กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1072.2 นั่งดูไฟโหมลามทุ่งหญ้าริมชายฝั่ง
นี่ไม่ใช่ว่าจูโหม่วเหรินเล่นตัวอะไรเลยจริงๆ เป็ นเพราะว่าชื่อเสียง ของเจ้าลัทธิลู่ท่านนั้น…พูดถึงแค่ข้อเดียว เรื่องที่อารามเสวียนตูป่ าว ประกาศแก่ภายนอกว่าขอแค่เป็ นเพื่อนรักของเจ้าลัทธิลู่ก็จะต้องเป็ น แขกสูงศักดิ์ของอารามเสวียนดูพวกเราอย่างแน่นอน
จูโหม่วเหรินยิ้มตาหยี “หม่าฉวีเซียนลูกศิษย์ใหญ่ของเผยเปย ก่อนหน้านี้ไม่นานขอบเขตได้ถดถอยไปแล้ว”
หลินเจียงเซียนคิดแค่ว่าได้ยินเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งเท่านั้น
นี่ก็เหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ในมือมีเงินให้ใช ้เหลือเฟื อ กาลัง ทรัพย์แน่นหนาอย่างที่มิอาจประมาณการณ์ได้ ได้ยินมาว่าเด็กคน ไหนของบ้านข้างๆ ได้ดิบได้ดี หาเงินมาได้ก็เอามาท ากิจการ หรือว่า ไปต่อยตีกับใครข้างนอกจนกลับมาบ้านพร ้อมใบหน้าเขียวจมูกบวม
แน่นอนว่าแค่ฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป
ลูกศิษย์ใหญ่จ้าวเฮ้อชงที่อยู่ข้างกันถามอย่างสงสัยว่า “ผู้อาวุโส ได้ข่าวได้อย่างไร?”
จูโหม่วเหรินยิ้มบางๆ “ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้หรอก คนบนภูเขาย่อม ต้องมีแผนการแยบยลเป็ นของตัวเอง”
ผู้ฝึ กตนของใต้หล้ามืดสลัวคิดอยากจะท าความเข้าใจกับ เรื่องราวและบุคคลของใต้หล้าแห่งอื่น โดยทั่วไปแล้วก็มีช่องทางแค่ สามประเภทเท่านั้น ประเภทแรกคืออาศัยรายงานขุนเขาสายน้าที่ป๋ า ยอวี้จิงแจกจ่ายซึ่งบางครั้งก็จะพูดถึงเรื่องใหญ่บางอย่างของใต้หล้า แห่งอื่น ห้านครสิบสองหอเรือนต่างก็มีรูปแบบความสนใจเฉพาะตัว เมื่อเทียบกันแล้ว นครหนันหัว นครเสินเซียวมักจะค่อนข้างให้ความ สนใจกับข่าวของใต้หล้าไพศาล ส่วนนครและหอเรือนของสายอวี๋โต้ วกลับจะให้ความสาคัญกับเปลี่ยวร ้างมากกว่า
ยกตัวอย่างเช่นภูเขาห้อยหัวที่ก่อนหน้านี้เชื่อมโยงอยู่กับกาแพง เมืองปราณกระบี่ก็คือต้นกาเนิดข่าวสารอย่างหนึ่งที่ดีเยี่ยมที่สุด ป๋ า ยอวี้จิงจะเลือกเอาเฉพาะเรื่องที่ค่อนข้างส าคัญมาบอกกล่าวแก่ใต้
หล้า
นอกจากนี้ก็คืออาศัยการเดินทางไกลข้ามทวีปอย่างซุนไหวจง แห่งอารามเสวียนตู พอหวนกลับมายังบ้านเกิดก็จะเอาเรื่องวงใน บางอย่างกลับมาด้วย ทว่าทุกวันนี้ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใต้หล้ามืด สลัวมีขอบเขตบินทะยานกี่คนที่ “กายอยู่” ในต่างบ้านต่างเมืองกันแน่ นี่กลับเป็ นปริศนามาโดยตลอด เกรงว่านอกจากเจ้าลัทธิทั้งสามท่าน ของป๋ ายอวี้จิงแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าพูดว่าตัวเองมีความมั่นใจใน เรื่องนี้
