กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1074.2 ไม่ดื่มสุราคารวะจะดื่มสุราลงทัณฑ์
จากในห้องทรงพระอักษรของราชสานักต้าหลีในปี นั้น จาก ท้องพระคลังจนไปถึงแซ่สกุลเสาค้ายันแคว้นทั้งหมด ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้ง ราชสานัก กระทั่งไปถึงพรรคบนภูเขา ชนชั้นสูงล่างภูเขา ขุนเขา สายน้าของในทวีป
ร ้องโอดครวญไม่หยุด? เสียงบ่นดังระงม? ไม่เคยมี ปี นั้นราช ส านักต้าหลีที่หนึ่งแคว้นก็คือหนึ่งทวีป อย่างน้อยภายนอกก็ไม่มี เพียงแค่เพราะราชครูคือชุยฉาน
พรรคตระกูลเซียนหรือตระกูลชนชั้นสูงที่หนีไปหรือควรจะพูดว่า ย้ายไปอยู่ทวีปอื่น ราชสานักต้าหลีไม่เคยขัดขวาง เหมือนคนอ้วนที่ ผอมลงมาหนึ่งรอบตัวก็เท่านั้น สิ่งที่อาเจียนออกมามีไม่น้อย
รอกระทั่งเหตุการณ์สงบลง คนกลุ่มนี้ก็หวนกลับคืนมายังแจกัน สมบัติทวีปอย่างเงียบเชียบ เพียงแค่ว่าผอมกว่าเดิมไปไม่น้อย พูดถึง แค่แคว้นทั้งหลายที่อยู่ทางทิศใต้ของลาน้าใหญ่ ไฉนถึงได้ก่อกวน เช่นนี้ คนที่ไม่ยินดีออกเงินในกลุ่มคนพวกนี้ก็ช่วยผลักดันลูกคลื่น อยู่อย่างลับๆ ไม่น้อย
หลิ่วชื่อเฉิงเห็นว่าบนเรือข้ามฟากลานั้น ข้างกายเด็กหนุ่มชุด ขาวมีสตรีชุดสีแดงที่ตรงเอวห้อยดาบแคบและน้าเต้าสีเงินอย่างหลี่
เป่าผิงยืนอยู่ด้วย นางมีพี่ชายใหญ่ชื่อว่าหลี่ซีเซิ่งดูเหมือนว่าบัณฑิต ผู้นั้นจะเคยเอ่ยว่าจะไปเล่นหมากล้อมกับศิษย์พี่…
ทางฝั่งของท่าเรือยังมีจวินเชี่ยนที่เรือนกายก าย าอยู่กับเด็กหนุ่ม สวมหมวกหัวเสือหน้าตางามพิสุทธิ์หลิ่วชื่อเฉิงเคยได้ยินศิษย์พี่หญิง หันเชี่ยวเซ่อเล่าเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งตอนนั้นเขารู ้สึกว่าน่าขันมาก ตอนนี้หลิ่วชื่อเฉิงกลับหัวเราะไม่ค่อยออกเสียแล้ว เพราะอีกฝ่ าย คือป๋ ายเหย่…
และคนที่ยืนอยู่ข้างกายจวินเชี่ยนก็ยังมีลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา ของเฉินผิงอัน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางเผยเฉียน ส่วนข้างกาย เผยเขียนยังมีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยสวมชุดนักพรตเต๋สีม่วงอย่างฝูลู่อวี๋เส วียน….
