กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1074.5 ไม่ดื่มสุราคารวะจะดื่มสุราลงทัณฑ์
เฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ข้างกายหลัวฟู่ เม่ย “ลุกขึ้นเถอะ ชิวชิง ด้วย อย่ามัวอึ้งกันอยู่เลย”
หลัวฟู่ เม่ยยังคงนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น โขกหัวหนักๆ เอ่ยเสียง จริงจังว่า “บ่าว ไม่กล้าลุกขึ้น”
เฉินผิงอันกล่าว “ก็แค่ว่าต่างคนต่างทาหน้าที่ของตัวเอง ไม่ต้อง เป็ นกังวล หลัวฟู่ เม่ยเจ้าไม่ต้องตื่นเต้น วันหน้าบรรพจารย์ผู้คุมกฏ ของแคว้นหูเกินครึ่งก็น่าจะเป็ นเจ้าแล้ว ทางฝั่งของเพ่ยเซียง ข้าจะ ช่วยบอกกล่าวแทนเจ้าให้ก่อน ดังนั้นเจ้าต้องรีบเลื่อนเป็ นโอสถทอง
โดยเร็ว”
หลัวฟู่ เม่ยถึงได้ลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง เรือนกายแข็งเกร็ง ยอบ กายคารวะด้วยท่าทางแข็งที่อ
ชิวชิงเองก็ทาตามศิษย์พี่หญิงทุกอย่าง
เฉินผิงอันกล่าว “ขอถามหน่อย นี่เป็ นความสามารถที่เจ้าเรียนรู ้ มาจากใคร”
หลัวฟู่ เม่ยพูดเสียงสั่น “ไม่มีใครสอนวิชานอกรีตชั่วร ้ายพวกนี้ เป็ นบ่าวที่เรียนรู ้มาด้วยตัวเอง”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มีพรสวรรค์สินะ?”
หลัวฟู่ เม่ยพลันไม่รู ้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
เฉินผิงอันถาม “เมื่อครู่นี้ที่ช่วยเหลือแค่ศิษย์น้องหญิงของตัวเอง สมาชิกสายผู้คุมกฏคนอื่นๆ จะเป็ นจะตายข้าไม่สน นี่เป็ นนิสัยเสียๆ ที่ไปเรียนรู ้มาจากใคร?”
หลัวฟู่ เม่ยตอบอย่างระมัดระวัง “เมื่อก่อนแคว้นหูก็มี ขนบธรรมเนียมที่เละเทะเช่นนี้อยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่บ่าวเอง …ก็อยากจะเสี่ยงอันตรายแสวงหาความร่ารวย จะได้เป็ นผู้คุมกฏเร็ว หน่อย”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เสี่ยงอันตรายแสวงหาความร่ารวย แต่ความ ร่ารวยก็มักจะหายไปท่ามกลางความเสี่ยง คาโบราณพวกนี้ จุดที่เป็ น ปัญหาที่สุดก็คือพูดต่อๆ กันมาแค่ครึ่งเดียวทาให้ผู้อื่นเข้าใจผิด”
หลัวฟู่ เม่ยพยักหน้า “คาสั่งสอนของเจ้าขุนเขา บ่าวจดจาเอาไว้ แล้ว จะจาให้ขึ้นใจอย่างแน่นอน”
เรียนรู ้ได้เร็วดีมาก
พอได้ยินหลัวฟู่ เม่ยพูดสองค าว่า “เจ้าขุนเขา” ออกมา ผู้ฝึกตน ของแคว้นหูที่อยู่ในห้องลับซึ่งมีหญิงชราเป็ นผู้นาก็พากันนั่งคุกเข่า ลง ชดเชยมารยาทที่ขาดไป แต่ละคนไม่กล้าหายใจแรง
พูดถึงแค่เมื่อคืนที่อยู่ในคฤหาสน์ของเพ่ยเซียง ขนาดคนที่ไม่ถือ ว่าขี้ขลาดอย่างหลัวฟู่ เม่ยก็ยังไม่อยากจะเจอกับเจ้าขุนเขาท่านนั้น