ประเภทสุดท้ายค่อนข้างจะซ่อนเร ้นอาพราง อีกทั้งยังมีขีดจากัด เยอะมาก นั่นก็คือระบบสืบทอดสามสายของป๋ ายอวี้จิงจะสร ้าง “ส านัก
เบื้องล่าง” ไว้ที่ใต้หล้าไพศาล เหล่าเทียนจวินลัทธิเต๋าที่กว่าจะได้พบ หน้าเจ้าลัทธิของสายต่างๆ ก็ช่างยากราวขึ้นสวรรค์ แต่ละคนจะอาศัย การจุดธูปคารวะในศาลบรรพจารย์ อย่างมากสุดก็ “ถือโอกาส” เอ่ย เรื่องของไพศาลที่ไม่ละเมิดกฎ ไม่ผิดต่อข้อห้ามมาด้วยสองสาม ประโยค
แต่ขอแค่เป็ นเทียนจวินและยอดฝีมือของลัทธิเต๋าแทบทุกคนใน ไพศาลต่างก็จะต้องระมัดระวังในเรื่องนี้กันอย่างยิ่ง ไม่กล้าแพร่งพราย ความลับมากเกินไปนัก
นอกจากนี้หากมีการแพร่งพรายเรื่องลับบางอย่างที่ถูกลัทธิ ขงจื้อมองเป็ นเรื่องต้องห้าม ก็คิดจริงๆ หรือว่าศาลบุ๋นแผ่นดินกลางจะ ไม่สืบเสาะเอาเรื่อง?
หย่าเซิ่ง ซูจื่อ หลิ่วชีและเฉาจู่ที่ออกจากใต้หล้ามืดสลัวกลับบ้าน เกิดกันไปเรียบร ้อยแล้วยังเป็ นแค่ผู้ฝึกตนของไพศาลที่กลายเป็ นหิน ที่ผุดหลังน้าลดแล้วเท่านั้น
ในประวัติศาสตร ์ก็ใช่ว่าจะไม่มีส านักของลัทธิเต๋าในใต้หล้า ไพศาลที่ต้องเงียบเหงาเสื่อมถอยไปเพราะเหตุนี้ และนี่ยังเป็ นเพราะ ศาลบุ๋นจงใจไว้หน้าป๋ ายอวี้จิงแล้วด้วย
พูดถึงแค่หย่าเซิ่ง เพิ่งจะเข้าไปอยู่ศาลบุ๋นได้แค่ไม่กี่ปีก็เคยเป็ น ตัวแทนของศาลบุ๋นออกหน้าชักไช ้กล่าวโทษอารามเต๋ซึ่งเป็ นสานักที่ อยู่ใต้อาณัติของอวี๋โต้วแห่งป๋ ายอวี้จิงในหลิวเสียทวีป หย่าเซิ่งไปถึง
หน้าประตูภูเขาแล้วก็ไม่พูดอะไรไร ้สาระแม้แต่ครึ่งคา ปลดกรอบป้ าย ออกโดยตรง จากนั้นไปที่ศาลบรรพจารย์ เรียกนักพรตทุกคนที่มี เก้าอี้อยู่ในศาลบรรพจารย์ออกมา ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไร กัน คนนอกไม่อาจรู ้ได้ รู ้แค่ว่าท าให้อารามขนาดใหญ่ยักษ์ของลัทธิ เต๋าที่ควันธูปโชติช่วงแห่งหนึ่งต้องกลายเป็ น “พื้นที่ต้องห้าม” ที่ถูก บีบให้ปิดภูเขาภายในค่าคืนเดียวก็แล้วกัน
