กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1070.4 คลื่นมรกตหมื่นลี้งามจับตา
ไร ้พรรคไร ้สานัก อยู่ดีๆ ก็โผล่ออกมา วิชาที่สืบทอดกันใน ตระกูล การสืบทอดของส านักเป็ นเช่นไร ล้วนไม่มีใครรู ้
ปรมาจารย์หญิงสองคนนี้มีสภาพการณ์ไม่ต่างจากครั้งแรก ที่ป๋ ายโอ่วมีชื่อติดบนกระดานรายชื่อสักเท่าไร ล้วนถูกเลือก เหมือนกัน แต่กลับมีคาวิพากษ์วิจารณ์ อีกทั้งยังไม่น้อย
นักพรตซุนจึงลุกขึ้นมาพูดจาเป็ นธรรมแทนอีกครั้ง แผลหายแล้ว ก็ลืมความเจ็บปวดจะต้องให้พวกนางมาตบหน้าพวกเจ้าเสียก่อนถึง จะรู ้จักเจ็บ
จูโหม่วเหรินก็มีความคิดที่ไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าพูดจาสุภาพ มากกว่า และนี่ก็สอดคล้องกับนิสัยการกระท าของจูโหม่วเหรินอย่าง มากแล้ว
เป็ นสตรีแล้วอย่างไร นี่เรียกว่าอย่าว่าแต่งามเย้ายวนไร ้ความ องอาจ อยู่ล่างภูเขาไม่ประจบสอพลอกษัตริย์ อยู่บนภูเขาท าให้เซียน เจินก้มหัวให้ได้
ซูเตี้ยนถามคาถามที่เก็บซ่อนไว้ในใจมานานหลายปี “หลินซือ การสละร่างของผู้ฝึกตนบนภูเขา จิตวิญญาณแทบไม่ครบถ้วน ต่อ ให้สติปัญญาเปิดออกแล้วถูกทางส านักพากลับภูเขามาฝึกตนต่ออีก
่
ครั้ง แต่ก็เป็ นแค่ตัวเองคนนี้เท่านั้น ยังจะถือว่าเป็ นคนผู้นั้นในอดีตได้ อีกไหม?”
หลินเจียงเซียนยิ้มอย่างเข้าใจ “เจ้าคิดว่าการที่คนเป็ นคน อะไรที่ เป็ นรากฐานที่สุด?”
ซูเตี้ยนส่ายหน้า
หลินเจียงเซียนยื่นนิ้วชี้ไปที่หัวใจ จากนั้นก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่จุดไท่ หยาง “ข้ารู ้สึกว่าสองจุดนี้ ใจคนและความทรงจามารวมกันท าให้ กลายเป็ นคน”
หลินเจียงเซียนหยุดเดิน ยิ้มถามว่า “เจ้าสามารถจินตนาการได้ ถึงภาพเหตุการณ์ตลอดเส้นทางนี้ที่ข้าเดินมาว่าทุกก้าวล้วนมีหลิน เจียงเซียนหยุดยืนอยู่ได้หรือไม่? หากเป็ นเช่นนี้จริง ถามหมัดกับข้า แล้วจะชนะได้อย่างไร?”
