กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1073.6 นํ้าใสภูเขาเขียวบุปผาบานสะพรั่ง
ไม่เหมือนกับการจัดเรียงตัวอักษรคราวก่อน ครั้งนี้จางเฟิงไห่ได้ คําทํานายมาเก้าตัวอักษร ร ้อยเรียงกันเป็ นวงกลมคล้ายกับบทกวี แบบย้อนกลับที่แกะสลักไว้บนกําไลหยก
ตอนนั้นลู่ไถเห็นคําทํานายประโยคนี้ก็แสร ้งทําเป็ นตกตะลึง ร ้อน ใจจนกระทืบเท้า เดินวนไปวนมาเหมือนมดบนกระทะร ้อนอยู่ในห้อง ปากก็พึมพําไม่หยุด บอกว่าหรือจะพูดถึงสหายของข้า เรื่องนี้จะ ให้ป๋ ายอวี้จิงรู ้ไม่ได้เด็ดขาด เจ้าสํานักจาง ข้าน้อยจะโขกหัวให้ท่าน เดี๋ยวนี้เลย…..
แต่สองฝ่ ายที่อยู่ในห้องต่างก็รู ้กันดีอยู่แก่ใจว่าคําว่า ‘มรรคา เสื่อมถอยห้าร ้อยปียังได้มีท่านเฉิน” นี้ แท้จริงแล้วพูดถึงโค่วหมิงเจ้า ลัทธิใหญ่แห่งป๋ ายอวี้จิง
สกุลหลี่บนถนนฝูลู่ของถํ้าสวรรค์หลีจู ต้นข่ายที่ขึ้นอยู่เหนือ หลุมศพ นายหญิงของบ้านลําเอียงรักบุตรชายคนรอง ครั้งหนึ่งที่เป็ น ประเพณีประจําตระกูล นายหญิงได้ยินคําว่า “ท้อธรรมดาหลีสามัญ” ก็ยังไม่โกรธ นางยังมอบเงินมงคลให้ แต่พอนางได้ยินคําว่า “หลี่ตาย แทนท้อ” กลับเดือดดาลขึ้นมา….บุตรชายคนโตหลี่ซีเซิ่ง น้องขาย น้องสาวของเขาต่างก็ซิอหลี่เป่าเงิน หลีเป่าผิง
่
แคว้นเล็กกันดารห่างไกลแห่งหนึ่งของอุตรกุรุทวีปที่ชื่อว่าแคว้น ชิงเฮา ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าถนนต้งเซียนในตัวเมือง หลี่ซีเซิ่ง เคยมาพักอยู่ที่นี่ ถนนสายนี้มีบัณฑิตอยู่คนหนึ่งชื่อว่าเฉินเป่าโจว
หันหน้าไปมองจางเฟิ งไห่ที่ยืนดื่มเหล้าอยู่ ลู่ไถเอ่ยสัพยอกว่า “เจ้าสํานัก ยืนที่ออยู่อย่างนี้ เหมือนต้นไม้หยกรับลมก็จริงอยู่หรอก
เพียงแต่ว่าวางมาดให้ใครดูกันล่ะ” จางเฟิงไห่แสร ้งทําเป็ นไม่ได้ยิน |
ลู่ไถจําต้องยอมรับว่า ในบรรดาผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนก็มี การแบ่งระดับอยู่เหมือนกัน จางเฟิงไห่ถือเป็ นคนมีพรสวรรค์ในระดับ บนสุด ชั่วชีวิตนี้ลู่ไถยังไม่เคยเจอใครที่คุณสมบัติดีเท่าเขามาก่อน
จางเฟิงไห่ถาม “สามร ้อยปีก็ดี ห้าร ้อยปีก็ช่าง สมมติว่าเจ้าลัทธิ ใหญ่ต้องรอนานขนาดนี้กว่าจะออกมาเก็บกวาดแผ่นดิน หรือว่าก่อน หน้าที่จะทําเช่นนี้ก็จะปล่อยให้ใต้หล้าวุ่นวายไป?”
