กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1070.3 คลื่นมรกตหมื่นลี้งามจับตา
การที่ไม่มีครั้งที่ห้าและครั้งที่หกก็เพราะป๋ ายโอ่วที่รับหน้าที่เป็ น ราชครูแคว้นชิงเสินกระโดดข้ามรายชื่อไปทีเดียวหลายชื่อ เป็ นฝ่ าย ไปเยือนยาซานหรู่โจว เลือกที่จะถามหมัดกับหลินซือโดยตรง!
แน่นอนว่าแพ้แล้ว
ดังนั้นรอกระทั่งการประเมินวรยุทธครั้งที่สอง พอนางติดสาม อันดับแรกจึงเหลือแค่ “คาวิพากษ์วิจารณ์เล็กๆ น้อยๆ” เท่านั้น สิ่ง เดียวที่พอจะเป็ นข้อบกพร่องได้ก็คือนางใช ้ง้าวพกพาที่มีชื่อว่า “เถี่ย ซื่อ” เล่มนั้น
เพราะต่อให้จะไม่ได้เลื่อนเป็ นสิบคนอะไร อีกทั้งลาดับยังสูงขนาด นี้ แต่การที่นางอาศัยศาสตราวุธเทพชิ้นนี้มาเลื่อนติดสามอันดับแรก บนวิถีวรยุทธ บางทีก็อาจจะมี…ปัญหาอยู่บ้างเล็กน้อย?
เป็ นเหตุให้ภูเขาปิงเจี่ยที่อัดอั้นมานานเต็มที หลังจากประกาศ รายชื่อฉบับนั้นออกมาแล้ว ท่ามกลางเชิงอรรถสิบกว่าข้อ ข้อที่สอง ถึงได้มีการระบุไว้ว่า “ใครมีความเห็นต่างต่อการจัดอันดับรายชื่อครั้ง นี้ก็ให้ไปถามหมัดกับป๋ ายโอ่วเอาเอง”
ซูเตี้ยนถาม “หลินซือ ในรายชื่อมีอวี่ฉิงของภูเขาปิงเจี่ยอยู่ด้วย หรือไม่?”
หลินเจียงเซียนพยักหน้า “หากว่ามีหรือไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน ยกตัวอย่างเช่นว่าวันใดอวี๋ฉิงขอบเขตถดถอย ถ้าอย่างนั้นเป้ าหมาย ในการถามหมัดครั้งที่สามของเจ้าก็คือนางแล้ว”
ซูเตี้ยนถาม “ข้ามาที่นี่จะเป็ นการสร ้างปัญหาที่ไม่จาเป็ นให้กับ หลินซือหรือไม่?”
หลินเจียงเซียนส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้ที่ให้เจ้าเปลี่ยนชื่อ รับผู้ฝึก ยุทธภูเขายาซานที่ล าดับอาวุโสไม่สูงเป็ นอาจารย์ ไม่ใช่เพราะกลัวว่า จะสร ้างปัญหาให้กับยาซาน แต่เพื่อให้เจ้าได้เรียนวรยุทธ ตั้งใจฝึก หมัดได้ดีกว่าเดิม ไม่จาเป็ นต้องแบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องอื่น มีสถานะที่ ไม่สะดุดตากลับจะช่วยลดทอนเรื่องหยุมหยิมไปได้มากมาย”
