กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1072.1 นั่งดูไฟโหมลามทุ่งหญ้าริมชายฝั่ง
ยาซานในวันนี้มีแขกมาเยี่ยมเยือน
หนึ่งชายหนึ่งหญิง สตรีคือปรมาจารย์ที่เพิ่งติดอันดับผู้ฝึกยุทธ สิบคนในการจัดอันดับใหม่ล่าสุด กู่เยี่ยนเกอแห่งยอดเขาผีผาโยว โจว
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสี่คนของหลินเจียงเซียน มีขอบเขตปลายทาง สองคน ขอบเขตยอดเขาสองคน
ลูกศิษย์ใหญ่จ้าวเฮ้อชง ผู้ดูแลภูเขายาซานที่แท้จริงในทุกวันนี้ก็ คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่มีชื่อเสียงมานานมากแล้ว
ลูกศิษย์คนรอง ชีฮวาเจียน ถูกบนภูเขาเรียกขานอย่างให้ความ เคารพว่าชีฮูหยิน คือสตรีที่มีเรือนร่างอวบอิ่ม มีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่าง ยิ่ง นางเองก็เป็ นขอบเขตปลายทางเช่นเดียวกัน
จูโหม่วเหรินแห่งหรูโจวกับเจ้าลัทธิลู่ผู้เป็ นสหายรัก คนหนึ่งเอ่ย ชื่นชมชีฮูหยินว่า “งามแบบอิ่มเอิบ อีกคนหนึ่งชมว่านาง ‘งามแบบ เย็นชา
นอกจากนี้ยังมีจงเซวี่ยเฉวียนและลูกศิษย์คนเล็กอย่างซ่งเยว่ ทุก วันนี้ต่างก็เป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาที่อายุน้อยกันมาก
โลกภายนอกเล่าลือกันว่าการที่ลูกศิษย์ใหญ่จ้าวเฮ้อชงไม่ได้ติด อันดับการประเมินวรยุทธก็เป็ นเพราะหลินซือเคยเตือนภูเขาปิงเจี่ยไว้ ล่วงหน้าแล้วว่า หากลูกศิษย์ใหญ่ของตนติดอันดับ วันหน้าผู้ฝึกยุทธ ของภูเขาปิงเจี่ยก็ไม่ต้องมีการจัดอันดับรายชื่อบนกระดานอีกแล้ว แน่นอนว่าคาพูดประเภทนี้ไม่มีการพิสูจน์ว่าเป็ นความจริง แล้วก็ไม่มี
หลักฐานใดๆ ให้สืบเสาะ
ประเด็นสาคัญคือหลินเจียงเซียนรับลูกศิษย์มาแค่สี่คนนี้ ผลคือ ทุกคนต่างก็ได้ดิบได้ดี อีกทั้งต่างก็กลายเป็ นยักษ์ใหญ่ในวงการการ เรียนวรยุทธ
หากจะพูดถึงหยวนเหอเจ้าอารามคนก่อนของอารามเสวียนตูซึ่ง มีฉายาว่า “ชิงหยวนคุณสมบัติ” ในการรับลูกศิษย์ของคนผู้นี้ทาให้ คนอื่นอิจฉาไม่ได้จริงๆ
ทว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหยวนเหออยู่เบื้องหน้าคนเจ็ดคนอย่าง พวกหวังซุน ซุนไหวจง และก่อนหน้านี้ยังมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดอีก หลายกลุ่มที่หากทยอยเอามารวมกันก็มีเกือบยีสิบคน
ส่วนหลินเจียงเซียนนั้นรับคนมีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธมาสี่ คนในเวลาสั้นๆ เพียงหกสิบปี
