กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1070.2 คลื่นมรกตหมื่นลี้งามจับตา
อูเจียงใช ้วิธีการรวมเสียงให้เป็ นเส้นถามอย่างระมัดระวังว่า “ไม่ ทราบว่าช่างเขียนชื่ออะไรหรือ”
เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “ข้าบอกว่าตัวเองคือเฉินผิงอัน เจ้าไม่เชื่อ หากเปลี่ยนคาพูดอย่างใหม่ เจ้าจะเชื่อหรือ?”
อูเจียงพึมพาเสียงเบา “เรื่องประเภทนี้จะกล้าเชื่อได้อย่างไร”
อยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนเหมือนกัน ติงอิงสังหารจูเห ลี่ยน ส่วนเจ้าก็สังหารติงอิง
ว่ากันว่ายังทาให้อวี๋เจินอี้ที่ขี่กระบี่เดินทางไม่กล้าเข้ามาในเมือง ด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอูเจียงยังได้ยินข่าวที่น่าตะลึงพรึงเพริดมาจาก อาจารย์อีกว่าอาจารย์ปู่ คือสหายรักของเซียนกระบี่แซ่เฉินคนนั้น มี มิตรภาพที่เคยช่วยเหลือแลกชีวิตกันมา เคยออกท่องยุทธภพอยู่ใน โลกด้านนอกมาด้วยกัน
เฉินผิงอันโยนเหล้ากาหนึ่งไปให้ ถามว่า “อูเจียง เจ้ามีความรู ้สึก อย่างไรต่อวิถีทางโลกในทุกวันนี้?”
ครั้งนี้อูเจียงไม่มัวเล่นแง่อีกต่อไป ยื่นมือไปรับกาเหล้ามาแกะ ผนึกดินออก สูดดมกลิ่นแรงๆ เหล้าดี! ยังไม่ทันได้ดื่ม คนหนุ่มก็เริ่ม รู ้สึกเมาแล้ว
อูเจียงแหงนหน้ากระดกดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนไปอีกใหญ่ กลืนลงท้องไปแล้ว ช่องโพรงลมปราณทั่วร่างก็คล้ายพื้นดินแห้งแล้ง มานานที่ได้เจอฝนรสหวาน กลิ่นอายสุราลอยอวลอยู่ในร่างไปชักน า เลือดลม เส้นชีพจรตลอดเส้นทางก็สั่นสะเทือนเหมือนเสียงโลหะดัง อู เจียงพลันสะดุ้งโหยง ใบหน้าแดงก่า ร ้องอื้ออึงอยู่ในลาคอ ก่อนจะ ทอดถอนใจเอ่ยว่า “มิน่าเล่ามนุษย์เราถึงอยากเป็ นเทพเซียน”
ย่อยฤทธิ์สุราชุมนั้นได้แล้ว อูเจียงพลันคืนสติ เหมือนตัวเองได้ กลับไปเป็ นเด็กหนุ่มอีกครั้ง เหมือนเมื่อครั้งแรกที่ได้ไปพบเจ้าลัทธิลู่ ไถ เขาใคร่ครวญถ้อยคาที่จะกล่าวอย่างระมัดระวัง เอ่ยเสียงจริงจังว่า “วิถีทางโลกในทุกวันนี้มีเรื่องประหลาดมหัศจรรย์อยู่มากมายทุก ความเป็ นไปไม่ได้สามารถกลายมาเป็ นไปได้ เรื่องที่เมื่อก่อนไม่กล้า แม้แต่จะคิดล้วนเป็ นดั่งความฝันงดงามที่กลายมาเป็ นความจริง เรียนวรยุทธฝึกหมัด มีหวังจะเหนือกว่าบุคคลมหัศจรรย์ที่มองดูคล้าย