ซูเตี้ยนปากอ้าตาค้าง
หลินเจียงเซียนยิ้มเอ่ย “ข้าก็เป็ นแค่ผู้ฝึ กยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง แน่นอนว่ามิอาจไปถึงขอบเขตเช่นนี้ได้ แต่คนบนโลกสามารถทาได้ ซูเตี้ยน ฟ้ าดินกว้างใหญ่มาก เดินขึ้นสู่ที่สูงถึงจะมองได้ไกล”
รอยพระบาทยามที่พระพุทธเจ้าเดินผ่านโลกมนุษย์ ก็จะมี พระพุทธรูปองค์แล้วองค์เล่าตั้งตระหง่านอยู่ในโลก พระธรรมยิ่งใหญ่ ไร ้ขอบเขตสิ้นสุด
่
มรรคาจารย์เต๋าออกไปจากพื้นที่ประกอบพิธีกรรม เดินออกนอก ประตูไป สวรรค์คือชุดคลุมอาคม พื้นดินคือรองเท้า
หรือยกตัวอย่างเช่นเสียงท่องหนังสือดังกังวานอยู่ในโลกมนุษย์ก็ คือพลังของปรมาจารย์มหาปราชญ์
หลินเจียงเซียนยกมือขึ้น แสงกระบี่สีขาวหิมะพลันเปล่งวูบแล้ว หายไป เขารับกระบี่บินส่งข่าวฉบับหนึ่งมา เปิดอ่านเนื้อหาแล้วยิ้มเอ่ย “ข้าต้องกลับยาซานแล้ว มีแขกมาเยือน”
ซูเตี้ยนกุมหมัดอ าลา
หลินเจียงเซียนดีดปลายเท้าเบาๆ แสงรุ ้งสีเขียวเส้นหนึ่งก็แหวก ผ่าอากาศออกไป
เซี่ยซินเอินเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่มาเยือนถ้าสวรรค์หลีจู หลินเจียง เซียนบุคคลอันดับหนึ่งด้านวิถีวรยุทธของใต้หล้ามืดสลัว
สถานะที่แท้จริงของเขาก็คือจี้กวานที่ “ดักเอา” โชคชะตาบู๊ ทั้งหมดของกาแพงเมืองปราณกระบี่มาไว้ที่ตัวเอง
บวกกับสิงกวานหาวซู่ที่อยู่ในป๋ ายอวี้จิงแล้ว เพียงแต่ไม่รู ้ว่าเฉิน ผิงอันอิ่นกวานคนสุดท้ายที่เป็ น “เพื่อนร่วมงาน” เขาจะปรากฏตัวใน ใต้หล้ามืดสลัวเมื่อไหร่?
……
่
ในเรือหอเรือนของทะเลสาบชิวชี่ ผู้คุมกฏฉางมิ่งหรี่ตาลง ก้ม หน้าดื่มชา ดวงตาสีทองคู่นั้นของนางมีประกายแสงเป็ นระลอก
นับแต่โบราณมาความแปลกประหลาดไม่มีการแบ่งแยกกัน หนึ่ง ความแปลกชักน าความประหลาดมากมาย
ตอนแรกก็เป็ นป๋ ายเหย่ที่ชิงตัดหน้าไปก่อน พิศมรรคาการถือ กาเนิดของผู้ฝึกกระบี่คนแรกในโลกมนุษย์ได้สาเร็จ กระตุกผมเส้น เดียวสะเทือนไปทั้งร่าง นับแต่นั้นฟ้ าดินก็เหมือนได้เปิ ดประตูบาน ใหญ่ เหตุการณ์ประหลาดผุดขึ้นจากทั่วสารทิศ
สี่ทิศของฟ้ าดินในพื้นที่มงคลมีผู้ฝึ กกระบี่สี่คนปรากฏตัวขึ้น พร ้อมกัน
พื้นที่ที่เป็ นชานเมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยน สตรีเรือนกาย บอบบางคนหนึ่งที่มีใจมุ่งหายุทธภพ แต่กลับติดขัดที่สถานะตัวตนจึง ไม่อาจออกเดินทางไกลได้ นางกาลังนั่งเอามือเท้าคางข้างเดียว อ้า ปากหาวด้วยความง่วงงุนอยู่ในห้องส่วนตัว มือพลิกเปิดสมุดเล่มที่ นางเรียบเรียงเนื้อหาขึ้นเองกับมือ ในสมุดเล่มนี้มีแต่กลอนชายแดน และกลอนสดุดีกระบี่พริบตานั้นสตรีก็รู ้สึกเพียงว่าร ้อยช่องโพรงใน ร่างเย็นสบาย จิตใจของคุณหนูตระกูลใหญ่ที่เกิดมาก็ร่างกายอ่อนแอ มากไปด้วยโรคผู้นี้พลันโล่งโปร่ง ร่างกายเบาดุจขนนก ตามมาด้วย ความรู ้สึกพะอืดพะอม เวียนหัวตาลาย ท้องปวดราวกับถูกเคล้น กระเพาะก็เริ่มเหมือนแม่น้าพลิกมหาสมุทรคว่า นางหันหน้าไปอีกทาง แล้วอาเจียนลงพื้น ในห้องพลันอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นและของเน่า