นี่จึงเป็ นเหตุให้มีคนเอ่ยหยอกเย้าว่าหากหลินซือกระตือรือร ้นใน การรับลูกศิษย์อีกสักหน่อย ภูเขาปิงเจี่ยคงต้องร ้องไห้คร่าครวญว่า ยากจนแล้ว หรือไม่ในมณฑลแห่งหนึ่งรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาหนึ่งคน
พวกเขาเรียนวิชาหมัดกับหลินซือก่อนสักยี่สิบสามสิบปี จากนั้นก็ กลับบ้านเกิดไปสร ้างสาขาย่อยของยาซานขึ้นมา หากไม่ทันระวังก็ จะเป็ นสถานการณ์ที่โชคชะตาบู๊ของใต้หล้า ครึ่งหนึ่งอยู่ที่ยาซาน
นี่คือความเห็นพ้องต้องกัน เพียงแต่ว่าคาพูดประเภทนี้จะพูดกันอย่างส่งเดชไม่ได้ แค่ทุกคน
รู ้กันดีอยู่ในใจก็พอแล้ว
กู่แย่นเกอหนึ่งในแขกที่มาเยี่ยมเยียนกาลังถามหมัดกับซึ่งเยว่ แห่งยาซาน อันที่จริงขอบเขตของพวกนางต่างกันแค่ขั้นเดียว ถาม หมัดก็เป็ นซ่งเยว่ที่เป็ นฝ่ายเสนอ
ปรมาจารย์ด้านวรยุทธหญิงสองท่านปิดประตูท าการถามหมัด
ประลองฝีมือกัน
แน่นอนว่าไม่ใช่การต่อสู้กันอย่างเอาเป็ นเอาตาย แค่หยุดแต่ พอสมควรเท่านั้น
ผู้อาวุโสบนภูเขาท่านหนึ่งที่พากู่แย่นเกอมาเป็ นแขกที่นี่ เวลานี้ นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง รูปโฉมยังเป็ นคนหนุ่มที่หน้าตาหล่อ เหลาอย่างถึงที่สุด มือหนึ่งของเขาถือพัดพับพยักหน้าเอ่ยชื่นชมว่า “ปรมาจารย์หญิงต่อสู้กันแล้วน่ามองจริงๆ มองแล้วสบายหูสบายตา ยิ่งนัก”
นักพรตฝึกบาเพ็ญตนอาศัยตัวเอง อาศัยจิตวิญญาณที่ตื่นรู ้เมื่อ ช่องโพรงหนึ่งเปิดออก ร ้อยช่องโพรงก็พากันเปิดออก อาศัยการท า ความเข้าใจอย่างถ่องแท้
ผู้ฝึกยุทธเดินขึ้นสู่ที่สูงต้องอาศัยการเหยียบย่างลงบนพื้นอย่าง มั่นคงด้วยความขยันหมั่นเพียร อาศัยความยากลาบากอย่างแท้จริง
สหายรักหลินซือไม่อยู่ที่ยาซาน ส าหรับจูโหม่วเหรินแล้วไม่ได้ ส าคัญเลยสักนิด ขอแค่ชีฮูหยินและแม่นางซึ่งอยู่ก็พอแล้ว หรือหากมี พวกนางคนใดคนหนึ่งก็ไม่ถือว่ามาเสียเที่ยวหากอยู่กันทั้งสองคนก็ ยิ่งถือเป็ นกาไร
ทางฝั่งของยาซานแห่งนี้ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสี่คนของหลินซือ แม้กระทั่งลูกศิษย์คนเล็กอย่างซ่งเยว่ สองชายสองหญิงต่างก็โดดเด่น กันอย่างมาก
กู่แย่นเกอออกหมัดเบาแต่ยอดเยี่ยม ซ่งเยว่มีปณิธานหมัดที่หนา หนัก จูโหม่วเหรินมองตาไม่กะพริบ ทุกครั้งที่พวกนางบิดเอวบนลาน ประลองยุทธ ทุกครั้งที่เรือนกายของพวกนางพลิกหมุนตลบ ล้วนเป็ น ภาพที่งดงามอย่างยิ่ง
อีกทั้งการมองเห็นของผู้ฝึกตนใหญ่ก็ดีเยี่ยมอย่างมาก ทุกครั้งที่ สตรีสองคน “ประมือกัน” ก็คือทัศนียภาพประหนึ่งริ้วน้ากระเพื่อมขึ้น ลงไม่หยุดนิ่ง ทาให้จิตใจคนสั่นไหวอย่างรุนแรง
