กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1069.6 ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์น้องเล็ก
ลุงฉางมีสีหน้าล าบากใจ “เจ้าอารามผู้เฒ่าหงเคยสอนอยู่หลาย รอบ ตีถี่กระชั้นดีให้ช ้าอะไรนั่น ข้าอายุมากแล้ว จาไม่ได้ เรียนไม่ เป็ น”
ไฉอวี้ได้ยินก็พูดไม่ออก ส่วนเรื่องที่ว่าสรุปแล้วผู้เฒ่าเรียนไม่เป็ น หรือรังเกียจความยุ่งยาก สวรรค์เท่านั้นที่รู ้
ถ้าอย่างนั้นไฉอวี้จึงคร ้านจะถามว่า ‘รู ้หรือไม่ว่าเนื้อหายามตี ระฆัง” ซึ่งต้องท่องพร ้อมกับการตีกลองเช ้าค่าคืออะไรด้วยแล้ว
ไฉอวี้เพียงแค่ถามคาถามที่เรียบง่ายว่า “ลุงฉาง ในอารามมีฆ้อง หลินและหลางด้วยใช่ไหม?”
ลุงฉางมึนงง “ท่านนักพรตพูดเรื่องอะไร? ฆ้องกับไม้ตี และยังมี ชิ่งทองแดงล้วนมีอยู่เพียงแต่ว่าปกติไม่ได้ใช ้ เจ้าอารามผู้เฒ่าหงจาก ไปแล้ว ทุกวันนี้จึงได้แต่วางไว้กินฝุ่นอยู่ในห้องเก็บของ”
ไฉอวี้จึงได้แต่อธิบายด้วยความอดทนว่า “ระฆังที่อยู่ฝั่งซ ้ายคือ หลิน ฝั่งขวาคือหลางตัวระฆังส่วนใหญ่จะมีลายเมฆและอักขระ แกะสลักอยู่ โดยทั่วไปแล้วอารามในอาเภอควรจะมี บางทีวัสดุอาจจะ ค่อนข้างธรรมดาอยู่สักหน่อย”
ผู้เฒ่าหัวเราะหึ “ท่านนักพรตก็พูดมาตรงๆ สิว่าเป็ นกระดิ่งใหญ่ ด้ามยาว มี ท าไมจะไม่มีเล่า ยามที่เจ้าอารามผู้เฒ่าหงแกว่งมันพร ้อม กับท่องคาถาก็น่าฟังมากเลยล่ะ”
ทุกครั้งพวกเด็กหนุ่มจะต้องฉวยโอกาสนี้หลับต่ออีกหน่อย หม่า ฉงกับถู่เกาก็ยิ่งร ้ายกาจ ฝึกได้สุดยอดเคล็ดวิชาที่สามารถงีบหลับทั้ง
ที่ยังลืมตาได้แล้ว ไฉอวี้นวดคลึงหว่างคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร
ฉางเตี่ยนเค่อที่อายุมากแล้วผู้นี้ ตอนเป็ นหนุ่มเคยเรียนหนังสือ มาก่อนก็จริง แต่ต้องไม่ได้ตั้งใจเรียนเท่าไรแน่ๆ มีความเป็ นไปได้มา กว่าไม่เคยคิดจะสอบเป็ นเต้ากวานมาก่อน? เพราะรู ้ตัวเองดีก็เลยไม่ กล้าคิด?