ไร ้เทียมทานพวกนั้น ไม่ต้องอดทนจนแก่อายุเจ็ดสิบแปดสิบปี คนที่ อ่อนเยาว์อย่างจงเชี่ยนก็สามารถกลายมาเป็ นปรมาจารย์ใหญ่ได้ อย่างพวกจ้งชิว เฉิงหยวซานแล้ว คนที่ฝึกคาถาเซียนก็ยิ่งสามารถ คิดถึงความเป็ นอมตะได้ ดูเหมือนว่าภายในเวลาค่าคืนเดียว ภูเขาที่มี ชื่อเสียงและแม่น้าใหญ่ทุกแห่งในใต้หล้าล้วนมีเจ้าของหมดแล้ว ใน
อาณาเขตของแต่ละแคว้นมีแต่การเช่นบวงสรวง คนที่เป็ นขุนนางก็ ยุ่งอยู่กับการสร ้างศาลยามที่ชาวบ้านจุดธูปก็จริงใจมากเป็ นพิเศษ…”
พูดมาถึงตรงนี้อูเจียงก็เงยหน้ามองฟ้ า พูดด้วยสีหน้าซับซ ้อนว่า “เคยได้เจอกับสหายคนหนึ่งที่จับผลัดจับผลูได้ฝึกวิชาเซียนครึ่งทาง เขาบอกว่านี่เรียกว่าสวรรค์สรรค์สร ้าง”
โคลงศีรษะ ดื่มเหล้าเงียบๆ ไปอีกหนึ่งคา ครั้งนี้ไม่กล้าดื่มเยอะ อู เจียงมองทะเลสาบชิวชี่ที่ริ้วน้าเป็ นประกายระยิบระยับ พึมพาว่า “เพียงแต่ว่าเหล่าเทพเซียนพากันปรากฏตัวภูตผีถือกาเนิด คนที่มีวร ยุทธติดตัวอย่างข้ารู ้สึกว่าเป็ นเรื่องดี แต่พวกชาวบ้านอาจไม่ได้รู ้สึก ว่าน่าสนใจสักเท่าไร น่าจะรู ้สึกหวาดผวากันมากกว่า”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เจ้าคิดได้แบบนี้ก็ไม่เลวเลย ไม่ต้องคิดหรอ กว่าควรจะดื่มเหล้าให้ประหยัดอย่างไร ดื่มหมดแล้วก็ค่อยดื่มกาใหม่ ดื่มให้สบายใจ ความสามารถในการดื่มของเจ้าต้องไม่มีทางสู้วิชา อภินิหารขนย้ายสุราได้แน่นอน”
หากพูดกันถึงความสามารถในการยุให้ดื่ม อย่างน้อยที่สุดเถ้า แก่รองก็มีขอบเขตเท่าเทียมกับขอบเขตวรยุทธ
อูเจียงกล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “เซียนกระบี่เฉินเป็ นคาถาเซียน อย่างการย้ายเหล้า ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “สอนไม่ได้ แล้วก็สอนไม่ไหวด้วย”
เพราะวิชาอภินิหารบทนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า “มีเงิน
เพราะถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ไม่มีขอบเขตและไม่มีหนังหน้าหนา อย่างเจ้าลัทธิลู่ เขาสามารถขนย้ายเหล้าเซียนจากทั่วสารทิศในโลก มนุษย์มาโดยไม่บอกกล่าวใครได้จริงๆ
เฉินผิงอันหยิบเหล้าอีกกาออกมา ยื่นส่งให้อูเจียง ยิ้มบางๆ ถาม ว่า “ในเมื่อเจ้ามองโลกแบบนี้ หลายปีมานี้เจ้าท่องยุทธภพอย่างไร?”