หลี่ไหว หลิ่วชื่อเฉิงก็จาเขาได้เช่นกัน คือลูกศิษย์ที่เป็ นทั้งคน เปิ ดประตูภูเขาทั้งปิ ดประตูส านักของเฒ่าตาบอดแห่งภูเขาใหญ่ แสนดี้ ฟังศิษย์พี่หญิงเล่าว่า เฒ่าตาบอดต้องขอร ้องให้คนผู้นี้มาเป็ น ลูกศิษย์…
แล้วนับประสาอะไรกับที่ภูตจิ้งจอกข้างกายคนหนุ่มสวมชุดลัทธิ ขงจื๊อผู้นั้น ปีนั้นอยู่บนแท่นพักมังกรกลางมหาสมุทรใหญ่ หลิ่วชื่อ เฉิงยังจ าได้ว่านางติดตามอยู่ข้างกายสตรีท่าทางนุ่มนิ่มบอบบางคน หนึ่ง ฝ่ายหลังเรียกชื่อศิษย์พี่ของเขาออกมาตรงๆ
หลิ่วชื่อเฉิงกลืนน้าลาย ขยับคอเสื้อชุดคลุมเต๋าสีชมพู ฮ่าๆ โชค ดีที่ข้ากับเฉินอิ่นกวาน คือสหายรักที่รู ้ใจกันตั้งแต่แรกพบ
บังเอิญยิ่งนัก เวลานี้เองผู้ฝึกตนเซียนดินคนหนึ่งที่ใบหน้าแดง ปลั่งพลันถามขึ้นว่า “เจ้าหอหลิ่ว พวกเราจะไปดื่มเหล้ากับเจ้าขุนเขา เฉินที่ภูเขาลั่วพั่วเมื่อไหร่ดีล่ะ จะได้ดื่มเหล้า ภูเขาชิงเงินจริงๆ หรือ?”
เด็กหนุ่มชุดขาวยิ้มตาหยีมองมาทางหลิ่วชื่อเฉิง ทางฝั่งของจวิน เชี่ยนกับป๋ ายเหย่ก็เริ่มมองมาทางหลิ่วชื่อเฉิงแล้วเช่นกัน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งคนที่ชื่อเผยเฉียนที่เริ่มเหล่ตามองเจ้าหอหลิวแล้ว
……
ริมน้าของทะเลสาบชิวชี่ เฉินผิงอันขอยืมคันเบ็ดตกปลาและ ข้าวโพดหมักกากเหล้าส่วนหนึ่งมาจากหยวนหวง
จงเชี่ยนที่มาถึงอย่างเชื่องช ้าบังเอิญเหลือบมาเห็นคนชุดเขียวที่ อยู่ริมทะเลสาบ เขาพลันทะยานร่างมานั่งยองอยู่ริมทะเลสาบเช่นกัน ถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ท าไมท่านไม่ไปที่อารามต้ามู่ แต่ กลับมาตกปลาอยู่ที่นี่แทนล่ะ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ค่อยไปสายหน่อย จะได้ไม่ไปขวางหูขวางตา คนที่นั่น”
จงเชี่ยนพยักหน้า เอ่ยว่า “คือเหตุผลข้อนี้”
จงเชี่ยนคร ้านจะใช ้วิธีรวมเสียงให้เป็ นเส้นของผู้ฝึกยุทธ
ผู้ฝึ กยุทธขอบเขตร่างทองผู้นี้เป็ นที่ยอมรับว่าคือบุคคลอันดับ หนึ่งของการเรียนวรยุทธในใต้หล้า แต่เพียงแค่เพราะอายุน้อย ทั้งยัง ไม่ใช่ผู้หลอมลมปราณ ดังนั้นชื่อเสียงจึงไม่โด่งดังเท่าเกาจวินแห่ง พรรคหูซาน
แต่อย่าเห็นว่าอู๋แซว่ที่ดื่มเหล้าอยู่บนเกาะอกี้จานเรียกเขาคาแล้ว คาเล่าว่าชายใจหญิง ลองให้ตาเฒ่ามาพูดต่อหน้าจงเชี่ยนดูสิ?
จงเชี่ยนนิสัยดีก็จริง มีเพียงในเรื่องนี้ที่ทางที่ดีที่สุดควรควบคุม ปากเอาไว้บ้าง ก่อนที่จงเชี่ยนจะเลื่อนเป็ นขอบเขตเจ็ด การลงมือของ เขาแทบทุกครั้งก็ล้วนเป็ นเพราะอีกฝ่ายปากเสียทั้งนั้น
จงชี่ยนถาม “อาจารย์ผู้เฒ่าจูไม่ได้มาด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ปรมาจารย์จงเจ้าใช ้ได้เลยนี่นา คิดว่าจะพา พ่อครัวออกมาเที่ยวเล่นภูเขาสายน้าด้วยกันหรือ?”
จงชี่ยนยิ้มกว้าง “เคยกินอาจารย์ของอาจารย์ผู้เฒ่าจูมาก่อน ชิน ปากไปเสียแล้ว ทุกวันนี้กินอะไรก็ไม่อร่อย”
หยวนหวงอดไม่ไหวหันมามองจงเชี่ยน
เหนียงเนียงเทพภูเขาแห่งลานฉี่ฮวาพอจะมองเบาะแสออกแล้ว ยันต์ที่เหลืออีกสองแผ่นต้องซื้อสินะ?