ว่ากันว่าก่อนที่ป๋ ายอวี้จิงจะรับนักพรตบนท าเนียบของอาราม กลับไปที่ใต้หล้ามืดสลัวก็ไม่อนุญาตให้พวกเขาลงจากภูเขาด้วย สถานะของนักพรตอีก เส้นทางเพียงหนึ่งเดียวในการลงจากภูเขาได้ ก็คือต้องเป็ นฝ่ ายออกจากท าเนียบเต๋าด้วยตัวเอง ไม่ได้เป็ นนักพรต อีกต่อไป ส่วนจะกลายไปเป็ นผู้ฝึกตนอิสระหรือไปเข้าร่วมกับพรรค แห่งอื่นก็ตามแต่ใจ ทางฝั่งของศาลบุ๋นจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย แน่นอนว่า หากใครมีหน้าพยายามจะหลุดพ้นจากท าเนียบเต๋าดีดลูกคิดรางเล็ก คิดว่าสักวันหนึ่งค่อยฟื้นคืนทาเนียบเต๋าของสายป๋ ายอวี้จิงใหม่อีก ครั้ง ศาลบุ๋นก็ไม่ขัดขวางเช่นกัน
เพียงแต่ว่าด้วยนิสัยของอวี๋โต้วบรรพจารย์ของสายนี้แล้ว นักพรตกล้าทาเรื่องประเภทนี้ จุดจบจะเป็ นเช่นไรแค่คิดก็พอจะรู ้ได้
ผลคืออารามเต๋ที่ควันธูปขาดสะบั้นอย่างสิ้นเชิงแห่งนี้ จนถึงทุก วันนี้ก็ยังอยู่ในสภาวะที่นักพรตได้แต่ออกไม่มีเข้ามาใหม่ จาก แรกเริ่มสุดที่มีนักพรตซึ่งได้รับธรรมโองการแปดร ้อยกว่าคน กลาย
มาเป็ นเหลือไม่ถึงสามสิบคนที่ยังประคับประคองกันไปอย่าง ยากล าบาก
มีข่าวลือเล็กๆ อย่างหนึ่งที่แพร่กันเป็ นการส่วนตัวอยู่บนยอดเขา ใช่ว่าเต๋าเหล่าเอ้อจะไม่เคยพิจารณามาก่อน คิดว่านอกจากจะเก็บ ภูเขาห้อยหัวซึ่งเป็ นตราประทับอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าชิ้น นั้นกลับมาแล้ว ยังอยากจะเก็บอารามเต๋าบนภูเขาแห่งนี้มาที่ป๋ ายอวี้ จิงพร ้อมกันด้วย แต่นี่ต้องมีการพูดคุยกับทางศาลบุ๋นของไพศาล เสียก่อน
จากนั้นตรงตีนเขาของอารามเต๋ที่ไม่มีกรอบป้ ายแล้วก็มีอริยะ ปราชญ์ผู้มีเทวรูปของศาลบุ๋นท่านหนึ่งมาปรากฏตัว อีกทั้งที่น่าตะลึง ที่สุดก็คืออริยะปราชญ์แห่งศาลบุ๋นที่ไม่ได้ปรากฏตัวในโลกมนุษย์มา นานแล้วผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของปรมาจารย์มหา ปราชญ์ อีกทั้งยังเป็ นหนึ่งในลูกศิษย์ที่ได้รับความสาคัญมากที่สุดอีก ด้วย
แต่ความลับที่ไม่มีทางมีหลักฐานให้สืบหา แล้วก็มิอาจพิสูจน์ได้ ว่าเป็ นจริงหรือเท็จประเภทนี้ก็ได้แต่เอามาเป็ นกับแกล้มแกล้มเหล้า บนโต๊ะสุราเท่านั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่านี่ต้องเป็ นข่าวที่แพร่มาจาก นักพรตซุนเป็ นคนแรก
หากใครคิดจะไปยืนยันอะไรจากนักพรตซุนก็ต้องได้ยินประโยค หนึ่งกลับมาอย่างแน่นอนว่า อย่าพูดเหลวไหล ผินเต้าไม่เคยพูดจาว่า ร ้ายนินทาใครลับหลัง
จงเซวี่ยเฉวียนไม่ปิ ดบังความรู ้สึกสมน้าหน้าผู้อื่นของตัวเอง แม้แต่น้อย หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “หม่าฉวีเซียนผู้นั้นขอบเขตถดถอยได้ อย่างไร? คงไม่ใช่ว่าเดินผิดท่าขาแพลงหรอกนะ?”
