กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1072.3 นั่งดูไฟโหมลามทุ่งหญ้าริมชายฝั่ง
ชีฮูหยินลุกขึ้นยืน พริบตานั้นราวกับกลายไปเป็ นคนละคน
นางกามือหนึ่งเป็ นหมัดหลวมๆ หักข้อต่อของนิ้วทั้งห้าเบาๆ
จ้าวเฮ้อชงมีสีหน้าเป็ นปกติ เขากุมหมัดแสดงความเคารพต่อ อาจารย์ก่อน จากนั้นจึงเดินช ้าๆ ไปยังลานประลองยุทธ
จงเซวี๋ยเฉวียนสอดสิบนิ้วของสองมือเข้าด้วยกัน บิดคอ ยิ้มตา หยีเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หญิงชี โอกาสหาได้ยาก บอกไว้ก่อนนะว่า หมัด ต่อยเท้าเตะ ต่อยไปโดนตรงไหนก็ได้ แต่อย่าโดนต้นก าเนิดสายสกุล เด็ดขาด!”
ชีฮูหยินยิ้มบางๆ “ได้เลย ถึงอย่างไรก็ต้องได้ดื่มสุรามงคลของ ศิษย์น้องก่อน”
นาง “ปลุก” ซ่งเยว่ศิษย์น้องหญิงที่นอนกองอยู่บนพื้นให้ตื่นก่อน อันที่จริงก็คือการใช ้หมัดสลายท่วงทานองปณิธานหมัดที่เหลืออยู่ ของกู่แย่นเกอทิ้งไป จากนั้นประกบสองนิ้วเคาะไปตามจุดต่างๆ บน ร่างกายของซ่งเยว่รอบหนึ่ง ขับไล่ปณิธานหมัดเล็กถี่ที่เหมือนสาย พิณกระจายตัวกันอยู่ตามจุดต่างๆ ของร่างกายศิษย์น้องให้ไปอยู่ใน ‘รากภูเขาและสายน้าไหล” ที่ไม่สาคัญ ต่อจากนี้ควรจะจัดการ “โจร ร ้าย” ที่ก่อความวุ่นวายพวกนี้อย่างไรก็ต้องให้ซ่งเยว่ปรับลมปราณ ด้วยตัวเองแล้ว
ซ่งเยว่หน้าซีดขาวราวกับหิมะ โซเซเดินกลับไปที่เดิม จูโหม่วเห รินรีบพูดไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้ทันทีว่า “อันที่จริงแม่นางซึ่งแพ้ไม่ มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนท่าหมัดที่เจ้าคิดค้นด้วยตัวเอง แพ้ แค่ที่ขอบเขตเท่านั้น….”
ซ่งเยว่แสร ้งท าเป็ นไม่ได้ยิน
หลินเจียงเซียนมองลูกศิษย์คนเล็ก
ซ่งเยว่รีบหันไปกุมหมัดขอบคุณจูโหม่วเหรินทันที
หลินเจียงเซียนกล่าว “ตั้งใจดูหมัดไปก่อน หลังจากนี้ตอนที่ต้อง พักรักษาตัวก็คิดให้มากๆ ใคร่ครวญให้กระจ่างว่าแพ้ตรงไหนกันแน่ จุดใดที่คิดแล้วไม่เข้าใจก็ไปขอความรู ้จากกู่แย่นเกอ สามวันต่อจาก นี้เจ้าค่อยถามหมัดกับจ้าวเฮ้อชงอีกครั้ง เปลี่ยนสถานะกัน เจ้าลอง เลียนแบบกระบวนท่าหมัดของกู่แย่นเกอดู”
ซ่งเยว่ตอบรับอย่างว่าง่าย “อาจารย์ ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”
จูโหม่วเหรินอิจฉายิ่งนัก ไฉนตนไม่มีลูกศิษย์ที่รู ้ความแบบนี้บ้าง นะ
คุณสมบัติด้านการเรียนวรยุทธข้อที่ดีที่สุดของซ่งเยว่นั้นอยู่ที่คา ว่า “ขโมย”
หากจะพูดให้น่ าฟังหน่ อยก็คือเลียนแบบกระบวนท่าหรือ แม้กระทั่งปณิธานหมัดของปรมาจารย์คนอื่นๆ
หลินเจียงเซียนกล่าว “ก่อนจะลงจากภูเขา ข้าเคยบอกให้เจ้าใส่ ใจสามเรื่อง มนุษย์ธรรมดาที่ไม่เคยเรียนหมัด ลูกศิษย์ฝ่ ายนอก ขอบเขตหลอมเรือนกายที่เพิ่งจะเรียนหมัด กับผู้ฝึ กยุทธขอบเขต หลอมลมปราณที่พอจะฝึกหมัดประสบความส าเร็จบ้างเล็กน้อย ท า ความเข้าใจได้บ้างแล้วหรือยัง?”