จงชี่ยนมองคนหนุ่มที่นั่งกอดดาบอยู่ข้างๆ ถามว่า “เจ้าคือ?”
อูเจียงตอบอย่างกระชับเรียบง่าย “อูเจียง มือดาบ”
จงชี่ยนพยักหน้า “อายุน้อยมีความสามารถ ได้ยินชื่อเสียงมา นานแล้ว ตั้งใจฝึกดาบให้ดี ช่วงชิงอันดับหนึ่ง”
อูเจียงหน้าตึง “ได้สิ”
มาแสร ้งท าตัวเป็ นผู้อาวุโสในยุทธภพอะไรกับข้า เห็นแก่ที่เป็ น สหายของเซียนกระบี่เฉินหรอกนะถึงได้ไม่ถือสาเจ้า
ดูเหมือนว่าพอผู้ฝึ กยุทธมาถึงขอบเขตร่างทองแล้วลองกลั้น หายใจท าสมาธิเพียงเล็กน้อย สิ่งมีชีวิตที่เห็นระหว่างฟ้ าดินก็ กลายเป็ นเรื่องแปลกใหม่แล้ว เพราะพอจะมองเห็นเส้นทางการไหล รินของลมปราณบางส่วนได้อย่างเลือนราง
หยวนหวงเปิดปากถาม “เจ้าก็คือจงเชี่ยนหรือ?”
จงเชี่ยนตอบไม่ตรงคาถาม เขายกนิ้วโป้ งขึ้น “ข้ารู ้จักเจ้า ชื่อ หยวนหวง มีจิตใจองอาจของผู้กล้า ตอบแทนบุญคุณสะสาง ความแค้นอย่างสาแก่ใจ เหมือนบุคคลที่ถูกเขียนไว้ในต าราโบราณ”
หยวนหวงยิ้มเอ่ย “มิกล้ารับ”
เฉินผิงอันช่วยแนะนาพวกเขาให้รู ้จักกัน “คนที่อยู่ข้างๆ นั่นคือ เหนียงเนียงเทพภูเขาของลานฉี่ฮวาภูเขาเตี๋ยเย่”
นางยิ้มเอ่ย “ชื่อเดิมคือหยวนเจียฉ่าว นามว่าลวี่เยา”
จงชี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อก่อนไม่เคยได้ยินมาก่อน วัน หน้าขอแค่เดินทางผ่านจะต้องไปจุดธูปคารวะที่ศาลเทพภูเขาของเจ้า แน่นอน”
เหนียงเพียงเทพภูเขาคลี่ยิ้มหวาน พยักหน้าเอ่ยด้วยน้าเสียง อ่อนโยน “ได้เลย”
ถึงอย่างไรจงเชี่ยนก็คือจงเชี่ยน ชื่อเสียงของคนก็เหมือนเงาของ ต้นไม้ นามของบุคคล อันดับหนึ่งแห่งวิถีวรยุทธในใต้หล้ามิใช่เรื่อง ล้อเล่น
“นักท่องเที่ยว” ที่เป็ นดั่งปลาและมังกรปะปนกันอยู่บนชายฝั่งของ ทะเลสาบชิวชี่พากันมายังที่แห่งนี้ มีทั้งมาพูดคุยด้วยสองสามประโยค แล้วก็มีทั้งคนที่กุมหมัดแนะนาตัวอยู่ไกลๆ
ไปๆ มาๆ รอบกายจงเชี่ยนก็มีคนมารุมล้อมอยู่ไม่น้อย มีทั้งผู้ฝึก ยุทธและผู้หลอมลมปราณ ล้วนเป็ นบุคคลที่มีหน้ามีตาบนภูเขาและ ในยุทธภพ
จะให้เขาชักสีหน้าไล่คนไปก็ไม่ดี จงเชี่ยนเหลือบมองเจ้าขุนเขา เฉินอย่างระมัดระวังเฉินผิงอันผงกศีรษะยิ้มให้ บอกเป็ นนัยว่าไม่ เป็ นไร เจ้าพูดคุยของเจ้าไป ข้าก็จะได้ถือโอกาสนี้ฟังเรื่องน่าสนใจไป ด้วย
คุยกันอย่างเผ็ดร ้อนออกรสออกชาติ ระหว่างนั้นคนชุดเขียวที่นั่ง ตกปลาก็พูดแทรกสองสามประโยค แต่กลับไม่มีใครสนใจ ต่างคน