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางของใต้หล้าไพศาล เผยเปยที่ถูก ขนานนามว่าเป็ น “เทพีแห่งการต่อสู้” มีลูกศิษย์สี่คน ได้แก่หม่าฉวี เซียน โต้วเฝิ่นเสีย เลี่ยวชิงอ่าย และเฉาสือ
ส่วนความแตกต่างของลูกศิษย์ระหว่าง “ได้รับการบันทึกชื่อ” และ “ผู้สืบทอด” ไม่ว่าตัวเผยเปยเองจะคิดอย่างไร ถึงอย่างไรโลก ภายนอกต่างก็มองว่าพวกเขาอาจารย์และศิษย์มีวิชาหมัดสาย เดียวกันอยู่แล้ว
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสี่คนเป็ นขอบเขตปลายทางหนึ่งคน ยอดเขาขั้น สมบูรณ์แบบหนึ่งคนและคอขวดเดินทางไกลสองคน
หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น นอกจากเฉาสือแล้ว อีกสามคน ที่เหลือในเมื่อเป็ นขั้นสมบูรณ์แบบหรือไม่ก็คอขวดกันแล้ว ไม่แน่ว่า ใช ้เวลาอีกแค่ไม่กี่ปีก็จะกลายเป็ น “สองปลายทาง สองยอดเขา” แล้ว ก็เป็ นได้
เมื่อเป็ นเช่นนี้ การที่หลินซือสอนลูกศิษย์ออกมาเป็ น “สอง ปลายทาง สองยอดเขา” ก็ออกจะดูด้อยกว่าอยู่บ้าง เพราะถึงอย่างไร ในบรรดาลูกศิษย์ของเผยเปยก็ยังมี “เฉาสือ” อยู่อีกคน
จูโหม่วเหรินเอ่ยโน้มน้าวด้วยความหวังดีว่า “น้องจง นิสัยเสียๆ ที่ ชอบหัวเราะเสียงชวนขนลุกเช่นนี้ของเจ้า หากเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยน เถอะ โดยทั่วไปแล้วมีแต่ตัวร ้ายในนิยายเท่านั้นที่จะหัวเราะเช่นนี้”
ชีฮวาเจียนคลี่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสอย่ามัวอมพะนาอยู่เลย”
สาวงามขอร ้อง จูโหม่วเหรินก็รีบยิ้มบางๆ ตอบทันทีว่า “เฉินอิ่นก วานผู้นั้นไปหาถึงที่ส่วนสาเหตุที่เป็ นรูปธรรมคืออะไร คนภายนอกไม่ รู ้ แต่เอาเป็ นว่าได้ถามหมัดกันไปหนึ่งครั้งต่อยจนหม่าฉวีเซียนไร ้ เรี่ยวแรงให้ตอบโต้เอาคืน อืม ก็เหมือนกับยามที่อาจารย์ของพวกเจ้า ต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันนั่นแหละ”
“น่าเสียดายที่การต่อสู้ครั้งนี้ค่อนข้างจะเร ้นลับ ชื่อเสียงไม่โด่งดัง มากพอ เฉินผิงอันไม่ได้ป่ าวประกาศให้คนภายนอกรับรู ้ หม่าฉวี เซียนก็ยิ่งไม่พูดถึงเรื่องนี้ ในเมื่อคนในเหตุการณ์ทั้งสองฝ่ ายต่างก็ไม่ พูด คนภายนอกก็ได้แต่คาดเดากันเอาเท่านั้น”
