กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1075.4 ถามหมัด ถามมรรคา ถามกระบี่ มาพร ้อม กัน
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1075.4 ถามหมัด ถามมรรคา ถามกระบี่ มาพร ้อม กัน
ในความเป็ นจริงแล้ว จากบันทึกของฝั่งภูเขาลั่วพั่ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ร่างทองนอกระบบแต่งตั้งของราชสานักองค์แรกก็คือเทพวารีแม่น้าชี่ เจียงของแคว้นซ่งไล่ที่ร่างทองไม่สูงไม่ต่า นามว่าซ่งเจี่ยน
ในเรือนลัวฮวา กงฮวาใช ้เสียงในใจถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าประมุข เกา ไม่สู้พวกเราเริ่มประชุมเร็วก่อนเวลาหนึ่งเค่อดีไหม?”
เกาจวินส่ายหน้า “ประชุมเวลาเดิม ให้เจ้าขุนเขาเฉินนั่งรอไป ก่อนก็แล้วกัน”
เกาจวินสวมชุดเต๋าสีเหลืองดอกซิ่ง บนศีรษะสวมกวานดอกบัวสี ขาวหิมะที่อาจารย์สร ้างขึ้นกับมือตัวเอง
กงฮวาคลี่ยิ้มหวาน “ข้ามองออกแล้วว่าแผนสาวงามใช ้ไม่ได้ผล”
เกาจวินไม่ได้รับค า
หากจะพูดถึง “แผนสาวงาม” กันจริงๆ ภูเขาลั่วพั่วแค่ต้องให้ “พ่อครัวเฒ่า” แซ่จูผู้นั้นออกหน้าก็พอแล้ว
คงเป็ นเพราะเห็นหญิงชรามาเรียกคนจากเกาะสองเกาะไปแล้ว ผู้ อาวุโสในยุทธภพที่เป็ น “ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว” บนเกาะอวี้จานจึงพากัน จับมือมาที่อารามต้ามู่ด้วย
ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานที่หันไปรับหน้าที่ผู้ถวายงานพรรคหูซาน อย่างลับๆ เจ้าหอจิ้งหย่างคนก่อน โจวซูเจินไทเฮาแคว้นหนันเยวี่ยนที่ มีศาสตร ์คงความเยาว์ อู๋แชว่ปรมาจารย์วิชาดาบ
และยังมีคนมีชื่อเสียงในยุทธภพวัยเกือบเจ็ดสิบปีอีกสองคน ล้วน เป็ นคนรุ่นเดียวกันกับเฉิงหยวนซานและอู๋แชว่ ทุกวันนี้ต่างก็เป็ นผู้ฝึก
ยุทธขอบเขตหก
คนหนึ่งในนั้นคือผู้เฒ่าที่ท่าทางกระปรี้กระเปร่า ลมหายใจทอด ยาว มีชื่อว่าเฉานี่ สวมชุดสีดาทั้งร่าง สะพายกระบี่เช่นเดียวกัน มีคา เรียกขานที่ไพเราะจากล่างภูเขาว่า “เซียนกระบี่” ดังนั้นผู้เฒ่าจึงหัน ไปมองมือกระบี่ชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้างกายจงเชี่ยนมากหน่อย
เฉานี่เองก็คือหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่แห่งยุทธภพที่ถูกหอจิ้ง หย่างประเมินออกมาเหมือนกัน ถือเป็ นการสะสมมากใช ้ทีละน้อย เพิ่งจะมาประสบความสาเร็จในช่วงบั้นปลายแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนใน ยุทธภพยังไร ้ชื่อเสียง ทว่าทุกวันนี้กลับเป็ นบุคคลอันดับหนึ่งด้านเวท กระบี่ในใต้หล้าอย่างสมชื่อแล้ว ว่ากันว่าวิถีกระบี่ของเขาเข้าขั้น ช านาญสุดยอด พายุลมกรดพุ่งพ้นจากกระบี่ยาวจิ้งกว่า อาศัยแค่คม กระบี่สามชื่อก็สามารถสร ้างความรังเกียจชิงชังให้กับภูตผี ใช ้กระบี่ สยบความชั่วร ้ายได้เหมือนผู้หลอมลมปราณ