ต่างคุยเรื่องของตัวเองกันไป จงเชี่ยนจึงรู ้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง ไม่ได้กลัวว่าเฉินผิงอันจะโกรธ เพราะถึงอย่างไรเขาก็รู ้ดีถึงความใจ กว้างของเจ้าขุนเขาเฉิน แต่หากเรื่องพวกนี้อ้อมไปอ้อมมาจนไปเข้า หูหมี่ลี่น้อยเข้า ถ้าอย่างนั้นวันหลังเมื่ออยู่บนโต๊ะอาหารของภูเขาลั่ว พั่ว เขาจะไม่ถูกเอาไปล้อเล่นเป็ นกับแกล้มแกล้มสุรานานเป็ นเดือนๆ เลยหรอกหรือ? เอาแค่เฉินหลิงจวิน อีกฝ่ ายจะยอมละเว้นเขาหรือไร? และยังมีเด็กชายผมขาวที่ดูเหมือนว่าจะเป็ นขุนนางผู้เรียบเรียงตารา อะไรนั่นอีก เจ้าคนที่ขาดก็แค่ไม่ได้แกะสลักค าว่า “ข้าคือสุนัขรับใช ้ อันดับหนึ่งของใต้เท้าอิ่นกวาน” ไว้บนหน้าผากผู้นั้น จะยอมปล่อย ตนไปหรือไร?
เฉินผิงอันหันหน้ามา ยิ้มเอ่ย “นี่ไม่ใช่เซียนกวีหลิ่วหรอกหรือ มา
ได้อย่างไร”
บุรุษสวมชุดผ้าฝ้ ายที่อยู่ริมน้าขยับมาโผล่ใกล้ๆ ที่แห่งนี้ราวกับผี
หลิ่วซวี่นั่งยองหน้าดาทะมึนอยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “หยวนอีจื้อแก้ไข ปัญหานั้นได้แล้ว หยวนเซวียนเลยให้ข้ามาขอบคุณเจ้า ศาลชาน หลางรับปากว่าจะต้องมีค่าตอบแทนให้อย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “เรื่องเป็ นมาอย่างไรกัน ข้าไม่ได้ทา อะไรเลยนะ”
หลิ่วซวี่ตอบอย่างเฉยชา “ไม่รู ้เหมือนกัน เอาเป็ นว่าหยวนอีจื้อ เริ่มปิดด่านแล้ว ดูจากท่าทางน่าจะมั่นใจไม่น้อย”
เฉินผิงอันครุ่นคิดก็พอจะเดาออกว่าต้องเป็ นฝีมือของลู่เฉิน แต่ เฉินผิงอันใช ้หัวเข่าคิดก็ยังรู ้ว่าเจ้าลัทธิลู่ต้องอัดอั้นแทบตายเป็ นแน่
แค่ไม่รู ้ว่าจะอาละวาดออกมาที่ไหนเมื่อไหร่ก็เท่านั้น หลิ่วซวี่ถาม “เจ้าสนิทกับหลิ่วชื่อเฉิงมากหรือ?” เฉินผิงอันพยักหน้า “รู ้จักกันมาตั้งนานแล้ว สนิทอยู่มากจริงๆ”
หลิ่วซวี่ส่ายหน้า
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ตอนนี้เขาอยู่บนภูเขาหรือ?”
หลิ่วซวี่พยักหน้า “ก่อนหน้านี้นั่งโดยสารเรือลาเดียวกัน ระหว่าง ที่เดินทางมา ไอ้หมอนี่ท่าทางฮึกเหิม ขาดก็แค่ไม่ได้บอกกับคนอื่นว่า เป็ นอาจารย์สอนวิชาหมัดสอนเวทกระบี่ให้เจ้าตอนเจ้ายังเป็ นเด็ก หนุ่มก็เท่านั้น ผลคือพอไปถึงท่าเรือหนิวเจียวก็ตกใจจนบื้อใบ้ไปเลย”
เฉินผิงอันกล่าว “เป็ นนิสัยของเขาจริงๆ”
เพราะทั้งสองฝ่ ายพูดคุยกันไม่ได้ใช ้การรวมเสียงให้เป็ นเส้นหรือ ใช ้เสียงในใจ ดังนั้นคนมีใจบางคนฟังผ่านแล้วจึงปล่อยผ่านเลยไป ศาลซานหลางอะไร หยวนอีจื้อ หลิ่วชื่อเฉิงล้วนเป็ นชื่อพื้นที่ประกอบ พิธีกรรมและบุคคลที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ส่วนคนผู้นั้นที่ไม่รู ้ว่าแซ่ หลิวหรือแซ่หลิ่ว คือ “เซียนกวี” หรือ?