“ศึกเขียวขาวครั้งถัดมา พวกเจ้าทุกคนแม้กระทั่งป๋ ายโอ่ว ดู เหมือนว่าต่างก็เห็นดีในตัวเฉาสือมากกว่า แต่ข้ากลับไม่เหมือนกัน”
จงเซวี๋ยเฉวียนเอ่ยด้วยน้าเสียงอิจฉา “วันๆ ศิษย์พี่หญิงชีเอาแต่ พร่าพูดถึงเฉาสือผู้นั้นไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็ดีไปเสียหมด ข้าไม่เชื่อ
เลยจริงๆ ว่าใต้หล้าจะมีคนสมบูรณ์แบบที่ทั้งฝี มือในการต่อสู้ ทั้ง พฤติกรรม ทั้งบุคลิกการกระทาล้วนไร ้ข้อบกพร่องเช่นนี้”
นับรวมกันแล้วมีคนร่วมสานักอยู่แค่สามคน ผลคือทั้งศิษย์พี่ หญิงและศิษย์น้องหญิงต่างก็เห็นดีในตัวเฉาสือ ศิษย์น้องหญิงยังดี เห็นดีในเรื่องหมัดที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมองผู้ฝึกยุทธด้วยกัน แต่ศิษย์พี่
หญิงซีกลับดีนัก นางมองแค่หน้าตาเท่านั้น
อยู่ที่สวนกงเต๋อศาลบุ๋นแห่งนั้น คนวัยเดียวกันสองคนเคยมี “ศึก เขียวขาว” ภายใต้สายตาจับจ้องของคนมากมาย
ในใต้หล้ามืดสลัวแห่งนี้ แม้จะบอกว่าทุกคนต่างก็เคยได้ยินกัน มาก่อน แต่กลางภูเขาก็มีความคิดเห็นของกลางภูเขา บนยอดเขาก็ มีความคิดเห็นของบนยอดเขา และบนยอดเขาก็แบ่งออกอีกเป็ นสอง กลุ่ม แต่ละกลุ่มต่างก็ยึดมั่นในความคิดของตัวเอง มีผู้ฝึกตนใหญ่ รู ้สึกว่าเฉาสือนาห่างไม่เห็นฝุ่ น ทิ้งระยะห่างบนวิถีวรยุทธจากเฉินผิง อันที่อยู่เบื้องหลังไปไกลมากแล้วก็มีผู้ฝึกตนส่วนน้อยที่รู ้สึกว่าเฉินผิง อันมีโอกาสที่จะเป็ นคนมาทีหลังแต่นาไปเบื้องหน้าแซงเฉาสือไปได้ ด้วยการเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบเอ็ดได้เร็วกว่า
จูโหม่วเหรินหันไปส่งสายตาให้จงเซวี๋ยเฉวียน พวกเราสองพี่ น้องมีรสนิยมเดียวกันเลยนะ
จงเซวี๋ยเฉวียนยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาดเต็มปาก
จูโหม่วเหรินมีคาพูดยอดเยี่ยมมากมายที่แพร่หลายเป็ นวงกว้าง
ยกตัวอย่างเช่นมีบางคนต้องทนมองเทพธิดาที่ตัวเองชื่นชอบ แต่งงานไปเป็ นภรรยาของผู้อื่น ก็จะอดถอนหายใจด้วยความเสียดาย ที่อีกฝ่ ายออกเรือนแล้วไม่ได้ จูโหม่วเหรินก็จะเอ่ยปลอบใจว่า แต่งงานแล้วก็ไม่ใช่ว่าดียิ่งกว่าเดิมอีกหรอกหรือ?