่
เสีย สตรีที่เดิมคิดว่าตัวเองต้องมีจุดจบเป็ นสาวงามชะตาอายุสั้นอย่าง ที่กล่าวถึงในตารา นางที่หายใจไม่สะดวกรู ้สึกเหมือนจะอาเจียนเอา ตับไตไส้พุงออกมาพร ้อมกันหมด กว่านางจะหยุดอาเจียนแห้งได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย สตรีที่เหงื่อท่วมเต็มร่างยื่นมือไปกดไว้ตรงหัวใจ ทันใด นั้นตรงช่องโพรงหัวใจก็คล้ายกับมีมังกรเพลิงร ้อนลวกตัวหนึ่งเลื้อย ไปตามเส้นชีพจรตรงดิ่งไปที่ฝ่ ามือ นางก้มหน้าลงมองแขนของตัวเอง ก็มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ามีเส้นเส้นหนึ่งเลื้อยลดคดเคี้ยว นางรีบ กางฝ่ ามือออกดูแล้วสะบัดอย่างแรงสุดท้ายนางก็ “สะบัด” เอากระบี่ สั้นขนาดจิ๋วสีแดงสดเล่มหนึ่งออกมาได้ กระบี่เล่มนี้ยาวขุ่นกว่า ลอย อยู่กลางอากาศ จากนั้นก็เป็ นเหมือนวัตถุมหัศจรรย์คล้ายเม็ดกระบี่ที่ กล่าวถึงในต านาน มันเริ่มหมุนวนรอบกายนางประหนึ่งนกน้อยอิง
แอบคน
สาวใช ้ที่ได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งมาหาเห็นภาพนี้เข้าก็เหมือนเห็นผี ตอนกลางวันแสกๆ ตกใจจนเป็ นลมหมดสติไปทันที
ในพื้นที่กันดารเปลี่ยวร ้างซึ่งเชื่อมต่อกับแคว้นเป่ ยจิ้นและทุ่ง หญ้ากว้าง จอมยุทธพเนจรเคราดกคนหนึ่งที่ขี่ลาสะพายกระบี่ ใบหน้าเหมือนคนอายุครึ่งร ้อยปี ทั่วร่างอบอวลไปด้วยกลิ่นสุรา เรือน กายโงนเงน หลังจากดื่มเหล้าต้มชั้นเลวคาสุดท้ายหมดก็โยนกาเหล้า ว่างเปล่าทิ้งไปไกล ส่งเสียงเรอดัง เขาพลันเบิกตากว้าง เห็นเพียงว่า กลิ่นเหล้าที่ตัวเองเรอออกมามีแสงสว่างเส้นหนึ่งลอยอยู่ เล็กบางเท่า นิ้วมือ แต่ส่องประกายแสงระยิบระยับจับตา ชายฉกรรจ์ขยี้ตา แต่ก็
่
ยังคงมองเห็นกระบี่สั้นที่ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์ห่อหุ้มไว้ได้อย่างเลือนราง ตัวกระบี่แคบ เป็ นสีดาสนิทราวกับสีหมึก
สตรีอายุน้อยผิวคล้าเรือนกายแข็งแกร่งกายาคนหนึ่งที่อยู่บนทุ่ง หญ้ากว้าง แม้ว่าใบหน้าของนางจะไม่ถือเป็ นสาวงามอะไร แต่หน้าอก กลับอวบอิ่มอย่างมาก ตรงสะโพกก็กลมนูนดีดเด้ง ทาให้ร่างทั้งร่าง
ของนางแผ่พลังชีวิตที่ล้นเหลือ
ในกระโจม สตรีออกเรือนแล้วก าลังป้ อนนมบุตร เส้นเลือดสีเขียว ยิ่งขับให้เนินหน้าอกสูงยิ่งขาวราวหิมะ เหมือนกับหยกมันแพะที่นาง เก็บมาได้จากท้องน้าแล้วเอามาวางกองกันบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ
ตอนที่นางเป็ นเด็กสาวเคยเก็บกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ที่มีสนิม เกรอะเล่มหนึ่งมาได้แขวนเอาไว้บนผนัง เวลานี้สตรียื่นสองนิ้วออกมา ลูบหน้าอกนูนเต่งของตัวเอง นางพลันเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเหลอหรา เพราะเหมือนจะได้ยินเสียงกระบี่ครวญดังมาจากบนกาแพง
ในอารามแห่งหนึ่งที่ควันธูปโชติช่วงของแคว้นซงไล่ นักพรตเด็ก หนุ่มคนหนึ่งกอดไม้กวาดนั่งยองอยู่บนขั้นบันได มองควันธูปที่ลอย อวลขึ้นสู่เบื้องบนด้วยแววตาเหม่อลอยพริบตานั้นเขาก็มองเห็นควัน ธูปกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันเป็ นเส้นเส้นหนึ่งที่คล้ายจะยึดขยายยาวไปถึง ขอบฟ้ า นักพรตเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นเหม่อมองสายควันธูปที่ยาว เหยียดเส้นนี้อย่างอึ้งค้าง
ฉางมิ่งใช ้เสียงในใจบอกเล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าขุนเขาฟัง
่
เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจตอบกลับ “เห็นแล้ว ไม่ต้องสนใจ จดลง บันทึกไว้ก็พอ”
เหนียงเนียงเทพภูเขาของศาลภูเขาเตี๋ยเย่ผู้นั้นโยนปลาหลูตัว หนึ่งที่เพิ่งตกมาได้ใส่เข้าไปในข้องปลา หันหน้าไปพูดกับบุรุษชุด เขียวว่า “เจ้านี่เป็ นคนประหลาดเสียจริง ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกับ ข้า แต่ทาไมถึงไม่มีกลิ่นอายความเป็ นคนเลยแม้แต่น้อย”
อูเจียงที่นั่งขัดสมาธิหยุดดื่มเหล้า ตบลงไปบนฝักดาบ เอ่ยอย่าง เดือดดาลว่า “บังอาจอยู่ดีๆ มาด่ากันได้อย่างไร?!”
หยวนหวงที่อยู่ห่างไปไม่ไกลก็หันหน้าไปมองคนชุดเขียวที่อยู่ ข้างกายอูเจียง
อันที่จริงเขาจาอูเจียงได้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่มีความจาเป็ นที่ จะต้องทักทายกัน
ลวี่เยาเหนียงเนียงเทพภูเขาหญิงที่ศาลมีชื่อว่าลานฉี่ฮวาลังเลอยู่ เล็กน้อย ก่อนจะถามว่า “ขอละลาบละล้วงถามหน่อยได้หรือไม่ สรุป แล้วเจ้าอาศัยอะไรในการฝึกวิชาหล่อหลอมถึงมีสภาพการณ์เช่นนี้ ได้?”
วิถีทางโลกในทุกวันนี้เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด อะไรที่มี ค่ามากที่สุด? แน่นอนว่าต้องเป็ นมรรคกถาบทหนึ่ง หากสามารถยืม น ามาใช ้เป็ นกระจกเงาได้ ก็จะเป็ นผลประโยชน์บนมหามรรคาที่มี มูลค่าควรเมืองจริงๆ แล้ว
่
นกมีเส้นทางของนก งูมีเส้นทางของงู ผู้ฝึกลมปราณมีคาถาใน การหายใจ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีวิธีในการดึงเอาควันธูปในโลกมนุษย์มา สร ้างและหล่อหลอมร่างทอง ภูตผีก็มีเส้นทางของตัวเองให้ก้าวเดิน
พูดถึงแค่โลกมนุษย์ในทุกวันนี้ก็มี “เงินเหรียญทองแดง” บน ภูเขาที่เป็ นสีขาวหิมะเพิ่มมาอีกประเภทหนึ่ง สามารถรวบรวมปราณ วิญญาณแห่งฟ้ าดิน ผู้ฝึกลมปราณที่นอกเหนือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่ง ภูเขาสายน้าถึงกับเอามากินได้