ลู่ไถเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ในที่สุดก็รู ้ถึง ความกระอักกระอ่วนของนักพรตที่ดูดวงแล้วใช่ไหมล่ะ? อ้อมไปอ้อม มา สุดท้ายก็อ้อมไม่พ้นคําว่า “ชะตาฟ้ าลิขิตมาเช่นนี้ ข้าควรจะอยู่ที่ ใด”
จางเฟิงไห่เงียบงัน ลู่ไถลุกขึ้นนั่ง ดื่มเหล้าคําใหญ่แล้วเดาะลิ้นจุ๊ปาก เป็ นสุราดีจริงๆ
่
หยวนอิ๋งพูดเหมือนจะอยากกิน “ขอข้าดื่มสักคําสิ”
ลู่ไถถลึงตาเอ่ยสั่งสอน “ข้ายังไม่เคยเห็นใครรักคุณธรรมเหมือน ใฝ่หาตัณหาเลยจริงๆ!”
อันที่จริงคุณสมบัติของหยวนอิ๋งก็ดีเหมือนกัน แต่นางขี้เกียจ เกินไป เป็ นสตรี วันๆ เอาแต่คิดถึงเรื่องเข้าห้องหอคํ่าคืนวสันต์มีค่า
เท่าทองพันชั่ง เหมาะสมเสียที่ไหน! หยวนอิ๋งหัวเราะร่า |
ลู่ไถพูดชวนคุยว่า “ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างก็มีบุคคลที่ร ้ายกาจอยู่ หลายคนเหมือนกัน เจ้าสํานักจาง พวกเราจะไปพบพวกเขาได้ เมื่อไหร่ล่ะ?”
จางเฟิงไห่กล่าว “ก่อนที่ข้ากับซินขู่จะพัฒนากันไปอีกขั้น เว้น เสียจากว่ามีขอบเขตบินทะยานห้าคนถึงจะกล้าพูดว่าจับมือกันไป เยือนเปลี่ยวร ้างแล้วจะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันใหญ่เกิดขึ้น”
ลู่ไถถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้ากับซินขู่ก็พยายามเข้าเถอะ” หยวนอิ๋งหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง จางเฟิงไห่รู ้ว่าบุคคล “ร ้ายกาจ” ที่ลู่ไถพูดถึงมีใครบ้าง เฟียหราน โซ่วเฉิน โจวชิงเกา
ต่างก็เป็ นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ทุกวันนี้มีอิทธิพลเป็ นที่เกรงกลัวของ ผู้คนมากที่สุด
่
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานสองคนที่เพิ่งฝ่ าทะลุขอบเขตกันได้ แค่ไม่กี่วัน เฝ่ ยหรานที่เป็ นผู้ครองเปลี่ยวร ้างมีสถานะสูงที่สุด แต่ไม่ว่า จะบนหรือล่างภูเขากลับเป็ นโซ่วเฉินที่มีบารมีสูงที่สุด
ส่วนโจวชิงเกาที่ชื่อเดิมคือมูจี เหตุผลส่วนใหญ่นั้นเป็ นเพราะเขา คือลูกศิษย์ปิดสํานักของมหาสมุทรความรู ้โจวมี่ บวกกับที่คอยเป็ น แขนซ ้ายขวาอยู่ข้างกายเฝ่ ยหรานไม่ห่างตลอดทั้งปี ดังนั้นจึงมักจะ ปรากฏตัวบ่อยๆ บนภูเขาของเปลี่ยวร ้างจึงคุ้นเคยกับเขาดี
ในความเป็ นจริงแล้วนี่ยังคงดูแคลนโชคชะตาของโจวชิงเกา เกินไป
สําหรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่โจวมี่ตั้งชื่อให้ด้วยตัวเอง อดีตเด็ก หนุ่มผู้เป็ นผู้นําของกระโจมเจียเชินผู้นี้ โจวมี่ไม่ได้โปรดปรานเขา ธรรมดาๆ เลย
ทุกวันนี้จิตหยางกายนอกกายของโจวชิงเกาได้มาจากคราบร่าง ของป๋ ายอิ๋งอดีตปี ศาจ ใหญ่บนบัลลังก ์ที่โจวมี่หลอมขึ้นเองกับมือ นอกจากนี้ยังมีคราบร่างของหวงหลวน เชี่ยอวิ้นอีกสองร่างถูกฝัง เลื่อมเข้าไปในจิตและวิญญาณของโจวชิงเกา นี่ยังไม่พอ โจวมี่ยังได้ ทิ้งคาถาเซียนที่สร ้างขึ้นเพื่อลูกศิษย์คนนี้โดยเฉพาะไว้ให้อีกบทหนึ่ง ปีนั้นอาจารย์เลื่อนจากขอบเขตเส้นเอ็นหลิ่วเดินขึ้นฟ้ าในก้าวเดียว ได้อย่างไร ลูกศิษย์ก็ทําตามเป็ นขั้นเป็ นตอนเลือนเป็ นขอบเขตหยก ดิบได้โดยตรงเช่นเดียวกัน
่
ไม่ถึงสิบปี โจวชิงเกาก็เป็ นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว
นี่เท่ากับกระโดดข้ามบันไดไปกี่ขั้น?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าโจวมี่ยังมอบตําราลับอีกส่วนหนึ่งให้กับลูก ศิษย์คนสุดท้ายที่ชอบอ่านหนังสืออย่างมากผู้นี้ด้วย
นี่แสดงให้เห็นว่าหากมอบเวลาในการฝึกตนให้กับโจวชิงเกาอีก สักหน่อย ยกตัวอย่างเช่นสามร ้อยห้าร ้อยปี? ก็มีความเป็ นไปได้อย่าง ยิ่งว่าเขาที่เรียนเวทคาถามาหลากหลายจะกลายเป็ นหลิ่วชีแห่งใต้ หล้าเปลี่ยวร ้าง
และหากมอบเวลาให้มากกว่านี้อีกหน่อย ระดับความสูงของ ผลสําเร็จบนมหามรรคาของโจวชิงเกา เมื่อเทียบกับหลิ่วชีแล้วก็มีแต่ จะสูงกว่าไม่มีตํ่ากว่า หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องเท่าเทียมกัน ยกตัวอย่างเช่นต่างก็เป็ นขอบเขตสิบสี่เหมือนกัน
เซียนกระบี่โซ่วเฉินที่เป็ นศิษย์พี่ใหญ่ของโจวชิงเกาได้รับกระบี่ พกระดับอาวุธเซียนสามเล่มจากอาจารย์
กลับเป็ นหลิวป๋ ายศิษย์พี่หญิงของเขาที่ได้แค่อาวุธเซียนหนึ่งชิ้น กับอาวุธกึ่งเซียนหนึ่งชิ้น คือชุดคลุมอาคมที่มีชื่อว่า “เสี่ยวต้งเทียน” (ถํ้าสวรรค์เล็ก) และกวานดอกพุดตานสีเขียวมรกตที่เข้าคู่กับชุด คลุมอาคมตัวนี้
่
ลู่ไถมือหนึ่งถือกาเหล้า อีกมือหนึ่งตบหัวเข่าเบ่าๆ ร ้องกลอน เพลงบทหนึ่งด้วยสําเนียงของบ้านเกิด ต้นหญ้าบนที่ราบ หนึ่งปีผลิ บานหนึ่งปีร่วงโรย….
