กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1073.5 นํ้าใสภูเขาเขียวบุปผาบานสะพรั่ง
เฉิงเฉวียนหัวเราะฮ่าๆ “แค่ปากเก่งยังไม่พออีกหรือ?”
สตรียิ้มเอ่ย “ตาแก่โสดขึ้นคานอย่างเจ้านอกจากตีฝีปากเก่งแล้ว คาดว่าโอกาสที่จะจัดขบวนเช็ดหอกก็คงไม่เคยมีเลยกระมัง”
ผู้ฝึกกระบี่ที่มีรูปโฉมเป็ นเด็กน้อยอ่อนเยาว์ข้างกายเฉิงเฉวียน เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พวกเจ้าคุยกันแบบนี้ไม่รู ้สึกขยะแขยงบ้าง เลยหรือไร?”
อวี๋โฉวที่เดิมที่รู ้สึกหึงหวงอยู่บ้างร ้องเอ๊ะขึ้นมาทันที เขาเริ่มไม่สบ อารมณ์แล้ว “น่าหลันเซาเหว่ย หากรู ้สึกขยะแขยง หูก็อยู่บนตัวเจ้า แน่จริงเจ้าก็อย่าฟังสิ”
น่าหลันเซาเหว่ยอดทนไม่ด่ามารดาออกมา “พวกเจ้าสองคนนี่ เหมาะกันจริงๆ”
เฉิงเฉวียนที่เดิมทีคิดอยากจะโต้คารมกับสตรีอีกสักสองสาม ประโยคมองไปเห็นเงาร่างที่อยู่ห่างไปไกลก็รีบกลืนคําพูดสัปดนกลับ ลงท้องไปทันที
อยู่ที่บ้านเกิด หากจะพูดถึงเรื่องการโต้เถียง เฉิงเฉวียนก็ไม่เคย แพ้มาก่อน เขายอมให้แค่คนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเฉินผิงอันอิ่นกวาน ที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันบนหัวกําแพงเมือง
อันที่จริงเขาก็ไม่ค่อยอยากจะยอมเท่าไร เพราะเวลาทะเลาะ กันเฉินผิงอันชอบใช ้ภาษาท้องถิ่นต่างๆ ของไพศาล เฉิงเฉวียนฟังไม่ เข้าใจเลยสักนิด เขาจะเถียงอีกฝ่ายได้อย่างไร
อู๋ฮุ่ยที่เคยเป็ นลูกจ้างร ้านอยู่ในโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยภูเขาห้อยหัว ตอนนั้น “เด็กสาว” ใช ้นามแฝงว่าเหนียนชวงฮวา นางอดไม่ไหวเอ่ย ว่า “เฉิงเฉวียน ความสามารถในการด่าคนของเฉินผิงอัน ร ้ายกาจ ขนาดนั้นเลยจริงๆ หรือ?”