รอกระทั่งเฉิงหยวนซานได้เห็นมือกระบี่ชุดเขียวที่ปักปิ่นหยกบน มวยผม สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้เปิดปากเอ่ยอะไร
เคยเจอกันแค่สองครั้ง ครั้งแรกคือที่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน อีก ครั้งหนึ่งคือในพรรคหูซานเมื่อไม่นานมานี้
โจวซูเจินยอบกายคารวะเฉินผิงอัน คลี่ยิ้มราวบุปผาผลิบาน “คารวะเซียนกระบี่เฉิน”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน “คารวะเจ้าหอโจว”
โจวซูเจินปิดปากหัวเราะคิก “ล้วนเป็ นปฏิทินเหลืองเก่าแก่แล้ว ทุกวันนี้ข้าก็แค่คนเฝ้ าประตูของหอเก็บตาราแห่งนั้นเท่านั้น”
พวกเขาไม่เหมือนกับเกาจวินที่เป็ นเซียนดินและกงฮวาที่เป็ นเจ้า บ้าน เพียงแค่เลื่อนเป็ นห้าขอบเขตกลางได้อย่างถูไถ ดังนั้นตอนนี้จึง ยังไม่รู ้ถึงเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่ริมฝั่ง
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่มีตาแหน่งขุนนางก็ตัวเบา สามารถตั้งใจฝึกตนได้ เป็ นเรื่องทีดี”
โจวซูเจินยังคงคลี่ยิ้มเป็ นปกติ แต่ในใจกลับถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที หากไม่เป็ นเพราะสถานะและฝักฝ่ ายที่ชักนาให้เป็ นเช่นนี้ นาง ก็ไม่อยากจะเดินอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเซียนกระบี่เฉินผู้นี้เลยจริงๆ
อู๋แชว่ที่ทั้งเส้นผมและหนวดล้วนเป็ นสีขาวโพลนตรงเอวห้อยดาบ อาคมสมบัติหนักตระกูลเซียนไว้เล่มหนึ่ง แม้ว่าจะเป็ นผู้ฝึกยุทธเต็ม ตัวจริงแท้แน่นอน แต่ก็ไม่ติดขัดที่ผู้เฒ่าจะทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้ออาวุธ เหมาะมือมาติดกายไว้
อู๋แชว่ที่เรือนกายกายายื่นมือไปกดด้ามดาบ หรี่ตามองไปยัง “เซียนกระบี่เฉิน” ที่ปี นั้นระเบิดชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ในแคว้นหนัน เยวี่ยน เวลาผ่านมานานหลายปี ในที่สุดก็ได้เจอตัวจริงเสียที
หญิงชราที่มีชื่อว่าจางจีผู้นั้น ดูเหมือนจะเป็ นเต้ากวานที่ทา หน้าที่รับรองแขกของอารามต้ามู่ นางเป็ นฝ่ายช่วยแนะน ายอดฝีมือผู้ มีชื่อเสียงและคนร่วมเส้นทางบนภูเขาสายน้าที่นั่งลงประจาที่ให้ทุก คนได้รู ้จักกันอย่างกระตือรือร ้น
คนที่ไม่รู ้ประวัติความเป็ นมาของหญิงชรา บางทีอาจจะเห็นนาง เป็ นหญิงบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นโลกกว้าง หูตาคับแคบจริงๆ
เว่ยแย่นแห่งแคว้นหนันเยวี่ยนคือฮ่องเต้คนแรกที่ปรากฏตัว เขา มาถึงลานกว้างแล้วก็ไม่ได้พูดคุยกับโจวชูเจิน เนื่องจากไทเฮา แคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้ได้ “ป่ วยตาย” ไปแล้ว ปีนั้นคนที่รู ้สถานะเจ้า หอจิ้งหย่างของโจวซูเจิน เดิมทีก็มีน้อยจนนับนิ้วได้อยู่แล้ว และเว่ย แย่นเองก็ไม่ได้ราลึกความหลังกับเฉินผิงอัน เพียงแค่นั่งลงเงียบๆ มองดูแล้วโดดเดียวอยู่บ้าง