“แน่นอนว่าก็เป็ นการหยั่งเชิงที่ข้ามีต่อเจ้าตอนพบกันครั้งแรก ด้วย หลักๆ แล้วกังวลว่าเจ้าจะอายุน้อยอารมณ์พลุ่งพล่าน รู ้ว่าตัวเอง มีศิษย์พี่แล้ว อยู่ที่หรู่โจวแห่งนี้ก็ไม่รู ้ฟ้ าสูงแผ่นดินต่าอีก ไม่ว่าจะเป็ น ผู้ฝึ กยุทธเต็มตัวหรือผู้ฝึ กบ าเพ็ญตน หากจิตใจเอนเอียงหรือเกิด พึ่งพาใครขึ้นมา ผลสาเร็จก็มักจะต่าเสมอ”
หลินเจียงเซียนยิ้มเอ่ย “อันที่จริงป๋ ายอวี้จึงมีรายชื่อเป็ นการ ภายในอยู่ฉบับหนึ่งจานวนชื่อมีไม่มาก ไม่ถึงสองมือนับ ว่ากันว่าเจ้า ลัทธิทั้งสามท่านต่างก็สามารถเพิ่มหรือตัดชื่อใดออกไปก็ได้ ขอแค่ ยังมีรายชื่ออยู่ในใบรายการ ก็ถือว่าเป็ นกรณียกเว้นที่จะไม่ได้รับ พันธนาการและการตรวจสอบจับตามองจากป๋ ายอวี้จิง บังเอิญที่ข้า เป็ นคนหนึ่งในนั้นพอดี”
แน่นอนว่าความลับประเภทนี้ หลินเจียงเซียนก็แค่ฟังเขามาอีกที เขาย่อมไม่อาจไปเปิด “สมุดบัญชี” เล่มนี้ที่จุดสูงที่สุดของป๋ ายอวี่จิ งได้อยู่แล้ว
เจ้าลัทธิใหญ่โค่วหมิงเขียนชื่อลงไปบนนั้นสองชื่อ ซุนไหวจงแห่ง อารามเสวียนตู ซินขู่แห่งยอดเขารุ่นเยว่
เจ้าลัทธิรองอวี๋โต้วเขียนแค่ชื่อเดียว เป่าหลิน
ลู่เฉินกลับเขียนยาวเป็ นพรวน ผลคือรายชื่อส่วนใหญ่ล้วนถูก ศิษย์พี่อวี๋โต้วขีดฆ่าทิ้งไปแล้ว
สุดท้ายชื่อที่เก็บเอาไว้ได้มีไม่ถึงห้าคน ในบรรดานั้นก็มีเกากูแห่ง ต าหนักหัวหยาง เจินเหรินกระดูกขาว คนใหม่ล่าสุดก็คือจางเฟิงไห่ที่ เพิ่งจะทรยศออกจากป๋ ายอวี้จิง
ส่วน “หลินซือแห่งยาซาน” กลับไม่ใช่ชื่อที่เจ้าลัทธิทั้งสามท่าน เขียนลงไป แต่เป็ นมรรคาจารย์เต๋าที่เขียนเองกับมือ
ห่างจากคราวก่อนที่มรรคาจารย์เต๋าขยับพู่กันเขียนหนังสือด้วย ตัวเองก็เป็ นเวลาสามพันกว่าปีแล้ว ชื่อที่มรรคาจารย์เต๋าเขียนลงไป เมื่อคราวก่อนก็คือลู่เฉิน
สิ่งเหล่านี้แน่นอนว่าล้วนเป็ นเจ้าคนที่กินอิ่มว่างงานอย่างเจ้าลัทธิ ลู่ที่วิ่งไปขอกินเปล่าดื่มเปล่าที่ยาซานหรู่โจวเป็ นฝ่ ายแพร่งพรายให้ หลินซือฟังด้วยตัวเอง
เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความลับ หลินเจียงเซียนจึงไม่ได้ บอกเนื้อหาให้ซูเตี้ยนฟัง อย่างละเอียด
ซูเตี้ยนถามอย่างใคร่รู ้ว่า “หลินซือ ผู้ฝึ กยุทธที่เป็ นอย่างท่าน ปล่อยหมัดที่ออกแรงเต็มที่ พลานุภาพจะมีมากแค่ไหน?”