ช่วงช่องหว่างระหว่างที่พวกนางเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ พร ้อมเพรียงกันอย่างรู ้ใจ
ในที่สุดเขาก็ตัดใจหันหน้าไปพูดกับชีฮูหยินได้ว่า “ข้าออกเดิน ทางไกลมาครั้งนี้ระหว่างทางได้เดินทางผ่านราชวงศ์ชิงเสิน เสนาบดี รูปงามไม่ได้อยู่ที่นั่น ป๋ ายโอ่วเองก็เลื่อมใสหลินซืออย่างมาก”
ต่อให้ทัศนียภาพงดงามในใต้หล้านี้จะมีมากแค่ไหนก็หนีไม่พ้น แบ่งออกเป็ นสองประเภท ขยับเคลื่อนดุจน้าไหลกับนิ่งสงบดุจขุนเขา ชีฮูหยินแค่นั่งอยู่ตรงนั้น เส้นเว้าเส้นโค้งงามประณีติ เทือกเขาเว้าขึ้น ลง งดงามจนมิอาจหาถ้อยค ามาบรรยายได้
เผชิญหน้ากับจูโหม่วเหรินที่พยายามหาเรื่องมาชวนคุย ชีฮูหยิน ก็แค่พยักหน้ารับ ไม่เอ่ยต่อค า
หากอีกฝ่ ายพูดจาไร ้สาระมากกว่านี้อีกหน่อย นางก็จะใช ้ท่าไม้ ตายแล้ว แค่ต้องเรียกชื่อจริงของนักพรตผู้นี้ก็พอ
คนสิบคนในใต้หล้าที่จะมีการประเมินทุกๆ ร ้อยปี มีพรรคเขียนจัง แห่งหย่งโจวเป็ นผู้จัดการเรื่องของการคัดเลือกรายชื่อนี้ แล้วก็มี บางครั้งที่จัดอันดับตามกระแส แต่ล้วนมิอาจท าให้ผู้คนยอมรับได้ ส่วนการประเมินวรยุทธที่จะเกิดขึ้นทุกๆ หกสิบปีกลับมีภูเขาปิงเจี่ยที่ เป็ นเพื่อนบ้านกับพรรคเซียนจิ้งเป็ นผู้รับผิดชอบ คนสิบคนในใต้หล้า ที่จะประเมินกันทุกๆ หนึ่งร ้อยปี ห้าอันดับแรกยังพูดได้ง่าย แต่อันดับ หลังจากนั้น จะดูจิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนที่ถูกคัดเลือกเป็ นหลัก ไม่
สนใจลาดับสูงต่า ถึงขั้นที่ว่าต่อให้ไม่ติดอันดับ ในประวัติศาสตร ์ก็ไม่ เคยมีคลื่นมรสุมใดๆ เกิดขึ้น ทว่าในอันดับที่สิบกลับง่ายที่จะ ก่อให้เกิดการถกเถียงของโลกภายนอกมากที่สุด ดังนั้นพรรคเซียน จิ้งจึงใช ้วิธีหลบหลีกความยากลาบากด้วยการเลือกตัวสารองสี่ห้าคน ห้อยท้ายอันดับที่สิบเสมอ จานวนคนไม่เท่ากัน มากสุดคือห้าคน น้อยสุดคือสองสามคน โดยทั่วไปแล้วขอแค่อันดับที่สิบเอ็ดนี้มีพลัง ในการโน้มน้าวผู้คนได้มากพอสงครามน้าลายของบนภูเขาก็จะมี น้อยลง
ผลคือประมาณพันปีที่ผ่านมาได้มี “ตัวถ่วง” แบบไม่มีอะไรให้ ต้องลุ้นเพิ่มมาคนหนึ่งนักพรตผู้นี้มาจากหรู่โจว
เล่าลือกันว่าทุกครั้งที่การจัดอันดับรายชื่อออกจากเตาใหม่ๆ นักพรตผู้นี้จะต้องไปดื่มเหล้าที่อารามเสวียนตู แค่เจอหน้ากันต่างคน ก็ต่างร่าร ้องระบายทุกข์ให้กันฟัง