โยวโจว
ม่านราตรีหนาหนัก ในอาณาเขตของจัวลู่ซากปรักสนาม โบราณ อารามเต๋าขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าอารามจินหัวตั้งอยู่บน ชายเขตของเมืองหู่ลู่
จูลู่พลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ ในเมื่อนอนไม่หลับนางจึงลุก ขึ้นมา ออกจากห้องมาเดินเล่นในลานบ้าน ผลคือพบว่าลู่เฉินนั่งยอง ใช ้แสงจันทร ์อ่านตําราอยู่ที่ขั้นบันได
พอได้เห็นเจ้าลัทธิแห่งป๋ ายอวี้จิงท่านนี้ อารมณ์ของจูลู่ก็ซับซ ้อน ลู่เฉินที่เคยเป็ นนักพรตจือเค่อทําหน้าที่ต้อนรับแขกอยู่ที่นี่น่าจะเป็ น เรื่องเก่าแก่ที่เกิดขึ้นเมื่อร ้อยปีก่อนแล้ว
เนื่องจากอารามแห่งนี้ถือเป็ นฉงหลินส่วนตัว ชื่อเสียงไม่โดดเด่น ก็ย่อมต้องมีเหตุผลที่ชื่อเสียงไม่โดดเด่น เป็ นเพราะในอารามไม่มี ยอดฝี มือ เจ้าอารามคนก่อนก็ได้แต่ตรากตรําฝึ กตนจนได้เป็ น ขอบเขตถํ้าสถิต
ครั้งนี้หวนกลับมาที่อารามอีกครั้ง ลู่เฉินผลักประตูเปิดออกได้ก็ เริ่มพูดจาเหลวไหลอะไรที่บอกว่าเสี่ยวปู้ ไฉ ภูมิลําเนาอยู่ที่ชวีหยวน ฉายาซ่านมู่ เดินทางมาถึงที่นี่พร ้อมกับสหายรัก ขอมาพักอาศัย
่
ชั่วคราวแค่ไม่กี่วันก็จะจากไปแล้ว ผินเต้าต้องขอขอบคุณมาไว้ ณ ที่นี่ด้วย…
ต่อให้อารามจะเล็กแค่ไหน แต่มีคนมาขออาหารเจกินแค่ไม่กี่มื้อ ก็ยังไม่มีปัญหาใดๆ ผลคือลู่เฉินที่วันนั้นได้เข้าพักในอารามพาจูลู่ไป ที่ห้องอาหาร จูลู่ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้ว ลู่เฉินนั่งลงบนโต๊ะ อาหารก็เอาแต่ก้มหน้าหุ้ยข้าว ยามที่เจ้าอารามถามคําถามก็ยืน กรานว่าจะไม่เงยหน้าขึ้น ต่อให้เป็ นเช่นนี้ “ลู่เฉิน” ก็ยังคงถูกเจ้า อารามคนปัจจุบันจําได้นักพรตเฒ่าตบโต๊ะแล้วเริ่มก่นด่า ไม่สน สถานะเต้ากวานหรือข้อพิถีพิถันด้านมารยาทอะไรอีกแล้ว หากไม่ เป็ นเพราะนักพรตกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในอารามช่วยห้ามไว้ นักพรตเฒ่าที่ ทั้งเส้นผมและหนวดล้วนขาวโพลนผู้นั้นก็คงจะประเคนทั้งหมัดและ เท้าให้กับ “นักพรตจือเค่อบ้านตน ผู้นี้ไปแล้ว
เดิมทีอารามก็ยากจนอยู่แล้ว นักพรตแซ่ลู่ที่ปีนั้นรับหน้าที่เป็ น คนต้อนรับแขกกลับติดนิสัยมือเติบใจปํ้า เบียดบังผลประโยชน์ ส่วนรวมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เจ้าตะพาบผู้นี้มักจะเรียกพรรค พวกให้มากินดื่มที่อารามอย่างอิ่มหนําเสมอ