อูเจียงทาท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด คิดไปคิดมาก็ยังกลืนคาพูดที่ สวยงามไพเราะเหล่านั้นกลับลงท้องไป ตอบตามสัตย์จริงว่า “ก็แค่ ชายโสดคนหนึ่ง ท่องยุทธภพไปตามความชื่นชอบของตัวเอง อย่าง น้อยก็ไม่ท าร ้ายใคร”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ดูจากการแต่งกายของเจ้าก็รู ้แล้วว่า
เจ้าไม่ได้โกหก”
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกมีโชคชะตาบู๊มาอยู่ติดกายแล้ว อยู่ที่ไหนก็ เป็ นที่ชื่นชอบทั้งนั้นต่อให้ไปคว้าตาแหน่งแม่ทัพบู๊ที่ระดับขั้นขุนนาง ไม่ต่ามาจากราชสานักก็ยังเป็ นเรื่องเล็กที่ท าได้ง่ายๆ
ใบหน้าอูเจียงอัดอั้นอยู่บ้าง นักเล่านิทานใต้สะพานลอยต่างก็พูด กันไม่ใช่หรือว่าหนวดเครารุงรัง ไม่แต่งเนื้อแต่งตัว พเนจรท่องอยู่ใน ยุทธภพ หากไม่ใช่วีรบุรุษก็เป็ นลูกผู้ชาย
เรือหอเรือนลาหนึ่งที่มุ่งหน้าไปยังเกาะหลัวไต้ เพ่ยเซียงเจ้าแห่ง แคว้นหูที่ปลดหมวกม่านคลุมหน้าออกแล้ว ข้างกายพา “เซียน
จิ้งจอกผู้ติดตาม” มาด้วยสามคน เวลานี้กาลังนั่ งดื่มชาชม ทัศนียภาพอยู่ที่ชั้นบนสุดของหอเรือน
ผู้ดูแลชั่วคราวของเรือหอเรือนที่ตั้งใจมารอคอยเพ่ยเซียง “เจ้า แห่งแคว้น” อยู่ที่นี่คือนักพรตหญิงอายุน้อยคนหนึ่งของอารามต้ามู่ คือหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของกงฮวาเจ้าอาราม ได้รับประทานชื่อ ว่าเป๋ าซิ่ง ฉายา “โหรวรื่อ” การประชุมในครั้งนี้นางมีหน้าที่ต้อนรับ ดูแลแขกที่มาเยือนโดยเฉพาะ เวลานี้นางนั่งคุกเข่าอยู่บนเสื่องาช ้างที่ ขาวสะอาดราวกับหยก เป็ นคนต้มชารับรองแขกด้วยตัวเอง
เป๋ าซิ่งยื่นส่งถ้วยชาให้กับแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย คลี่ยิ้มหวานเอ่ย ว่า “เพื่อต้อนรับการมาถึงของเจ้าแห่งแคว้น เจ้าอารามของข้าก็ได้ สร ้างเรือนหลังหนึ่งขึ้นใหม่บนเกาะหลัวไต้โดยเฉพาะ ตั้งชื่อว่ากู่เยว่ เซวียน รอแค่ให้เจ้าแห่งแคว้นขึ้นเกาะมาพานักเท่านั้น หากไม่ รังเกียจว่าสถานที่อยู่ห่างไกล วันหน้ากู่เยว่เซวียนก็จะเป็ นเรือนพัก ส่วนตัวของเจ้าแห่งแคว้นแล้ว ในอนาคตหากมีผู้ฝึกลมปราณของ แคว้นหูมาเที่ยวเล่นที่ทะเลสาบชิวขี่ก็สามารถไปพักอยู่ที่นั่นได้”
ดูเหมือนว่าอารามต้ามู่จะให้การดูแลผู้ฝึ กตนหญิงและสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าเป็ นพิเศษ
เพ่ยเซียงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “หากได้เจอกับกงหูจวินจะต้อง ขอบคุณนางต่อหน้าเสียหน่อย”
คุยเล่นกันไปได้พักหนึ่ง พูดถึงชาติกาเนิดของเป๋ าซิ่ง นางก็ยิ้ม บางๆ เอ่ยว่า “บรรพบุรุษอาศัยอยู่ที่แม่น้าก่านเจียงมาทุกรุ่น ห่างจาก ทะเลสาบชิวชี้ไม่ไกลนัก บรรพบุรุษของข้าต่างก็เป็ นคนปล่อยแพของ แม่น้า”