ซ่งเยว่เอ่ยอย่างใจฝ่ อ “อาจารย์ ข้าเคยอ่านแล้ว อ่านอย่าง ละเอียดมากแล้ว แต่ว่ายังคงขบคิดไม่เข้าใจอยู่ดี”
หลินเจียงเซียนกล่าว “มนุษย์ธรรมดา ร่างกายมีกล้ามเนื้อที่แข็ง เกร็ง หากใช ้ค ากล่าวของปรมาจารย์วิชาหมัดที่เป็ นผู้เชี่ยวชาญก็คือ ตอนเดินถือว่าเป็ นการ “ฝืนทน” เพราะว่ามนุษย์ธรรมดา “ปราณขุ่น มัว” แยกความใสกับความขุ่นออกจากกันไม่ได้ เป็ นเหตุให้ลมปราณ ปะปนกันวุ่นวาย ขอบเขตหลอมเรือนกายซึ่งเป็ นช่วงต้นของการเรียน วิชาหมัดไปจนถึงขอบเขตหลอมลมปราณ ลมปราณขุ่นมัวกลายเป็ น ใสสะอาด นุ่มนวลขึ้นตามวันเวลานี่มีความคล้ายคลึงกับผู้ฝึ ก ลมปราณที่แสวงหาความเป็ นอมตะไม่เสื่อมสลาย แสวงหาการโบย บิน ‘ตัวเบา”
อะไรคือ “วิชาความรู ้ประจ าตระกูล” การถ่ายทอดผ่านปากเปล่า และถ่ายทอดทางใจ? ก็คือสิ่งนี้นี่เอง
เห็นว่าแม่นางซึ่งยิ่งฟังยิ่งสับสน จูโหม่วเหรินที่ทนเห็นสตรีน้อย เนื้อต่าใจไม่ได้มากที่สุดจึงได้แต่เป็ นฝ่ ายเปิ ดปากเอ่ยเตือนว่า “หลักการเดียวกัน ความรู ้สึกที่หลินซือต้องการให้เจ้าจดจ าได้อย่าง
แท้จริงก็คือระหว่างการที่…ตัวอ่อนยวบไปหลังจากที่ถูกครึ่งหมัดของ กู่แย่นเกอซึ่งแฝงอยู่บนร่างของเจ้า “กระแทกใส่” การยืดขยายของ เรือนกายที่แทบจะใกล้เคียงกับขีดสุดเช่นนี้ ต่อให้จะถูกบีบให้ต้อง รู ้สึก แต่หากผู้ฝึกยุทธสามารถคว้าจับมันไว้ได้อย่างแม่นย า หลังจาก นั้นก็เลียนแบบอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะถามหมัดกับคนอื่นแล้ว ตัว ของเจ้าเองยังอยู่ในสภาวะลี้ลับที่แทบจะใกล้เคียงกับความเป็ น ธรรมชาติเช่นนี้ ก็คือผลประโยชน์ที่ไม่มีใครรู ้ คล้ายคลึงกับการหวน คืนสู่ความจริงของผู้ฝึกลมปราณ แกรงว่านี่น่าจะเป็ นความตั้งใจที่ ใหญ่ที่สุดของกู่แย่นเกอในการสอนหมัดให้กับเจ้า”
หลินเจียงเซียนพยักหน้า