หากมีเพียงแค่นี้ทางอารามก็คงอดทนเอาไว้ ปัญหานั้นอยู่ที่ว่า วันที่ “ลู่ชี่” ปลดประจําการจากตําแหน่งผู้รับรองแขก เขาฉวยโอกาส ตอนกลางดึกฟ้ ามืดลมแรง หอบเอาเงินทองของมีค่าเล็กๆ น้อยๆ ที่ เจ้าอารามและคนอื่นๆ ในอารามเก็บสะสมไว้อย่างยากลําบากไปเสีย เกลี้ยง นักพรตที่ทําเรื่องชั่วช ้าสามานย์ถึงเพียงนี้ ก่อนจะจากลายัง
่
ถึงกับเขียนประโยคหนึ่งไว้บนกําแพงของตําหนักใหญ่ว่า “สถานที่ แห่งนี้ไม่รั้งนายท่านย่อมต้องมีที่อื่นที่รั้งนายท่านเอาไว้
และปี นั้นคนที่เห็นประโยคทุเรศนี้ก่อนใครก็คือเจ้าอารามคน ปัจจุบันที่ตอนนั้นยังเป็ นนักพรตน้อยทําหน้าที่กวาดลานกว้าง
ในความเป็ นจริงแล้วก่อนหน้านั้นนักพรตน้อยกับลู่ชี่คนรับรอง แขกถือว่ามีความสัมพันธ ์ที่ดีมาก เด็กน้อยยังชอบฟังคําคุยโวไม่ต้อง ร่างคําพูดของลู่จือเค่อเป็ นที่สุด
เจ้าอารามที่เปลี่ยนจากเด็กน้อยกลายมาเป็ นนักพรตเฒ่า ให้ ตายอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าไอ้หมอนี่จะยังมีหน้ากลับมาหลอกกินหลอก ดื่ม เขาไม่ควรต้องเอาบัญชีเก่าบัญชีใหม่มาคิดรวมกันให้ดีๆ หรอก
หรือ?
เพราะถึงอย่างไรผู้ที่มาเยือนก็ล้วนถือเป็ นแขก ลงมือตีคนเป็ น เรื่องที่ไม่ดี แต่ด้านหนึ่งเจ้าอารามผู้เฒ่าก็บอกให้นักพรตทุกคนระวัง ตัว อย่าได้ประมาทหละหลวมเรื่องลาดตระเวนยามคํ่าคืน จากนั้น บอกให้จือเค่อคนปัจจุบันหูตาไวสักหน่อย หากฟืนและถ่านในห้องใช ้ หมดก็ให้หมดไป นํ้ามันตะเกียงก็ไม่ต้องไปเติมให้ อย่าให้เจ้าคนแซ่ลู่ ผู้นั้นไปที่ห้องอาหารอีกทางอารามจะจัดอาหารไปส่งให้เขาที่ห้อง โดยเฉพาะ หมั่นโถวกับโจ๊ก รับรองว่ามีให้กินอิ่มทุกมื้อ
ดังนั้นคืนนี้ลู่เฉินถึงต้องมาลําบากอ่านหนังสือใต้แสงจันทร ์เช่นนี้
่
บริเวณใกล้เคียงกับอารามมีภูเขาสูงลูกหนึ่ง ภิกษุสวมชุดสีม่วง คนหนึ่งที่เดินทางผ่านมาได้มาหยุดพักอยู่ที่นี่ เขาเหลือบตามองมา ทางอารามเล็กแล้วร ้องเอ๊ะ เห็นได้ชัดว่าประหลาดใจอย่างมาก
เขาก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว ตรงดิ่งมาถึงนอกประตูของอาราม เคาะประตูเบาๆ ก็มีเสียงก้องสะท้อนอยู่ในเรือนแห่งหนึ่งของอาราม ท่วงทํานองนั้นประหลาดมากเหมือนเสียงเคาะปลาไม้ แล้วก็เหมือน เสียงท่องบทสรรเสริญ
“สังหารเต่าศักดิ์สิทธิ์เพื่อคํ้าจุนสี่ทิศ สะกดดินเหลืองให้สรรพสิ่ง บังเกิด
จูลู่ฝึกท่าหมัดท่าเดินอยู่ในลานเรือน ได้ยินเสียงก็หันไปมองทาง
ลู่เฉิน
ลู่เฉินเก็บตํารา กระแอมสองสามที ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็มีคําตอบ
“ต้มหน่อไม้ด้วยกันในวัดไผ่ขม ครั้นจึงไปเหยียบยํ่าบงกชในทุ่ง บัวบาน
จูลู่ฟังด้วยความมึนงง นี่คือภาษาลับระหว่างเจ้าลัทธิลู่กับยอด ฝีมือนอกโลกหรือ?