กวอจู๋จิ่วทิ้งตัวนอนหงาย ยื่นมือไปเลิกผ้าม่านขึ้นมองไปยังริม ชายฝั่งของทะเลสาบที่มีต้นหลิวตันหยางขึ้นเรียงราย รู ้สึกเลื่อมใสยิ่ง นัก ตัวร ้ายใหญ่อย่างอาจารย์พ่อช่างเป็ นได้อย่างสบายอุราเหลือเกิน
……
ไพศาลมีเก้าทวีป ใต้หล้ามืดสลัวมีสิบสี่มณฑล ในบรรดานั้นมี เพียงแค่มณฑลหรู่โจวเท่านั้นที่เป็ นสถานที่เพียงหนึ่งเดียวซึ่งได้รับ การยอมรับว่า “โชคชะตาบู๊กดข่มเหนือกลิ่นอายแห่งเต๋า
เพียงแค่เพราะราชสานักชื่อจินของหรู่โจวมี “หลินซือ” แห่งภูเขา ยาชานนั่งบัญชาการณ์
บวกกับที่ในอาณาเขตหรู่โจวมีแคว้นแห่งสายน้าอยู่เยอะมาก เป็ นเหตุให้คือสถานที่ที่ท าให้เต้ากวานสายนักมองลมปราณของป๋ า ยอวี้จิงปวดหัวมากที่สุด
ในอาณาเขตหรู่โจวมีแม่น้าฉานเจียงอยู่สายหนึ่งที่โชคชะตาน้า เป็ นอันดับหนึ่งในมณฑล ติดอันดับหนึ่งในหกลาน้าแห่งมืดสลัว
หนึ่งชายหนึ่งหญิงเดินเคียงบ่ากันไปริมสายน้าใหญ่ ลมแม่น้าพัด กระโชกแรงปะทะใบหน้า ชายแขนเสื้อของพวกเขาจึงสะบัดดังพึ่บพั่บ
บุรุษยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คือ “มณฑล” ไม่ใช่ “ทวีป” มากพอจะมอง ออกถึงความต่างของโชคชะตาภูเขาและสายน้าของสองใต้หล้าแล้ว”
ทุกครั้งที่หลินเจียงเซียนออกเดินทางล้วนไปไหนมาไหนเพียง ลาพังมาโดยตลอด ครั้งนี้กลับแหกกฎพาหญิงสาวคนหนึ่งติดตามมา ข้างกายด้วย นางก็คือซูเตี้ยนที่เพิ่งจะมาหาเขาได้ไม่นาน นางมาจาก เมืองเล็กอาเภอไหวหวงถ้าสวรรค์หลีจูเก่าของแจกันสมบัติทวีป อิง ตามลาดับอาวุโสที่แท้จริงถือว่าเป็ นศิษย์น้องหญิงของเขา แต่ทุก วันนี้ซูเตี้ยนที่อยู่บนภูเขา ยาชานได้เปลี่ยนชื่อเป็ นซูเตี้ยนที่เขียนด้วย อักษรคนละตัว กราบลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของหลิน เจียงเซียนเป็ นอาจารย์ ล าดับอาวุโสจึงถูกดึงห่างออกไป
แรกเริ่มหลินเจียงเซียนยังกังวลว่าซูเตี้ยนจะไม่ยอม เขาถึงกับคิด ค าพูดไว้เรียบร ้อ แล้วว่านี่เป็ นแค่แผนการฉุกเฉินที่เอาไว้ใช ้ปิดบังหู ตาผู้คนเท่านั้น ป๋ ายอวี้จึงไม่เหมือนกับศาลบุ๋นของไพศาล ง่ายที่จะ ถูกพวกเต้ากวานที่เชี่ยวชาญศาสตร ์การคานวณพวกนั้นสืบสาว เบาะแสมาเจอ…คิดไม่ถึงว่าตอนนั้นซูเตี้ยนไม่รอให้หลินเจียงเชียน พูดจบ นางก็ตอบกลับมาง่ายๆ ประโยคหนึ่งว่า ขอแค่ตนได้เรียน “หมัดแท้จริง” จากที่นี่ได้ ต่อให้นางต้องไปเป็ นลูกศิษย์นักการที่ทุก วันต้องคอยยกน้าส่งชาให้คนอื่นก็ยังไม่เป็ นไร
ซูเตี้ยนเรียกอีกฝ่ ายด้วยความเคารพว่าหลินชื่อด้วยความเคย ชิน “หลินซือ ห่างจากการประเมินวรยุทธครั้งต่อไปอีกนานแค่ไหน?”