อีกแล้ว และนางยังเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเพ่ยเซียงเจ้าแห่งแคว้น ส่วนเพ่ยเซียงก็เป็ นหนึ่งในสมาชิกศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่ว
ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกลมปราณเผ่าจิ้งจอกในห้องลับที่ได้ยินเรื่องราว ของเฉินอิ่นกวานมาจนคุ้นหูพวกนี้ ในที่สุดก็ได้เจอกับอิ่นกวานคน สุดท้ายของกาแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ พวกเขาจะใจกล้าได้สัก
เท่าไรกันเชียว
ผู้ฝึกตนหญิงเผ่าจิ้งจอกที่รับหน้าที่จดบันทึกถึงกับตกใจจนหลั่ง น้าตาเต็มใบหน้า แต่กลับไม่กล้าส่งเสียงร ้องไห้ นางเอาหน้าผากแนบ พื้น ทั่วร่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
แต่น่าเสียดายที่เรือนกายของเจ้าขุนเขาเฉินได้หายวับไปแล้ว
ผลคือหลัวฟู่ เม่ยแสร ้งท าเป็ นว่ายังยืนคุยกับ “เจ้าขุนเขาเฉิน” อยู่ ตรงนั้นต่อไป นางไม่ลืมธุระสาคัญ หันตัวไปปลดคนทรยศของแคว้น หูลงมาจากก าแพง
รอกระทั่งศิษย์น้องหญิงชิวชิงส่งสายตาให้นาง หลัวฟู่ เม่ยถึงได้ กลอกตามองบน ยื่นมือไปจับประคอง “ชุ่ยป๋ าย” นางพูดคุยอีกสอง สามประโยคแล้วถึงได้กระแอมหนึ่งที “ทุกคนลุกขึ้นเถอะ เจ้าขุนเขา ไปแล้ว”
เป็ นแค่การตกใจกันไปเอง แม้จะตกใจแต่ไร ้อันตราย
สาหรับคนบางคนแล้วถึงขั้นพูดได้ว่านี่เป็ นความมั่งคั่งมีเกียรติที่ ไม่เล็กครั้งหนึ่ง ส่วนพวกคนที่วันนี้แค่มาทางานแต่ไม่ได้ออกแรงก็ยัง
มีหัวข้อในการพูดคุยที่มากพอจะทาให้คนคุยหน้าบานเป็ นกระดัง คน ฟังอิจฉาอย่างถึงที่สุดไปเลยไม่ใช่หรือ?
หลัวฟู่ เม่ยประคองซ่งเจียชูไปนั่งลงข้างโต๊ะ สตรีที่มือเท้ายังเต็ม ไปด้วยตะปูไม่ถูกถอดออกได้แต่นั่งพิงกาแพงตัวอ่อนยวบ
“ซ่งเจียซู วันหน้าข้าควรจะเรียกเจ้าว่าสหาย “ชุ่ยป๋ าย” แล้ว เจ้า ได้รับโชคหลังเคราะห์ร ้าย เป็ นคนที่โชคดีที่สุดคนหนึ่ง บอกตามตรง ข้าอิจฉาเจ้ามาก อิจฉาจนตอนนี้อยากจะถลกหนังของเจ้าออกมา สวมไว้บนร่างตัวเองเลยล่ะ”
“เรื่องไม่น่าฟังข้าจะเอามาพูดก่อน วันหน้าหากเจ้ากล้าทาผิดต่อ ความหวังที่เจ้าขุนเขาเฉินฝากไว้ ข้าจะต้องใช ้สารพัดวิธีสังหารเจ้า ทิ้งโดยไม่สนใจอะไรอย่างแน่นอน”
“อย่าเป็ นคนใบ้สิ อย่างน้อยก็ช่วยส่งเสียงหรือพยักหน้าหน่อย”
ซ่งเจียซูท าเพียงจ้องเขม็งมายังหลัวฟู่ เม่ยที่ใจดาอามหิตผู้นี้
หลัวฟู่ เม่ยบีบปลายคางของนางเขย่า “ดีมาก จะถือว่าเจ้าเห็น ด้วยแล้ว”