พรรคหูซานได้ครอบครองเงินเทพเซียนประเภทนี้มากที่สุด นอกจากนี้คลังลับของราชส านักแต่ละแห่งก็มีการส ารองเอาไว้ เพียงแต่ต่างกันว่ามีมากมีน้อย จากนั้นก็เป็ นหอจิ้งหย่างที่มีเมฆหมอ กบดบัง ยากจะหาเจอ ที่ดูเหมือนว่าก็จะมีฐานกาลังทรัพย์อย่างลึกล้า มากเหมือนกัน
ในฐานะเหนียงเนียงเทพภูเขาของศาลแห่งหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ต้อง รวบรวมก าลังพล ดึงเอาผีภูเขาผีพรายทุกตนที่อยู่ในอาณาเขตการ ปกครองมาเป็ นพวก หากมีผู้ฝึกลมปราณสักสี่ห้าคนมาเป็ นผู้ถวาย งานให้กับศาลเทพภูเขาลานฉี่ฮวา ถ้าอย่างนั้นก็ย่อมดีที่สุด
มองสีหน้าหยอกเย้าที่คล้ายจะบอกว่า “เจ้าโง่ เจ้าเห็นข้าเป็ นคน โง่ที่หลอกง่ายอย่างนั้นหรือ” ของบุรุษชุดเขียว ลวี่เยาเหนียงเนียง ท่านนี้ก็รู ้สึกเขินอายอยู่บ้าง ใต้หล้าแห่งนี้มีวงการใดบ้างที่หากไม่มี ประโยชน์ก็ไม่มีทางตื่นเช ้า นางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเหรียญ ทองแดงสีทองเหรียญหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ยว่า
่
“แน่นอนว่าต้องมีค่าตอบแทนให้ ไม่ใช่ว่าข้าชมตัวเองหรอกนะ แต่ ของสิ่งนี้หายากมาก มีเฉพาะบนภูเขาเตี้ยเย่เท่านั้นเพียงแค่เพราะ ลานฉี่ฮวาบ้านข้ามีคนเฝ้ าศาลอายุมากคนหนึ่งที่เป็ นผี สถานะไม่แน่ ชัด เมื่อปีก่อนมาสวามิภักดิ์กับข้า รู ้แค่ว่าตอนมีชีวิตอยู่เขาเคยเป็ น ช่าง เชี่ยวชาญการตามหาฮวงจุ้ยจุดพลัง คัดเลือกพื้นที่ที่ดินและน้า อุดมสมบูรณ์ โบกลมเร่งไฟ หลอมโลหะและหล่อขึ้นรูป”
เรื่องวงในที่มากกว่านี้ไม่สะดวกจะแพร่งพราย ยกตัวอย่างเช่น เงินเหรียญทองแดงในมือที่ตัวนางเองก็ไม่รู ้ราคาสูงต่าเหรียญนี้ จุดที่ มหัศจรรย์ที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าเอาควันธูปของศาลที่เป็ นมายามาหลอมให้ เป็ นสิ่งของที่จับต้องได้จริง
มองดูเหมือนเฉินผิงอันมีสีหน้าเป็ นปกติ แต่แท้จริงแล้วเขากลับ ตกใจไม่น้อย ถึงกับเป็ นต้นแบบของเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง เชียวหรือ? เพียงแต่ไม่รู ้ว่าเงินเหรียญทองแดงที่อยู่ในมือของเหนียง เนียงเทพภูเขาเหรียญนี้จะใช่เงินแม่แบบ “เหรียญแรก” หรือไม่ แต่ก็ เหมือนกับการทาการค้าของร ้านผ้าห่อบุญที่วางแผงขายของ หากว่า คนซื้อทาท่าตกอกตกใจก็อย่าโทษที่คนขายจะเชือดหมู
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงทาเพียงแค่เหลือบมองเงินเหรียญทองแดงสี ทองเหรียญนั้นแล้วพูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “ยันต์ สายที่ข้าใช ้ฝึกตน คือสายยันต์”
“แต่สายนี้ฝึกตนกันไม่ง่าย ธรณีประตูสูงมาก จะส าเร็จหรือไม่ ต้องดูที่ชะตาอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ค่อยเหมือนกับผู้ฝึ กลมปราณ