ลู่เฉินกดเสียงลงตํ่าเอ่ยว่า “ข้าพูดไปส่งเดชอย่างนั้นเอง แพ้ที่ตัว คนแต่จะแพ้ที่มาดไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องให้มีความน่าเกรงขามกัน บ้าง”
่
จูลู่เชื่อจริงๆ ว่าประโยคนี้ของเขาคือเรื่องจริง
ลู่เฉินกล่าว “ภิกษุที่มาเคาะประตูใต้แสงจันทร ์อยู่ข้างนอกนั่นมี นามแฝงว่าเจียงชิว”
ใบหน้าของจูลู่เต็มไปด้วยความตกตะลึง เป็ นเขาจริงๆ หรือ?!
ตัวสํารองสิบคนใหม่ล่าสุดของใต้หล้า แม้จะบอกว่าจํานวนคน ค่อนข้างมาก มียี่สิบเอ็ดคน แต่ผู้ฝึกตนเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกยืนยันว่า เป็ นผู้นําของตัวสํารอง คนที่สิบเอ็ดแห่งใต้หล้า” บนกระดานจัดอันดับ รายชื่อ ก็คือภิกษุเจียงชิว
ที่เหลืออีกยี่สิบคนจึงจะมีลําดับรายชื่อที่ไม่แบ่งสูงตํ่ากัน
ลู่เฉินพยักหน้า “ตัวตนของผินเต้าวางอยู่ตรงนั้น แน่นอนว่าคนที่ พบเจอในชีวิตประจําวันล้วนไม่มีใครอ่อนด้อย เมื่อก่อนอารามแห่งนี้ ไม่เข้าใจถึงความหวังดีของผินเต้า มักรู ้สึกว่าขอบเขตบินทะยาน พวกนั้นคือนักต้มตุ๋นในยุทธภพที่มาหลอกกินดื่มเปล่าๆ ทําเอาจื อเค่อแห่งอารามอย่างผินเต้าน้อยใจแทบตาย”
จูลู่สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที เตรียมพร ้อมที่จะออกไปต้อนรับ ยอดฝีมือคนนั้นแล้ว คิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะยิ้มเอ่ยว่า “หนีไปแล้ว อ้อ ไม่ ถูกสิ กลับไปแล้ว”
เกือบจะโดนกระบี่เสียบเสียแล้ว
่
ลู่เฉินเอียงศีรษะทําท่าเงี่ยหูตั้งใจฟัง ครู่หนึ่งต่อมาก็พลันกระทืบ เท้า เรียกชื่อเจ้าอารามตรงๆ ก่อน จากนั้นถึงตะโกนดังลั่นว่า “รับรอง แขกแบบนี้ไดอย่างไร ผินเต้ามีคุณความชอบอยู่ที่อารามแห่งนี้ ข้า ต้องการดื่มเหล้ากินเนื้อ!”
จูลู่ยกมือขึ้นกุมขมับ ตัดสินใจแล้วว่าวันหน้านางจะไม่ติดตามลู่
เฉินออกพเนจรไปทั่วสารทิศอีกแล้ว ปิ้งโจว ราชวงศ์ชิงเสิน |
เหยาชิงกลับจากสํานักต้าเฉาแยนโจวก็พบว่าป๋ ายโอ่วมาอยู่ที่ จวนของเขา อีกทั้งยังมีสีหน้ากลัดกลุ้มเป็ นกังวล
เหยาชิงแสร ้งทําเป็ นไม่รู ้เรื่องอะไร ยิ้มถามว่า “เป็ นอะไรไป?”