หลิ่วซวี่ใช ้เสียงในใจถาม “ได้ยินมาว่าขอบเขตของพื้นที่มงคล แห่งนี้ สูงสุดก็แค่โอสถทองหรือ?”
ผู้ฝึ กยุทธขอบเขตปลายทางต่อสู้กับขอบเขตโอสถทองจะไม่ เหมือนเล่นสนุกเลยหรือใช ้มือเดียวต่อกรกับคู่ต่อสู้ยังกังวลว่าจะกะ กาลังได้ไม่ดีด้วยซ้า
เฉินผิงอันพยักหน้า “ตอนนี้ขอบเขตของนางยังไม่สูง แต่ ผลส าเร็จบนมหามรรคาในวันหน้ากลับมิอาจดูแคลนได้”
หลิ่วซวี่ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังเอ่ยว่า “อย่าได้ใจอ่อนเกินไป”
เฉินผิงอันกลั้นขา พยักหน้ารับแรงๆ
หลิ่วซวี่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “มารดามันเถอะ ต่อให้ข้าจะไม่ เคยเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลบร ้อนแล้วอย่างไร ค าแนะน าจากสหาย จะฟังหรือไม่ฟังก็ตามใจ”
เฉินผิงอันกุมหมัดเขย่า “ฟังสิ ท าไมจะไม่ฟังล่ะ ต้องฟังแน่อยู่ แล้ว!”
หลิ่วซวี่กล่าว “ข้าทาธุระที่แจกันสมบัติทวีปเสร็จแล้วอาจจะอ้อม เส้นทางไปที่ฝูเหยาทวีปก่อน มีใครให้ข้าต้องน าความไปบอก หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ให้พวกเฉินเสวียนถอนตัวออกมาได้แล้ว แล้วช่วยขอบคุณแทนข้าสักค า จ าไว้ว่าเตือนพวกเขาด้วยว่าคราว หน้าที่มาเป็ นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วอย่าลืมเอาของขวัญมาด้วย”
หลิ่วซวี่อึ้งงัน เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นกล่าว “บนภูเขาบ้าน เจ้าครึกครื้นเกินไปแล้ว ข้าไม่คุ้นชิน คงไม่อยู่ต่อแล้ว”
เฉินผิงอันเองก็ไม่รั้งตัวไว้ “ไปถึงนครมังกรเฒ่าสามารถไปดื่ม เหล้ากับฟ่านเอ้อได้”
หลิ่วซวี่มองเฉินผิงอัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เชื่อถือ
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “สหายที่ข้าแนะนาให้เขียนกวี หลิ่วรู ้จักด้วยตัวเองจะเหมือนเจ้าหลิ่วบ้าตัณหาได้หรือ?”
หลิ่วซวี่พยักหน้า “เป็ นแบบนี้ย่อมดีที่สุด หลอกหลิวจึงหลงคน เดียวก็พอแล้ว คราวหน้าไปที่บ้านข้า จาไว้ว่าไปดื่มเหล้ากับข้าด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ได้เลยๆ แน่นอนๆ ดื่มเหล้านั้นดีที่สุดแล้ว”
คราวก่อนได้ยินหยวนเซวียนเล่าว่า ทุกวันนี้ตระกูลและจวนเซียน ของอุตรกุรุทวีปที่อยากจะเอาลูกสาวหรือลูกหลานในตระกูลใส่พาน มาส่งให้เซียนกระบี่หลิ่วแห่งลาคลองหลัวหม่าก็มีมากจนนับไม่หวาด ไม่ไหวแล้ว
หลิ่วซวี่หัวเราะร่วน ยกเท้าเตะหินก้อนใหญ่ที่อยู่ข้างทางลงไปใน ทะเลสาบ แล้วจากไปทั้งอย่างนี้
เฉินผิงอันก่นด่าดังลั่น “เซียนกวีหลิ่วทาไมเจ้าถึงได้กวนโอ๊ย แบบนี้ล่ะ พูดให้เบาหน่อยคือไม่รู ้จักดีชั่ว พูดให้แรงหน่อยคืออย่าง
เจ้านี่เรียกว่าคนเนรคุณ ไม่มีข้าแล้วใครจะรู ้ว่าเจ้าเปี่ ยมด้วย สติปัญญาและพรสวรรค์เหนือใคร…”
หลิ่วซวี่หันหลังให้กับเถ้าแก่รองที่ชอบพูดจาเหน็บแนมประชด ประชัน ชูแขนยกนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่ง
จงชี่ยนรวมเสียงให้เป็ นเส้นถามว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ท่านผู้นี้คือ?”
เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจตอบกลับ “ลูกค้าเก่าของร ้านเหล้าที่ กาแพงเมืองปราณกระบี่แช่หลิ่ว คือผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีป อันที่ จริงมีเงินมาก แต่กลับใช ้จ่ายเงินอย่างประหยัดมาก”
จงชี่ยนหันไปมองหลิ่วซวี่แล้วพยักหน้า “มองออกอยู่”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “มองออกว่าเขามีเงินหรือมองออกว่า เขาขี้เหนียว?”
จงชี่ยนกล่าว “มีเงิน”
เฉินผิงอันประหลาดใจ “มองออกได้อย่างไร?”
ปีนั้นที่ร ้านเหล้า พูดถึงแค่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน เฉินผิงอันก็มอง ไม่ออกจริงๆ ว่าหลิวซวี่คือนายน้อยแห่งล าคลองหลัวหม่า ในความ เป็ นจริงแล้วหากไม่ใช่ลูกค้าของร ้านเหล้าแพร่งพรายตัวตนของอีก ฝ่ ายให้รู ้ เขาก็คงเห็นหลิ่วซวี่เป็ นคนยากจนที่คิดจะเชือดหมูก็ยัง รังเกียจว่าจะตวัดมีดเร็วเกินไป
จงเชี่ยนกล่าว “คาโบราณบอกเอาไว้ไม่ใช่หรือว่า ความสงบและ ยากจนคือสภาพแวดล้อมที่เอื้ออานวยของบัณฑิต การประหยัดก็คือ ปีเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ของคนเพาะปลูก เขียนกระบี่หลิ่วท่านนี้ สวมหมวกขนเตียวใบเก่าที่สึกหลอมากแล้วแต่เขาก็ยังตัดใจทิ้งไป ไม่ได้ แค่มองก็รู ้แล้วว่าทั้งสงบยากจนทั้งประหยัด นี่ไม่ใช่คนมีเงินแล้ว
จะเป็ นอะไร”
เฉินผิงอันร ้องเอ๊ะ “ปรมาจารย์จง ใช ้ได้เลยนี่นา เมื่อก่อนไม่เห็นรู ้ เลยว่าเจ้าเข้าใจพูดขนาดนี้ ทาไมตอนอยู่บนภูเขาเจ้าไม่พูดให้มาก หน่อยล่ะ?”
มิน่าเล่าอยู่บนภูเขาลั่วพั่วถึงได้มีความสุขขนาดนั้น
จงเชี่ยนกล่าว “อยู่บนภูเขาของพวกเรา ข้าไม่ได้ออกจากบ้าน บ่อยๆ สักหน่อย ทุกครั้งเวลาไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว จะคีบอาหารหรือดื่ม เหล้ายังแทบไม่ทันเลย แล้วจะคุยอะไรเล่า”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “เจ้านี่ก็หน้าไม่อายจริงๆ บน ภูเขาของ “พวกเรา” อะไรกัน? ตอนนี้เจ้ายังเป็ นแค่แขกคนหนึ่ง เท่านั้น”
จงเชี่ยนร ้องอ๋า “เจ้าขุนเขา พวกเราสองคนสนิทก็ส่วนสนิท ข้า นับถือท่านก็ส่วนนับถือแต่พูดจาแบบนี้ข้าไม่ชอบฟังจริงๆ นะ จะเป็ น คนนอกได้อย่างไร ในบ้านที่เป็ นของข้าแล้วหลังนั้น ข้าได้ทาผักดอง หน้าหนาว เต้าหู้ยี้แล้วก็ปลากุ้ยหมักเอาไว้หลายไหแล้วนะ”