่
ทั่วไป ต่อให้เจ้าจะมีตาราลับตาราวิเศษ แต่ไม่มีคุณสมบัติ ต่อให้เจ้า จะเป็ นผู้ฝึ กลมปราณที่ดื่มน้าค้างกินแสงอรุโณทัย ทะยานเมฆขี่ หมอกก็ยังเป็ นการวาดยันต์ผีอยู่ดี”
อูเจียงพยักหน้าแรงๆ เป็ นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือกตามไปด้วย แต่ แท้จริงแล้วเขาเองก็มึนงงเหมือนกันว่าเซียนกระบี่เฉินข้างกายผู้นี้หัน
ไปฝึกวิชายันต์ตั้งแต่เมื่อไหร่
“แน่นอนว่าบนโลกนี้ไม่มีเรื่องยาก กลัวก็แต่คนมีใจ การเรียนรู ้ บนมรรคาสาคัญที่การรู ้วิธีที่ถูกต้อง และความมหัศจรรย์ของมันนั้นก็ อยู่ที่ตัวคน”
เดิมทีเฉินผิงอันอยากจะทาท่าลูบหนวดยิ้ม แต่นึกขึ้นได้ว่าตน ไม่ใช่นักพรตอู๋ตีที่ตั้งแผงดูดวง จึงเปลี่ยนมาทาท่าสะบัดชายแขนเสื้อ สะบัดเอายันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแทน ยิ้มเอ่ยว่า “สายแห่งยันต์ ผู้ฝึกลมปราณยากที่จะเดินเข้าห้องยากที่จะ วาดได้สาเร็จ แต่ที่ข้ามียันต์เก็บไว้อยู่บ้าง นอกจากยันต์ที่เอามาใช ้ เองยามที่ขึ้นเขาลงห้วยไปเยี่ยมเยือนเซียนซืงเอาไว้ใช ้สยบเสนียด จัญไร กาจัดผีร ้าย เพื่อให้เดินอยู่ในโลกมนุษย์ได้อย่างสะดวกโดยไม่ ต้องกริ่งเกรงสิ่งใดแล้ว นอกจากนี้ผู้ฝึกตนอย่างพวกเรายังพิถีพิถัน ในเรื่องที่ว่าไม่ถ่ายทอดเวทคาถาให้ใครง่ายๆ ไม่เอาสมบัติออกมา แสดง หากว่ามีวาสนาต่อกันก็ต้องเก็บไว้เป็ นความลับไม่บอกใคร วันนี้ได้มาเจอกับเหนียงเนียงเทพภูเขาที่ทะเลสาบชิวชี่แห่งนี้โดย บังเอิญ ได้พูดคุยกันสองสามประโยค คิดดูแล้วก็น่าจะเป็ นวาสนาที่
่
สวรรค์ลิขิตเอาไว้ ที่ข้ามียันต์ส่วนเกินสาเร็จรูปอยู่ก็จริง แต่มีไม่มาก แค่สามแผ่นเท่านั้นไม่ใช่ว่าข้าหวงของอะไรหรอก แต่เป็ นเพราะมัน สิ้นเปลืองสมบัติแห่งฟ้ าดินมากเกินไป ต้องทุ่มเทจิตใจและเผาผลาญ ปราณวิญญาณแห่งภูเขาสายน้าในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมขนาด ใหญ่ คิดดูแล้วระดับความยากก็น่าจะมากกว่าการเปิดเตาหลอมเงิน โดยใช ้รากวิญญาณภูเขาสายน้าของศาลที่เจ้าได้ยึดครองอยู่ระดับ หนึ่ง ความล้าค่าของวัตถุดิบในการน ามาท ายันต์ชิ้นนี้และความลี้ลับ มหัศจรรย์ที่ถูกซุกซ่อนอยู่ ขอให้ข้าได้อธิบายให้เหนียงเนียงเทพ ภูเขาฟังช ้าๆ จะซื้อหรือไม่ซื้อ ฟังไปก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ…
ฟังเฉินผิงอันที่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด แต่ละเรื่องสอดคล้องต้องกัน สมเหตุสมผล…อูเจียงที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าปั้นยาก อารมณ์ซับซ ้อน
ถึงขีดสุด
เซียนกระบี่เฉินอะไรกัน แล้วยังมีเหล้าตระกูลเซียนนั่น ขออย่าให้ เป็ นของปลอมทั้งหมดเลยนะ?