ไม่เพียงแต่เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามเท่านั้น ทุกวันนี้นาง ยังมาพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น หลักๆ แล้วเป็ นเพราะคุณสมบัติ ด้านการเรียนวรยุทธของหลินเจียงเซียนด้วย จึงดูเหมือนว่าหากเรียก อีกฝ่ายว่าปรมาจารย์หลินก็ยังดูเป็ นการไม่ให้ความเคารพ
ตามขนบธรรมเนียมบนภูเขาของใต้หล้ามืดสลัว การประเมินสิบ คนในใต้หล้าทุกๆ หนึ่งร ้อยปีที่พรรคเซียนจั้งเป็ นผู้ก าหนด และการ ประเมินผู้ฝึกยุทธสิบคนทุกๆ หกสิบปีของภ เขาปิงเจี่ย คนที่มาร่วมวง ความครึกครื้นล้วนไม่พอใจกันเท่าไร บ่นว่าฝ่ ายแรกใช ้เวลาสั้น เกินไป เวลาแค่ร ้อยปีเท่านั้น คนที่อยู่บนกระดานล้วนเป็ นใบหน้าเก่าๆ อย่างที่ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น อย่างมากก็แค่มีการปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ขณะเดียวกันก็รังเกียจที่ฝ่ ายหลังใช ้เวลานานเกินไป นอกจากหลินซือที่เป็ นอันดับหนึ่งอย่างไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแล้ว เก้า คนที่ตามหลังเขามา ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนอันดับก็ล้วนเป็ นคนใหม่ แทบทั้งหมด เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกยุทธเต็มตัว อายุร ้อยปีก็ถือว่าสูง วัยแล้ว
หลินเจียงเซียนยิ้มเอ่ย “อันดับใหม่เพิ่งออกมาได้แค่ไม่กี่ปี ตาม กฎแล้วก็ควรต้องเป็ น เช่นนี้ แต่ว่าก่อนหน้านั้นได้พึ่งใบบุญของป๋ าย โอ่ว ภายในเวลาหกสิบปี ยุทธภพถึงได้ไม่มี กลิ่นอายเรื่องซึมอึมครึม เช่นเดิมอีก นางชอบถามหมัดกับคนอื่น ทั้งยังออกหมัดรุนแรง คู่ต่อสู้ หลายคนของนางหากไม่ตายก็บาดเจ็บ เท่ากับว่าพวกเขาติดอันดับ ได้ไม่กี่วันก็ต้องกระเด็นออกไปแล้ว ปีนั้นคนที่มีชื่อติดกระดาน พวก