คนหนึ่งคืออันดับห้าในใต้หล้า อีกคนคืออันดับที่สิบเอ็ด อีกทั้ง เจ้าอารามซุนยังเป็ นผู้นาของสายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋า ส่วนนักพรต ท่านนี้ก็เป็ นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งพอดี
แล้วก็โชคดีที่ผู้ฝึกตนใหญ่คนนี้เป็ นคนพูดง่าย นิสัยดี มีฉายา มากมาย กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมีชื่อว่า “โต้วไฉ่” คือผู้ฝึ กตนบน ยอดเขาที่เป็ นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งแต่กลับไม่เคยมีเรื่องราวของการส่ง กระบี่เลย ถือเป็ นยอดฝีมือผู้รักอิสระเสรีดุจเซียนอิสระ เคยรับลูกศิษย์ อยู่เหมือนกัน แต่กลับไม่ได้เปิดภูเขาตั้งพรรค
ทว่าเคยเขียนผลงานมีชื่อเสียงหลายเล่มที่ตกเป็ นที่ต้องสงสัยว่า ไม่ท าอะไรเป็ นการเป็ นงาน” อย่างยิ่ง บรรยายถึงความรู ้ด้านเรือข้าม ฟากและการขี่กระบี่โดยเฉพาะ ในตารามีแต่คาศัพท์เข้าใจยากที่ทา ให้ผู้ฝึ กลมปราณซึ่งเว้นจากคนของสานักซู่เจียอ่านแล้วมึนงง ยกตัวอย่างเช่นอะไรที่บอกว่าเลี้ยวในรัศมีแคบ น้อยใหญ่เจอมุม เส้น แกนกลาง ความเร็วในการกระจายกระแสลมของชั้นเมฆ…
ชื่อของผู้ฝึกตนผู้นี้ประหลาดมาก ชื่อว่า “จูโหม่วเหริน” (โหม่ว เหรินแปลว่าคนบางคนและใช ้เรียกแทนตัวเองซึ่งจะมีความหมายว่า ข้าผู้แซ่จู)
เขาตั้งฉายาให้ตัวเองเยอะมาก ไม่ต่ากว่ายี่สิบฉายา แน่นอนว่า ทางฝั่งของป๋ ายอวี้จิงไม่ยอมรับก็เท่านั้น นักพรตที่เป็ นดั่งกระเรียนป่า โบยบินอยู่บนท้องฟ้ าอย่างอิสระ ชอบท่องเที่ยวไปตามมณฑลต่างๆ อีกทั้งยังไม่อยู่ที่ใดนานเกินไปนัก เวลาสั้นสุดก็จะอยู่ในอาณาเขต ของมณฑลแห่งหนึ่งประมาณหกสิบปี นานสุดก็ร ้อยปี รับลูกศิษย์ผู้ สืบทอดจ านวนไม่เท่ากันมาจากในท้องถิ่น ดูว่าถูกชะตาหรือไม่ก่อน แล้วค่อยดูคุณสมบัติของอีกฝ่ าย อีกทั้งทุกครั้งเขาจะต้องปิดบังชื่อแซ่ เปลี่ยนฉายาใหม่ ทุกครั้งที่มีฉายาใหม่เอี่ยมล้วนเป็ นฉายาที่มีกลิ่น อายเซียนล่องลอย
อันที่จริง “จูโหม่วเหริน” เป็ นแค่คาเรียกขานของตัวเขาเอง เท่านั้น เพราะชื่อจริงของเขาถูกคนเรียกไม่มาก เป็ นเหตุให้ผู้ฝึกตน
รุ่นเยาว์ในทุกวันนี้ต่างก็เข้าใจผิดคิดว่าเขาชื่อนี้ ไม่เคยมีใครถามถึง ชื่อจริงมาก่อน
บุคคลอันดับหนึ่งของหรูโจวคือหลินเจียงเซียนผู้ฝึกยุทธของล่าง ภูเขา ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น
