กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1075.2 ถามหมัด ถามมรรคา ถามกระบี่ มาพร ้อม กัน
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1075.2 ถามหมัด ถามมรรคา ถามกระบี่ มาพร ้อม กัน
ยามที่นอกสนามรบมีเรือกระบี่ของต้าหลีสามสิบลาจอดลอยอยู่ ในเวลาเดียวกัน กระบี่บินจ านวนหลายแสนเล่มสาดยิงออกมาพร ้อม กันเหมือนฝนเทกระหน่า แทบจะกลบกลืนพื้นที่ไกลเป็ นพันลี้
ชุยตงซานถาม “ครั้งนี้เทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋มาเป็ นแขกที่บ้านของ พวกเราคือปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงก่อนแล้วค่อยมาทวงหนี้คืนถึงบ้าน หรือ?”
อวี๋เสวียนโบกมือด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ไม่ใช่เสียหน่อย”
เผยเฉียนมีสีหน้าคลางแคลงใจ เงินกู้ดอกเบี้ยสูงอะไร? เงินเหริน ผู้เฒ่าปล่อยเงินกู้มาถึงบนหัวอาจารย์พ่อของตนเลยหรือ?
เฉินหลิงจวินที่นั่งตัวตรงอย่างสารวมทาตัวเป็ นคนใบ้อยู่ตลอด นับถือในญาณที่ทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าของตัวเองยิ่งนัก ดูสิดู ผู้ อาวุโสยอดฝีมือที่อยู่ด้านหน้าของ “รวมเล่มคนผ่านทาง พวกนี้ ดุ ร้ายหรือไม่เล่า?
นี่ถึงกับตามมาทวงทรัพย์สินเงินทองถึงที่บ้าน เป็ นเรื่องหายากที่ เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกเลยนะ!
่
โชคดีที่ตนไม่ได้หลงระเริงลาพองตน หางชี้ขึ้นฟ้ าเพราะโชคดีได้ ตีสนิทกับเทพเซียนผู้เฒ่าจิง จิงเฮาชิงกงไท่เป่าแห่งหลิวเสียทวีป
เดี๋ยวกลับไปจะต้องเพิ่มสองสามประโยคลงไปในสมุด วาด วงกลมให้ทั่วสานักของแผ่นดินกลางห้าแห่งซึ่งมีภูเขาเถาฝูเป็ นหนึ่ง ในนั้น เขียนอธิบายไว้ตรงพื้นที่ว่างข้างๆ ว่าควรเดินอ้อมผ่านไป
ชุยตงซานหันไปมองเด็กหนุ่มสวมหมวกหัวเสือด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ
ป๋ ายเหย่เอ่ยด้วยน้าเสียงเรียบเฉยว่า “คิดหนี้ต้องใช ้คืน สมเหตุสมผลตามหลักฟ้ าดิน
เห็นได้ชัดว่าไม่ยินดีจะถูกชุยตงซานเป็ นจิ้งจอกที่แอบอ้างบารมี เสือ ในเมื่อเจ้าขุนเขาเฉินกล้ากู้เงินดอกเบี้ยสูงจากอวี๋เสวียนและ ภูเขาเถาฝู แน่นอนว่าต้องใช ้เงินคืน
จวินเชี่ยนพยักหน้า “ต่อให้จะเป็ นเงินที่แคะออกมาจากซอกเล็ก ก็ถือเป็ นเงิน ประโยคที่เป็ นธรรมนี้ของป๋ ายเหย่ มีเหตุผลแล้ว”
สีหน้าของอวี๋เสวียนยิ่งกระอักกระอ่วน
นี่พวกเจ้าคนหนึ่งร ้องงิ้วหน้าแดง คนหนึ่งร ้องงิ้วหน้าขาวหรือ