จากนั้นก็เป็ นถังเถี่ยอี้ฮ่องเต้แคว้นเป่ ยจิ้นที่เผยกายพร ้อมกับ ท่าป๋ าต้าเจ๋อ อันที่จริงชายแดนของสองแคว้นเชื่อมต่อกัน สองฝ่ายจึง ท าสงครามกันอย่างเอาเป็ นเอาตาย เพียงแต่เมื่อฟ้ าอานวยเกิดการ เปลี่ยนแปลง โลกมนุษย์มีเทพเซียนและภูตผีเพิ่มมากขึ้น หลายปีมา นี้สองแคว้นจึงรู ้ใจกันโดยปริยาย ต่างฝ่ายต่างไม่โยกย้ายกองทัพ เริ่ม จัดการกิจธุระภายในของตัวเอง แต่งตั้งห้ามหาบรรพต แต่งตั้งเทพ
ภูเขาและสายน้าจากฝ่ ายต่างๆ ช่วงชิงปราณวิญญาณฟ้ าดิน บ่ม เพาะ รวบรวมและประคับประคองผู้หลอมลมปราณอย่างเต็มก าลัง ใน บางระดับแล้วก็ถือว่าเป็ นการฝึกทหารให้เข้มแข็ง ขัดเกลาศาสตรา วุธ และเลี้ยงม้าให้พร ้อมรบก่อนออกศึกแห่งใต้หล้าอย่างหนึ่ง
“เลี่ยนซือ” เล่มที่อยู่ตรงเอวของถังเถี่ยอี้ ปีนั้นตอนอยู่ในเมือง หลวงแคว้นหนันเยวี่ยนถังเถี่ยอี้ก็ใช ้ดาบเล่มนี้ ‘ลงจากเมืองไปก่อน
เฝิงชิงป๋ ายจอมยุทธพเนจรที่เป็ นเจ๋อเซียนเหริน ปีนั้นคืออันดับที่ สิบของใต้หล้า ก็ตายด้วยน้ามือของถังเถี่ยอี้ที่เรียกขานกันเป็ นพี่เป็ น น้อง ถูกฝ่ายหลังลอบโจมตี ใช ้ดาบฟันผ่าแยกร่างของเขาคาที่
ทว่าติงอิงบุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า สุดท้ายกลับตายด้วย น้ามือของเจ๋อเซียนคนหนึ่ง
ถังเถี่ยอี้เคยโดนหมัดหนึ่งของเฉินผิงอัน
เพียงแต่ว่าวันนี้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง ถังเถี่ยอี้กลับไม่ถือสา ความขัดแย้งในกาลก่อน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม กุมหมัดอยู่ไกลๆ เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “เซียนกระบี่เฉินยังคงมีมาดองอาจดังในอดีต”
เฉินผิงอันยังคงฟุบตัวอยู่ด้านหลังพนักพิงเก้าอี้ เพียงแค่ผงก ศีรษะยิ้มรับเท่านั้น
เฉิงหยวนซานนั่งลงบนตาแหน่งของตัวเอง อดไม่ไหวเหลือบมอง ดาบพกของถังเถี่ยอี้หนังตาของเขากระตุก ผู้เฒ่าเสียใจจนไส้เขียว แล้ว อันที่จริงคนที่ปีนั้น “เลี่ยนชื่อ” ที่ถูกมองว่าเป็ นดาบปีศาลเล่มนี้
ยอมรับเป็ นนายได้ตายด้วยน้ามือของเฉิงหยวนซาน ทว่าเพราะดาบ เล่มนี้ลี้ลับมหัศจรรย์เกินไป ชื่อเสียงดุร ้ายเลื่องลือ ชั่วชีวิตนี้เฉิงหยวน ซานใช ้ชีวิตอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด ไม่กล้าหาเรื่องใส่ตัว เขาจึง จงใจปล่อยให้มันไปอยู่ในมือของถังเถี่ยอี้ เดิมทีคิดว่าจะเล่นงาน ถังเถียอี้ที่เป็ นศัตรูคู่แค้นกันมานานหลายปี คิดไม่ถึงว่าถังเถี่ยอี้ไม่ เพียงแต่ไม่ตายอย่างเฉียบพลันเหมือนเจ้าของคนก่อน