จูโหม่วเหรินบิดหมุนพัดพับที่อยู่ในมือ “แม่นางซึ่ง นอกจากนี้ยัง ต้องใส่ใจกับค ากล่าวว่า “ปะปนกัน” ที่หลินซือพูดถึงด้วย นี่คือความรู ้ ใหญ่คือขอบเขตใหญ่เชียวนะ ส่วนความรู ้ที่เป็ นรูปธรรมนั้นอยู่ ตรงไหน ถึงอย่างไรข้าผู้แซ่จูก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว บอกไม่ถูก รู ้แค่ ว่าหลินซือชี้แนะวิชาหมัด ส่วนใหญ่แล้วทุกคาพูดล้วนมีเป้ าหมาย เสมอ”
ซ่งเยว่สังเกตขั้นตอนการถามหมัดที่ลานประลองยุทธอย่าง ละเอียดพลางรับฟังค าสอนจากอาจารย์และคาชี้แนะจากจูโหม่วเหริน อย่างตั้งใจไปด้วย
บนลานประลองยุทธ ทั้งสี่คนต่างก็เป็ นลูกรักแห่งสวรรค์ เป็ น ปรมาจารย์วิถีวรยุทธอย่างสมชื่อ
การถามหมัดที่ค่อนข้างจะหาได้ยากครั้งนี้ของพวกเขา อันที่จริง เป็ นจ้าวเฮ้อชงที่คอยปกป้ องจงเซวี๋ยเฉวียน กู่แย่นเกอและชีฮูหยิน เป็ นทั้งปรมาจารย์ขอบเขตเดียวกัน แล้วก็เป็ นทั้งเพื่อนรักกันมานาน หลายปี จึงร่วมมือกันได้อย่างไร ้ช่องโหว่
กู่แย่นเกอที่ยึดครองยอดเขาผีผาในโยวโจวแต่ไม่เปิดภูเขาก่อตั้ง พรรค อยู่ในอันดับที่แปดบนวิถีวรยุทธในใต้หล้า ลาดับรายชื่อสูง กว่าอวี๋ฉิงแห่งภูเขาปิงเจี่ยอยู่หนึ่งขั้น อายุที่แท้จริงไม่มีใครรู ้
นางกับชีฮวาเจียนลูกศิษย์คนที่สองของหลินเจียงเซียนมีวาสนา ได้พบกันในยุทธภพพวกนางเป็ นเพื่อนรักกันมานานหลายปี ทุกครั้ง ที่ชีฮูหยินออกเดินทางไกลก็จะต้องแวะไป เยือนยอดเขาผีผาเสมอ
จ้าวเฮ้อชงรู ้สึกว่าการที่ผู้อาวุโสจูมาเป็ นแขกที่ยาซานก็เพื่อช่วย สานสัมพันธ ์ให้กับคู่แย่ นเกอ มาขอความรู ้ด้านวิชาหมัดจากอาจารย์ แล้วก็ถือโอกาสนี้มาพบศิษย์น้องหญิงรองและศิษย์น้องหญิงเล็กไป ด้วย
ขีฮวาเจียนคือนักจับดาบคนหนึ่ง ใช ้วิธีเรียนวรยุทธแบบเดียวกับ ผู้ฝึ กยุทธชีกู่แห่งราชวงศ์ชิงเสิน พูดง่ายๆ ก็คือหมัดเดินไปบน เส้นทางสุดโต่ง เอาไว้ใช ้สังหารผู้ฝึกลมปราณโดยเฉพาะ
ดังนั้นจึงมักจะมีคนเอ่ยหยอกเย้าชีกู่เป็ นประจาว่าเจ้าใช่ญาติ ห่างๆ ของชีฮูหยินหรือไม่ชีกู่ก็จะเอ่ยคล้อยตามไปประโยคหนึ่งว่า ข้า ก็อยากจะกอดขาใหญ่ของนางเหมือนกันนะ