และยังมีคาพูดสัปดนทานองว่า “หนึ่งต่อสอง ไม่เคยพ่ายแพ้มา
ก่อน” ที่ยิ่งมีมากมายเป็ นกระบุงโกย
แน่นอนว่าจูโหม่วเหรินปฏิเสธทุกครั้ง ไม่ ข้าไม่เคยพูดอะไรแบบ นี้แน่นอน
จงเซวี่ยเฉวียนใช ้หางตาเหลือบมองจูโหม่วเหริน อดไม่ไหวรวม เสียงให้เป็ นเส้นพูดคุยกับชีฮวาเจียนอย่างลับๆ ว่า “ศิษย์พี่หญิง ระวัง หน่อยนะ ไอ้หมอนี่มีแต่ความคิดชั่วร ้ายอยู่เต็มท้อง เขาหมายตาท่าน มาไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว แล้วเขายังเป็ นพวกที่พอขยับเข็มขัดได้ก็ เปลี่ยนสีหน้าทันทีด้วย มีสาวงามคนรู ้ใจกลุ่มใหญ่ นับอย่างไรก็นับไม่ ไหว”
จูโหม่วเหรินหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ข้าเห็นเจ้าเป็ นพี่น้องที่รัก ของตัวเอง แต่เจ้ากลับเห็นพี่น้องเป็ นของบรรณาการพิสูจน์ใจอย่างนี้ หรือ?!
การถามหมัดครั้งหนึ่งที่ผลแพ้ชนะไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น
กู่แย่นเกอติดอันดับหนึ่งในสิบคนในการประเมินวรยุทธของใต้ หล้า หากไม่กดขอบเขตต่อสู้กับซ่งเยว่ที่ยังเป็ นแค่ขอบเขตยอดเขา หากยังมีอะไรให้ต้องลุ้นอีกก็แปลกแล้ว
อาจารย์ออกปากแล้ว ซ่งเยว่จึงไม่กล้าเก็บออมฝีมือใดๆ ไว้ ทั้ง วิชาหมัดที่เป็ นวิชาลับของยาซานและกระบวนท่าหมัดที่บรรลุได้ด้วย
ตัวเอง ล้วนถูกร่ายใช ้ออกมาหมด
น่าเสียดายที่ก็ยังมีระยะห่างจากกู่แย่นเกออย่างชัดเจน ซ่งเยว่ที่ ฝีมือสู้คนอื่นเขาไม่ได้สุดท้ายถูกกู่แย่นเกอปล่อยหมัดต่อยเข้าที่หัวใจ ร่างถอยกรูดออกไปหลายจั้ง ซ่งเยว่ที่จิตใจเด็ดเดี่ยวมาตั้งแต่กาเนิด ฝืนดึงปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นเอาไว้ กระทืบเท้าลงพื้น เรือน กายโงนเงน หมายจะกุมหมัดคารวะกลับคืน แต่พริบตานั้นเลือดสด กลับไหลทะลักออกมาจากทวารทั้งเจ็ด ถึงกับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่ คาเดียว คิดจะยกมือขึ้นมายังยากลาบาก
ชีฮูหยินเอ่ยอย่างขาๆ ปนฉุน “นังหนูผู้นี้ แพ้ก็แพ้แล้ว ยังจะฝืน อวดเก่งอะไรอีก ไม่กลัวว่าจะทิ้งโรคแฝงไว้ภายหลังจริงๆ หรือไร!”
จ้าวเฮ้อชงกล่าว “ยังมีอีกครึ่งหมัด”
กู่แย่นเกอที่ยืนอยู่ใจกลางลานฝึกวรยุทธด้วยท่วงท่าองอาจเปี่ยม ด้วยชีวิตชีวาสูดลม หายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เอามือจับผมเปี ยที่อยู่ ด้านหลังอ้อมมาด้านหน้า
ชั่วขณะนั้นซ่งเยว่ก็ทรุดฮวบลงกับพื้น
ที่แท้ลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธที่เหลืออยู่ในร่างของซ่งเยว่ก็ กระแทกชนไปตามเส้นชีพจรส าคัญหลายเส้นในร่างกายของนาง กะทันหัน ท าให้ซ่งเยว่หมดสติไปทันที
จงเซวี่ยเฉวียนตกตะลึงอยู่บ้าง นี่จะหมายความว่าขอแค่หมัดของ กู่แย่นเกอสัมผัสโดนร่างก็จะทิ้งภัยแฝงไว้ในเรือนกายของผู้ฝึกยุทธที่
ถูกถามหมัดหรือไม่?
หากว่ากู่แย่นเกอลงมืออ ามหิตคิดสังหารกันจริงๆ เรือนกายของ ศิษย์น้องหญิงจะไม่ระเบิดเหมือนประทัดเลยหรอกหรือ?