สิบคนแห่งใต้หล้าในอดีต เจ้าลัทธิทั้งสามท่านของป๋ ายอวี้จิงได้ ครอบครองรายชื่อไปสามชื่อแล้ว ทว่าใต้หล้ามืดสลัวกลับมีสิบสี่ มณฑล คนที่เหลือก็ได้แต่ช่วงชิงเจ็ดรายชื่อที่เหลืออยู่ บังเอิญยิ่งนัก เมื่อเฉลี่ยออกมาแล้วก็ได้สองมณฑลต่อหนึ่งคนพอดี
เพราะหรูโจวมีหลินซือ เป็ นเหตุให้จูโหม่วเหรินที่เดิมทีเป็ นบุคคล อันดับหนึ่งบนภูเขาของหรู่โจวยิ่งหม่นหมองไร ้สีสัน ยังดีที่จูโหม่วเห รินไม่เคยถือสาเรื่องพวกนี้ อีกทั้งยังไม่ใช่การยอมรับชะตากรรมอย่าง จนใจเพราะท าอะไรไม่ได้ด้วย เขาไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอมพวกนี้ จริงๆ จูโหม่วเหรินเป็ นสมาชิกเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ใหญ่อันดับ สองของหรู่โจว แต่กลับเป็ นสหายกับทั้งฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นและ จักรพรรดิองค์ปัจจุบันของราชวงศ์ชื่อจิน ทั้งยังเป็ นเค่อชิงที่ไม่ได้รับ การบันทึกชื่อของยาซาน ยิ่งเป็ นสหายรักที่แค่พบเจอก็ถูกชะตากับ หลินเจียงเซียน เกรงว่าช่วงร ้อยปีที่ผ่านมานี้ นี่ก็เป็ นสาเหตุสาคัญข้อ หนึ่งที่ทาให้คลื่นลมในหรู่โจวสงบราบเรียบ ราชสานักที่ใหญ่ที่สุด สองแห่งต่างก็สงบสุขปลอดภัย บนภูเขาและล่างภูเขาต่างก็ปรองดอง กันเป็ นอย่างดี
จูโหม่วเหรินไม่ใช่ชายงามอย่างหลินเจียงเซียน ผู้ฝึ กตนใหญ่ ขอบเขตบินทะยานที่ไม่เคยชนะในการต่อสู้ มีชื่อเสียงเลื่องลือเพราะ ผลการสู้รบที่ “พ่ายแพ้ทั้งหมด” ผู้นี้มีรูปโฉมอ่อนโยนนุ่มนวล งดงาม เกินกว่าใครจะเทียบเคียง ดวงตาหงส์คู่นั้นคล้ายกับว่าเกิดมาก็ซ่อน แฝงไว้ด้วยอารมณ์รักใคร่
หลินเจียงเซียนที่สวมชุดเขียวพลิ้วกายลงริมขอบของสนาม ประลองยุทธ กู่แย่นเกอและซ่งเยว่หยุดหมัดแทบจะเวลาเดียวกัน
หลินเจียงเซียนกล่าว “การถามหมัดประเภทนี้ไม่มีประโยชน์ใดๆ ก็แค่ฝึ กกระบวนท่าที่ซ้าซากจาเจเท่านั้น ต่อจากนี้กู่แย่นเกอไม่ จ าเป็ นต้องกดขอบเขต ซ่งเยว่ก็ไม่ต้องเก็บง าฝีมืออีกแล้ว ถามหมัด ไม่ใช่แค่เล่นสนุกกันเท่านั้น”
จูโหม่วเหรินปรบมือยิ้มเอ่ย “ถูกใจ”
ปรมาจารย์ถามหมัดกัน ไม่พูดถึงอาการบาดเจ็บน้อยนิดอะไร พูดถึงแค่การต่อสู้ที่ทาให้เสื้อผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็ นระเบียบ เปิดตรงนี้นิด ตรงนั้นโผล่หน่อย ถึงอย่างไรก็เป็ นเรื่องสมเหตุสมผลดีแล้ว
จ้าวเฮ้อชงกับชีฮูหยินหมายจะลุกขึ้นยกที่นั่งให้กับอาจารย์ หลิน เจียงเซียนกลับโบกมือแล้วนั่งลงข้างกายจูโหม่วเหรินอย่างง่ายๆ
จูโหม่วเหรินยิ้มเอ่ย “หาได้ยากที่หลินซือไม่อยู่บนยาซาน”