ผู้อาวุโสที่ยังไม่ทันถูกป๋ ายโอ่วไปหาถึงที่ในใจอดกระวนกระวายไม่ได้ กลัวว่าฝี มือของตัวเองจะไม่ดีพอ ทั้งแพ้หมัดแล้วยังต้องขายหน้า ชื่อเสียงของวีรบุรุษอันเลื่องลือต้องมาถูกทาลายภายในวันเดียว ส่วน คนรุ่นเยาว์ที่ไม่ติดอันดับ แต่กลับรู ้สึกว่าตัวเองมีหวังที่จะเลื่อนเป็ นสิบ คนของการประเมินวรยุทธก็เป็ นกังวลใจเหมือนกัน หรือว่าจะต้องเอา ชีวิตไปทิ้งเพียงแค่เพราะชื่อเสียงจอมปลอมอย่างนั้นหรือ? เชื่อว่า ก่อนที่รายชื่อคราวก่อนจะออกมา หลงซินผู่ที่เป็ นบรรพจารย์ภูเขาปิง เจี่ยจะต้องเคยไปเยือนราชวงศ์ชิงเสินเพื่อพูดคุยกับป๋ ายโอ่วมาก่อน แน่นอน หลังจากตกลงกันแล้ว ข้าเดาว่าเสนาบดีรูปงามก็ต้องก าชับ ป่ายโอ่วว่าไม่ให้นางฉายประกายคมกริบมากขนาดนั้นอีก”
คนทั้งสองเดินไปยังลาคลองหม่าเจี๋ยซึ่งเป็ นสายน้าที่ไหลแยก ออกมา ชื่อเดิมว่าจูหลงเหนือเนินเขาซึ่งเป็ นจุดตัดระหว่างแม่น้ากับ ลาคลองมีศาลแห่งหนึ่งที่ควันธูปธรรมดาตั้งอยู่
ตลอดทางที่เดินกันมานี้ บางครั้งก็เจอกับนักท่องเที่ยวแถวริมลา คลอง ทว่าไม่มีใครเดาตัวตนของบุรุษวัยกลางคนชุดเขียวผู้นี้ออก นี่ ก็เกี่ยวกับการที่หลินเจียงเชียนไม่ชอบเปิดเผยหน้าตาด้วย ภูเขายา ซานตั้งอยู่ในราชวงศ์ชื่อจิน แต่ไม่ว่าราชสานักจะจัดงานพิธีใดๆ อย่างมากก็เป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดบางคนของหลินเจียงเซียนเท่านั้นที่ ปรากฏตัว ทุกครั้งที่หลินเจียงเซียนออกไปหาประสบการณ์ข้างนอก ก็มักจะท่องอยู่ในยุทธภพอยู่ในหมู่ชาวบ้านร ้านตลาด ทั้งไม่ขึ้นเขา
ไปเยี่ยมเยือนเซียนแล้วก็ไม่ผูกมิตรกับขุนนาง ไม่เคยสร ้างคลื่นลม มรสุมใดๆ บนภูเขา
ก็เหมือนคราวก่อนที่แหกกฏไปร่วมงานแต่งงานที่สานักต้าเฉา หลินเจียงเซียนเองก็เลือกจะนั่งเงียบๆ อยู่ในมุม ทั้งยังใช ้นามแฝง
“ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเดินขึ้นสู่ที่สูง จิตใจจะต้องไปถึงก่อนแล้วหมัด ค่อยตามมา ไม่เหมือนกับผู้ฝึกบาเพ็ญตนที่มีชีวิตอยู่ได้นานหลาย ร ้อยหลายพันปี ผู้ฝึ กยุทธฝึ กวิชาหมัดใช ้เวลาแค่ไม่กี่สิบปี เท่านั้น หากแม้แต่คิดก็ยังไม่กล้าคิด ก็ไม่มีทางเดินไปถึงตาแหน่งสูงที่อยู่ใน ใจได้หรอก”
หลินเจียงเซียนกล่าว “เจ้าอยู่ที่นี่ก็ให้เอาป๋ ายโอ่วเป็ นตัว เปรียบเทียบ นี่ไม่มีปัญหาอะไร สองฝ่ ายมีระยะห่างต่อกัน ตอนนี้ ระยะห่างยังไม่น้อย แต่ลองขยันหมั่นเพียร พยายามให้มากหน่อย ก็ ต้องมองเห็นแผ่นหลังของอีกฝ่ายได้แน่นอน”