ในความทรงจํา เฉินผิงอันเคยไปเยือนภูเขาห้อยหัวอยู่สองครั้งก็ ล้วนพักที่โรงเตี๊ยม กว้านเขวี่ยทั้งสองครั้ง เด็กหนุ่มสะพายกระบี่คน นั้น มองดูแล้วท่าที่สุภาพมีมารยาท เหมือนคนซื่อมากเลยนะ
เฉิงเฉวียนพยักหน้า “ร ้ายกาจ ร ้ายกาจอย่างมาก ข้ากับเจ้าเศษ สวะบางคนรวมกันแล้วก็ยังเถียงชนะใต้เท้าอิ่นกวานไม่ได้ หากไม่เชื่อ เจ้าก็ลองถามเซียนกระบี่ผู้อาวุโสน่ าหลันดูสิ เขาเองก็เคยมี ประสบการณ์มาก่อนเหมือนกัน”
น่าหลันเซาเหว่ยพยักหน้า “ร ้ายกาจมากจริงๆ ตอนแรกก็เปิด ร ้านเหล้า ตอนหลังไปอยู่ที่คฤหาสน์หลบร ้อน คําพูดคําจาก็ยิ่งระคาย หูมากขึ้นทุกที หนึ่งคําเหมือนกระบี่บินหนึ่งเล่มที่ทิ่มแทงใจคน”
อู๋ฮุ่ยกล่าว “ถ้าอย่างนั้นขนบธรรมเนียมของกําแพงเมืองปราณ กระบี่ก็มีปัญหาแล้วล่ะข้าจําได้ว่าครั้งแรกที่เฉินผิงอันไปถึงภูเขาห้อย
หัว เขาสุภาพมีมารยาทมาก อยู่ในกฏในระเบียบอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่ ทะเลาะกับใครเลย ไม่เคยโกรธใครเลยด้วยซํ้า”
คาดว่าหากอิ่นกวานอยู่ตรงนี้ด้วยคงต้องยกนิ้วโป้ งให้นางเป็ นแน่ จากนั้นต้องเอ่ยชื่นชมจากใจจริงว่าแม่นางเหนียนช่างมีดวงตาที่ เฉียบแหลมเสียจริง
เซี่ยชุนเถียวปิดปากหัวเราะคิกคัก “เป็ นคนจริงจังคนหนึ่งจริงๆ นอกจากผิวดําไปสักหน่อย มองดูแล้วผอมไปหน่อย ร่างกายก็ดู แข็งแรงดี จําได้ว่ามีครั้งหนึ่งพบเจอกันในระเบียงของโรงเตี๊ยม ข้า เดินไม่ดี สะดุดขาแพลง ล้มไปทางเด็กหนุ่มคนนั้น พวกเจ้าเดาสิว่า เขาทําอย่างไร เจ้าตัวดี ความคิดแรกกลับไม่เคยคิดจะรักหยกถนอม บุปผา กลับกลายเป็ นว่าต้องข่มกลั้นความวู่วามที่จะออกหมัดเอาไว้ ก่อน จากนั้นค่อยเบี่ยงตัวหลบ มองข้าล้มลงกระแทกพื้นทั้งอย่างนั้น สุดท้ายถึงได้ถามว่า เจ้าเป็ นอะไรไหม?”
อวี๋โฉวเอ่ยชื่นชม “ใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราเป็ นวิญญูชนผู้ เที่ยงตรงอย่างแท้จริง!”
แม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจชายฉกรรจ์กลับนินทาไม่หยุด หาก เจอสาวงามอวบอิ่มที่เหมือนบุปผาเหมือนหยกเช่นนี้ กลับไม่ รู ้จักแต๊ะอั๋งเสียบ้าง ไม่ตาบอดก็สมองมีปัญหาแล้วเจ้าเฉินผิงอันโง่ หรือไร
ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสิ้นสิบหกคนที่มาจากกําแพงเมืองปราณกระบี่ ทุก วันนี้มีเก้าคนที่อยู่ในป๋ ายอวี้จิง หกคนอยู่ที่ตําหนักสุ้ยฉู และอีกคน หนึ่งอยู่ที่อารามเสวียนตูฉีโจว