หลินเจียงเซียนคิดแล้วก็คล้ายกับว่าจะล าบากใจกับค าถามง่ายๆ ข้อนี้อยู่บ้าง เขานิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็ยิ้มอย่างสง่างาม “ในบรรดาคนวัย เดียวกันที่ฝึ กวรยุทธ ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครให้อ้างอิงจริงๆ น่าจะ เทียบเท่ากับการโจมตีอย่างเต็มกาลังของผู้ฝึ กกระบี่ขอบเขตบิน ทะยานคนหนึ่งกระมัง? ยาซานคือพรรคในยุทธภพที่เพิ่งสร ้างมาได้ แค่ร ้อยกว่าปี ฐานก าลังทรัพย์ไม่มากพอ ไม่มีพื้นที่ประกอบพิธีกรรม ถ้าสวรรค์ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่อย่างนั้นข้าก็สามารถแสดง วิชาหมัดให้เจ้าดูได้ เจ้าจะได้มีภาพจาที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา ใน อาณาเขตของมณฑลหรู่โจวแห่งนี้ ข้าไม่สะดวกจะปลดปล่อยหมัด และเท้าอย่างเต็มที่ความเคลื่อนไหวอาจจะรุนแรงเกินไป กอง โหราศาสตร ์ของแต่ละแคว้นจะต้องรายงานไปทางป๋ ายอวี้จิง วันนี้ไม่ เหมือนวันวาน ควรจะอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อน แค่ต้องนั่งมองไฟอยู่บน ภูเขาเท่านั้นพอ”
ซูเตี้ยนถาม “หลินซือ ภูเขาปิ งเจี่ยลุกผงาดขึ้นมา จะแบ่งเอา โชคชะตาบู๊ส่วนหนึ่งของยาซานหรู่โจวไปหรือไม่?”
หลินเจียงเซียนหลุดหัวเราะพรืด
ซูเตี้ยนรู ้อยู่แล้วว่าตนถามคาถามปัญญาอ่อนที่ไม่ถูกกาลเทศะ ออกไป
ที่แท้ภูเขาปิงเจี่ยของหย่งโจว ช่วงร ้อยปีมานี้โชคชะตาบู๊ก็โชติ ช่วงอย่างมาก แล้วก็มีลางว่าจะ….ช่วงชิงสูงต่ากับยาซานหรู่โจว
เพราะในพรรคมีปรมาจารย์วิถีวรยุทธอายุน้อยสองคนที่เป็ นชาย หนึ่งหญิงหนึ่งซึ่งได้ติดกระดานรายชื่อในเวลาเดียวกัน ฉีกวาน ฉายา ‘ฉีจิง” และอวี๋จิง ฉายา “อวี้ชิ่ง”
ภูเขาลูกหนึ่งได้ครอบครองผู้ฝึกยุทธที่ติดหนึ่งในการประเมินวร ยุทธของใต้หล้าพร ้อมกันถึงสองคน โชคชะตาบู๊นั้นต้องยิ่งใหญ่แค่ ไหน แค่คิดก็พอจะรู ้ได้
แม้ว่ายาซานจะมีหลินซือนั่งบัญชาการณ์ ทว่าต่อให้เป็ นจ้าวเฮ้อ ชง ยอดฝีมือด้านการเรียนวรยุทธที่เดิมทีสามารถติดอันดับได้อย่าง มั่นคง ครั้งนี้กลับไม่มีรายชื่อติดกระดาน
และภูเขาปิงเจี่ยก็เป็ นภูเขาจานวนไม่มากของใต้หล้ามืดสลัวที่ เต้ากวานสามารถควบฝึกวิชาคาถาพร ้อมกับเรียนวรยุทธ การที่มิ อาจเลื่อนติดอันดับพรรคชั้นสูงสุดได้ก็เพราะว่าบรรพจารย์ในแต่ละ รุ่นต่างก็ขาดความหมายบางอย่างไป ในประวัติศาสตร ์ไม่มีใครที่ สามารถเลื่อนเป็ นสิบคนหรือตัวสารองสิบคนของใต้หล้าได้
หากจะบอกว่าภูเขาปิงเจี่ยมีการ “บุกเบิกเส้นทางใหม่” ในเมื่อ โชคชะตาบู๊เหนือกว่ากลิ่นอายแห่งเซียน ถ้าอย่างนั้นก็หันไปอบรม ปลูกฝังปรมาจารย์วิถีวรยุทธในส านักอย่างเต็มที่เสียเลย
ก็จะสามารถทาการ “คัดเลือกเฉพาะส่วนที่สุดยอด’ จากผู้มี พรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธของหลายมณฑลรอบด้านหย่งโจว ขอ แค่เปิดประตูภูเขาออกแล้วรับสมัครผู้ฝึกยุทธที่เว้นจากเต้ากวาน เชื่อ ว่าเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ยินดีจะมากราบอาจารย์ขอเรียนวิชาที่ภูเขาปิง เจี่ยจะต้องมีไม่ขาดสายอย่างแน่นอน ราชสานักและจวนเซียนอันดับ หนึ่งของหลายแคว้นก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะส่งตัวผู้มีพรสวรรค์ด้านการ เรียนวรยุทธในอาณาเขตการปกครองของตัวเองไปยังภูเขาปิงเจี่ย ในอนาคตกลายเป็ นผู้ปกป้ องมรรคาที่ดีที่สุดสาหรับลูกศิษย์ผู้สืบ ทอดและเต้ากวานรุ่นเยาว์บ้านตนที่จะลงจากภูเขาไปฝึ ก ประสบการณ์
ไม่เหมือนอย่างสิบสี่มณฑลของมืดสลัวที่ผู้ฝึ กยุทธรู ้จักแต่ยา ซาน ปรมาจารย์รู ้จักแต่หลินซือคนเดียว
เมื่อเวลานานวันเข้า ยกตัวอย่างเช่นร ้อยปีให้หลัง หรือนานกว่า นั้นอีกสักหน่อย สามร ้อยห้าร ้อยปีล่ะ?