สตรีที่น่ามองกับสตรีที่น่ามอง หากมาเดินอยู่ด้วยกัน เกินครึ่งก็ ต้องใช ้วิธีลบ
แต่หากใช ้วิธีบวก ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าสตรีน่ามองสอง คนนี้น่ามองอย่างแท้จริง
บนลานประลองยุทธ น่าสงสารจงเซวี๋ยเฉวียนที่ได้แต่ร ้องโอด โอยไม่หยุด จ าไม่ได้แล้วว่าโดนมือมีดของศิษย์พี่หญิงชีไปกี่ครั้ง รสชาติเช่นนั้นเหมือนกับถูกคนใช ้มีดค่อยๆ กรีดเถือเส้นเอ็นและเนื้อ อย่างไรอย่างนั้น
บวกกับที่ศิษย์พี่ใหญ่จ้าวเฮ้อชงมักจะปล่อยหมัดมาบนร่างเขา เป็ นระยะ เพื่อช่วยสลายปณิธานหมัดที่ซ่อนแฝงซึ่งกู่คู่แย่นเกอทิ้งไว้ บนร่างของจงเซวี๋ยเฉวียนให้ตลอดเวลา
จูโหม่วเหรินวิจารณ์ว่า “น้องจงใช ้ได้เลยนี่นา มองดูเหมือนหนึ่ง รุมสาม ขอบเขตยอดเขาคนเดียวกลับสามารถท้าทายขอบเขต ปลายทางสามคนได้ หากเล่าลือออกไปก็จะเป็ นเรื่องเล่าที่งดงามเรื่อง หนึ่งเลยนะ”
จ้าวเฮ้อชงยื่นมือไปรับศีรษะด้านหนึ่งของจงเซวี๋ยเฉวียนเอาไว้ ฝ่ ายหลังร่างปลิวกระเด็นออกไปในชั่วพริบตา ส่วนจ้าวเฮ้อชงนั้นต้อง แลกหมัดกับชีฮวาเจียน จากนั้นถูกคู่แย่นเกอใช ้สองนิ้วทาท่ามุทรา กระบี่ประหลาดจิ้มไปบนจุดสุ่ยทูบนลาคอของจ้าวเฮ้อชง เท่ากับว่า เขาช่วยต้านเคราะห์ให้กับจงเซวี๋ยเฉวียน จุดลมปราณนี้เป็ น
จุดส าคัญ ในการเรียนวรยุทธจะเรียกว่าตาแหน่งน้าฟ้ า ถูกเรียกขาน ว่าเป็ นประตูสวรรค์เล็ก ความหมายคือลมปราณที่แท้จริงตรงส่วนนี้จะ เหมือนน้าเดือดพล่านที่ปล่อยไอน้าลอยขึ้นไปบนฟ้ า ทาการ เชื่อมโยงฟ้ ากับดินเข้าด้วยกัน เป็ นกลไกในการเปิดและปิด เพียงแต่ ไม่รู ้ว่าจ้าวเฮ้อชงใช ้เวทลับวิชาหมัดอะไรถึงกับสามารถแบ่งลมปราณ บริสุทธิ์เส้นหนาใหญ่เส้นหนึ่งออกมาแล้วสยบข่มภาพเหตุการณ์ ประหลาดที่เลือดลมเป็ นเหมือนน้าเดือดก่อนแล้วค่อยจับตัวเป็ น น้าแข็งนั้นไว้ได้ในเสี้ยววินาที เส้นทางของลมปราณที่แท้จริงกลับมา โปร่งโล่งได้อีกครั้ง
