กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1071.2 เมฆสีครามเกาะกลุ่มลอยล่องเหนือวังอวี้ชิง
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1071.2 เมฆสีครามเกาะกลุ่มลอยล่องเหนือวังอวี้ชิง
เซียวเฟยป๋ ายได้แต่ยิ้มเงื่อนไม่พูดอะไร เพียงเหลือบมองสามี ท่านเดาถูกเสียแล้ว อีกฝ่ ายไม่เห็นนครเสินเซียวที่ “ต่อให้เป็ นสตรีมี ฝี มือ แต่ไร ้วัตถุดิบก็ปรุงอาหารรสเลิศออกมาไม่ได้” อยู่ในสายตา จริงๆ ด้วย
ห้านครของป๋ ายอวี่จิง นครชิงชุ่ย นครหลิงเป่า นครหนันหัว นค รอวี้ซู นครเสินเซียว
ก่อนหน้านี้เนื่องจากนครเสินเซียวมีผู้ฝึกกระบี่เพิ่มมาเก้าคน ใน ที่สุดนครเสินเซียวที่ต าแหน่งถูกลดลงแล้วลดลงอีกก็ได้เลื่อนขึ้นสูง ร ้อยจังเสียที ระดับความสูงร ้อยจั้งที่ว่านี้พูดถึงแค่การถูกยกให้สูงขึ้น เท่านั้น เพราะเมื่ออยู่ในป๋ ายอวี่จิงที่ตระหง่านโอฬารกลับน้อยนิดจน สามารถมองข้ามไปได้เลย
ทว่าถึงอย่างไรนครเสินเซียวก็หยุดยั้งแนวโน้มการตกต่าเอาไว้ ได้ นี่สาคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น
แม้จะบอกว่าหลังจากที่เจ้าลัทธิใหญ่ปลดประจาการจากตาแหน่ง เจ้านคร ระดับความสูงของนครชิงชุ่ยก็ถูกลดลงต่ามาโดยตลอด ระดับความสูงที่ “หล่นลงพื้น ถือว่ามากที่สุดในบรรดาห้านคร แต่ก็ เหนือกว่านครแห่งอื่นตรงที่มีฐานกาลังทรัพย์ลึกล้า “สิบสองหอเรือ นอวี้จิง สูงตระหง่านพิงแนบชิงชุ่ย” ไม่ใช่คากล่าวที่เยินยอสรรเสริญ
เกินเหตุอะไร เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว นครเสินเซียวก็เหมือนว่ามีฐาน ก าลังทรัพย์เป็ นเงินร ้อนน้อยแค่เหรียญเดียวส่วนนครชิงชุ่ยกลับถือ เงินฝนธัญพืชไว้ในมือ เป็ นเหตุให้ค่าใช ้จ่ายที่เป็ นเงินเกล็ดหิมะหนึ่ง เหรียญเหมือนกัน ใครจะผลาญสมบัติมากกว่า? ค าตอบก็ชัดเจนดี อยู่แล้ว
ระดับความสูงของนครเสินเซียวในทุกวันนี้ หลังจากที่ปีนั้นถูก นครอวี้ซูน าหน้าไปก็ได้กลายเป็ นว่าอยู่รั้งท้ายสุด ปัญหานั้นอยู่ที่ว่า หากอยู่แค่อันดับท้ายสุดของห้านครก็ยังพอทาเนา แต่นี่ห้าร ้อยปีที่ ผ่านมายังทยอยถูกหอเรือนสองแห่งแซงหน้าไป หากยังเป็ นเช่นนี้ต่อ นครเสินเซียวก็จะไม่สมชื่ออีกต่อไปแล้ว ก็เหมือนอย่างคาพูดร ้าย กาจบางอย่างที่มณฑลทั้งหลายของโลกภายนอกพูดกัน ไม่สู้เปลี่ยน ชื่อเป็ น “หอเสินเซียว” ยังดีกว่า ยามที่จัดเรียงล าดับยังจะน่าฟัง มากกว่า