ซ่งเจียซูได้แต่ขยับนิ้วมือ ทว่าก็ยังไม่อาจยกมือขึ้นได้
หลัวฟู่ เม่ยกระตุกมุมปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน โน้ม กายไปด้านหน้า ยื่นหัวไปกระซิบข้างหูนาง เอ่ยคาพูดที่เกี่ยวข้องกับ ผู้ถ่ายทอดมรรคาของซ่งเจียซูและเกาจวิน
ซ่งเจียซูเงียบไม่ตอบ
หลัวฟู่ เม่ยเอนกายมาด้านหลัง ยิ้มพลางยื่นนิ้วออกมาเคาะลงบน ตะปูดอกหนึ่งที่อยู่บนแขนของนางเบาๆ ซ่งเจียซูเจ็บปวดสุดขีด หลัว ฟู่เม่ยยิ้มตาหยีพูดล้อเลียน “ติ๊ง”
พาซ่งเจียซูออกจากคุกส่งกลับไปพักรักษาตัวยังที่พักของนาง เองก่อน ศิษย์น้องหญิงชิวชิงวิ่งวุ่นจัดการทุกอย่าง นางป้ อนยาหลาย เม็ดให้ซ่งเจียซู ดึงตะปูพวกนั้นออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเตรียม น้ายาหนึ่งถังและยาทาที่ทาด้วยกรรมวิธีลับของแคว้นหูซึ่งล้าค่าหา ยากมาอีกหลายขวด หลัวฟู่ เม่ยนั่งคุกเข่าลงบนม้านั่งปักลาย เปิด สมุดเล่มหนึ่งออกพลางคลอเพลงไปด้วย แล้วก็เริ่มหยิบพู่กันขึ้นมา เขียนเรื่องที่พบเจอในวันนี้ บันทึกทุกประโยคทุกรายละเอียดหลังจาก ที่อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นเผยกายลงไปอย่างละเอียด
คฤหาสน์ของเพ่ยเซียงที่ว่างเปล่าไร ้ผู้คน
เฉินผิงอันเดินเนิบช ้าอยู่ด้านใน
อันที่จริงในพื้นที่มงคลรากบัวแห่งนี้ได้ซุกซ่อนกลไกลับเอาไว้จึง สามารถมองเป็ น “ใต้หล้าสองแห่ง” ได้เลย
ทว่าแม้กระทั่งเพ่ยเซียงก็ยังไม่รู ้เรื่องนี้ ส่วนเกาจวินที่ตอนที่เลื่อน เป็ นขอบเขตโอสถทองแล้วได้ทะยานลมท่องไปทั่วใต้หล้า ก็ยังไม่อาจ สัมผัสได้ถึงความจริงเรื่องนี้
เพียงแค่เพราะปีนั้นตอนที่ชุยตงซานให้สุ่ยโย่วเปียนมอบร่มอู๋ถง ให้กับเจียงซ่างเจินฝ่ ายหลังที่อยู่ในใบถงทวีปได้รับตัวชาวบ้านลี้ภัยที่ พลัดถิ่นเร่ร่อนไว้ถึงหนึ่งล้านกว่าคน และหากรวมผู้ฝึ กลมปราณ เซียนดินกับภรรยา ทายาทและเหล่าลูกหลานพวกเขา รวมกันแล้วก็ มีมากถึงหกพันกว่าคน
ปีนั้นเจียงซ่างเจินให้ผู้ถวายงานที่เชี่ยวชาญด้านค่ายกลสองคน ของส านักกุยหยกและสกุลเจียงถ้าเมฆาแบ่งพื้นที่เงียบสงบสองแห่ง ใหญ่ที่อยู่ห่างไกลกันในพื้นที่มงคลขึ้นมา แล้วร่ายตราผนึกภูเขา สายน้า พาพวกชาวบ้านลี้ภัยมากมายนี้ไปอยู่ ให้พวกเขาได้ชีวิตทา มาหากินกันอยู่ในพื้นที่รอบรัศมีพันลี้ แต่กลับตัดขาดจากโลก ภายนอก ภายในของพื้นที่มงคลก็มีแค่เว่ยเหลียงไท่ซ่างหวงของ แคว้นหนันเยวี่ยนที่รู ้เรื่องนี้ เพราะปีนั้นตอนที่ “คุ้มกัน” คนของใบถง ทวีปพวกนี้เข้าไปหลบภัยในพื้นที่มงคล นอกจากลูกหลานสกุล เจียงอวิ๋นหลินกลุ่มใหญ่แล้ว ก็ยังมีสุยโย่วเปี ยน ยาเอ๋อร ์และผู้ฝึ ก กระบี่เฉาจวิ้น รวมไปถึงเว่ยเชี่ยนที่เป็ นฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนัน เยวี่ยนที่เป็ นผู้นาพากองทัพทหารม้าฝี มือดีหมื่นนายทาหน้าที่ เปิดทาง