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่นอกฟ้ า เจิ้งจวีจงที่บอกว่า “ในมือมีเงิน เหรียญทองแดงแก่นทองสามร ้อยเหรียญพอดี” ได้มอบเงินให้เฉินผิง อันยืม เพื่อให้เขาใช ้กอดขาพระเมื่อจวนตัว เพิ่มระดับขั้นของกระบี่
่
บินแห่งชะตาชีวิตจันทร ์กลางบ่อ แต่สามารถใช ้วิธีค านวณแปลงค่า หนึ่งต่อสิบ แลกเปลี่ยนเป็ นเงินฝนธัญพืชสามพันเหรียญเอามาใช ้หนี้ ก้อนนี้ได้ ทุกปีจะต้องจ่ายดอกเบี้ยสามส่วน
เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันต้องการเงินเหรียญทองแดงแก่น ทองห้าร ้อยเหรียญ ดังนั้นอวี๋เสวียนจึงควักออกมาสามร ้อยเหรียญ ทั้ง สองฝ่ ายตกลงกันว่าจะใช ้สิ่งของแลกเปลี่ยนสิ่งของ ไม่หักเป็ นเงินฝน ธัญพืช ดอกเบี้ยทบต้น ทุกปีเก็บดอกเบี้ยสามส่วน ดังนั้นที่ชุยตงซาน บอกว่าปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงก็ไม่ถือว่าใส่ร ้ายเจินเหรินผู้เฒ่าจริงๆ
เพียงแต่ว่าตามความคิดของเฉินผิงอัน จวนเฉวียนฝู่ ในภูเขาก็มี เงินเหรียญทองแดงแก่นทองอยู่สามร ้อยเหรียญเก็บไว้ในคลังอยู่แล้ว เขาจึงอยากเป็ นคนที่ไร ้หนี้ก็ตัวเบา จาเป็ นต้องรีบชดใช ้ “หนี้น้าใจ” ครั้งนี้ให้หมดโดยเร็ว เพียงแต่ไม่วางใจจะใช ้กระบี่บินส่งของไปให้ เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนอิสระบนภูเขาบางส่วนที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใดก็ ชอบมาดักชิงเอากระบี่บินไป เฉินผิงอันจึงคิดว่าจะให้เซี่ยโก่วเอาเงิน ก้อนใหญ่นี้ไปมอบให้ที่ยอดเขาเถียนจินภูเขาเถาฝูแผ่นดินกลางด้วย ตัวเอง ส่วนเงินฝนธัญพืชสามพันเหรียญที่ตนติดค้างนครจักรพรรดิ ขาว ไม่ถือว่าเป็ นเรื่องเร่งด่วนอะไร พูดถึงแค่เรื่องที่หันเชี่ยวเช่อเป็ น ฝ่ ายขอซื้อหนังสือจากเฉินผิงอันก็เชื่อว่าอีกไม่นานจะต้องถมหลุมนี้ ให้เต็มได้
ตามการประมาณการณ์ของเจิ้งจวีจงในเวลานั้น กระบี่บินแห่ง ชะตาชีวิตของเฉินผิงอัน คิดอยากจะก้าวขึ้นบันไดขั้นใหญ่ไปให้ได้
่
เลื่อนระดับขั้นของกระบี่บินจันทร ์กลางบ่อคาดว่ายังต้องใช ้เงิน เหรียญทองแดงแก่นทองอีกหนึ่งพันห้าร ้อยเหรียญ
หากอิงตามวิธีแลกเปลี่ยนของเจิ้งจวีจง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็ นเงิน ฝนธัญพืชหนึ่งหมื่นห้าพันเหรียญ เฉินผิงอันจึงจะเลื่อนระดับขั้นของ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้
นี่แสดงให้เห็นถึงความสิ้นเปลืองในการหลอมกระบี่ของผู้ฝึ ก กระบี่ กินภูเขาเงินภูเขาทองอย่างแท้จริง มิน่าเล่าถึงได้พูดกันว่าใต้ หล้านี้ไม่มีผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่มีเงิน หากไม่ติดเงินคนอื่นก็ต้องเดินไปบน เส้นทางของการเป็ นหนี้