เหยาเข่อจิ่วเจ้านครคนเก่า มีฉายาว่า “หนี่กู่” ได้กายดับมรรคา สลายอยู่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ไปแล้ว
นักพรตเฒ่าเองก็เป็ นอาจารย์ของหวังฉิงและเซียวเฟยป๋ าย เช่นกัน
เต้ากวานในนครมีหกพันกว่าคน ชักหน้าไม่ถึงหลัง
เกือบพันปีที่ผ่านมานี้ก็ไม่มีเต้ากวานคนใดที่กล้าพูดว่าตัวเองมี คุณสมบัติพอที่จะพิสูจน์มรรคาเป็ นบินทะยานได้อย่างแน่นอน
หวังฉิงและเซียวเฟยป๋ ายต่างก็คิดว่าชีวิตนี้ตนไม่มีหวังจะเลื่อน เป็ นขอบเขตบินทะยานแล้ว เมื่อเป็ นเช่นนี้เจ้านครคนถัดไปของนคร เสินเซียวจึงต้องมีขอบเขตมากพอที่จะแบกเสาคานใหญ่ ช่วยสืบต่อ ควันธูปให้กับนครเสินเซียว สร ้างความรุ่งเรืองให้กับสายเต๋าอีกครั้ง
หาวซู่กุมหมัดเอ่ย “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ข้ามีภารกิจส าคัญติด
ตัวที่ต้องทา”
หวังฉิงถอนหายใจ ความผิดหวังนั้นเป็ นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ กระนั้นเขาก็ยังยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่กล้าบีบบังคับให้ต้องลาบากใจ แค่ ท่านอาจารย์มาเป็ นเค่อชิงที่นครเสินเซียวได้ก็เป็ นความโชคดีอย่าง ใหญ่หลวงแล้ว”
หลังจากที่เต้ากวานสองคนที่เป็ นรองเจ้านครจากไป หาวซู่ก็ยิ้ม เอ่ยว่า “ต่งถ่านด า เจ้ายอมรับในตัวอิ่นกวานขนาดนี้เชียวหรือ?”
ต่งฮว่าฝูพยักหน้า “ข้าคนนี้คร ้านจะใช ้สมอง เขาเป็ นคนที่คิด เรื่องต่างๆ อย่างรอบคอบ อีกทั้งบนร่างของเฉินผิงอันยังมีความรู ้สึก อย่างหนึ่งที่ข้าบอกไม่ถูก พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก”
หาวซู่ถาม “หน่อยลองว่ามาสิ”
อันที่จริงเขาที่เป็ นสิงกวานเพิ่งได้รู ้จักกับเฉินผิงอันที่เป็ นอื่น กวานไม่นานเท่าไร ได้พูดคุยกันแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น
ต่งฮว่าผู่ลังเลเล็กน้อย “พูดถึงแค่ความรู ้สึกอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่าง เช่นเดินอยู่บนถนนต่อให้ข้าไม่รู ้จักท่าน แต่ข้าก็สามารถสัมผัสได้ถึง