ถึงอย่างไรหลินซือแห่งยาซานก็เป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่อายุขัยมี จ ากัด
แต่ผู้ฝึกยุทธแห่งภูเขาปิงเจี่ยกลับได้รับเงื่อนไขที่ดีเยี่ยม แค่ต้อง เดินเข้าห้องเท่านั้นอายุขัยก็สามารถยืดขยายยาวไปได้ถึงสามร ้อย ห้าร ้อยปี
หลินเจียงเซียนยิ้มอธิบายว่า “ฝึกวรยุทธควบกับวิชาเซียน อันที่ จริงก็คือการใช ้ตะแกรงร่อนอย่างหนึ่ง จุดที่ชวนกระอักกระอ่วนที่สุด นั้นอยู่ที่คนที่ถูกร่อนทิ้งกลับเป็ นคนที่มีความสามารถอย่างมาก ถือว่า ภูเขาปิงเจี่ยหาเรื่องใส่ตัว ส่วนกรณีพิเศษ กรณียกเว้นที่มีน้อยนิดนั้น จะพิสูจน์อะไรได้เล่า? คนประเภทนี้เมื่ออยู่ใต้ฝ่ ามือของเผยเปย สามารถเป็ นเฉาสือได้ เมื่อไปอยู่ที่อื่นก็เป็ นเฉาสือได้เช่นกัน ความ ต่างนั้นอยู่แค่ว่าจะมีชื่อเสียงช ้าหรือเร็วกี่ปีเท่านั้น”
พูดง่ายๆ ก็คือภูเขาปิงเจี่ยสามารถอาศัยการคัดเลือกเฉพาะผู้ฝึก ยุทธชั้นยอดมาสร ้างความแข็งแกร่งและความยิ่งใหญ่ให้กับพื้นที่ ประกอบพิธีกรรม ยิ่งนานรากฐานกาลังทรัพย์ก็ยิ่งหนาลึกล้า แต่จะมิ อาจกลายเป็ นยาซานแห่งที่สองไปได้ตลอดกาล
เว้นเสียจากภูเขาปิงเจี่ยสามารถหาผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนสองคนที่ เหมือนกับเฉาสือหรือไม่ก็เฉินผิงอันได้เจอ ให้พวกเขารับลูกศิษย์ แล้วแตกกิ่งก้านสาขาออกไป
ซูเตี้ยนกล่าว “ได้ยินมาว่าเต้ากวานของภูเขาปิงเจี่ยมีการสืบ ทอดที่ “หนึ่งพันปีเจอทัณฑ์หนึ่งครั้ง” บางครั้งนักพรตสามารถมีชีวิต อยู่ได้เกินพันปี เพราะมีความเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือ?”
หลินเจียงเซียนพยักหน้า “หากไม่ได้เป็ นเช่นนี้ การรวบรวม ต าราลับการเรียนวรยุทธมาให้ได้หลายสิบเล่ม เอามาอบรมปลูกฝัง คนถ่ายทอดมรรคากลุ่มหนึ่งที่จะตั้งใจสอนวิชาหมัด จะมีอะไรยาก พื้นที่ประกอบพิธีกรรมชั้นสูงในใต้หล้ามีหรือจะไม่มีข้อได้เปรียบที่ ใหญ่เทียมฟ้ านี้?”