ลุงฉางมองไปยังห้องที่ปูที่นอนเรียงยาวติดกันซึ่งหาได้ยากที่จะ เปิดประตูเช ้าขนาดนี้ พวกหลินซูต่างก็กระปรี้กระเปร่ากันมาก ล้วน ตั้งใจแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดี อู่เกายังตั้งใจเปลี่ยนชุดเต๋าชุดใหม่ โดยเฉพาะด้วย
ส่วนเฉินฉงผู้เยาว์บ้านตนยังอยู่ในสภาพเดิม ง่วงตาปรือ ลูกตา กลอกมาก็เห็นว่าลานกว้างถูกกวาดเรียบร ้อยแล้ว ถึงได้เดินเร็วๆ มา หาตน ยิ้มหน้าทะเล้นทาท่าจะมารับไม้กวาดไป
เจ้าอารามเจี่ยนซู่เดินออกมาจากห้อง มองเห็นนักพรตที่ ประจ าการอยู่ในอารามของตนกลุ่มนั้นก็พยักหน้าเบาๆ นางเดิน นาเข้าไปในห้องหลักก่อนแล้วเริ่มจุดธูป
นอกจากไฉอวี้กับฮวาเชี่ยวที่เป็ นคนนอกสองคนแล้ว คนอื่นๆ ล้วนตามนางมาด้วย
ส่วนคนเฝ้ าศาลหลิวฟางไม่ได้ขึ้นเขามา เขาเกือบจะเอาม้าพวก นั้นไปบูชาเป็ นบรรพบุรุษในบ้านตัวเองอยู่แล้ว ผู้เฒ่าไม่ได้นอนทั้งคืน ไม่ได้กลัวว่าพวกมันจะหนีไปแล้วตัวเองต้องชดใช ้เป็ นเงินก็กังวลว่า จะถูกโจรมาขโมย
ได้ยินเสียงระฆังจากอารามที่อยู่บนภูเขา ผู้เฒ่าถึงได้นอนหลับ อย่างวางใจ หัวถึงหมอนก็หลับทันที นายท่านราชาสวรรค์จากไหนก็ อย่าคิดว่าจะปลุกตนให้ตื่นได้ วันนี้เขาจะนอนหลับให้เต็มอิ่ม
เจี่ยนซู่เริ่มสอนคาบเช ้าเป็ นครั้งแรก
แม้จะบอกว่าฝั่งตรงข้ามเป็ นแค่เด็กหนุ่ม แต่ยังดีที่เนื้อหาบทเรียน พวกนี้นางล้วนท่องขึ้นใจมานานแล้ว เมื่อก่อนรับฟัง ตอนนี้ก็แค่ เปลี่ยนมาเป็ นคนสอนแทน
บวกกับที่ก่อนจะมาอาราม นางยังเตรียมการสอนมาก่อน แล้วก็ เคยขอความรู ้จากผู้ถวายงานในตระกูลคนหนึ่งที่ถือว่าเป็ นญาติ ธรรมของอารามใหญ่ แต่ตอนแรกๆ ที่เริ่มสอนเจี่ยนซู่ก็ยังรู ้สึกตื่นเต้น อยู่บ้าง
เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มกลุ่มนั้นจะฟังเนื้อหาบทเรียนหรือ “มองคน สอน” ก็ยังไม่แน่ และยังมีฉางเกิงเตี่ยนเค่อที่นั่งอยู่ในมุมผู้นั้นที่ถึงกับ เริ่มเป็ นลูกเจี๊ยบจิกข้าวเปลือกแล้ว นี่กลับทาให้เจี่ยนซู่รู ้สึกโล่งใจได้ หลายส่วน การบรรยายต่อจากนั้นจึงเริ่มเข้าสู่สภาวะอันยอดเยี่ยม ถึง อย่างไรนางก็สอบได้ธรรมโองการตั้งแต่อายุสิบสี่ พอต้องมาสอน อัน ที่จริงก็เหมือนจ้วงหยวนของแคว้นช่วยสอนบทเรียนให้กับเด็กประถม ในชนบท
ไฉอวี้และฮวาเชี่ยวที่ยืนอยู่หน้าประตูก็โล่งใจเหมือนยกภูเขา ออกจากอกด้วย
คาบเรียนช่วงเช ้าสิ้นสุดลงแล้วก็เป็ นการกินอาหารเจ
ลุงฉางไปเข้าครัวเตรียมท าอาหารเช ้าแล้ว