ขนาดอูเจียงที่รู ้จักเฉินผิงอันยังกึ่งเชื่อกึ่งกังขาเช่นนี้ ลวี่เยา เหนียงเนียงที่มีความรู ้กว้างขวางก็ยิ่งคลางแคลงไม่แน่ใจ
คิดไม่ถึงว่าเวลานี้เอง หยวนหวงที่เงียบงันมาโดยตลอดจะดึงคัน เบ็ดตกปลากลับมาเอ่ยว่า “ยันต์สามแผ่น ข้าซื้อแล้ว ขอเซียนซือ โปรดบอกราคา”
่
นี่ก็คือการกดให้ต่าก่อนแล้วค่อยยกยอทีหลังที่เฉินผิงอันตั้งใจ ท า เพราะคนที่ดูของออกอย่างแท้จริง อันที่จริงยังคงเป็ นหยวนหวงที่ เพิ่งเริ่มจับจุดในการหลอมลมปราณได้
ต้องให้เจ้าหยวนหวงนี่แหละเป็ นหน้าม้า เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ในเมื่อมีวาสนาต่อกัน ไฉนต้องพูดเรื่องเงิน
ทอง มอบยันต์เมล็ดงาแผ่นนี้ให้เจ้าก็แล้วกัน”
บิดหมุนข้อมือเบาๆ โยนยันต์แผ่นนั้นให้กับหยวนหวง การที่มัน พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวลูกธนูนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แปลกตรงที่ ยันต์แผ่นนี้ลอยล่องช ้าๆ ไปเป็ นเส้นตรงเหมือนคนที่เดินเหยียบย่างไป บนความว่างเปล่า
หยวนหวงพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่ได้ยื่นมือไปรับยันต์ เพียงแค่ปล่อยให้ยันต์แผ่นนั้นลอยอยู่ตรงหน้าตัวเอง จากนั้นหยิบ กล่องไม้หวงฮวาหลีใบเล็กออกมา ยันต์ก็ลอยเข้าไปข้างในเบาๆ ด้วย ตัวเอง
หยวนหวงเก็บทั้งยันต์ทั้งกล่องไม้ใส่ลงไปในชายแขนเสื้อ เอ่ย ขอบคุณเซียนซือชุดเขียวนั้นแล้วก็หันตัวกลับไป หยิบคันเบ็ดตก ปลาขึ้นมาถือใหม่อีกครั้ง ถึงกับไม่พูดถึงเรื่องการค้าขายอีกแม้แต่ ครึ่งคา
เฉินผิงอันร ้องเอ๊ะ คนหนุ่มสมัยนี้ล้วนไร ้คุณธรรมขนาดนี้เชียว หรือ?
่
เหนียงเนียงเทพภูเขาเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ปิดปากหัวเราะขา ไม่หยุด
อูเจียงนินทาอยู่ในใจว่าขโมยไก่ไม่ส าเร็จยังต้องเสียข้าวเปลือก ไปอีกกามือหนึ่ง ดูท่าแล้วเซียนกระบี่เฉินก็คงไม่ใช่คนเก่าแก่ในยุทธ ภพอะไรหรอก
เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “อูเจียงอ่า เจ้าไม่เข้าใจ นี่เรียกว่า ปล่อยสายคันเบ็ดยาวเพื่อรอตกปลาตัวใหญ่”
อูเจียงรีบพูดด้วยสีหน้าจริงจังทันใด “นั่นมันแน่อยู่แล้ว”
เฉินผิงอันตบไหล่ของจอมยุทธเด็กหนุ่ม ใช ้น้าเสียงของผู้อาวุโส ในยุทธภพเอ่ยด้วยความปรารถนาดีว่า “มีโอกาสจะแนะน าให้เจ้าได้ รู ้จักกับลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของข้า เรียนวิชาหมัดก็ควรต้องหาคน มาประลองฝี มือด้วย ต้องขัดเกลาฝี มือเสียหน่ อย จะได้รู ้ว่า ความสามารถที่มีเป็ นของจริงหรือไม่ สรุปแล้วเป็ นทองหรือเหรียญ ทองแดงกันแน่”
อูเจียงยังไม่รู ้ถึงความรู ้ที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ ถึงอย่างไรเขาก็ยังเด็ก จึงรับปากไปเต็มปากเต็มค า
อูเจียงใช ้เสียงในใจถามว่า “ครั้งนี้เซียนกระบี่เฉินมาที่นี่เพราะ ได้รับคาเชิญจากเจ้าประมุขเกา จะเข้าร่วมการประชุมที่อารามต้ามู่ หรือ?”
่
เฉินผิงอันพยักหน้า “พยายามจะอธิบายหลักการเหตุผลข้อหนึ่ง ให้ชัดเจน โลกมนุษย์ยังคงเป็ นโลกมนุษย์ของพวกเจ้า ส่วนจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ สุราคารวะ สุราลงทัณฑ์ ต้องดื่มกันเอาเอง”
คลื่นมรกตหมื่นลี้งามจับตาผู้มาเที่ยวเยือน ดอกไม้สีสดบาน สะพรั่งบนภูเขาเขียวเหนือทะเลสาบ