เมื่อครู่นี้แลกหมัดกับชีฮวาเจียน จุดชื่อตู้บนแขนก็ถูกพายุหมัด ของนาง “เช็ดปาดผ่านไป จ้าวเฮ้อชงกัดฟันแน่น เพื่อให้เป็ น ของขวัญตอบแทนกลับคืน เขาไม่ถอยหนี กลับกันยังบุกรุดหน้า เรือนกายพลันเพิ่มความเร็วขยับไปข้างหน้า ใช ้ศอกถองใบหน้า ด้านข้างของชีฮวาเจียนที่กาลังถอยร่น ต่อยจนศีรษะของศิษย์น้อง หญิงคนนี้เหวี่ยงสะบัด ดวงตาของชีฮวาเจียนมีเส้นเลือดฝอยผุดเต็ม ดวงตา เส้นเอ็นเขียวปูดโปนบนหน้าผาก โชคดีที่ไม่ได้ถูกโจมตี เปล่าๆ กู่แย่นเกอยังคงใช ้สองนิ้วประกบเป็ นนิ้วกระบี่อีกครั้ง นางลงมือ ไวมาก ไล่แตะไปตามจุดเสินเต้า หลิงไถ จื้อหยางสามจุดบนแผ่นหลัง ของจ้าวเฮ้อชง จากบนลงล่าง ทยอยแตะไล่มาตามล าดับ ทว่าพลัง อานาจนั้นกลับยิ่งใหญ่ประดุจการตีระฆังในอารามเต๋า…
จงเซวี๋ยเฉวียนที่เป็ นคนนอกสถานการณ์รู ้สึกขนหัวลุก กู่แย่นเก อกล้าลงมือเสียจริง! หากเปลี่ยนมาเป็ นตนที่เจอกับการ “แตะ” สามที นี้จะไม่ขอบเขตถดถอยโดยตรงเลยหรือ?
อันที่จริงคนที่ต่อสู้หนึ่งต่อสามอย่างแท้จริงต้องเป็ นจ้าวเฮ้อชงถึง จะถูก เพราะตามกฎของหลินซือแล้ว จงเซวี๋ยเฉวียนศิษย์น้องคนนี้ก็ คือตัวภาระ มีแต่จะท าให้จ้าวเฮ้อชงออกหมัดได้ไม่สะดวก
แน่นอนว่าจ้าวเฮ้อชงจะเดิมพันก็ได้ เดิมพันว่าก่อนที่กู่แย่นเก อหรือไม่ก็ชีฮวาเจียนจะซัดให้จงเซวี๋ยเฉวียนลงไปนอนหมอบ เขาจะ สามารถซัดพวกนางคนใดคนหนึ่งให้หมอบก่อนได้เร็วกว่า แต่ปัญหา นั้นอยู่ที่ว่าพวกนางต่างก็เป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง อีกทั้งยังมี จิตใจที่เชื่อมโยงถึงกันเป็ นอย่างดี ทั้งสองฝ่ ายร่วมมือกันได้อย่างรู ้ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์น้องหญิงชีที่เป็ นคนจับดาบ เรือนกายของ นางแข็งแกร่งผิดจากคนปกติทั่วไป ต่อให้เป็ นจ้าวเฮ้อชงก็ยังไม่กล้า พูดว่าเรือนกายของตัวเองจะต้องมั่นคงกว่าชีฮวาเจียนเสมอไป
แน่นอนว่าสาเหตุที่สาคัญที่สุดยังคงเป็ นการประลองฝีมือครั้งนี้ที่ เป็ นแค่การประลองฝีมือเท่านั้นจริงๆ