อารามเต๋าแต่ละแห่งที่ทางการเป็ นผู้ก่อตั้ง นอกจากพิธีกรรม ต่างๆ แล้ว ทุกวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าก็จาเป็ นต้องกินอาหารเจ นอกจากกินเนื้อสัตว์ไม่ได้แล้วก็ยังมีข้อห้ามเรื่องของห้าอย่างที่มีกลิ่น แรง (หอม กระเทียม ต้นหอมจีน ผักชีและขิง) และของสี่อย่างที่มีรส เผ็ด (พริกไทย พริก มัสตาร ์ด กานพลู) ด้วย นอกจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับ กฎที่อารามแต่ละแห่งตั้งกันขึ้นเองแล้ว แน่นอนว่าก็มีสายสืบทอด บางอย่างที่กินอาหารเจได้อย่างเดียวเท่านั้น ห้ามกินเนื้อสัตว์และห้าม ดื่มเหล้าเด็ดขาด อีกทั้งยังห้ามแต่งงาน แต่อารามเต๋ทั่วไปที่ทางการ สร ้างขึ้นล้วนไม่อยู่ในข้อจากัดนี้ อารามหลิงจิ้งก็เป็ นเช่นนี้ นอกจากนี้บางครั้งอารามในแต่ละระดับที่ขึ้นตรงกับราชสานักใน
แคว้น จะกินเนื้อสัตว์ได้หรือไม่ ส่วนใหญ่ก็มักจะขึ้นอยู่กับความชื่น ชอบของฮ่องเต้หรือไม่ก็เจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น
โต๊ะกลมตัวใหญ่นั่งกันได้สิบกว่าคน ผลคือบนโต๊ะอาหารมีแค่ หมั่นโถว โจ๊กขาว และยังมีผักดองอีกสองสามจานกับพริกสับ กระเทียมสับอีกถ้วยใหญ่
พวกเด็กหนุ่มกลั้นหายใจ รอฟังแค่คาสั่งจากเจ้าอารามคนใหม่ก็ จะขยับตะเกียบได้แล้ว
เจียนซู่ยิ้มเอ่ย “ฉางเตี่ยนเค่อ ลัทธิเต๋ามีข้อพิถีพิถัน บังเอิญที่ วันนี้เป็ นวันที่สิบห้าพอดีกระเทียมคือหนึ่งในห้าอาหารที่มีกลิ่นแรง เอาออกไปเถอะ”
ฉางเกิงรีบเอ่ยขออภัย ถูมือเข้าด้วยกัน หยิบพริกและกระเทียม สับถ้วยนั้นออกไป
ไฉอวี้รู ้สึกอ่อนใจอยู่บ้าง หรือว่าหงเหมี่ยวไม่เคยสนใจแล้วก็ไม่ เคยสอนเรื่องพวกนี้เลย?
สายตาของพวกเด็กหนุ่มทั้งหลายไล่ตามถ้วยพริกและกระเทียม สับออกไป
กินข้าวก็ต้องพึ่งมัน หากไม่มีเจ้าของสิ่งนี้ อาหารที่เดิมทีก็ รสชาติจืดชืดอย่างถึงที่สุดมื้อนี้ยังจะกินกันได้อย่างไรอีก?
ฮวาเชี่ยวจึงประหลาดใจอยู่บ้าง เจ้านี่อร่อยขนาดนี้จริงหรือ? หากกินอิ่มแล้วไม่บ้วนปาก เวลาที่พูดคุยกับคนอื่นจะไม่มีแต่กลิ่น กระเทียมหรือไร?
“กินกันเถอะ ส่วนเรื่องการพูดคุยบนโต๊ะอาหาร ทุกคนตามสบาย ได้เลย”
เจี่ยนซู่ยิ้มพลางยกโจ๊กขาวชามหนึ่งขึ้นมาดื่ม นางขยับตะเกียบ คีบผักดองชิ้นหนึ่งขึ้นมาก่อน เคี้ยวอย่างละเอียด เอ๊ะ รสชาติไม่เลว เลยนี่นา
เพราะมีเจ้าอารามเจี่ยนอยู่ด้วย ท่าทางยามกินของพวกเด็กหนุ่ม จึงสุภาพกันอย่างมาก
รอกระทั่งเจี่ยนซู่วางตะเกียบลง เด็กหนุ่มทั้งหลายยังกัดหมั่นโถว กินคู่กับโจ๊กกันอยู่ ฮวาเชี่ยวมองเบาะแสออกแล้ว โดยเฉพาะเฉินฉง ผู้นั้น มองดูเหมือนกินช ้า แต่อันที่จริงกลับกินไปไม่น้อย!