“ถึงอย่างไรก็ดีกว่าอยู่ที่บ้านเกิดตัวเองแล้วเอาตัวเองไป เปรียบเทียบกับ “สองเผย” อยู่ตลอด”
“ในฐานะศัตรูในจินตนาการของเจ้า ในอนาคตถูกก าหนด มาแล้วว่าจะหนีไม่พ้นการถามหมัดกับคนทั้งสอง พวกนางคนหนึ่ง ตาแหน่งสูงเกินไป เผยเปยคือบุคคลอันดับหนึ่งบนวิถีวรยุทธของ ไพศาลได้อย่างสมศักดิ์ศรี อย่าว่าแต่ถามหมัดกับนางเลย คาดว่าแค่ คิดอยากจะเห็นหน้านางก็ยังไม่ง่าย อีกคนหนึ่งอยู่ใกล้เกินไป แค่ที่
ภูเขาถั่วพัวของบ้านเกิดเท่านั้นแล้วนับประสาอะไรกับที่เผยเฉียนยัง เด็กกว่าเจ้า เห็นได้ชัดว่าคุณสมบัติในการฝึกวรยุทธของนางดีกว่า เจ้า เจ้าแพ้หมัดแค่ครั้งสองครั้งก็ยังไม่เป็ นไร แต่หากแพ้อยู่ตลอด กลับไม่สมควรแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลัวว่าเผยเฉียนจะออมแรง ตอนออกหมัด อีกฝ่ ายอาจจะหวังดี เพียงแค่เพราะจิตใจของเจ้าไม่ หนักแน่นมั่นคงมากพอ นี่ก็จะกลายเป็ นความยุ่งยากใหญ่หลวงแล้ว ดังนั้นเจ้ามาที่นี่ เปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่ก็ถูกต้องแล้ว”
ซูเตี้ยนกล่าว “ถึงอย่างไรป๋ ายโอ่วก็เป็ นบุคคลอันดับที่สามของ ใต้หล้า หลินชื่อ ข้ามองนางเป็ นเป้ าหมายที่ต้องไล่ตามให้ทันจะเป็ น การไม่เจียมตัวเกินไปหรือไม่?”
ถึงอย่างไรการมีความกล้าหาญกับไม่มีความกล้าหาญคือเรื่อง หนึ่ง ความจริงเป็ นเช่นไรก็เป็ นอีกเรื่องหนึ่ง
หลินเจียงเซียนยิ้มบางๆ “กลัวอะไรเล่า มีศิษย์พี่อย่างข้าอยู่ ทุก อย่างล้วนเป็ นไปได้ ข้าจะช่วยสอนหมัดป้ อนหมัดให้เจ้าเอง เจ้าก็จะ ไม่ได้เป็ นคนปัญญาอ่อนที่ได้แต่เพ้อฝันอีกต่อไปแล้ว”
“แต่ข้าวต้องกินไปทีละคา ข้าจะช่วยเขียนใบรายชื่อให้เจ้า บน นั้นจะมีปรมาจารย์วิถีวรยุทธอยู่ประมาณห้าหกคน ภายในสามสิบปี เจ้าต้องทยอยถามหมัดกับพวกเขาให้ครบ”
“บอกไว้ก่อนว่าขอแค่เจ้าแพ้หนึ่งครั้ง ชีวิตนี้ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะ ถามหมัดกับป๋ ายโอ่วแล้ว”
ซูเตี้ยนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “ข้าจะไม่ทาให้หลินชื่อ ผิดหวังเด็ดขาด!”