แม้จะบอกว่าพื้นที่มงคลรากบัวได้เชื่อมต่ออยู่กับภูเขาลั่วพั่ว อย่างแน่นหนา หากน าร่มโบถงคันนั้นออกไปก็จะได้รับความเสียหาย ไปถึงเส้นเอ็นและกระดูก ต้องเผาผลาญเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ แต่ เฉินผิงอันก็ยังคิดว่าในการประชุมของศาลบรรพจารย์ครั้งถัดไปจะให้
ชุยตงซานและเสี่ยวโม่เอาร่มใบถงไปที่ใบถงทวีป ขอแค่เป็ นคนที่ยินดี กลับคืนสู่บ้านเกิดก็ล้วนสามารถออกมาจากพื้นที่มงคล หวนกลับคืน สู่มาตุภูมิเดิมอย่างใบถงทวีปได้อีกครั้ง แน่นอนว่าหากยอมอยู่ต่อ ย่อมดียิ่งกว่า อีกไม่นานทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วจะถอนตราผนึกภูเขา สายน้าออกแล้วเปิดประตูใหญ่ ให้ชาวบ้านที่เลือกจะอยู่ต่อได้หลอม รวมกับสี่แคว้นของพื้นที่มงคล
แต่ผู้ฝึกลมปราณของใบถงทวีปกลุ่มนั้น มีคนหนึ่งก็นับคนหนึ่ง ต้องติดค้างหนี้ครั้งหนึ่งกับสานักกระบี่ชิงผิง ดังนั้นรายรับจึงน่าจะพอ คุ้มทุนอยู่บ้าง
แคว้นหูจ าเป็ นต้องมีผู้ฝึกตนอย่างหลัวฟู่ เม่ย
แล้วภูเขาลั่วพั่วในวันหน้าล่ะ? สานักกระบี่ชิงผิงที่วางเค้าโครง ของส านักไว้เรียบร ้อยแล้วล่ะ?
“เฉินผิงอัน” หัวเราะ เรือนกายเปล่งวูบหายไป การผ่อนคลาย อารมณ์สิ้นสุดลงแล้วก็ได้เวลากลับเข้าสู่กรงขังแล้ว
เซี่ยเถาที่จาจูเหลี่ยนได้ จูเหลี่ยนที่จาเซี่ยเถาได้
หนึ่งคนหนึ่งผีอยู่ด้วยกันในซากปรักเก่าของคฤหาสน์ใต้เมฆาที่ สภาพพังภินท์ไม่เหลือชิ้นดี จากกลางคืนที่ม่านราตรีหนาหนักไป จนถึงยามที่ขอบฟ้ ากลายเป็ นสีขาวพุงปลา ผู้เฒ่าหลังค่อมสวม รองเท้าผ้าเพิ่มฟื นใส่กองไฟไปหลายครั้ง เหนียงเนียงเทพภูเขาที่ เฝ้ าดูแลกิจการบ้านเรือน” แห่งนี้พูดคุยด้วยสีหน้าเบิกบานมีชีวิตชีวา
ไม่รู ้สึกง่วงแม้แต่น้อย อย่างมากนางก็แค่คอยเหลือบมอง “จูเหลี่ยน” บ่อยๆ ด้วยความรู ้สึกประหลาดใจ
เหนียงเนียงเทพภูเขาที่เวลาปกติมีบารมีน่าเกรงขามประหนึ่งเด็ก สาวผู้เบิกบานเหมือนได้เปิดกล่องแห่งการสนทนากว้างอย่างเต็มที่ เล่าเรื่องในยุทธภพช่วงร ้อยปีที่ผ่านมาให้ชายทรยศที่เดิมที่ใจคิดว่า หากได้เจอกันอีกครั้งจะต้องลงมือสังหารเขาให้จงได้ผู้นี้