“กลิ่นอาย” ขุมนั้นที่อยู่บนร่างของท่าน ต่อให้เป็ นเจ้านครเซียว เฟยป๋ ายก็เหมือนกัน แค่มองก็รู ้แล้วว่าพวกท่านเป็ นคนที่ไม่ควรไปมี เรื่องด้วย ต่อให้พวกคนร่วมบ้านเกิดเหล่านั้นจะอายุน้อยกว่าข้า ขอบเขตสูงกว่าข้า แต่ข้าก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ‘กลิ่น อาย” บนร่างของพวกเขาเข้มข้นขึ้นทุกวัน กลิ่นอายเต๋า กลิ่นอาย เซียน กลิ่นอายความองอาจ กลิ่นอายความสูงศักดิ์ร่ารวย กลิ่นอาย ขุนนางกลิ่นอายปัญญาชน กลิ่นอายความเย่อหยิ่งที่ปฏิเสธคนอื่นให้ อยู่ห่างไกลเป็ นพันลี้ เป็ นคนถ่อยที่ได้อานาจ ใช ้พลังอานาจบีบคั้น คนอื่น….สรุปก็คือมีเยอะมาก เอาเป็ นว่าล้วนเป็ นความรู ้สึกที่พร่า เลือน หวังฉิงอาจจะถือเป็ นข้อยกเว้น ดังนั้นเขาจึงเหมือนกับเฉินผิง อันอยู่บ้าง”
หาวซู่เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยมาคาหนึ่งว่า “ราบเรียบ”
ต่งฮว่าฝูดื่มเหล้าหนึ่งคา พยักหน้าเอ่ยว่า “คือความรู ้สึกเช่นนี้ ไม่ว่าจะเดิน พูดจาสีหน้า แววตา นั่งลงดื่มเหล้า ความรู ้สึกที่หวังฉิงม อบให้กับข้าก็คือราบเรียบอย่างมาก อีกทั้งยังไม่ให้ความรู ้สึกเย่อหยิ่ง แล้วก็ไม่ใช่ความรู ้สึกไม่ยินดียินร ้ายไร ้กิเลสไร ้ปรารถนา ตรงกันข้าม กันเลยด้วยซ้า มีกลิ่นอายความเป็ นมนุษย์มากพอ แต่ไม่ว่าจะมี สถานะเป็ นอะไร พวกเขาล้วนคู่ควร สามารถไม่ถูกชะตากับคน ประเภทนี้ แต่กลับยากมากที่จะเกลียดพวกเขา”
จุดที่สูงที่สุดของป๋ ายอวี้จึงไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็ นทางการ แต่ เรียกกันติดปากว่าหอซ่างชิง
บางครั้งมรรคาจารย์เต๋าก็มาถ่ายทอดมรรคาที่นี่ ตามหลักแล้ว หากไม่นับเจ้าลัทธิทั้งสามท่านรวมถึง “ซานชิง” นักพรตที่เป็ นลูก ศิษย์คนเล็ก ไม่ว่าใครก็ห้ามเหยียบย่างเข้ามายังที่แห่งนี้โดยไม่ได้รับ อนุญาต
ต าหนักบรรพจารย์ของป๋ ายอวี้จิงมีชื่อว่าตาหนักไท่ชิง นอกจาก มรรคาจารย์เต๋าและเจ้าลัทธิสามท่านแล้วก็แขวนไว้แค่ภาพเหมือน ของเต้ากวานในแต่ละรุ่นที่บรรลุมรรคาเป็ นบินทะยานเท่านั้น
ทว่าการประชุมใน “ศาลบรรพจารย์” ของป๋ ายอวี้จิงกลับอยู่ใน ตาหนักเขียนที่มีชื่อว่าวังอวี้ชิง ถือเป็ นพื้นที่ลับแห่งภูเขาสายน้าอีก แห่งหนึ่ง ไม่อยู่ในอาณาเขตของนครหรือหอเรือนใดๆ
วันนี้วังอวี้ชิงมีการเปิดประชุมขนาดใหญ่เกิดขึ้น
คนที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการประชุม นอกจากเจ้านครหลักรอง และเจ้าหอของห้านครสิบสองหอเรือนแล้ว ยังได้เชิญเต้ากวานเทียน เซียนที่ ไร ้ตาแหน่งขุนนางก็ตัวเบา” ส่วนหนึ่งมาด้วย อายุพวกเขาสูง มาก ประสบการณ์ก็เก่าแก่มาก เทียนจวินเฒ่าหลายคนในนั้นมี ชื่อเสียงมีคุณธรรมสูงส่ง ถึงขั้นที่ว่าต่างก็เคยเป็ นเจ้านครและเจ้าหอ กันมาก่อนนานหลายปี