ผลลัพธ ์สุดท้ายก็คือจ้าวเฮ้อชงถูกกู่แย่นเกอและชีฮวาเจียน ร่วมมือกันชัดจนร่วงไปกองอยู่กับพื้น แม้ว่าจะแพ้ แต่กลับไม่ได้ สภาพกระเซอะกระเชิงขนาดนั้น ลมปราณของจ้าวเฮ้อชงยังคงหนัก แน่นมั่นคง เขายื่นมือไปตบพื้นเบาๆ แล้วพลิ้วกายหยุดยืนนิ่ง
กลับเป็ นจงเซวี๋ยเฉวียนที่รู ้สึกเพียงว่าร่างทั้งร่างแทบจะแยกออก จากกันเต็มทีแล้ว
หลินเจียงเขียนพยักหน้า “พอได้แล้ว”
คนทั้งสี่กลับมายังที่นั่งของตัวเอง กู่แย่นเกอยื่นมือไปกาผมเปียที่ ห้อยระอยู่เบื้องหน้าเบาๆ ปรับลมหายใจให้เข้าที่
นางเหลือบมองจ้าวเฮ้อชง ไม่เสียแรงที่เป็ นลูกศิษย์คนแรกของ หลินซือ
ชีฮวาเจียนยื่นมือไปจัดระเบียบเส้นผมตรงจอนหูและเสื้อผ้า เมื่อ ครู่นี้มีหลายหมัดของศิษย์พี่จ้าวที่ไม่เห็นแก่มิตรภาพของคนร่วม ส านักเลยจริงๆ
จงเซวี๋ยเฉวียนแยกเขี้ยว ชื่อเสียงของวีรบุรุษที่สั่งสมมานานต้อง ถูกท าลายลงภายในวันเดียว คาดว่าต่อจากนี้ทั้งปีคงต้องถูกศิษย์น้อง หญิงซ่งหยอกเย้าแก้เบื่อแน่ๆ
ซ่งเยว่ดวงตาเป็ นประกายเจิดจ้า “ศึกเขียวขาวของใต้หล้า ไพศาลครั้งนั้น น่าเสียดายที่ไม่อาจได้เห็นการถามหมัดบนยอดเขา ครั้งนี้กับตาตัวเอง”
เรื่องเล่าลือเกี่ยวกับเฉาสือ นางได้ยินได้ฟังมาจนหูชาแล้วจริงๆ
บวกกับอิ่นกวานหนุ่มที่ชื่อเสียงโด่งดังในเวลาอันสั้น คราวนี้ดีนัก มีคนรุ่นเดียวกันที่เป็ นคู่ต่อสู้ได้เพิ่มมาอีกคนหนึ่งแล้ว
ก็ไม่ถือว่าเป็ นคู่ต่อสู้อะไร ก็แค่เป้ าหมายที่ชีวิตนี้นางต้องแซงไป ให้ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ได้ยินมาว่าพวกเขาได้เลื่อนเป็ นชั้นคืนความ จริงของขอบเขตปลายทางกันแล้ว
นางมิอาจจินตนาการได้เลยว่า ผู้ฝึกยุทธสองคนที่อายุเท่ากับตน จะมีขอบเขตสูงได้ถึงเพียงนี้ และภาพบรรยากาศของวิชาหมัดก็จะ
ยิ่งใหญ่ได้ถึงเพียงนี้! กู่แย่นเกอพยักหน้า
นางคิดว่าหากต้องถามหมัดกับเฉาสือ ตัวเองต้องแพ้อย่างไม่ต้อง สงสัย
แต่ถ้าเป็ นเฉินผิงอันที่พ่ายแพ้ให้กับเฉาสืออยู่หลายครั้ง นางก็
น่าจะลองดูได้?