ซูเตี้ยนกล่าว “ก็เหมือนการขัดแย้งกันระหว่างภูเขากับสายน้า?”
หลินเจียงเซียนยิ้มเอ่ย “การยกตัวอย่างเช่นนี้นับว่าไม่เลว”
หลินเจียงเซียนเคยไปเยือนอาณาเขตของภูเขาปิงเจี่ยมาก่อน รอบหนึ่ง ได้เห็นฉีกวานและอวี๋ฉิงอยู่ไกลๆ ฝ่ ายแรกอันที่จริงมี คุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมมาก ไม่ด้อยไปกว่าลูกศิษย์คนแรกของเขา อย่างจ้าวเฮ้อชงเลย แต่ส่วนลึกในจิตใจของคนผู้นี้ยังคงภาคภูมิใจกับ การเรียกตัวเองว่านักพรตที่เก็บตัวอยู่ในภูเขาอย่างสันโดษ มุ่งหน้า เข้าหาความเป็ นอมตะมากกว่าชีวิตนี้เลื่อมใสศรัทธาวิชาความรู ้ของ เจ้าลัทธิลู่เฉินที่สุด ฝ่ ายหลังกลับเหมือนผู้ฝึ กยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง มากกว่า น่าเสียดายที่ไม่มีอาจารย์ผู้มีฝีมือคอยช่วยชี้แนะ นอกจาก จะถามหมัดประลองฝีมือกับศิษย์พี่อย่างฉีกวานแล้ว นางก็ไม่รู ้เลยว่า อะไรคือเทพมาเยือนที่อยู่เหนือชั้นคืนความจริงขึ้นไป อีกทั้งนางยังมี ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดอีกข้อหนึ่ง นั่นคือกลัวว่าตัวเองจะแพ้หมัดมาก เกินไป
ในความเห็นของหลินเจียงเซียน อวี๋ฉิงที่เป็ นขอบเขตก่อกาเนิด แล้ว ในอนาคตคิดอยากจะเลื่อนเป็ นห้าขอบเขตบน นางที่การเดิน
ขึ้นสู่ที่สูงของการเรียนวรยุทธราบรื่นเกินไปมาโดยตลอด จะต้องเจอ กับปัญหาใหญ่แน่นอน
เพียงแค่เพราะจิตมารของนางถูกลิขิตมาแล้วว่าจะต้องเป็ น “อวี๋ ฉิง” คนแล้วคนเล่าที่อยู่ในสภาวะของผู้ไร ้เทียมทาน จิตมารจะต้องบด ขยี้ให้จิตแห่งมรรคาของเต้ากวานอวี๋ฉิงและความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว
ของผู้ฝึกยุทธอวี๋ฉิงแหลกสลายไปพร ้อมกัน
บรรยากาศที่ยิ่งใหญ่อย่าง “ผู้ฝึ กยุทธสิบคนแรกของใต้หล้า ภูเขาข้ายึดครองสองในนั้น เกรงว่าคงจะดาเนินไปได้อีกแค่ไม่กี่ปี เท่านั้น
ดังนั้นก่อนหน้านี้ไม่นาน บรรพจารย์เจ้าขุนเขาของภูเขาปิงเจี่ย ที่คาดการณ์ได้ถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกันจึงได้ส่งจดหมายลับมายังยา ซาน หวังเพียงว่าจะขอให้หลินซือช่วยเหลือสักครั้ง
หากไม่เป็ นเพราะมีซูเตี้ยนที่เพิ่งมา “นับญาติ” พอดี อวี๋ฉิงก็จะ สามารถกลายมาเป็ นหนึ่งในเป้ าหมายในการขัดเกลาวิถีวรยุทธ ให้กับซูเตี้ยนศิษย์น้องหญิงของเขา และหลินเจียงเซียนจะไม่สนใจ แม้แต่น้อย