วังอวี้ชิงประหนึ่งลอยอยู่กลางดินแดนไท่ซวี
เมฆสีครามเกาะกลุ่มลอยล่อง เต้ากวานบ้างยืนบ้างนั่ง
ปิดประตูปรึกษาหารือกัน มติการประชุมหัวข้อหนึ่งก็คือเรื่องที่ เจ้าลัทธิลู่เป็ นผู้เสนอหาวซู่ผู้ฝึกกระบี่ที่รับหน้าที่เป็ นเค่อชิงของนคร เสินเซียวจะถูกหักคุณูปการในการย้ายดวงจันทร ์เฮ่าไฉ่มายังมืดสลัว ครึ่งหนึ่งไว้ก่อนล่วงหน้า วันหน้าหากหาวซู่สังหารขอบเขตบินทะยาน คนใดของใต้หล้ามืดสลัว ป๋ ายอวี้จิงก็จะไม่ตาหนิเอาโทษ ส่วนนอกป๋ า ยอวี้จิง ควรจะเป็ นอย่างไรก็เป็ นอย่างนั้น ขอแค่หาวซู่ออกไปข้างนอก ควรแก้แค้นก็แก้แค้น ป๋ ายอวี้จึงจะไม่ไปสนใจเช่นเดียวกัน
ตามกฎของวังอวี้ชิง เต้ากวานที่เข้าร่วมการประชุมสามารถดีตก ความเห็นทุกข้อของเจ้าลัทธิทั้งสามท่านได้ เพียงแต่ว่าวันนี้เต้ากวาน ทั้งหลายเห็นว่าเจ้าลัทธิอวี๋ไม่ได้พูดอะไรก็เลยผลักเรือตามน้าไม่ได้ โต้แย้งเจ้าลัทธิลูไปด้วย
ทว่าประโยคถัดมาที่ลู่เฉินเอ่ยเสริมตามมากลับไม่ท าให้ในห้อง ประชุมเงียบงันเช่นนั้นอีกแล้ว มีเต้ากวานบางคนแค่นเสียงหยัน ออกมาทันที
ที่แท้เจ้าลัทธิลู่ก็เริ่มทาตัวงี่เง่าอย่างไม่ไตรตรองอีกครั้ง เสนอให้ คุณความชอบอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือของหาวซู่ อนุญาตให้เขาถามกระบี่ กับเต้ากวานคนใดก็ได้ในป๋ ายอวี่จิงโดยที่ยังคงไม่เอาโทษอยู่ เหมือนเดิม
พอเห็นว่าสถานการณ์เริ่มผิดปกติ เจ้าลัทธิลู่ก็ร ้อนใจขึ้นมา ทันใด
อันที่จริงก่อนหน้านี้ได้ไปหาสหายรัก พี่น้องและผู้อาวุโสหลาย คนที่คิดว่ามีความสัมพันธ ์ไม่เลวกับตนไว้ก่อนแล้ว แต่ละคนต่างก็ตก ลงด้วย เจ้าลัทธิลู่มาเยือนถึงที่ ทักทายบอกกล่าวกันล่วงหน้าไว้ก่อน แล้ว
พูดถึงแค่หวังต้งจือเจ้าหอหลินหลาง ก่อนจะมาเข้าประชุมที่วังอวี้
ชิงก็เพิ่งจะรับรองให้เจ้าลัทธิลู่ดื่มชาไปหนึ่งถ้วย
เจ้าลัทธิลู่พูดน้าลายแตกฟองเล่าว่าตัวเองต้องเผชิญกับความ ล าบากยากแค้นอันตรายรายล้อมรอบด้าน ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ถึงได้เก็บที่วางพู่กันปะการังที่เก็บตกมาจากนครอวี้ป่ านแห่งเปลี่ยว ร ้างไว้ได้…การประชุมในวันนี้ ข้าพูดอะไร เจ้าหวังต้งจือก็ไม่ควรต้อง พยักหน้าให้การสนับสนุนพี่น้องหน่อยหรือ?