ลู่จือที่กินยันต์ชาระล้างกระบี่ของป๋ ายอวี่จิงไปที่เดียวหลายแผ่น ก็ป็ นเช่นนี้ สิงกวานหาวซู่ที่เคยอยากจะเป็ นเจ้านครชิงชุ่ยก็เป็ นเช่นนี้ เหมือนกัน
เจินเหรินผู้เฒ่าคือบรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาของภูเขาเถาฝู แผ่นดินกลาง พื้นที่ประกอบพิธีกรรมตั้งอยู่ที่ยอดเขาเถียนจิน
หนึ่งภูเขาห้าสานักที่มีชื่อเสียงในใต้หล้า หนึ่งปฐมสานักหนึ่ง สานักเบื้องบนสามสานักเบื้องล่าง รูปแบบใหญ่โตเช่นนี้ อย่าว่าแต่ใต้ หล้าไพศาลเลย ต่อให้เป็ นใต้หล้าหลายแห่งก็ยังมีเพียงหนึ่งเดียว เท่านั้น
่
ภูเขาเถาฝูได้ครอบครองพื้นที่มงคลระดับสูงหนึ่งแห่งและถ้า สวรรค์เล็กอวิ๋นเมิ่งในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีพื้นที่มงคล ระดับกลางเหล่าเคิงและป้ ายเลี่ยนอีกสองแห่งซึ่งมีเงินทองไหลมาเทมา
นอกจากอารามจิงเหว่ยที่จ้าวเหวินหมิ่น “นักพรตชงเซวี่ย” ลูก ศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอวี๋เสวียนเป็ นผู้ดูแลที่ค่อนข้างจะ ยากจนแล้ว จวนเซียนอักษรจงอีกสี่แห่งที่เหลือล้วนมีเงิน มีฐานกาลัง ทรัพย์อย่างแน่นหนา
ดังนั้นเงินก้อนนั้นที่จวินเชี่ยนพูดถึงคือเงินเล็กน้อยที่แคะออกมา จากเล็บของอวี๋เสวียน ก็ไม่ถือเป็ นการใส่ร ้ายเจินเหรินผู้เฒ่าที่ “ชั่ว ชีวิตนี้ฝึ กตนได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องกลัดกลุ้มกับคาว่าเงิน เช่นเดียวกัน
มารดามันเถอะ ลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งนี่ แต่ละคนพูดจาราวกับ โขลกออกมาจากพิมพ์เดียวกันเลย
ตอนนั้นที่อวี๋เสวียนอยู่นอกฟ้ า เห็นได้ชัดว่ามี “มาดผู้อาวุโส” ไม่ มากพอ เพียงแค่เพราะตอนนั้นเจินเหรินผู้เฒ่าเองก็ต้องใช ้เงินเหรียญ ทองแดงแก่นทองก้อนใหญ่เหมือนกันยิ่งมีมากก็ยิ่งเป็ นประโยชน์ สาเหตุก็เพราะช่วงหลายร ้อยปีที่ผ่านมานี้อวี๋เสวียนมียันต์ใหญ่สอง แผ่นที่เขาตั้งใจศึกษาอย่างยิ่ง แต่กลับยังไม่เคยเอามาเปิดเผยบนโลก ต่างก็เกี่ยวพันไปถึง “แม่น้าแห่งกาลเวลา” สายของยันต์ นอกจากจะ แข่งกันในเรื่องของประเภทยันต์ใหญ่แล้วยังต้องแข่งกันในเรื่องของ ปริมาณยันต์ใหญ่ด้วย
่
การที่อวี๋เสวียนได้ยึดครองค าว่า ‘ยันต์” ของไพศาลไปเพียง ลาพัง นอกจากที่เขาจะสามารถวาดตาราสีชาดอักษรลายเมฆที่ มหัศจรรย์จนเกินกว่าจะบรรยายได้แล้ว ยังเป็ นเพราะเขายึดถือใน ความรู ้สี่ตัวอักษรที่เรียบง่ายอย่างถึงที่สุดอีกด้วย
เอาชนะที่จานวน!