นี่จึงเป็ นเหตุให้รอกระทั่งยาซานตอบจดหมายกลับไปยังภูเขาปิง เจี่ยก็ถือว่าได้ตอบตกลงเรื่องนี้แล้ว กลับกลายเป็ นว่าฝ่ ายหลัง ประหลาดใจอย่างหนัก ส่งจดหมายขอบคุณที่ใช ้ถ้อยคาจริงใจฉบับ หนึ่งกลับมายังยาซานอีกครั้ง รับปากว่าสมาชิกหลักของศาลบรรพ
จารย์ภูเขาปิ งเจี่ยจะเดินทางมาที่ราชสานักชื่อจินหรู่โจวเพื่อเข้า ร่วมงานเฉลิมฉลองงานวันเกิดให้กับฮ่องเต้ ถึงเวลานั้นจะมารบกวน หลินซืออีกที…
ในความเป็ นจริงแล้วหากหลินซือแห่งยาซานคร ้านจะตอบกลับ จดหมาย บรรพจารย์ของภูเขาปิงเจี่ยก็คงได้แต่ฝืนนิสัยไปขอความ ช่วยเหลือจากเจ้าหอที่เป็ น “คนบ้านเดียวกัน” ที่ป๋ ายอวี่จิงแล้ว
แต่หากทาอย่างนั้น เจ้าขุนเขาผู้เฒ่าก็เตรียมใจไว้เรียบร ้อยแล้ว ว่าจะต้องถูกบรรพจารย์ไท่ซ่าง ชิงหลิง” ของตนชี้หน้าด่าอย่างสาด เสียเทเสียอยู่ในศาลบรรพจารย์บ้านตัวเองแน่นอน
นักพรตที่มีฉายาว่า “ชิงหลิง” คือผู้เฒ่าที่มีอายุขัยการฝึกตนรุ่น เดียวกับซุนไหวจง เกากูซึ่งเหลืออยู่เพียงคนเดียวของภูเขาปิ งเจี่ย หรือก็คือหลงซินผู่ที่แอบไปหาหวังซุนที่อารามเสวียนตูฉีโจวผู้นั้น
ในอาณาเขตของหย่งโจวมีผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึ กตนอยู่ หลายคนจริงๆ
นอกจากหลงชินผู้ที่ขอบเขตถดถอยเป็ นเรื่องที่เกิดขึ้นประจา เหมือนการกินข้าวแล้วยังมีหวังซุนแห่งอารามเสวียนดูและอดีตของ เจียงจ้าวหมอแห่งหอจื่อขี่ที่ต่างก็มีภูมิลาเนาอยู่ที่หย่งโจวทั้งสิ้น
ภูเขาปิงเจี่ยในทุกวันนี้ยังมีเต้ากวานอายุน้อยคนหนึ่งที่เพิ่งจะ อายุครึ่งร ้อยปี แต่กลับชื่อเสียงโด่งดังกว่าฉีกวานและอวี๋ฉิงที่มีชื่อติด กระดานในการประเมินวรยุทธ
ฝูเฉวียน ฉายา “เสวียนฉาน
ทุกวันนี้อายุยังไม่ถึงห้าสิบปี คือลูกศิษย์ปิดสานักของเจ้าขุนเขา คนปัจจุบัน
ฝึกตนอยู่บนภูเขามาสามสิบกว่าปีก็ถูกโลกภายนอกขนานนาม เป็ นจางเพฟิงไห่แห่งป๋ ายอวี้จิงคนที่สอง เป็ นเหยาชิงน้อยแห่งหย่งโจว
แล้ว
แต่กลับกลายเป็ นว่าทางฝั่งของภูเขาปิงเจี่ย นับตั้งแต่เจ้าขุนเขา จนไปถึงสมาชิกศาลบรรพจารย์ต้องคอยเขียนข่าวอย่างต่อเนื่อง พยายามสุดชีวิตที่จะชี้แจงให้กระจ่าง บอกว่าคุณสมบัติของฝูเฉวียน พวกเราเพียงแค่พอใช ้ได้ พวกเจ้าอย่าได้คิดจะใส่ร ้ายคนอื่น…
ใครเล่าจะเชื่อ