ความคิดของจูโหม่วเหรินมักจะแหวกแนวไม่เหมือนคนอื่นเสมอ เขามองผมเปียที่ห้อยอยู่เบื้องหน้าของคู่แย่นเกอซึ่งเป็ นดั่งน้าในลา ธารเส้นหนึ่งที่ไหลผ่านระหว่างร่องยอดเขาสองยอดที่คุมเชิงกันอยู่
นี่ก็คือเอกลักษณ์ของวิชาหมัดกู่แย่นเกอแล้ว บรรพบุรุษของนาง เป็ นเจ้าหน้าที่ชันสูตรมาทุกรุ่น นอกจากที่นางจะสืบทอดวิชาประจ า ตระกูลแล้ว ขอแค่ที่ใดมีสนามรบ นางก็จะวิ่งไปที่นั่นเสมอ กู่แย่นเกอ ยังเชี่ยวชาญการเพ่งพิศภายใน อายุไม่มากก็แบ่งแยกเส้นเอ็น เส้น ชีพจรและกระดูกของร่างกายมนุษย์ออกมาเป็ นเทือกเขา สายน้า และ มองช่องโพรงลมปราณเป็ นทะเลสาบ ตั้งชื่อให้อย่างละเอียดจน กลายเป็ นระบบขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นในความเห็นของจูโหม่วเห ริน นี่ต่างหากจึงจะเป็ นปรมาจารย์ด้านการเรียนวรยุทธที่เดินจนได้ เส้นทางของตัวเองอย่างแท้จริง ส่วนฉีกวาน อวี๋ฉิงปรมาจารย์แห่ง ภูเขาปิงเจี่ยที่มีชื่อติดกระดานเช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่มักจะอาศัยการ
สืบทอดทางส านักและพรสวรรค์มากกว่าระยะห่างระหว่างพวกเขากับ กู่แย่นเกอ ไม่ได้อยู่ที่อันดับรายชื่อที่ห่างกันหนึ่งหรือสองชื่อ แต่อยู่ที่ ความสูงส่งยาวไกลของ “เส้นทางการเรียนวรยุทธ” และยิ่งอยู่ที่ระดับ ความลึกซึ้งในการศึกษาวรยุทธ
กู่แย่นเกอกุมหมัดเอ่ย “ล่วงเกินแล้ว”
ตามคากล่าวของจูโหม่วเหริน หลินซือเป็ นคนที่พิถีพิถันในเรื่อง มารยาทและความยุติธรรมมากที่สุด เจ้ายอมเดินทางไกลผ่านหลาย มณฑลมาอย่างไม่สนความยากล าบากเพื่อมาสอนหมัดให้กับซ่งเยว่ ที่ยาชาน เขาที่เป็ นอาจารย์ต้องมีของขวัญตอบแทนกลับคืนให้อยู่ แล้ว
หลินเจียงเซียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “การถามหมัดต่อจากนี้ให้เปลี่ยน วิธีใหม่ กู่แย่นเกอกับชีฮวาเจียนร่วมมือกัน จ้าวเฮ้อชงร่วมมือกับจง เซวี๋ยเฉวียน หากมีใครล้มไปคนหนึ่งก็ถือว่าแพ้”
คนทั้งสี่นี้มีเพียงจงเซวี๋ยเฉวียนเท่านั้นที่เป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขต ยอดเขา
ดังนั้นกู่แย่นเกอจึงขมวดคิ้วน้อยๆ
ถึงกับไม่ใช่ให้ตนร่วมมือกับจงเซวี๋ยเฉวียนหรือ?
นี่ไม่ได้จะบอกว่าวิชาหมัดของจ้าวเฮ้อชงสูงกว่าตนหรือไร?
จูโหม่วเหรินปรบมือยิ้มเอ่ย “ดีๆ เป็ นสถานการณ์อันรุ่งโรจน์ของ การเรียนวรยุทธที่ร ้อยปีก็ยากจะพานพบจริงๆ”