เพียงแต่ว่าภายหลังซิ่วไฉเฒ่าไปเยือนธารดวงดาวนอกฟ้ ามา รอบหนึ่ง ไม่เพียงแต่เป็ นฝ่ ายมอบดินของภูเขาสุ้ยซานจ านวนสิบ จินหนึ่งถุงให้กับอวี๋เสวียน ซิ่วไฉเฒ่ายังคล้ายจะเปลี่ยนจากแขกไป เป็ นเจ้าบ้าน นั่งบัญชาการณ์ทางช ้างเผือก ทาการ “ถกมรรคา” กับ อวี๋เสวียนที่เป็ นเจ้าบ้าน ช่วยสร ้างความมั่นคงให้กับขอบเขตของอีก ฝ่าย
ดังนั้นครั้งนี้เดินทางมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว อวี๋เสวียนจึงอยากจะมา บอกกล่าวกับเฉินผิงอันด้วยตัวเองว่าเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง สามร ้อยเหรียญที่ติดค้างไว้ก่อนหน้านั้น ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วไม่ ต้องใช ้คืนแล้ว แล้วก็จะพูดจาอย่างจริงใจตรงไปตรงมาด้วยว่า หาก จะคิดเล็กคิดน้อยกันจริงๆ ก็เป็ นเขาอวี๋เสวียนที่ติดค้างน้าใจเหวินเซิ่ง ซิ่วไฉเฒ่าคืออาจารย์ของเจ้า เขาไม่รับไว้ ถ้าอย่างนั้นก็คิดลงบนหัว ของภูเขาลั่วพั่วก็แล้วกัน อวี๋เสวียนคิดไว้เรียบร ้อยแล้วว่า นอกจาก เงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามร ้อยเหรียญของก่อนหน้านี้ที่ไม่ต้อง ใช ้คืนแล้ว ห้าร ้อยเหรียญที่ถือว่าเป็ นการยืมไปชั่วคราวจะไม่คิด ดอกเบี้ย เจ้าเฉินผิงอันมีเงินเหลือติดมือเมื่อไหร่ค่อยคืนก็ยังไม่สาย
่
เหอะ ตอนนั้นเจ้าเจิ้งจวีจงที่อยู่นอกฟ้ าไม่ได้เป็ นคนพูดนาขึ้นมา ก่อนหรอกหรือ?
ตอนนี้ก็ถึงคราวของนครจักรพรรดิขาวพวกเจ้าบ้างแล้ว ยอด เขาเถียนจินเอาเงินเหรียญทองแดงแก่นทองออกมาหนึ่งพันเหรียญ แล้ว ส่วนที่เหลือห้าร ้อยเหรียญก็ไม่ควรต้องเป็ นอาจารย์เจิ้งที่เอามา
เสริมให้หรือไร?
สานักทั่วไปไม่รู ้เรื่องวงใน อวี๋เสวียนกลับรู ้ดีอยู่แก่ใจ อย่างน้อย ที่สุดเมื่อหนึ่งพันปีก่อนนครจักรพรรดิขาวก็ได้เริ่มกว้านเก็บรวบรวม เงินเหรียญทองแดงแก่นทองมาอย่างลับๆ แล้ว
ผู้ถวายงานและเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อและไม่ได้รับการ บันทึกชื่อของนครจักรพรรดิขาว นับตั้งแต่ห้าขอบเขตบนจนถึงเซียน ดิน ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งจะต้องนาเงินเหรียญทองแดงแก่นทองจ านวน ที่ไม่เท่ากันมามอบให้กับนครจักรพรรดิขาว บวกกับที่ผู้ฝึกตนอิสระ ในเก้าทวีปของไพศาลที่เป็ นฝ่ ายติดต่อมาหานครจักรพรรดิขาวด้วย ตัวเอง ขอบเขตและสถานะของผู้ฝึ กตนกลุ่มนี้ล้วนไม่แย่ พวกเขา อยากจะซื้อหรือยืมอ่านต าราลับต าราหายากบางเล่มจากนคร จักรพรรดิขาว ก็ดูเหมือนว่าต้องเอาเงินเหรียญทองแดงแก่นทองมา แลก เวลายาวนานถึงหนึ่งพันปี เงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่สร ้าง ขึ้นมาจากเศษชิ้นส่วนร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าใน แต่ละแคว้นของเก้าทวีป แต่ละเหรียญแต่ละถุงนี้พากันไหลมาเทมา เข้าหานครจักรพรรดิขาวไม่หยุดพัก
่
พูดถึงแค่จ านวนสะสมของเงินเหรียญทองแดงแก่นทองอย่าง เดียว ไม่แน่ว่านครจักรพรรดิขาวอาจจะงัดข้อกับสกุลหลิวธวัลทวีป ได้เลยก็เป็ นได้ หากยังบวกในส่วนของเจิ้งจวีจงเองเข้าไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์ที่เขาเก็บซ่อนไว้จากการไปเยือนใต้ หล้าเปลี่ยวร ้าง เมื่อเทียบกับสกุลหลิวแล้ว คาดว่าก็มีแต่จะมากกว่าไม่
มีน้อยกว่า!