หลินเจียงเซียนส่ายหน้า “ข้าแค่พยายามทาหน้าที่ของศิษย์พี่ให้ เต็มที่เท่านั้น ไม่เคยฝากความหวังใดๆ ไว้กับเจ้า ก็แค่ชดใช ้หนี้เก่า คืนให้ครบ ไม่มีอะไรให้ต้องผิดหวัง เจ้าแค่ต้องท าให้ตัวเองไม่ผิดหวัง
ก็พอ”
แม้ว่าล าดับอาวุโสบนภูเขายาซานของซูเตี้ยนจะต่ามาก แต่ “อาจารย์” ที่แท้จริงของนางกลับยังคงเป็ นเขาหลินเจียงเซียน
ยี่สิบสามสิบปีในอนาคต หลินเจียงเซียนจะชี้แนะเรื่องการเรียนวร ยุทธและฝึกหมัดให้กับซูเตี้ยนด้วยตัวเอง บางทีอาจจะถ่ายทอดวิชา อย่างใกล้ชิดโดยตรงยิ่งกว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายตรงทั้งหลายใน นามเสียอีก
ป๋ ายโอ่วแห่งใต้หล้ามืดสลัวสามารถมองเป็ นเผยเปยเทพีแห่งการ ต่อสู้หญิงของใต้หล้าไพศาลได้
ว่ากันในบางระดับแล้ว เหยาชิงเสนาบดีรูปงามอาจจะอิงตาม “แบบแผน” และ “ผลงานที่แท้จริง” ของเผยเปยมาอบรมปลูกฝังป๋ าย โอ่วอย่างตั้งใจก็เป็ นได้
ป๋ ายโอ่ว ราชครูหญิงแห่งราชสานักชิงเสิน ตรงเอวพกง้าวสั้น มี ชื่อว่า “เถี่ยซือ” ถูกป๋ ายอวี้จิงจดบันทึกเป็ นศาสตราวุธเทพชิ้นหนึ่ง
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง หยัดยืนอยู่บนยอดเขาของวิถีวร ยุทธมาร ้อยกว่าปี ทุกวันนี้คือผู้ฝึกยุทธอันดับที่สามของใต้หล้ามืด สลัว เป็ นรองแค่หลินเจียงเซียนกับซินขู่เท่านั้น
ทยอยขึ้นกระดานสิบคนในการประเมินวรยุทธ ครั้งแรกที่ป่ าย โอ่วมีชื่อติดอันดับ ตอนนั้นรายชื่อของนางอยู่รั้งท้ายสุด
ทว่าต่อให้เป็ นเช่นนี้ก็ยังมีคาวิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อย สตรีที่ อายุสี่สิบกว่าปี ก็แค่เพิ่งจะเลื่อนเป็ นขอบเขตปลายทาง ต่อให้ คุณสมบัติด้านการเรียนวรยุทธจะดีแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรนางก็ไม่เคย ถามหมัดกับปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางมาก่อน ถึงขั้นที่ว่าก่อนจะ กลายเป็ นปรมาจารย์ขอบเขตสิบ ตอนที่ป๋ ายโอ่วอยู่ในขอบเขตเดิน ทางไกลและขอบเขตยอดเขา สิ่งที่ทาให้นางมีชื่อเสียงยิ่งกว่าก็คือ สถานะราชครูหญิงอันเลื่องลือนั่น ส่วนเรื่องของการถามหมัด ดู เหมือนว่าจะไม่มีผลการสู้รบที่มีค่าใดๆ ให้พูดถึง ผลคือทุกคนที่อยู่ใน มณฑลต่างก็พูดกันว่านางคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการเรียนวรยุทธ แต่ คนที่อยู่ภายนอกกลับพากันสงสัยว่าฝีมือของนางไม่สมชื่อหรือไม่?
หรือว่าเพื่อให้บนกระดานมีผู้ฝึกยุทธหญิงก็เลยจงใจปล่อยผ่าน ให้นางติดอันดับ?
ความจริงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่ได้เป็ นเช่นนี้เลย เพราะทุกๆ สิบ ปี ต่อจากนั้น ป๋ ายโอ่วจะต้องไปถามหมัดกับผู้ฝึ กยุทธขอบเขต ปลายทางที่ลาดับรายชื่ออยู่เหนือนางตามลาดับ….อันดับที่เก้า อันดับ ที่แปด ผลคือการถามหมัดสี่ครั้งที่ทาให้ใต้หล้าต้องหันมามองนางเสีย
ใหม่ ป๋ ายโอ่วล้วนชนะทั้งหมด ตายสามรอดหนึ่ง อีกทั้งปรมาจารย์ เฒ่าขอบเขตปลายทางเพียงหนึ่งเดียวที่รอดชีวิตมาได้ยังขอบเขต ถดถอยด้วย