เฉิงเฉวียนผู้ฝึ กกระบี่เฒ่าขอบเขตก่อกําเนิดที่เป็ นผู้ปกป้ อง มรรคาก็อยู่ที่ตําหนักสู้ยฉู กล่องกระบี่ที่ถูกห่อด้วยผ้าฝ้ ายใบนั้นถูก
วางไว้บนแท่นพักมังกรแห่งนี้
ภายนอกคือคนสิบหกคน แต่แท้จริงแล้วผู้ฝึ กกระบี่สิบเจ็ดคน ที่มายังใต้หล้าแห่งนี้ ผู้ปกป้ องมรรคาที่แท้จริง แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่ เฉิงเฉวียนที่เป็ นขอบเขตก่อกําเนิดเท่านั้น
ผู้ฝึ กกระบี่เฒ่าที่ทุกวันนี้เป็ นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อ ของศาลบรรพจารย์ตําหนักสุ้ยฉูคล้ายจะได้คลายปมในใจบางอย่าง ก่อนหน้านี้ไม่นานถึงเป็ นฝ่ ายขอทําเนียบเต๋าส่วนตัวมาจาก ตําหนักสุ้ยฉู จนได้กลายเป็ นเต้ากวานแล้ว
ขณะเดียวกันผู้ที่ได้รับธรรมโองการส่วนตัวอีกคนหนึ่งยังมีเด็ก น้อยคนหนึ่ง ก็คือน่าหลันเซาเหว่ยหนึ่งในสิบเซียนกระบี่บนยอดเขา ของกําแพงเมืองปราณกระบี่ อีกทั้งเขายังใช ้ชื่อเดิมบนทําเนียบหยก ทองของสํานัก
“เซียนกระบี่ผู้เฒ่า” อาศัยตะเกียงต่อชะตาชีวิตที่ซ่อนอยู่ในกล่อง กระบี่ใบนั้นกลับมาจุติบนโลกอีกครั้ง ตําหนักสู้ยฉูเองก็มีความจริงใจ
อย่างยิ่ง เอาคราบร่างเขียนที่ลํ้าค่าหายากของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบิน ทะยานออกมามอบให้
หลายวันมานี้น่าหลันเซาเหว่ยที่อยู่ในรูปลักษณ์ของ “นักพรต น้อย” มักจะไปเล่นหมากล้อมกับเกาผิงที่หอกว้านเชวี่ยเป็ นประจํา หากใช ้คํากล่าวของน่าหลันเซาเหว่ยเองก็คือฝีมือการเล่นหมากล้อม
สูสี มีแพ้มีชนะ
เฉิงเฉวียนเป็ นคนพูดจาโผงผางมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาบอก ว่าใช ้กันคิดยังรู ้เลยว่าเจ้าไม่เคยชนะเลยสักครั้ง รบกี่ครั้งก็พ่ายแพ้ทุก ครั้ง นับว่ามีความมุ่งมั่นน่าชื่นชม มิน่าเล่าชาติก่อนถึงเป็ นเซียน กระบี่ได้
น่าหลันเซาเหว่ยก็คร ้านจะถือสาเจ้าคนปากเสียผู้นี้
จางหยวนป๋ อถาม “หลี่เหย้าซือจะเล่นหมากล้อมกับเจ้าตําหนัก หรือกับเกาผิง?”
น่าหลันเซาเหว่ยเอ่ย “ไยต้องให้เกาผิงออกโรงด้วยเล่า ข้าเป็ น คนรับรองแขกเองรับรองว่าไม่แย่เหมือนกัน”
เกาผิงคือเต้ากวานผู้ดูแลทะเบียนของตําหนักสุ้ยฉู และยังมียศ ตําแหน่งที่เรียกว่า “เหวินเซวี่ย ครอบครองฉายาสองอย่างคือ ไท่หาง’ กับ ‘โจ่วเกอ
เป็ นสหายเล่นหมากล้อม บวกกับที่ตอนที่เกาผิงเล่นหมากล้อม มักจะชอบถามถึงรายละเอียดในสงครามครั้งสุดท้ายของกําแพงเมือง