ได้ยินว่าไฉเซียนจ่างกับสตรีตัวใหญ่ผู้นั้นจะไปซื้อของที่ตัว อ าเภอ หลินซูก็เสนอตัวว่าจะน าทางให้
ผลคือพบว่าเจ้าอารามเจี่ยนไม่ได้ตามพวกเขาลงจากภูเขาไป ด้วย เด็กหนุ่มก็หงอยทันที ออกจากประตูอารามไปแล้วก็เริ่มทาท่า เซื่องซึม
เจี่ยนซู่เดินเล่นไปรอบอาราม นอกจากต าหนักแล้ว ห้องรับแขก ห้องอาหาร ห้องครัวห้องเก็บของที่มีอุปกรณ์ทาเกษตรและของจุกจิก วางกองกันไว้ อันที่จริงก็มีอยู่แค่ไม่กี่ห้องเท่านั้น
ถู่เกาและหม่าฉงกระตือรือร ้นกันมาก น าทางพาเจ้าอาราม “เดิน แวะเวียนไปเยี่ยมเยียนตามเรือนต่างๆ
มีเพียงเฉินฉงที่เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อนั่งยองอาบ แสงแดดอบอุ่น อ้าปากหาวอย่างเกียจคร ้าน
เด็กหนุ่มยึดมั่นในจุดประสงค์ข้อหนึ่งมาโดยตลอด หากแอบอู้ได้ ก็ต้องแอบอู้
นอกจากเปลี่ยนเจ้าอารามคนใหม่ สาหรับเด็กหนุ่มเกียจคร ้านผู้ นี้แล้ว ตลอดวันที่ผ่านมานี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เมื่อเทียบกับความตื่นเต้นฮึกเหิมของพวกเด็กหนุ่มคนที่เหลือ มี อยู่สองสามเรื่องที่เฉินฉงอยากรู ้ แต่มิอาจพูดออกมาได้
ยกตัวอย่างเช่นในห้องของเจ้าอารามคนใหม่จะมีถังไม้หรือโถ ส าหรับฉี่หรือไม่? คนปกติมีเรื่องเร่งด่วนอยู่สามอย่าง เจ้าอารามเจี่ยน ก็ต้องใช ้ห้องส้วมส่วนรวมของอารามด้วยหรือไม่? แล้วยังมีเสื้อผ้า แนบกายที่วันหน้าเจ้าอารามเจี่ยนต้องตากไว้ในลานเรือน แขวนอยู่ บนราวไม้ไผ่ ปลิวไปปลิวมาตามสายลม จะท าลายบารมีของเจ้า อารามหรือไม่? เด็กหนุ่มคิดไปคิดมาก็รู ้สึกว่ามีความเป็ นไปได้มากที่ เจ้าอารามเจี่ยนจะให้สาวใช ้ตัวดาเป็ นถ่านผู้นั้นไปเช่าบ้านหลังหนึ่ง
อยู่นอกอาราม หรือไม่ก็ในหมู่บ้าน ในตัวอาเภอ เมื่อเป็ นเช่นนี้ก็ สามารถแก้ไขปัญหามากมายได้แล้ว หากรู ้แต่แรกว่าจะเป็ นเช่นนี้ก็ น่าจะถามท่านลุงฉางว่าในมือมีเงินเหลือบ้างไหม จะได้เอาไปเช่าบ้าน ว่างเปล่าหลังหนึ่งในหมู่บ้านของคนเฝ้ าศาลหลิวฟางเสียก่อน แล้ว ค่อยเอามาปล่อยเช่าต่อให้เจ้าอารามเจี่ยน หนึ่งปีได้เงินจากนางมา แค่ไม่กี่เหรียญก็คงไม่ถือว่าผิดต่อมโนธรรมในใจหรอกกระมัง? น่า เสียดายที่เงินอีแปะเดียวก็ทาให้วีรบุรุษล าบากได้ ต้องเสียเส้นทางท า เงินสายนี้ไปเสียเปล่าๆ
อาหารมื้อเย็นยังคงเป็ นอาหารเจอย่างสมชื่อ ยังดีที่ก่อนเจ้า อารามเจี่ยนจะหยิบตะเกียบขึ้นมาได้ยิ้มพูดประโยคหนึ่งว่า ขอแค่ ไม่ใช่วันถือศีลวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของทุกเดือนก็สามารถกินเนื้อ และอาหารรสเผ็ดได้
เฉินฉงท าท่าจะพูดแต่ก็เงียบไป ผลคือถูกท่านลุงฉางที่คล้ายกับ ล่วงรู ้ว่าเขาจะพูดอะไรถลึงตาใส่ สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ทนเอาไว้ หาไม่ แล้วเขาคงจะโพล่งออกมาแล้วว่า เจ้าอารามเจี่ยน อารามของพวกเรา ต้องสนข้อห้ามเรื่องกินเนื้อกับกินรสเผ็ดหรือ? นี่มันเป็ นเรื่องที่ว่าจะมี เนื้อให้กินหรือไม่ต่างหากเล่า!