หลินเจียงเซียนเพียงยิ้มรับ
สหายรักสองคนที่จูโหม่วเหรินคิดว่าสนิทที่สุด คนหนึ่งคือหลินซื อแห่งราชวงศ์ชื่อจินอีกคนคืออัครเสนาบดีรูปงามของราชวงศ์ชิงเสิน คนหนึ่งคือญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง อีกคนถูกชะตากัน ต่างคนต่างก็เปล่งประกายเป็ นพันปี
คิดอยากจะใช ้ฉายาที่คนในอดีตไม่เคยใช ้มาก่อน ทั้งยังไม่ฟังดู ดาษดื่นสามัญ คนในยุคปัจจุบันเสียเปรียบอย่างมาก เพราะแท้จริง แล้วนี่เป็ นเรื่องยาก ยากมากๆ
จาต้องยอมรับในข้อนี้ว่าป๋ ายอวี้จิงทั้งควบคุมอย่างเข้มงวด แล้วก็ ควบคุมอย่างยืดหยุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีบุคคลอย่างเต๋าเหล่าเอ้ ออยู่ด้วย นี่เป็ นเหตุให้วันเวลาแห่งความสงบสุขของใต้หล้ามืดสลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมั่นคงของแคว้นทั้งหลายล่างภูเขา อย่าว่า แต่ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างเลย แม้กระทั่งใต้หล้าไพศาลและดินแดนพุทธะ สุขาวดีก็ยังมิอาจเทียบเคียงกับใต้หล้ามืดสลัวได้ในเรื่องนี้
สิบสี่มณฑลในใต้หล้า ราชสานักของโลกมนุษย์และแคว้นน้อย ใหญ่ทั้งหลาย สงครามใหญ่แทบทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนเป็ นการ รีบทา เวลา” ทั้งสิ้น ในช่วงท้ายที่เจ้าลัทธิรองอวี๋โต้วแห่งป๋ ายอวี้จิงจะปลด ประจาการจากตาแหน่ง “เจ้าลัทธิ” พวกเขาจะเริ่มวางแผน จัดวาง กองกาลัง กองทัพยังไม่เคลื่อนพลเสบียงก็เดินทางไปก่อนแล้ว จากนั้นจึงจะลงมือภายในเวลาร ้อยปีที่ลู่เฉินเป็ นผู้ดูแลป๋ ายอวี้จิง รอ กระทั่งเจ้าลัทธิใหญ่มารับหน้าที่ดูแลป๋ ายอวี้จิงต่อสงครามก็ควรจะ สิ้นสุดลงได้แล้ว สามารถใช ้เวลาช่วงนี้พักฟื้นกันได้พอดี บางครั้ง
หากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นที่ชายแดน การแตกแยกและการรวมตัว กันของแคว้นแห่งหนึ่งมักจะใช ้เวลาสี่ห้าปีหลัง หยุดทัพไม่เคลื่อนไหว ทั้งสองฝ่ ายรู ้กันเองไปโดยปริยายเพียงแค่เพราะอวี๋โต้วก าลังจะมารับ หน้าที่ดูแลป๋ ายอวี่จิงใหม่อีกครั้ง
และในประวัติศาสตร ์ก็มีราชสานักใหญ่ที่เข่นฆ่าจนเลือดขึ้นตา ไม่สนไม่ห่วงอะไรเหมือนกัน ทว่าทุกแห่งล้วนถูกน้าเย็นๆ อ่างหนึ่ง ที่มาจากป๋ ายอวี้จิงราดรดลงบนหัวทั้งสิ้น
คาว่า “น้าเย็น” นี้บางทีอาจเป็ นพายุเวทคาถาที่พลังอานาจ ยิ่งใหญ่น่าครั่นคร ้าม และแน่นอนว่าอาจเป็ นฝนกระบี่ที่มาจากหอจื่อ ชี่ก็เป็ นได้