ปราณกระบี่จากน่าหลันเซาเหว่ย ไปๆ มาๆ จึงสนิทคุ้นเคยกัน เกาผิง ที่ไม่ชอบพูดคุยก็พูดเยอะกว่าเดิม บอกว่าตัวเองคือแม่ทัพผู้พ่าย คือ คนผิดที่ทําให้แคว้นต้องล่มสลายซึ่งมีโทษมหันต์มิอาจให้อภัย ทุก วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรให้ทําก็เลยอยากจะพูดคุยเรื่องการศึกบน หน้ากระดาษให้มากหน่อย
น่าหลันเซาเหว่ยไม่อยากจะซักไช ้ถามเรื่องในอดีตของเขาให้ถึง ที่สุด
เกี่ยวกับสองใต้หล้าอย่างไพศาลและห้าสี เจ้าตําหนักอู๋ซวงเจี้ยง ที่คล้ายว่าไม่มีเรื่องอะไรที่เขาไม่รู ้ได้เปิดเผยเรื่องวงในให้น่าหลันเซา เหว่ยฟังไม่น้อย
เด็กน้อยน่าหลันไฉ่ฮ่วนผู้นั้นมีชีวิตที่ไม่เลว ได้เป็ นเจ้าสํานักของ สํานักอวี่หลงแล้ว
เกาเหย่โหวกลายเป็ นลูกเขยของตระกูลน่าหลัน ทุกวันนี้นั่งเก้าอี้ อันดับหนึ่งของจวนเฉวียนฝู่ นครบินทะยาน
พอได้ยินคําว่า “ออกโรง” (ภาษาจีนใช ้คําว่าชูหม่า หม่าแปลว่า ม้า แปลตรงตัวคือออกม้าศึก) อวี๋โฉวก็เริ่มคิดไปไกล อยากจะปรึกษา กับนางเสียหน่อยว่าคืนนี้ตนขอขี่ม้าสักครั้งได้หรือไม่ เขายกข้อศอก ขึ้นเงียบๆ เดิมที” คิดอยากจะสะกิดแขนของคนรักเบาๆ แต่ ไม่ทัน ระวัง ไปกระแทกชนภูเขาเข้า
ผลคือถูกเซี่ยชุนเถียวตบหน้า แก้วหลั่นเปรี้ยะ ทําเอาชายฉกรรจ์ เกือบจะลงไปนอนควํ่าบนพื้น
ยินอยู่บนยอดเขาของแท่นพักมังกร มองหอกว้านเขวี่ยที่อยู่ริม ฝั่ง หลีเหย้าซืออดทอดถอนใจไม่ได้ “อยากขึ้นหอสูงเพื่อหลบเลี่ยง ความทุกข์ ที่แท้บนจุดสูงก็มีแต่ความทุกข์ที่รอคอยให้คนมีทุกข์พา
ลงจากหอเรือน”
หลังจากถอนตัวออกมาได้สําเร็จ ตายไปแล้วก็กลายเป็ นสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการเช่นไหว้ จากนั้นจึงเข้าไปอยู่ในนครหลิงเป่ าป๋ า ยอวี้จิง หลบเร ้นกายจากโลกใช ้ชีวิตอย่างสันโดษ
อันที่จริงหลี่เหย้าซือยังคงรักษาสภาวะของจิตหยินออกจากช่อง โพรงเดินทางไกลอยู่ตลอด ร่างแยกเป็ นหมอพเนจรที่ท่องไปในโลก มนุษย์ แขวนหม้อยาช่วยเหลือโลก ใช ้เข็มทองรักษาผู้คน
ในอารามเสี่ยนหลิงที่เป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมส่วนตัว ห้อง หนังสือที่ร่างจริงอยู่ถูกหลี่เหย้าซือตั้งชื่อให้ว่า “ห้องโหย่วเต้า” (มี มรรคา)
ก่อนหน้านี้ไม่นาน นครหลิงเป่าเคยมีรองเจ้านครหญิงคนหนึ่งมา เยี่ยมเยือนอารามเสี่ยนหลิง ความนัยในถ้อยคําที่นางเอ่ยคือหวังให้ห ลี่เหย้าซือออกจากภูเขาไปเป็ นผู้นําดูแลเต้ากวานในการปกครอง ของสองหอเรือน
แต่หลี่เหย้าซือเพียงแค่ให้คําตอบที่คล้ายกับคําทํานายมาว่า “ดอกไท่ผิงคล้องเกี่ยวกับดอกไห่ถัง