พูดถึงแค่อารามเสวียนตูก็เคยต่อสู้กับภูเขาปิงเจี่ยอย่างดุเดือด ในอาณาเขตของหย่งโจวเพียงแค่เพราะต้องการแย่งชิงตัวอ่อนใน การฝึกตนผู้นี้ สรุปก็คือทะเลาะกันโดยจบลงไม่ดี
สุดท้ายยังคงเป็ นฝูเฉวียนเองที่เลือกภูเขาปิงเจี่ยซึ่งเป็ นพรรคใน บ้านเกิดของตัวเอง ปี นั้นเหตุผลที่เด็กคนนี้มอบให้น่าสนใจมาก เพราะว่าอยู่ใกล้บ้าน
โชคดีที่ตอนนั้นเจ้าอารามขุนของอารามเสวียนตูออกเดิน ทางไกล หายตัวไปนานหลายปี
หาไม่แล้วภูเขาปิงเจี่ยก็ไม่กล้าฉีกหน้าแตกหักกับอารามเสวียนตู ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแย่งชิงฝูเฉวียนกลับภูเขาให้ได้เช่นนี้
เพราะถึงอย่างไรอารามเสวียนตูก็เป็ นคนเจอเด็กหนุ่มก่อน ภู เขาปิงเจี่ยเป็ นฝ่ายไร ้เหตุผลอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ทว่าต่อให้เป็ นเช่นนี้ก็ยังมีหลงซินผู่ที่บากหน้าออกแรงอยู่อย่าง ลับๆ ถึงได้ขัดขวางการถามกระบี่ที่พลังอานาจดุดันจากสายเซียน กระบี่ของอารามเสวียนตูไว้ให้กับภูเขาปิงเจี่ยได้
เล่าลือกันว่าปีนั้นยังคงเป็ นเพราะเด็กหนุ่มฝูเฉวียนที่เอ่ยประโยค เดียวก็สลายความไม่พอใจระหว่างหนึ่งภูเขาหนึ่งอารามได้โดยที่มอง ไม่เห็น ทาให้ทั้งสองฝ่ายไม่เกิดรอยร ้าวในใจต่อกันเพราะเรื่องนี้
“หากนักพรตซุนพาข้าไปฝึกตนที่อารามเสวียนตูด้วยตัวเอง ข้า ก็ไม่ต้องลังเลแล้ว จะเดินทางตามเขาไปทันที หากมีความลังเลแม้ เพียงเล็กน้อยก็ถือว่าไม่เคารพต่อท่านนักพรตซุนแล้ว
นี่เรียกว่ามี…ไหวพริบมากแล้ว
รอกระทั่งนักพรตซุนกลับบ้านเกิดหลังจากเดินทางไกล ได้ยิน เรื่องนี้ก็ลูบหนวดหัวเราะเสียงดัง เอ่ยชมฝูเฉวียนว่า เจ้าตัวดี ปฏิบัติ ต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ มีมาดของสหายน้อยเฉินอย่างมากเลยนะ
เพียงไม่นานก็มีคากล่าวอย่างหนึ่งที่เล่าลือต่อๆ กันอย่าง น่าเชื่อถือ บอกว่านักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูเอ่ยประโยคหนึ่ง บอกว่า
“มีแต่เรื่องเหลวไหล แต่ละคนพูดกันไปเองส่งเดช ไม่น่าเชื่อถือ จางไห่เพิ่งคนที่สองเหยาชิงน้อยอะไรกัน เห็นๆ กันอยู่ว่าจางไห่เฟิง คือฝูเฉวียนคนที่สอง เหยาชิงเองก็ต้องเรียกตัวเองว่าฝูเฉวียนแก่”
ในเมื่อนักพรตซุนเปิดปากอธิบายให้เช่นนี้แล้ว รายงานบนภูเขา ของทวีปอื่นก็ได้แต่ไม่ป่ าวประกาศชื่อเสียงให้ฝูเฉวียนต่ออย่างรู ้
กาลเทศะแล้ว
เพราะถึงอย่างไรนักพรตซุนก็เจ้าคิดเจ้าแค้นที่สุด