นอกจากวันอู้ (การนับวันตามแผนภูมิสวรรค์ของจีน) หกวันที่ไม่ ต้องมีคาบเรียนช่วงเข้าและช่วงเย็นแล้ว ในคาบเรียนช่วงเย็นของทุก วันจะต้องมีการจุดธูปจุดเทียน เนื้อหาคัมภีร ์ที่ท่อง หนึ่งในนั้นคือ ท านองปู้ ซวีซึ่งเป็ นบทแรกสาหรับทาพิธีกรรมช่วงเย็นของอาราม
เนื้อหาในบทสวดแน่นอนอยู่แล้ว ก็แค่เปลี่ยนจากเจ้าอารามผู้เฒ่าหง มาเป็ นเจ้าอารามเจี่ยนที่อ่อนเยาว์กว่า เป็ นท่วงทานองกึ่งร ้องเพลงกึ่ง อ่านเช่นเดียวกัน พวกหลินซูฟังด้วยสีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา อย่าง น้อยภายนอกก็เป็ นเช่นนี้ แต่เฉินฉงกลับยังฟังอย่างง่วงงุนเหมือนเดิม ส่วนข้อความจากคัมภีร ์หลังจากนั้นก็ล้วนเลือกมาจากตาราลัทธิเต๋า ที่ราชสานักทั้งหลายเป็ นผู้กาหนดเอาไว้ แต่ละปี หนึ่งร ้อยปี เคารพ บูชาพระโพธิสัตว์ทั้งสิบทิศ เชื่อมต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จุดประกายจิตใจ อันสงบบริสุทธิ์คลี่คลายความอาฆาต ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ให้พ้นบาป ขึ้นสู่สวรรค์ บรรลุหนทางแห่งธรรม หลุดพ้นจากทางหลงผิด…ดู เหมือนว่าพิธีการของลัทธิเต๋าล้วนเป็ นกฎระเบียบเก่าที่สืบทอดกันมา เช่นนี้ทุกวัน
รอกระทั่งคาบเรียนตอนค่าสิ้นสุดลง พวกหม่าฉงก็ออกไปหาไฉ เซียนจ่างที่อยู่นอก ประตู ถามเขาว่ามาจากไหน เป็ นวิชาตระกูล เซียนที่ทะยานเมฆขี่หมอกหรือไม่ เป็ นผู้ฝึกตนในภูเขาที่สูงส่งเหนือ ทะเลเมฆอย่างที่ในตาราพูดจริงๆ หรือไม่?
ส่วนเฉินฉงนั้นไปที่ห้องท่านลุงฉาง พอเสียงตีกลองตอนค่าดังก็ ได้เวลาเข้านอนแล้ววันนี้ไม่เหมือนวันวาน เพราะถึงอย่างไรอารามห ลิงจิ้งก็เปลี่ยนผู้ดูแลคนใหม่แล้ว เมื่อก่อนเจ้าอารามผู้เฒ่าหงไม่เคย สนใจเรื่องพวกนี้ ตอนกลางคืนไม่หลับไม่นอน ประตูใหญ่ของอาราม ปิดก็จริง แต่ประตูหลังไม่เคยลงกลอน จะออกไปเดินเล่นข้างนอกก็ ตามใจ แค่มาหลับชดเชยตอนเรียนคาบเช ้าก็พอ ฟ้ าดินกว้างใหญ่
การนอนหลับใหญ่ที่สุดนี่นะ เงื่อนไขก็คือห้ามกรนเสียงดัง ไม่อย่างนั้นสิ่งที่รออยู่ก็คือการล้างถังส้วมตลอดทั้งเดือน
ผู้เฒ่ายังคงอ่านตาราเล่มเก่าที่หน้าปกไม่มีชื่อหนังสือ
เฉินฉงจาได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ขอแค่อยากอ่าน ท่านลุงฉางก็ มักจะมอบต าราให้เขาเสมอ หากอารมณ์ดีก็ยังจะอธิบายเนื้อหาให้ฟัง สองสามประโยค แต่ดูเหมือนว่านับตั้งแต่เริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปี ก่อน หรือบางทีอาจเป็ นปลายฤดูหนาวของเมื่อปีก่อน? หลังจากนั้น มาก็ไม่ยอมให้เขาอ่านหนังสือเล่มนี้อีกแล้ว เหตุผลของท่านลุงฉางก็ คือความจ าเจ้าแค่พอถูไถ อ่านไปก็ไม่มีความหมายอะไร