อันที่จริงวิญญาณวีรบุรุษที่เป็ นอย่างหลี่เหย้าซือ ในห้านครสิบ สองหอเรือนของป๋ ายอวี้จิงยังมีอยู่อีกไม่น้อย บ้างก็แสดงตัวบ้างก็ ปิดบังตัวตน
ส่วนจํานวนที่แน่ชัด หลี่เหย้าซือไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียด แต่คิด ดูแล้วอย่างน้อยก็น่าจะมีสามร ้อยคนขึ้นไป
ตําหนักสุ้ยฉูในเวลานี้ อันที่จริงยังมีอาจารย์และศิษย์สามคนที่มา เป็ นแขกอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้หลีเหย้าซือและจางสี่
เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกเขาพักอยู่ที่ภูเขาฉว่อเหอพื้นที่ลับแห่งหนึ่ง
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเป่าหลินอย่างหลวี่อี่และชิวอวี้อี้ต่าง ก็ได้เจอกับไซ่เต้าหวงแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กสาวผู้ฝึกกระบี่ที่ ชอบสอบถามชะตารักคู่สร ้างคู่สมในประวัติศาสตร ์กับอาจารย์ผู้เฒ่า ท่านนี้มากที่สุด นอกจากจะฝึกกระบี่แล้ว อันที่จริงเด็กหนุ่มที่ไม่สนใจ เรื่องพวกนี้ก็เพียงแค่มองดูนางถามโน่นถามนี่จากไช่เต้าหวง เพราะ ในสายตาของเด็กหนุ่มมีเพียงเด็กสาวเท่านั้น
เป่ าหลินรู ้แล้วว่าเกากูฉายาจวี้เยว่ บุคคลอันดับหนึ่งด้านการ หลอมโอสถของใต้หล้าได้ปลดประจําการจากทั้งตําแหน่งเจ้าตําหนัก หัวหยางและเจ้าขุนเขาภูเขาตี้เฝ่ยไปในเวลาเดียวกันแล้ว
เดิมทีนี่ก็เป็ นการทักทายไกลๆ ระหว่างตําหนักหัวหยางและ ตําหนักสู้ยฉูอย่างหนึ่ง
นี่หมายความว่าการถามมรรคาต่อป๋ ายอวี้จิงที่ยังไม่ได้กําหนด วันเวลาอย่างละเอียดเกากูจะต้องเดินทางไปพร ้อมกับนางและอู๋ซว งเจี้ยงอย่างแน่นอน
ในเมื่อก่อนหน้านี้อู๋ซวงเจี้ยงรับปากด้วยตัวเองแล้วว่าเขาจะช่วย ชี้แนะเรื่องการฝึกตนให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของนาง
เพียงฟังเสียงพิณก็รู ้ถึงความหมายลึกลํ้าที่ซ่อนอยู่ ต่อให้เป่ า หลินจะโง่แค่ไหนก็ยังเดาความจริงบางอย่างออก
การร่วมมือกันถามมรรคากับป๋ ายอวี้จิงต่อจากนี้ นางพร ้อมตาย เรียมพร ้อมไว้แล้วว่าจะได้แต่ไปไม่ได้กลับ ผลลัพธ ์สุดท้ายก็ต้องเป็ น อย่างนี้แน่นอน
ทว่าอู๋ซวงเจี้ยงกลับมีทางหนีทีไล่เตรียมไว้แล้ว เขาจะยังมีชีวิต รอดกลับมายังตําหนักสุ้ยฉู ส่วนเขาจะทําได้อย่างไร เป่ าหลินไม่ สนใจจะอยากรู ้
นี่ไม่ได้มีอะไร ไม่มีอะไรที่เป่าหลินไม่พอใจ
เป็ นเช่นนี้ได้ย่อมดีที่สุด