เจ้าเถียงผินเต้า ผินเต้าพูดไม่เก่ง เถียงเจ้าไม่ชนะ ก็ได้แต่เชิญ เจ้ามากวาดพื้นทีอารามเสวียนดูแล้ว
แล้วก็อย่าได้ไม่เชื่อล่ะ หากมีใครไปเป็ นแขกที่อารามเสวียนตู แน่นอนว่าเป็ นแขกที่แท้จริงตามความหมายหน้าตัวอักษร ขอแค่ได้ เจอกับนักพรตของที่อื่นซึ่งชุดเต๋าไม่เหมือนของอารามเสวียนดู เดิน อยู่บนถนนแล้วเจอพวกเขาถือไม้กวาด ถือถังไม้ ทางที่ดีที่สุดก็ควร แสดงความเคารพสักหน่อย เพราะขอบเขตของพวกเขาต้องไม่ต่า แน่นอน
ส่วนเจียงจ้าวหมอแห่งหอจื่อชี่ป๋ ายอวี่จิง ชีวิตนี้ได้ทั้งฝึกตนและ เรียนวรยุทธโดยไม่ถ่วงรั้งกันและกัน แต่กลับไม่เคยติดอันดับการ ประเมินวรยุทธ ทุกครั้งที่ภูเขาปิงเงี่ยปล่อยรายชื่อที่จัดอันดับออกมา ก็ล้วนจงใจวางเจียงจ้าวหมอไว้ในตาแหน่งที่สิบเอ็ด เป็ นเหตุให้ถูกคน
บางคน “ขนานนามว่า” “นักพรตน้อยที่ช่วยเฝ้ าประตูภูเขาวิถีวรยุทธ แทนใต้หล้า” หากเรียกสั้นๆ ก็คือ….เด็กเฝ้ าประตู
ส่วน ใครบางคน” ที่กล้าเอ่ยหยอกเย้าเจ้าหอป๋ ายอวี่จิงเช่นนี้คือ ใคร ใช ้กันคิดก็ยังรู ้ได้
ต่างก็เดากันว่าภูเขาปิ งเจี่ยใจกล้าขนาดนี้ก็มีความเป็ นไปได้ อย่างมากว่านี่คือผลจากการยุแยงของ ใครบางคน
นอกจากนี้ในอดีตที่ภูเขาเซียนจังประเมินคนสิบคนของใต้หล้า ออกมาต่างก็เคยชินที่จะมีตัวเลือก “อันดับที่สิบเอ็ด” เสมอ เป็ นเหตุ ให้คนผู้นี้กับนักรพตชุนแห่งอารามเสวียนตู คนหนึ่งคืออันดับห้าที่ต่อ ให้ฟ้ าผ่าก็ไม่สะเทือน อีกคนหนึ่งคืออันดับที่สิบเอ็ดอย่างแน่นอน
ผู้ฝึกตนที่อยู่ในอันดับที่สิบเอ็ดติดต่อกันมานานหลายครั้งผู้นี้ก็ คือบุคคลอันดับหนึ่งบนภูเขาของหรู่โจว เขาสนิทกับนักพรตซุนมาก แซ่จู ฉายา ‘โหม่วเหริน (ใครบางคน)
ดังนั้นตอนนั้นที่อิ่นกวานคนสุดท้ายของกาแพงเมืองปราณกระบี่ กลายเป็ น “เฉินสืออี (เฉินสิบเอ็ด) ของคนรุ่นเยาว์สิบคนของหลาย ใต้หล้า ใต้หล้ามืดสลัวที่รู ้เรื่องนี้ต่างก็รู ้สึกว่าพวกเขาสามคนสามารถ มานั่งดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกันได้
น่าเสียดายที่ครั้งนี้จูโหม่วเหรินมิอาจรักษาฉายา “อันดับสิบเอ็ด แห่งใต้หล้า” เอาไว้ได้
ทุกวันนี้ปรมาจารย์ใหญ่หญิงสองคนบนรายชื่อที่นอกเหนือจาก ป๋ ายโอ่ว นอกจากอวี๋ฉิงแห่งภูเขาปิงเจี่ยแล้วก็ยังมีสตรีผู้หนึ่งที่มาจาก สถานที่ที่มีชื่อว่ายอดเขาผีผาแห่งโยวโจวสตรีมีนามว่ากู่แย่นเกอ