อันที่จริงไม่เพียงแค่เรื่องของการอ่านหนังสือเท่านั้น จาได้ว่า ตอนเด็กท่านลุงฉางยังชอบพูดคุย ไม่ว่าอะไรก็ยินดีจะพูดคุยกับเขา เพียงแต่ว่ายิ่งเป็ นช่วงหลังก็ยิ่งไม่ชอบเปิดปากพูดจาอีกแล้ว
นี่ทาให้เด็กหนุ่มรู ้สึกเสียใจอยู่บ้าง ราวกับว่าตนเติบโตทุกวัน ส่วนท่านลุงฉางกลับแก่ลงทุกวัน
เฉินฉงจาเนื้อหาในตาราได้จริงๆ ดูเหมือนว่าบทแรกจะพูดถึง เครื่องดนตรีที่ใช ้ในพิธีของลัทธิเต๋า อะไรที่บอกว่ากลองคือผู้นาแห่ง เครื่องดนตรี อะไรที่บอกว่าปรับปรุงขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมให้ดี ขึ้น ใต้หล้าสุขสงบ ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง หรืออะไรที่บอกว่า ระฆังคือผู้นาในกลุ่มเครื่องดนตรีประเภทโลหะ ตาหนักเขียนฝานกง ย่อมต้องใช ้เพื่อแสดงความจริงใจของผู้มาสักการะ ปลุกเร ้าบทเพลง
ของเหล่าเทพและวิญญาณ…ส าหรับสิ่งเหล่านี้ เด็กหนุ่มยังมึนๆ งงๆ ค าว่ารู ้ก็คือแค่รู ้อย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ และเฉินฉงก็ไม่ได้สนใจสัก เท่าไร สิ่งเดียวที่พอจะรู ้สึกว่าน่าสนใจก็คือบนตารามักจะมีการเพิ่ม ประโยคหนึ่งท้ายวรรคเล็ก เช่นคาว่า “แต่โม่จื่อไม่เห็นด้วย” “แต่ โม่จื่อคัดค้าน ควรจะทาอย่างไร” สรุปก็คือมีความหมายที่คล้ายคลึง กัน ทว่าล้วนมีคาว่า “โม่จื่อ” อยู่ทุกประโยค
เคยถามท่านลุงฉาง ถึงได้รู ้ว่า ‘โม่จื่อ” คือคน
เด็กหนุ่มถามอย่างประหลาดใจ “ท่านลุงฉาง อาจารย์ผู้เฒ่าที่ เขียนบทความนี้มีความแค้นกับคนที่ชื่อโม่จื่อหรือ?”
คอยขัดแย้งกันอยู่อย่างนี้ เป็ นเหตุให้ต้องเขียนบทความมา “ด่า กัน” หากว่าเจอหน้ากันจะไม่ถลกแขนเสื้อตีกันเลยหรือ?
ระหว่างที่เด็กหนุ่มพูด ท่านลุงฉางได้ยื่นนิ้วไปขยี้ไส้ตะเกียง ส่าย หน้ากล่าว “ไม่ได้มีความแค้นอะไรกัน ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้า พวก เขาคือสหายที่ความสัมพันธ ์ไม่เลว”
เฉินฉงถามอย่างสงสัย “ท่านรู ้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “อ่านเจอจากตาราเล่มอื่น”
เฉินฉงกล่าวอย่างอ่อนใจ “ท่านลุงฉางหนอ ท่านนี่อ่านตารา เบ็ดเตล็ดเยอะที่สุดจริงๆ”
ผู้เฒ่าตีความคาพูดอย่างจุกจิกว่า “ไม่ถึงกับ “เยอะที่สุด” ก็แค่ว่า ค่อนข้างเยอะเท่านั้น”
เด็กหนุ่มยิ้มเอ่ย “เอาเถอะ วันหน้าข้าจะต้องแกะสลักตราประทับ ชิ้นหนึ่ง ตัวอักษรบนตราประทับก็คือ “ท่านลุงฉางเคยดู หรือไม่ก็ให้ เป็ นภาษาทางการมากกว่าหน่อย “ท่านลุงฉางเคยผ่านตา” เป็ น อย่างไร?”