คนที่เชี่ยวชาญการเล่นหมากล้อมอย่างพวกเขาต่างก็มีการชิง ลงมือไว้กลางกระดานและช่วงท้ายของกระดานกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ
มี่โจว
ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของใต้หล้ามืดสลัว ชะตาภูเขาหนาเข้มข้น เทือกเขาทั้งมณฑลทอดยาวเป็ นสายแต่กลับไม่สูง มีเพียงยอดเขารุ่น เยว่เท่านั้นที่เป็ นไม้เด่นเกินไพร สูงเกินหมู่ขุนเขานับพันนับหมื่น
ตรงตีนเขาของยอดเขารุ่นเยว่มีสายนํ้าเปื่อยไหลผ่าน
แสงจันทราอ่อนจาง นั่งอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ก็ราวกับว่าเพียงผู้ ฝึกตนเอื้อมมือออกไปก็จะคว้าเอาดวงจันทร ์ดวงนั้นลงมาได้
ลู่ไถนอนเมามายอยู่บนก้อนหินใหญ่ สองมือสอดรองต่างหมอน ยกขาไขว่ห้าง ข้างกายมีหยวนอิ๋งที่ใจคิดแต่อยากจะหลับนอนกับเขา นั่งอยู่
หยวนอิ๋งถามอย่างใคร่รู ้ “ทําไมเจ้าถึงมียศรองเจ้าสํานักเพิ่มมา ได้เล่า?”
ตามข้อตกลงตอนที่นั่งกินผลไม้ข้างกันก่อนหน้านี้ ลู่ไถสามีที่ยัง ไม่เข้าเรือนมา เขาเพียงแค่มารับตําแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งแทน ซินขู่เท่านั้น
ผลคือรายงานขุนเขาสายนํ้าของแต่ละมณฑลกลับไม่ได้พูดกัน เช่นนี้
แน่นอนว่าหยวนอิ๋งไม่ถือสาเรื่องทํานองนี้ เพียงแต่ว่าซือสิงหยวน กลับไม่ค่อยจะพอใจนัก นางไม่ได้อิจฉาที่อยู่ดีๆ ลู่ไถก็มีสถานะที่
“โดดเด่น เพิ่มมา แต่บอกว่าเรื่องแบบนี้ทําไม่ไม่ปรึกษากับทุกคน ก่อนหน้านี้ซือสิงหยวนยังแล่นออกจากกระท่อมเพื่อไปซักใซ ้ลู่ไถใน เรื่องนี้โดยเฉพาะ ตอนนั้นใต้เท้ารองเจ้าสํานักที่ยุ่งอยู่กับการทําก้อน หมึกยกสองมือขึ้น ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกันแล้วผลัดมือชี้ไปยัง นักพรตหญิงที่บุกมาด้วยท่าทางดุดัน พูดว่าบังอาจสามหาวนัก พูด กับรองเจ้าสํานักและผู้ถวายงานอันดับหนึ่งแบบนี้ได้อย่างไร…ทําตัว แย่แบบนี้ เดี๋ยวก็โดนซ ้อมเสียหรอก
สุดท้ายยังคงเป็ นจางเฟิ งไห่ที่เอ่ยประโยคประนีประนอมแบบ ลวกๆ ว่า ซือสิงหยวนหากเจ้ายินดีก็เป็ นรองเจ้าสํานักได้นะ
ทําเอาซือสิงหยวนโมโหจนหน้าเขียวคลํ้า สะบัดชายแขนเสื้อ หมุนตัวได้ก็เดินจากไปทันที สํานักแห่งหนึ่งทําเป็ นเล่นแบบนี้ได้หรือ ไร?!
ตอนนั้นลู่ไถมองแผ่นหลังของนักพรตหญิงแล้วพูดด้วยนํ้าเสียง หนักแน่นเปี่ ยมเหตุผลว่า เพื่อช่วยให้สํานักของตัวเองมีชื่อเสียง มากกว่าเดิม ตัวข้าได้รับความอยุติธรรมเพียงเล็กน้อยจะนับเป็ นอะไร ได้!!
