัวเราะเยาะแย่หรือ ตลอดค่าคืนผ่านไปอย่างสงบ เจี่ยนซู่เจ้าอารามที่มารับหน้าที่ใหม่จุดตะเกียงอ่านสมุดบัญชีสี่ ห้าเล่มของอารามหลิงจิ้ง ใช ้เวลาไม่นานเท่าไร พูดคุยกับสาวใช ้ฮวา เชี่ยวไปเกือบตลอดทั้งคืน
ไฉอวี้พักอยู่ในห้องพักแขกที่เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด เขาเองก็ไม่ รู ้สึกง่วงจึงนั่งสมาธิฝึ กลมหายใจตอนกลางคืน ที่พักของเด็กหนุ่ม ทั้งหลายที่อยู่ติดกัน นอกจากเสียงกรนที่ค่อนข้างหนวกหูแล้วก็ไม่มี อะไรที่….ทนไม่ได้อีก
กว่าจะรอให้เสียงระฆังยามเช ้าดังได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไฉอวี้เปิ ด ประตูห้องออกมาก็เห็นว่าเตียนเค่อลุงฉางกาลังกวาดเรือน เริ่มใช ้ไม้ กวาดเคาะไปตามชายคา ตรงนั้นมีแท่งน้าแข็งเกาะอยู่ไม่น้อย ล้วนถูก เขาตีแตกหล่นลงมาบนพื้นทั้งหมด
ไฉอวี่เห็นอย่างนี้แล้วก็รู ้สึกอ่อนใจเป็ นทบทวี ใช ้ไม้กวาดหรือ? เจ้าเอาไม้ไผ่มาตีแท่งน้าแข็งก็ยังดีนะ
แต่ไฉอวี้ก็ไม่ได้พูดอะไร กลับยังเป็ นฝ่ายเอ่ยทักทายผู้เฒ่าก่อน ลุงฉางรีบหยุดงานในมือ เอ่ยเรียกว่าไฉเซียนจ่างอย่างนอบน้อม
ไฉอวี้มองไปยังตาหนักหลักของอาราม ถามหยั่งเชิงว่า “ฉางเตี่ย นเค่อ ข้าขอเข้าไปดูในต าหนักหลักได้หรือไม่?”
ลุงป๋ ายได้ยินก็อารมณ์ดีทันใด ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “อย่าว่าแต่เข้าไป ดูเลย หากท่านนักพรตเจอของที่ถูกใจแล้วอยากจะเอาไปก็ยังได้ ขอ แค่อย่าให้ข้าเห็นก็พอ ของล้าค่าในอารามล้วนวางอยู่ในต าหนักหลัก แทบทั้งหมด แต่ละชิ้นแต่ละอันล้วนมีการรายงานไปยังทีว่าการอ าเภอ อย่างละเอียด นายท่านขุนนางของฝ่ ายครัวเรือนและฝ่ ายโยธา ทุกปี จะต้องมาตรวจสอบที่นี่ตามเวลาที่กาหนด หากมีตรงส่วนใดต้องการ ซ่อมแซมต้องรายงาน ก็เป็ นเรื่องเล็กน้อยที่นายท่านขุนนางพวกนี้แค่ ต้องขยับปลายพู่กันเท่านั้นแล้ว นี่ก็เลยไม่ได้มีการเปลี่ยนใหม่มา หลายปีแล้ว หากไม่ทันระวังทาหายไปก็ดี เหมือนอย่างเมื่อสองปีก่อน นายท่านผู้ดูแลฝ่ ายโยธามาเยี่ยมเยือนอารามของพวกเราด้วยตัวเอง พอเข้าไปดูแล้วก็บอกว่าประหลาดนัก อารามหลิงจิ้งของพวกเจ้า แน่นหนาขนาดนี้เชียวหรือ ไม่ว่าอะไรก็ล้วนมั่นคงปลอดภัย คนที่เป็ น ขุนนางในฝ่ ายครัวเรือนได้ยินเข้าก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้พูดอะไร เหมือนกัน”
นี่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายต้องการเตือนอารามหลิงจิ้งว่า จุดที่ซ่อม ได้หรือไม่ต้องซ่อมก็ได้ ก็ให้ไวหน่อย อย่ามัวท าตัวเป็ นคนใบ้อีก เด็ก ที่ร ้องไห้ย่อมได้กินนมอย่างไรล่ะ
เมื่อเป็ นเช่นนี้ฝ่ ายโยธาของที่ว่าการอาเภอก็จะได้ค่าน้าร ้อนน้า ชาแล้ว
ส่วนทางฝั่งของฝ่ ายครัวเรือนก็พอจะได้ส่วนแบ่งมาบ้าง ต่อให้ได้ เงินมาไม่มาก แต่ก็สามารถเลี้ยงเพื่อนร่วมงานในฝ่ ายให้ดื่มเหล้ากิน เนื้อได้มื้อหนึ่ง สานสัมพันธ ์กันไว้ให้แนบแน่นก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอก หรือ?
ไฉอวี้สะอึกอึ้งไปทันใด
ไม่คิดจะท าตัวห่างเหินเลยสักนิดจริงๆ หรือ?
ขนบธรรมเนียมของคนในท้องถิ่นออกจะซื่อบริสุทธิ์เกินไปหน่อย หรือไม่?
ไฉอวี้คิดอีกทีก็เข้าใจได้ ฉางเกิงผู้นี้ เมื่อก่อนก็คือบัณฑิตตัวจริง มิน่าเล่า มิน่าเล่า
ดูท่าให้ผู้เฒ่าคนนี้มาเป็ นเตี่ยนเค่อของอารามก็ดีมากแล้วจริงๆ
ไม่แน่ว่าอาจจะเป็ นผู้ช่วยให้กับศิษย์น้องหญิง ช่วยนางดูแลกิจ ธุระต่างๆ ของทางอารามได้?
เพียงแต่ว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่ต่อให้ไฉอวี้เป็ นคนนอกก็ยังอดกลั้นไว้ ไม่อยู่ หากไม่พูดออกมาต้องอัดอั้นมากแน่ๆ เขาลังเลอยู่เล็กน้อยก็ เปิดปากถามว่า “ดูเหมือนว่าฉางเตี่ยนเค่อจะไม่ค่อยเชี่ยวชาญวิธีการ ตีกลองตีระฆังของลัทธิเต๋าสักเท่าไร?”