น้าเสียงของชีฮูหยินหวานตามธรรมชาติ มีความอ่อนนุ่มเฉพาะ ตัวอย่างหนึ่ง นางเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงอย่างไรเฉาสือก็หล่อเหลา”
จ้าวเฮ้อชงยิ้มเอ่ย “ปณิธานหมัดของเฉาสือเที่ยงตรงราบเรียบ ไร ้ ช่องโหว่ให้โจมตี ก็เหมือนเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวเล่นหมาก ล้อมกับคนอื่นที่ไม่เคยมีฝี มือเทพเซียนอะไรผู้ฝึ กยุทธที่ต้อง เผชิญหน้าเป็ นศัตรูกับอีกฝ่ าย คาดว่าคงจะสิ้นหวังกันอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันที่อายุมากกว่า วางเม็ด หมากไปมาก็มีแต่การยอมอ่อนข้อให้ ทั้งสิ้นหวังทั้งน่าเบื่ออย่าง
แท้จริง อีกทั้งถูกลิขิตมาแล้วว่าจะไม่มีทางเรียนรู ้จิตวิญญาณแห่ง วิชาหมัดของเฉาสือมาได้”
“ย้อนกลับมามองเฉินผิงอัน วิชาหมัดของเขาเรียกได้ว่าเข้าขั้น ช านาญ ผสานรวมข้อดีของปรมาจารย์ร ้อยส านักเอาไว้ด้วยกัน เหมือนกินข้าวร ้อยบ้านมาตลอดเส้นทาง ถึงกับเอามาหลอมอยู่ใน
เตาเดียวกันได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
“หากมีโอกาสในการถามหมัดสองครั้งพร ้อมกัน แต่ต้องเลือกแค่ ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะต้องท้าทาย…เฉาสือให้ได้!”
ซ่งเยว่ถามอย่างสงสัย “ศิษย์พี่ใหญ่ ทาไมถึงเป็ นแบบนี้ล่ะ?”
จ้าวเฮ้อชงยิ้มบางๆ “แพ้ให้กับเฉาสือ แพ้ก็คือแพ้ ถูกลิขิตมาแล้ว ว่าจะเรียนรู ้อะไรไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเรียนรู ้ แพ้ให้เขาไม่ขาย หน้า แต่หากต้องประลองฝีมืออย่างจริงจังกับเฉินผิงอัน ไม่ว่าจะแพ้ หรือชนะก็จะเสียเปรียบอย่างมาก ส่วนท าไมถึงต้องเสียเปรียบ คนอื่น ไม่เข้าใจ ศิษย์น้องหญิงซ่งเจ้าจะไม่เข้าใจหรือ?”
คนที่ตาดีล้วนมองออกว่าการถามหมัดระหว่างเฉินผิงอันกับ เฉาสือ แต่ละครั้งที่แพ้ล้วนน่าดูเพิ่มขึ้นทุกครั้งเสมอ
ซ่งเยว่กลอกตามองบนใส่ศิษย์พี่ใหญ่
จูโหม่วเหรินถามอย่างประหลาดใจ “หลินซือ ท่านคิดว่าอย่างไร? อีกร ้อยปีในอนาคตใครสูงใครต่า?”
หลินเจียงเซียนกล่าว “ถึงอย่างไรก็ไม่เคยเจอพวกเขามาก่อน ไม่ อาจวิจารณ์อะไรได้”
จูโหม่วเหรินจึงเปลี่ยนคาถามใหม่ “ถ้าอย่างนั้นการถามหมัดครั้ง ถัดไป ใครจะแพ้ใครจะชนะ?”
หลินเจียงเซียนกล่าว “ต้องยังเป็ นเฉาสือที่ชนะ”
ในความเป็ นจริงแล้ว ตามความเห็นของหลินเจียงเซียน หากแค่ ใช ้มุมมองของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมองการถามหมัด เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ เฉินผิงอันคงไม่อาจแซงหน้าเฉาสือไปได้ ไม่ว่าจะเป็ นระดับความสูง ในการเรียนวรยุทธหรือความแข็งแกร่งอ่อนด้อยของวิชาหมัด เฉินผิง อันก็จะต้องตามหลังเฉาสืออยู่ครึ่งช่วงตัวเสมอ
บนปลายทางของวิถีวรยุทธ ช่วงตัวก็คือต าแหน่งแห่งเทพ
จูโหม่วเหรินหัวเราะร่า “ไม่พลาดแล้ว ไม่พลาดแล้ว”