ดูท่าคงจะพึ่งพาพวกคนไร ้คุณธรรมกลุ่มนี้ไม่ได้แล้ว
ไม่เป็ นไร ผินเต้ายังมีศิษย์พี่!
อวี๋โต้วมองศิษย์น้องที่เป็ น “ยันต์แผ่นนั้น” ในที่สุดเขาก็เปิดปาก พูด
ในหนึ่งร ้อยปีที่เจ้าลัทธิลู่ดูแลป๋ ายอวี่จิง เค่อชิงหาวซู่แห่งนครเสิน เซียวถามกระบี่กับใคร นอกจากจะหักจากคุณูปการในการย้ายดวง จันทร ์ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งแล้ว ก็จะต้องหักออกไปจากลู่เฉินด้วย
“ลู่เฉิน” รีบชี้แจงให้กระจ่างทันที “ทุกท่าน ตกลงกันไว้ก่อนนะว่า หักแค่คุณความชอบจากนครหนันหัวเท่านั้น ความแค้นมีเจ้าของ
หนี้ก็ต้องมีเจ้าหนี้ วันหน้าหากใครคิดจะแก้แค้นก็ต้องไปหาหาวซู่ ห้ามมาหาผินเต้าเด็ดขาดเลย!”
เว่ยฮูหยินยิ้มบางๆ “ขอแก้สักหน่อย เมื่อครู่เจ้านครลู่พูดผิดแล้ว ต้องบอกว่าหักจากคุณูปการของ “เจ้าลัทธิลู่เฉิน” ไม่ได้หักจาก นครหนันหัวของพวกเรา ต้องแบ่งแยกส่วนรวมและส่วนตัวออกจาก
กันให้ชัดเจน”
รองเจ้านครหนันหัวอีกสองคนต่างก็เอ่ยคล้อยตามเว่ยฮูหยิน ไม่ ไว้หน้าเจ้านครบ้านตนเลยแม้แต่น้อย
เจ้าลัทธิลู่เป็ นเจ้านครได้ถึงขั้นนี้ก็ไม่มีอะไรให้พูดแล้วจริงๆ นี่ เรียกว่าเป็ นที่ยอมรับนับถือ ได้ใจคน
ลู่เฉินมองไปทางหวังฉิง ฝ่ายหลังส่ายหน้า
ลู่เฉินจึงรู ้สึกเสียดายอยู่บ้าง อันที่จริงให้หาวซู่มารับหน้าที่เป็ น เจ้านครเสินเซียวจะเหมาะสมอย่างมาก
แต่ช่วยไม่ได้ นครเสินเซียวมิอาจมอบพื้นที่ประกอบพิธีกรรม ส่วนตัวให้กับหาวซู่ได้ส่วนนครชิงชุ่ยนั้น หาวซู่ไม่เหมาะจะเป็ นผู้ดูแล นครแห่งนี้ หากลู่เฉินกล้าเปิดปากพูดออกไปวันนี้ในวังอวี้ชิงแห่งนี้ ลู่ เฉินก็คงถูกน้าลายท่วมทับตายพอดี บวกกับที่จานวนของรองเจ้า นครก็เต็มแล้ว หรือควรจะพูดว่ามีจานวนที่กาหนดแน่ชัดมาโดย ตลอด ทุกวันนี้ศิษย์พี่ใหญ่ไม่อยู่ที่ป๋ ายอวี้จิง ต่อให้ลู่เฉินจะมีความคิด
อะไร ด้วยนิสัยของศิษย์พี่อวี่แล้วก็ไม่มีทางตอบตกลง หาไม่แล้วให้ หาวซู่ไปเป็ นรองเจ้านครชิงชุ่ยก็ไม่เลวเหมือนกัน
เซียวเฟยป๋ ายใช ้สายตาบอกเป็ นนัยแก่เจ้าลัทธิลู่ว่าให้พูดจาเป็ น ธรรมสักประโยค ไม่ต้องสนหรอกว่าเขาหาวซู่จะมีความคิดอะไร พอ ข้าวสารกลายเป็ นข้าวสุก บอกไปว่าเป็ นมติการประชุมของวังอวี้ชิง