ต่อให้อีกฝ่ ายจะพูดอย่างชัดเจนว่าการที่เขามาที่นี่ก่อนไม่มีอะไร เกี่ยวข้องกับนาง เซี่ยเถาก็ไม่ถือสาเลยสักนิด แค่ค าว่า ‘ก่อน” ค า เดียวก็เพียงพอแล้ว
เซี่ยเถาเล่าว่าหอเก็บตาราที่ชื่อว่า “หออีเหลี่ยวป๋ ายเหลี่ยว” ของ ตระกูลเขาในปีนั้น ได้ถูกท าลายลงไปท่ามกลางไฟสงครามแล้ว ห้อง หนังสือที่มีชื่อว่า “ชิวมู่” ก็ไม่เหลืออยู่แล้วเช่นกัน
ฟังมาถึงตรงนี้ จูเหลี่ยนไม่สะทกสะท้าน คล้ายกับฟังเรื่องราวของ ตระกูลอื่นอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าสวนอวี๋อวี๋ แม้จะบอกว่าดอกไม้ที่มีชื่อเสียงพวกนั้นจะถูกกอง เพลิงเผาไหม้ไปจนเกลี้ยงแล้ว ทว่าภูเขาจาลองที่เกิดจากการ ประกอบกันของหินมีชื่อและหินฝนหมึกโบราณจ านวนนับไม่ถ้วนได้ กระจายกันไปอยู่สี่ทิศ ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ก็คล้ายว่าจะมีนักเก็บ สะสมที่อยู่เบื้องหลังซึ่งสถานะไม่แน่ชัด ทั้งยังใช ้จ่ายมือเติบอีกหลาย คนที่ต่างก็ทุ่มเงินก้อนใหญ่รวบรวมก้อนหินและจานฝนหมึกพวกนี้ไป
นางต้องทุ่มแรงมหาศาลถึงได้รวบรวมหนึ่งในห้าส่วนของภูเขาจ าลอง ยามที่สมบูรณ์แบบในปีนั้นมาได้….
ฟังมาถึงตรงนี้ ในที่สุดจูเหลี่ยนก็เปิดปากยิ้มเอ่ย จะเก็บของพวก นี้มาทาอะไร มีแต่จะสิ้นเปลืองแรงคนและเงินทองเสียเปล่า ต่อให้ ประกอบกลับมาเป็ นภูเขาจ าลองแบบเดิมได้แล้วจะเอามาท าอะไร เอา มาเก็บรองเท้าปักลายของสตรีหรือ? คิดว่าของพวกนั้นหอมนักหรือ ไร? มีเยอะเป็ นตะกร ้าเป็ นกระบุง กลิ่นนั้นไม่ได้หอมเลยจริงๆ ในอดีต พวกคนปลูกดอกไม้ต้องบีบจมูกหาบคานไปด้วย หากไม่เป็ นเพราะ พวกเขาเอาไปขายได้เงินก็จะมองมันเป็ นงานล าบากแล้ว เอาเป็ นว่า ทุกครั้งข้าจะต้องหลบเลี่ยงไปให้ไกลก็แล้วกัน
ยังมีตาหนักปะการังพสุธาที่จูเหลี่ยนเอาไว้ใช ้เก็บกระบี่ที่มี ชื่อเสียงในใต้หล้าโดยเฉพาะ เนื่องจากสถานที่ตั้งถูกอาพรางไว้ เช่นเดียวกับคฤหาสน์ใต้เมฆา จึงโชคดีรอดพ้นหายนะมาได้ เพียงแต่ รอกระทั่งเซี่ยเถาไปถึงที่นั่นก็ได้พบว่าถูกคนชิงตัดหน้าไปก่อนแล้ว อีกทั้งเซี่ยเถาที่เชี่ยวชาญศาสตร ์การก่อสร ้างยังมองออกด้วยว่าถูก คนขนย้ายไปจนเกลี้ยง ไม่ต่างจากความคิดของนาง ไม่ใช่การทุบ ทาลายอย่างส่งเดช แต่ค่อยๆ รื้อถอนไปทีละนิด ทาพิกัดไว้ก่อน เรียบร ้อยแล้วค่อยพยายามเอากลับไปประกอบใหม่ให้ได้เหมือนเดิม อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
สาหรับเรื่องนี้จูเหลี่ยนแค่ยิ้มวิจารณ์มาประโยคเดียวว่า คิดไม่ถึง ว่าจะเป็ นโจรที่มีรสนิยมเสียด้วย
เซี่ยเถาถามอย่างประหลาดใจ “หลายปีมานี้ไปอยู่ไหนมา?”