ป๋ ายโอ่วอธิบาย “เจ้าแห่งถํ้าปี้เซียวผู้นั้น ก่อนหน้านี้ไม่นานพาผู้ ฝึกกระบี่แปลกหน้านามว่า “โม่เซิง” มาด้วยกัน ตอนนี้พวกเขาอยู่ใน เมืองหลวง ฝ่ายหลังกําลังถ่ายทอดเวทกระบี่ให้กับฟู่ เสวียนเจี้ย”
เหยาชิงกล่าว “นี่เป็ นเรื่องดี ไฉนราชครูต้องทําหน้ายุ่งด้วยเล่า”
ป๋ ายโอ่วยิ่งอัดอั้นมากกว่าเดิม
เหยาชิงหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ พูดปลอบใจว่า “เอาเถอะ ก็ แค่ถูกผู้อาวุโสปี้เซียวสั่งสอนแค่ไม่กี่คําเท่านั้นเอง เรื่องใหญ่แค่ไหน กันเชียว เจ้าเป็ นถึงราชครูแล้ว ต้องใจกว้างกว่านี้”
่
ป๋ ายโอ่วอัดอั้นนัก เรียบง่ายแค่นี้เสียที่ไหนกัน ก่อนหน้านี้สอง ฝ่ ายพบหน้ากัน นางก็แค่ถามมากไปไม่กี่ประโยคเท่านั้น นักพรต เฒ่าจมูกโคหน้าเหม็นผู้นั้นนอกจากจะแนะนํานางว่าอย่ายุ่งเรื่องของ คนอื่นแล้ว ยังด่าเจ้าไปพร ้อมกันด้วย
เหยาชิงยิ้มบางๆ “ผู้อาวุโสปี้เชียวไม่ใช่จะด่าใครไปทั่ว นักพรต
ทั่วไปไม่ได้รับสิทธิพิเศษเช่นนี้หรอกนะ”
ป๋ ายโอ่วมองเหยาชิงที่เป็ นทั้งอาจารย์และเป็ นทั้งบิดาของนาง อีก ฝ่ ายยิ้มพลางยื่นนิ้วมาวางไว้ข้างปาก บอกเป็ นนัยแก่ป๋ ายโอ่วว่าพูด ให้น้อยหน่อย ผู้อาวุโสท่านนั้นกําลังฟังอยู่นะ
แคว้นหนันซานหรู่โจว อารามหลิงจิ้งในอําเภอฉางเส้อ
เด็กหนุ่มนักพรตประจําการนามว่าเฉินฉงชอบมานั่งยองชม ทัศนียภาพอยู่หน้าประตูของอาราม ข้างทางมีต้นไหวโบราณที่ร่มใบ หนาดกเรียงรายอยู่สองแถว
ยามฤดูใบไม้ผลิสีแดงสาดสะท้อนไปทั่วทั้งภูเขา ดอกไม้ผลิบาน เหมือนเปลวเพลิง ในคํ่าคืนของฤดูร ้อน แสงจันทร ์ที่สาดลงบน เส้นทางภูเขาก็สว่างราวกับเกล็ดนํ้าค้างในฤดูหนาว
ป่ าต้นพลับนอกภูเขาที่เป็ นของอารามบ้านตน กินลูกพลับหนึ่ง ลูกก็จะท่องคําว่าทุกเรื่องสมดังใจปรารถนาไปด้วย
่
ท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นของฤดูหนาว ทุกครั้งที่มีลมภูเขาพัด ผ่านอาราม พัดผ่านใบต้นไหวเกิดเสียงซู่ซ่าก็คล้ายกับว่ามีฝนตกลง มา