ที่ท่าเรือหนิวเจี่ยว หลิ่วชื่อเฉิงที่มีร ้อยปากก็ยากจะอธิบายได้ อย่างชัดเจนได้แต่หาข้ออ้างที่ถือว่าค่อนข้างฟังขึ้น บอกว่าตนมา ปรึกษาธุระกับศิษย์หลานกู้ช่าน ท าธุระเสร็จแล้วถึงจะค่อยไปรบกวน เจ้าขุนเขาเฉินบนภูเขาลั่วพั่ว
ทะเลสาบชิวชี่ อารามต้ามู่
ห่างจากเวลาประชุมที่กาหนดไว้อีกประมาณสองเค่อ
คนชุดเขียวที่สะพายกระบี่เย่โหยวมาถึงหน้าประตูภูเขาของ อารามต้ามู่ เต้ากวานหลายคนที่เป็ นดั่งกุมารทองกุมารีหยกตกใจ สะดุ้งโหยง รีบสอบถามถึงตัวตนของผู้มาเยือน
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว”
ทุกคนหันมามองหน้ากันเอง ดูเหมือนว่าในเทียบเชิญจะไม่มีชื่อ ของบุคคลยิ่งใหญ่ผู้นี้อยู่นะ
นักพรตหญิงที่ห้อยกระบี่นามว่าเหิงชิว เปลี่ยนจากวิญญาณ วีรบุรุษกลายมาเป็ นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นางยืนอยู่บนบันไดขั้นบนสุด หัน
่
หน้ามาก้มหัวคารวะบุรุษชุดเขียว เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “หูจวินแห่ง ทะเลสาบชิวชี่ กงฮวา “ชิงสือ” น้อมต้อนรับเซียนกระบี่เฉิน”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองนักพรตหญิงผู้นั้น กุมมือคารวะทักทาย ตอนที่เขายกเท้าเดินขึ้นไปบนขั้นบันได กงฮวาก็ได้เดินก้าวเร็วๆ ลง บันไดมาแล้ว จากนั้นหยุดเท้ายืนหันข้าง เป็ นฝ่ ายหลีกทางให้กับ เจ้าของพื้นที่มงคลในตานานผู้นี้ ตอนที่ทั้งสองฝ่ ายสวนทางกันแล้ว กงฮวาก็ค่อยหมุนตัวเดินตามไป เพียงแต่ว่าบุรุษชุดเขียวจงใจชะลอ ฝีเท้าให้เนิบช ้า นักพรตหญิงที่เดิมทีคิดอยากจะเดินรั้งท้ายเพื่อแสดง ความเคารพจึงกลายมาเป็ นเดินเคียงไหล่กับเฉินผิงอัน นางลังเล เล็กน้อยแล้วก็ไม่ทาตัวไร ้เหตุผลอีก เดินไปที่ประตูใหญ่ของอาราม พร ้อมกันกับเขา กงฮวาพลันไม่รู ้ว่าควรจะโอภาปราศรัยกับอีกฝ่ าย อย่างไร เมื่อครู่ฝีมือที่อีกฝ่ ายแสดงออกมาตอนอยู่ริมทะเลสาบ ถึงกับ ใช ้สายเบ็ดตกปลารัดคอของเด็กสาวสวมชุดคลุมมังกรแล้วจับอีก ฝ่ ายขว้างลงไปบนพื้นผิวทะเลสาบได้อย่างง่ายดาย นั่นทาให้นางตก ตะลึงอย่างมาก แม้ว่าการประชุมในเรือนลั่วฮวาเมื่อคืน เกาจวินจะ แพร่งพรายความลับสวรรค์ให้รู ้ ท าให้นางมีการประเมินคร่าวๆ ต่อ เซียนกระบี่เฉินผู้นี้แล้ว แต่ดูเหมือนว่านางจะยังประเมินขอบเขตของ อีกฝ่ายต่าเกินไป?
เฉินผิงอันถามชวนคุย “ไม่ทราบว่าเจ้าต าหนักกงเป็ นคนของยุค ใด?”