จูเหลียนเอ่ยเนิบช ้า “อยู่ดีๆ ก็ฟื้นคืนจากความตาย เหมือนกับ…”
เซี่ยเถาเงียบรอฟังประโยคถัดไป
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “เหมือนกับฝันดีตื่นหนึ่งแล้วตื่นมาตอนเช ้าตรู่”
เซี่ยเถามีสีหน้ากลัดกลุ้มเล็กน้อย นางกัดริมฝีปากถามว่า “ต่อ จากนี้ล่ะ เจ้าจะไปที่ไหน ไปทาอะไร?”
อันที่จริงที่นางอยากถามจริงๆ ก็คือเจ้าจะไปพบใครอีก แล้วยังจะ กลับมาที่นี่อีกหรือไม่?
บางครั้งกิ่งไม้แห้งที่อยู่ในกองไฟก็แตกลั่นเกิดเป็ นเสียงความ เคลื่อนไหวเบาๆ
จูเหลี่ยนครุ่นคิด เงยหน้ามองสีท้องฟ้ า เอ่ยว่า “ไป ไปที่ห้องครัว ของศาลกัน จะท าอาหารมื้อเช ้าให้เจ้ากิน ลองชิมดูว่าฝีมือของข้ามี พัฒนาบ้างหรือไม่?”
เซี่ยเถาทั้งดีใจทั้งขุ่นเคือง กัดริมฝีปาก พึมพาว่า “เมื่อก่อนเจ้า อยู่ในคฤหาสน์ใต้เมฆาแห่งนี้ก็แค่เขียนตาราอาหารขึ้นมาเล่มหนึ่ง เท่านั้น ไม่เคยเข้าครัวทาอาหารมาก่อน”
หวนนึกถึงปีนั้นที่ห่างไกล คุณชายผู้สูงศักดิ์ในอดีตนั่งเท้าคาง ด้วยมือข้างเดียวอยู่ข้างโต๊ะอย่างเกียจคร ้าน เขียนค าน าของต ารา อาหาร ปลายพู่กันตวัดดังสวบสาบอยู่บนกระดาษจดหมายลายดอก
ท้อที่เขาทาขึ้นเอง พลางหันหน้ามายิ้มบางๆ ให้กับสตรีที่ม้วนม่านไม้ ไผ่อยู่ตรงหน้าประตู บอกว่าการปกครองแคว้นอันยิ่งใหญ่ก็เหมือน การปรุงปลาตัวเล็กเป็ นอาหาร
แสงตะวันสีทองส่องลอดทะลุหน้าต่างเข้ามา กระทบลงบนใบหน้า ของบุรุษ
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าคงจาผิดไป”
เซี่ยเถาหันหน้าไปทางอื่นไม่ยอมมองเขา
อยู่ดีๆ จูเหลี่ยนก็ยิ้มถามด้วยประโยคที่คล้ายทายคาปริศนา “ท่านลูกค้า ทานอาหารพักผ่อนอยู่นานแล้ว จะจ่ายเงินออกจากร ้าน เมื่อไหร่?”
เซี่ยเถาคิดเป็ นร ้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ จึงหันมามองจูเหลี่ยนอย่าง เหม่อลอย
“เด็กโง่ก็คือเด็กโง่ ต้องโทษที่ปีนั้นข้าตั้งฉายาให้เจ้าว่าคนขี้แย”
จูเหลี่ยนส่ายหน้ายิ้มๆ เอาสองมือไพล่หลัง เรือนกายงองุ ้ม ก้าว เดินน าไปทางศาลเทพภูเขาก่อน
เซี่ยเถาตามไปเงียบๆ เดินไปเดินมาดวงตาของนางก็พลันเป็ น ประกายวาบ หยุดฝีเท้าลง เหม่อมองแผ่นหลังนั้น นางเพิ่มความเร็ว ฝีเท้าตามผู้เฒ่าไปทัน แล้วยื่นมือไปคล้องแขนของเขา
จูเหลี่ยนกระตุกแขนกลับเบาๆ บ่นว่าชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน เซี่ยเถาร ้องเฟ้ ย ไม่ยอมปล่อยมือ ที่แท้คาตอบของปริศนานั้นก็คือ… สองค า คิดถึง!
ท่านลูกค้ามาพักอาศัยที่ร ้าน มาอยู่ในใจของข้าก็คือความคิดถึง
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		