มีเพียงผู้ฝึกตนบนยอดเขาเท่านั้นที่ถึงจะรู ้ถึงความตั้งใจอย่างลึก ล้าบางอย่างของป๋ ายอวี้จิงที่ถูกซุกซ่อนอาพรางอยู่ ห้านครสิบสองหอ เรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายของอวี๋โตัวที ต้องการควบคุมการ พัฒนาอย่างมีชีวิตชีวาของ ‘สานักการทหาร” ในระดับที่แน่นอน
ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อโดยภาพรวมแล้วใต้หล้ายังคงสงบสุข อีก ทั้งกฎระเบียบที่ป๋ ายอจี้จิงตั้งไว้ยังเข้มงวด ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกลมปราณ ที่เรียกได้ว่าเป็ นนกกระเรียนโบยบินอย่างอิสระเหนือก้อนเมฆก็จะมี มากกว่านี้ นอกจากจะฝึกตนแล้วก็มีหลายเรื่องที่ทาได้ เป็ นกิจการ งานใหญ่ที่น่าคาดหวัง
ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องปัดแข้งปัดขากันมากเกินไป เสียเวลาอยู่กับ การแต่งกวี ฝึกเล่นพิณหมากล้อม ภาพวาดและพู่กันจีน เมื่อสงบนิ่ง อย่างถึงที่สุดก็จะอยากเคลื่อนไหว ถึงเวลานั้นก็สามารถท่องพเนจร ไปในใต้หล้า ทิ้งเรื่องเล่าประหลาดและเรื่องราวงดงามแห่งเซียนไว้ยาว เป็ นพรวน
ยกตัวอย่างเช่นฉายา ‘ลวี่ผิง” (จอกแหนสีเขียว) ซึ่งเป็ นหนึ่งใน ฉายามากมายของจูโหม่วเหริน ฟังแรกๆ ไม่รู ้สึกว่าสง่าไพเราะสัก เท่าไร ผลคือพอมีประโยคที่ว่า “เมื่อในใจไร ้พันธะ ก็เป็ นดั่งปลาน้อย กระโดดลอยเหนือจอกแหนเขียว” ก็จะรู ้สึกว่าความหมายแตกต่างไป จากเดิมมากแล้ว
แล้วก็จะมีผู้ฝึกตนจานวนไม่น้อยที่เข้าใจได้ในฉับพลัน ที่แท้คน ที่ศึกษาเล่าเรียน เข้าใจเรื่องบทกวีหรือกลอนเพลงบ้างเล็กน้อย อ่าน ต าราเบ็ดเตล็ดมากหน่อยก็มีประโยชน์มากจริงๆ
จูโหม่วเหรินมีสาวงามคนรู ้ใจอยู่ในจวนเขียนบนภูเขาและยุทธ ภพล่างภูเขามากมาย
และยังมีอีกเรื่องหนึ่งนั่นคือ เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ ายอวี้จิงรู ้สึกมา โดยตลอดว่าตัวเองเป็ นเพื่อนรักของจูโหม่วเหริน
แต่หลายปีมานี้จูโหม่วเหรินกลับพยายามสุดชีวิตที่จะตัดขาด ความสัมพันธ ์กับลู่เฉินแห่งป๋ ายอวี้จิง ไม่ว่าจะเจอใครก็พูดกับพวก เขาแทบทุกคนว่า ข้ากับเจ้าลัทธิลู่ไม่สนิทกันเลยจริงๆ แค่รู ้จักกัน
เท่านั้น บอกว่าเป็ นเพื่อนกันก็น่าจะยังไม่ถูกต้องเสมอไป ยิ่งไม่ต้อง พูดถึงสหายรักอะไรเลย…ผลคือกลับได้ผลลัพธ ์ในทางตรงข้าม ยิ่ง เขาอธิบายก็ยิ่งเป็ นบัญชีเลอะเลือน จูโหม่วเหรินขาดก็แค่ไม่ได้ถูก บีบให้ต้องอาศัยรายงานภูเขาสายน้ามาป่าวประกาศให้คนใต้หล้ารู ้ว่า ตัวเองไม่รู ้จักกับลู่เฉินเท่านั้น