คํากล่าวที่ผึ่งผายตรงไปตรงมา มีเหตุมีผลถึงเพียงนี้ ถึงกับมิอาจ โน้มน้าวซือสิงหยวนได้ ทําเอาลู่ไถโมโหจนต้องเอาสองนิ้วประกบกัน ยัดใส่ปากผิวหลอก “ลู่เฉิน” ตัวนั้นให้เข้าไปในห้อง แล้วลู่ไถก็ยกเท้า เหยียบหางสุนัข ทรุดตัวลงงยอง ยื่นมือไปกดหัวสุนัขไว้ เอ่ยสั่งสอน
อย่างเดือดดาลว่า “เจ้าหมา! หมาสมกับเป็ นหมาจริงๆ ต้องโทษที่ทุก
วันเจ้าเอาแต่กินไม่ทําการทํางาน ปากสุนัขไม่งอกงาช ้าง! ซินขู่ที่ตั้งใจทําก้อนหมึกอดไม่ไหวเอ่ยว่า “ไสหัวออกไป” ลู่ไถคว้าคอหมาตัวนั้นโยนออกไปนอกห้อง ซินขู่กล่าว “เจ้าด้วยอีกคน! ลู่ไถจึงนอนหงายผลึงลงบนพื้นแล้วกลิ้งตัวออกไปจากห้องจริงๆ ซินขู่หน้าดําทะมึน จางเฟิงไห่ยิ้มเอ่ย “บอกให้เขาไสหัวกลับมาได้ด้วยนะ ความสัมพันธ ์ในสํานักปรองดอง สนิทสนมรักใคร่กันอย่างเห็น
ได้ชัด
กลางคืนบรรยากาศเงียบสงบอากาศเย็น ลมพัดต้นสนหยุด เคลื่อนไหว ตะวันออกเฉียงใต้และตะวันตกเฉียงเหนือของโลกมนุษย์ แสงบนภูเขาพลันอ่อนจาง นํ้าไหลเอื้อยเผยแสงจันทร ์ขาว
จางเฟิงไห่เดินออกมาจากในพื้นที่ประกอบพิธีกรรม ในมือหิ้ว เหล้ามาด้วยสองกา เขาโยนให้ลู่ไถก่อนกาหนึ่ง จากนั้นดีดปลายเท้า พลิ้วกายไปยืนบนก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ติดกับหน้าผา
แล้วก็ไม่นั่งลง ยืนดื่มเหล้าทอดสายตามองทัศนียภาพนอกภูเขา ไปอย่างนั้น
หลังออกจากถํ้าแยนเสียตําหนักเจิ้นเยว่มา จางเฟิงไห่ก็ทําเรื่อง
แค่สองเรื่อง หนึ่งแจ้งหนึ่งลับ โน้มน้าวผู้ฝึกยุทธซินขู่ให้ใช ้ยอดเขารุ่นเยว่เป็ นที่ตั้งของสํานัก
ทุกวันนี้คนทั้งใต้หล้าล้วนรับรู ้เรื่องนี้กันแล้ว และยังมีอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือทําการอนุมานบนมหามรรคา
สืบเนื่องจากตอนที่อยู่ในถํ้าแยนเสียต่ออีกครั้ง
สุดท้ายภายใต้การช่วยเหลือและสนับสนุนจากลู่ไถ จางเฟิงไห่ก็ ได้คําตอบแน่ชัดที่ตัวอักษรชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้จางเฟิงไห่ได้แค่อนุมานประโยคว่า “มรรคาเสื่อมถอย สามร ้อยปียังได้มีท่านผู้นี้ ซึ่งความหมายค่อนข้างคลุมเครือจากบน กระดานดินเหนียวแผ่นยาว
ผลคือต้องเปลี่ยนคําสองคํา เปลี่ยนสามเป็ นห้า เปลี่ยนผู้นี้เป็ นเฉิน
ก็จะเป็ นประโยคว่า “มรรคาเสื่อมถอยห้าร ้อยปียังได้มีท่านเฉิน