ผู้เฒ่ากล่าว “เปลี่ยนคาว่า “ดู” เป็ น “อ่าน” จะเหมาะกว่า ตอน อายุน้อยต้องอ่านหนังสืออายุมากแล้วค่อยเลือกหนังสือมาดู”
“คนโบราณบอกไว้ว่าอ่านต าราร ้อยรอบ ความหมายจะปรากฏ ขึ้นเอง คากล่าวนี้มีความหมายลึกล้า”
“คนในยุคอดีตเขียนหนังสือก็เพื่อถ่ายทอดวิชา คนอ่านหนังสือก็ เห็นความส าคัญอย่างมาก แต่ยิ่งเป็ นช่วงหลังๆ กลับยิ่งสัมผัสกับ ตาราได้ง่ายขึ้น หลักการเหตุผลในตาราก็มากขึ้นเรื่อยๆ กลับ กลายเป็ นว่าไม่มีค่าเหมือนเดิมแล้ว”
เฉินฉงไม่ชอบฟังคาพูดเลื่อนลอยพวกนี้ เพียงแค่ถามค าถาม สาคัญที่สุดเสียงเบาว่า “เจ้าอารามเจี่ยนจะไม่ไล่พวกเราไปจริงๆ หรือ?”
ท่านลุงฉางส่ายหน้า “ไม่หรอก” “เพราะอะไร?”
“แค่มองก็รู ้แล้วว่าเจ้าอารามเจี่ยนคือคนมีเงินที่เดินออกมาจาก ตระกูลใหญ่”
“นี่มันเหตุผลอะไรกัน คนมีเงินจะต้องจิตใจดีเสมอไปหรือ?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ใช่เหตุผลข้อนี้ ความหมายของข้าก็คือ เจ้าอารามเจี่ยนไม่มีทางถือสาในผลประโยชน์เล็กน้อยเท่าหัว แมลงวัน ลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ทางบ้านมีฐานะอย่างแท้จริง วิธีคิด คานวณผลได้ผลเสียของพวกเขาไม่เหมือนกับนักพรตที่ประจาการ อย่างพวกเรา พูดง่ายๆ ก็คือถ้านางเกลียดขี้หน้าพวกเรา รู ้สึกราคาญ ก็เลยไล่พวกเราออกจากอาราม หากเป็ นพวกเราสองคนยังดี ไม่มีที่ พึ่งใดๆ จะไปร ้องทุกข์กับใครก็ไม่ได้ ได้แต่ยอมรับชะตากรรม แต่ พวกหลินซูกับหม่าฉงล่ะ? ถึงเวลานั้นคงโวยวายจนอยู่กันไม่เป็ นสุข มีแต่จะถ่วงรั้งชีวิตอันสงบสุขของนาง เมื่อเป็ นเช่นนี้เจ้าอารามเจี่ยน สามารถประหยัดเงินได้บางส่วนหรือไม่ก็อาจจะจัดหาคนของตัวเอง มาไว้ในอารามได้ แต่สาหรับพวกนางแล้ว เวลาหนึ่งชุ่นมีค่าเท่าทอง หนึ่งชุ่น เจ้าจะไม่เห็นเป็ นจริงเป็ นจังก็ได้ แต่เจ้าอารามเจี่ยนกลับรู ้สึก ว่าเป็ นหลักการเหตุผลที่จริงที่สุด มีค่ามากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถูกกิจธุระทางโลกมารบกวน นางจะยิ่งรู ้สึกราคาญใจ หากเกิด เรื่องซ้าไปซ้ามาขึ้นจริง หรือถึงขั้นอาจเกิดคดีฟ้ องร ้องไปถึงที่ว่าการ อ าเภอ ก็เท่ากับว่าเจ้าอารามเจี่ยนทาการค้าขาดทุนที่ได้ไม่คุ้มเสีย พูดแบบนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
เฉินฉงคลี่ยิ้มสดใส “พูดเรื่องเงินหรือ ข้าเข้าใจดีเลยล่ะ!”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ดูเจ้าทาท่าเข้าสิ!”
ท่านลุงฉางเตียนเค่อ อยู่ในและนอกอารามก็ล้วนเป็ นคนแก่นิสัย ดีที่พูดง่าย ไม่มีความเจ้าอารมณ์ใดๆ แต่หากจะพูดถึงค าว่า “มีใจ เมตตาปราณีและน่าใกล้ชิด ก็จะเป็ นแค่เฉพาะตอนที่อยู่กับเด็กหนุ่ม เฉินฉงซึ่งเป็ นผู้เยาว์ของบ้านตนเท่านั้นจริงๆ