่
กงฮวายิ้มเอ่ย “เซียนกระบี่เฉินรู ้อยู่แล้วไฉนยังต้องถามอีกเล่า ข้าเป็ นคนยุคเดียวกับจูเหลี่ยน แต่มิอาจเทียบเคียงกับคุณชายผู้สูง ศักดิ์ที่คนในตระกูลรับราชการกันมาทุกยุคทุกสมัยผู้นี้ได้ อดีตข้า เป็ นแค่คนมุทะลุในยุทธภพที่ฝีมือการต่อสู้ไม่ได้เรื่อง เรื่องราวในชาติ ก่อนไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
หากไม่เป็ นเพราะตัวตนของอีกฝ่ ายวางอยู่ตรงนั้น ประโยคหลัง ค าว่ารู ้อยู่แล้วก็ยังถามก็ไม่ต้องให้นางเปลืองน้าลายแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มรับ ต้องโทษตนที่อ่านอย่างไม่ละเอียดจริงๆ หรือ ควรจะพูดว่าต้องโทษเพ่ยเซียงที่ในตาราเล่มนั้นถูกพ่อครัวเฒ่าเอา กงฮวาไปวางไว้ใน “บทสาวงามในโลกมนุษย์ไม่ใช่ “บทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แห่งภูเขาสายน้า
เดินเข้าอารามต้ามู่ไปแล้ว บนลานกว้างหยกขาวนอกต าหนัก บรรพจารย์ ทางฝั่งของอารามเต๋าได้ยกกระถางธูปออกไปแล้ว ท าให้ มีพื้นที่ว่างเปล่าสะอาดเอี่ยมแถบใหญ่ วางเก้าอี้หมวกขุนนางที่ท า จากไม้หวงฮวาหลีที่สะอาดสะอ้านเรียบง่ายเรียงกันไว้สองแถว ดู เหมือนจะเป็ นงานฝีมือตามแบบฉบับดั้งเดิมของเมืองหลวงแคว้นซง ไล่ หากย้อนทวนกลับไปอีกสักหน่อย นี่ก็น่าจะเป็ นฝีมือของช่างไม้จู เหลี่ยนในราชวงศ์ก่อน? มองออกถึงความใส่ใจในการทาเก้าอี้ทุกตัว รูปแบบเหมือนกัน มีพนักพิงหลัง แต่กลับมีรูปภาพแกะสลักที่แตกต่าง กัน บ้างก็เป็ นลายเถาวัลย์ขด บ้างก็เป็ นลายเมฆ ลายหลิงจือ ลายนก และดอกไม้ ลายเส้นไหลลิน มองดูแล้วมีชีวิตชีวาอย่างมาก แค่มองก็
่
รู ้ว่ามาจากฝีมือของผู้เชี่ยวชาญ หากลองสังเกตลายเส้นให้ดีจะคล้าย ว่ามาจากปณิธานกระบี่ ไม่แน่ว่าอาจเป็ นฝีมือของกงฮวา
ทว่ามีเก้าอี้สองตัวบนลานที่ค่อนข้างจะพิเศษ โดดเดี่ยวอย่างเห็น ได้ชัด ตัวหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ ตัวหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ สองตัวคุมเชิงกัน อยู่
มองออกว่าตัวหนึ่งนั้นจัดไว้ให้เจ้าขุนเขาเฉิน ส่วนอีกตัวหนึ่งถือ เป็ นผู้ริเริ่มการประชุมครั้งนี้อย่างเกาจวินเจ้าประมุขพรรคหูจวินคน ปัจจุบัน เพียงแต่ไม่รู ้ว่าจงเขียนนั่งอยู่ตรงไหน
เพราะยังไม่ถึงเวลาการประชุม ตอนนี้จึงมีคนมานั่งอย่างบางตา แค่ไม่กี่คนเท่านั้นมองไปยังบุรุษชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้างกายกงฮวา ตรงหน้าประตู ผู้เข้าร่วมการประชุมเหล่านี้ต่างก็รู ้สึกมึนงง
เฉินผิงอันเอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “เจ้าต าหนักอู่พูดได้ดี หากท่าน ไม่ฝึกบ าเพ็ญตนบ่มเพาะคุณธรรมให้ดี คนที่อยู่ในเรือลาเดียวกันก็ ล้วนกลายมาเป็ นศัตรูได้”
กงฮวาแสร ้งทาเป็ นฟังไม่เข้าใจประโยคนี้ ยื่นนิ้วชี้ไปยังเก้าอี้ที่ “หันหน้าไปทางทิศใต้ซึ่งหันหลังให้กับตาหนักหลักของอารามตัวนั้น แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยังห่างจากการประชุมอีกพักหนึ่ง เซียนกระบี่ เฉินสามารถนั่งลงตรงนี้ หรือจะไปดื่มชาที่เรือนลั่วฮวาก่อนก็ได้ แน่นอนว่าข้ายินดีจะพาเซียนกระบี่เฉินไปเดินเที่ยวชมอารามต้ามู่ ก่อนมากกว่า นี่ถือเป็ นเกียรติอย่างใหญ่หลวง