ไล่หาวซู่เหมือนไล่เปิดขึ้นคอนก็พอแล้ว
ทว่าเจ้าลัทธิลู่กลับเอาแต่หาวติดๆ กัน จากนั้นก็เริ่มหลับตาทา สมาธิ
วันนี้ในวังอวี้ชิง เต้ากวานที่อายุมากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็ นผู้ เฒ่าของป๋ ายอวี้จิงอย่างพวกหวงเจี้ยโส่ว ผังติ่ง
แต่ก็มีผู้เยาว์ที่อายุน้อยที่สุดอยู่สองคนที่ได้รับข้อยกเว้นให้เข้า ร่วมการประชุมครั้งนี้ได้พวกเขาอ่อนเยาว์กันมากจริงๆ เวลานี้มาอยู่ ในวังอวี้ชิงก็เหมือนนกกระเรียนหนุ่มที่ยืนอยู่เหนือเมฆสีคราม
ช่วงนี้ป๋ ายอวี้จิงมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอยู่หลายเรื่อง
อันดับแรกก็เป็ นผู้ฝึกกระบี่เก้าคนจากกาแพงเมืองปราณกระบี่ ที่มาหลอมกระบี่อยู่ในนครเสินเซียว ว่ากันว่าผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งในนั้น ที่แช่ต่งมีคุณสมบัติดีเยี่ยม อีกทั้งเขายังเป็ นลูกหลานของต่งซานเกิง อีกด้วย
อีกเรื่องก็คือเจ้าลัทธิอวี๋ที่ไม่ได้รับลูกศิษย์มานานมากแล้ว นาน ถึงหกร ้อยปี ในที่สุดก็รับลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งที่มาจากใต้หล้า ไพศาล
จากนั้นก็เป็ นสิงกวานหาวซู่แห่งกาแพงเมืองปราณกระบี่ที่ขี่ กระบี่จากดวงจันทร ์เฮ่าไฉ่มายังนครเสินเซียว แล้วก็ลงหลักปักฐาน อยู่ที่นี่ ว่ากันว่ามีความเป็ นไปได้อย่างยิ่งที่ป๋ ายอวี้จิงจะมอบต าแหน่ง เจ้านครให้กับเขา
เจียงอวิ๋นเซิง “นักพรตน้อย” ที่ในอดีตเฝ้ าประตูอยู่ที่ภูเขาห้อย หัวเพิ่งเลื่อนเป็ นเซียนเหริน แล้วก็ถูกเลื่อนขั้นให้เป็ นเจ้านครชิงชุ่ย เป็ นกรณียกเว้น
บอกว่าเป็ น “กรณียกเว้น ก็เพราะนอกจากเจียงอวิ๋นเซิงจะ กลายเป็ นเจ้านครหรือไม่ก็เจ้าหอซึ่งเป็ นตาแหน่งอย่างเป็ นทางการทั้ง ที่ไม่ใช่ขอบเขตบินทะยานซึ่งถือว่ามีน้อยจนนับนิ้วได้ใน ประวัติศาสตร ์อันยาวนานของป๋ ายอวี้จิงแล้ว ยิ่งเป็ นเพราะเรื่องนี้ ถึงกับอ้อมผ่านการประชุมของวังอวี้ชิงไปโดยตรง ถือเป็ นการ ตัดสินใจกันเองเป็ นการส่วนตัวของเจ้าลัทธิสองท่านอย่างอวี๋โต้วและ ลู่เฉิน ขณะเดียวกันก็เห็นได้ชัดว่ามรรคาจารย์เต๋าเห็นด้วยกับการ ตัดสินใจนี้ ดังนั้นในป๋ ายอวี้จิงจึงไม่มีคลื่นมรสุมใดๆ เกิดขึ้น