กลับกันยัง อาศัยศาสตราวุธเทพชิ้นนี้มาทาให้พลังพิฆาตของตัวเขาเองเป็ น เหมือนเรือที่ลอยสูงตามน้าขึ้น ภายหลังดาบอาคมเล่มนี้ก็ยิ่ง กลายเป็ นสมบัติหนัก “ตระกูลเซียน” ที่อยู่ในอันดับเดียวกันกับกวาน ดอกบัวสีเงินที่ติงอิงสวมไว้บนศีรษะ ชุดกระโปรงสีเขียวในเมืองหลวง แคว้นหนันเยวียนและอรหันต์ร่างทองในวัดป๋ ายเหอ ตอนนี้ นอกจากอวี๋เจินอี้ที่เดินขึ้นเขาฝึ กเซียนเพียงคนเดียวแล้วก็ไม่มีผู้ หลอมลมปราณหรือภูตผีตนใดอีก รอกระทั่งเกิดภาพเหตุการณ์ ผิดปกติขึ้นในฟ้ าดิน เฉิงหยวนซานก็ยิงเสียใจภายหลังจนนึก อยากจะตบบ้องหูตัวเองแรงๆ หลายที
ตอนนั้นผู้ฝึกยุทธที่เดินขึ้นไปบนหัวกาแพงเมืองสาเร็จ นอกจาก จะ “บินทะยาน จากไปแล้ว แต่ละคนยังได้สมบัติอาคมชิ้นหนึ่งหรือไม่ ก็ได้โชควาสนาตระกูลเซียนไปครองกันทั้งนั้น
ยกตัวอย่างเช่นอวี๋เจินอี้ได้ทาเนียบหยกทองไปเล่มหนึ่ง จังชิวได้ ภาพห้ามหาบรรพตที่แท้จริง หลวงจีนอวิ๋นหนีได้รากบัวสีขาวไปท่อน หนึ่ง
ทว่าระหว่างที่จ้งชิวยังเป็ นราชครูของแคว้นหนันเยวี่ยน เกี่ยวกับ ของที่ถังเถียอี้ได้ไปครอง สายลับของแคว้นหนันเยวี่ยนกลับไม่เคย ตรวจสอบพบเจอเบาะแลใดๆ
ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งมรรคา ในมือถือ แส้ปัดฝุ่นเดินเข้ามาในลานกว้างด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
ตามมาด้วย “เด็กน้อย” คนหนึ่งที่ทัดบุปผาบนผม สวมชุดผ้า ป่ าน รองเท้าสาน และยังมีชายหนุ่มที่บุคลิกสง่างามใบหน้างามดั่ง หยกแจ่มใส ต่างคนต่างนั่งลง
เมื่อพวกเขามาถึง ลานกว้างที่เดิมที่ยังมีเสียงกระซิบกระซาบก็ พลันเงียบสงัดไร ้สรรพสาเนียง เงียบจนกระทั่งเข็มตกก็ยังได้ยิน
มีซานจวินอีกสองท่านร่ายวิชาอภินิหารหดย่อพื้นที่มาเผยกาย ตรงที่นั่งของตัวเองโดยตรง ก่อนจะนั่งลงอย่างเชื่องช ้า
ซานจวินแห่งห้ามหาบรรพตใหญ่ของใต้หล้าอย่างเจิ้งเฟิ่ งโจ วแห่งขุนเขากลาง จ้าวจวิ้หรานแห่งขุนเขาตะวันออก อวี้เตี๋ยซ่างเห รินแห่งขุนเขาเหนือ ซึ่งไหวเป้ าขุนเขาตะวันตก ไหวเซี่ยแห่งขุนเขา ใต้ ต่างก็มาถึงกันครบถ้วนแล้ว
เกาจวินเองก็เผยกายเช่นกัน ข้างกายของนางคือกงฮวาผู้เป็ น เจ้าต าหนักและหวงเหมี่ยนฮ่องเต้หนุ่มของแคว้นซ่งไล่
เมื่อเป็ นเช่นนี้ซานจวินของสี่แคว้นต่างก็พากันนั่งลงประจาที่แล้ว
เพ่ยเซียงเจ้าแห่งแคว้นหูมาถึงอย่างเชื่องช ้า ถ้าอย่างนั้นที่นั่งของ นางก็หาได้ง่ายมากแล้ว
บวกกับเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่วที่เป็ นคนนอกเพียงคนเดียว คนที่มาเข้าร่วมการประชุมในทะเลสาบชิวชี่วันนี้ก็มีทั้งสิ้นสามสิบ สามคน
เกาจวินยืนอยู่ตรงเก้าอี้ที่อยู่ทางเหนือสุด นางคารวะตามขนบ ลัทธิเต๋าต่อบุรุษชุดเขียวที่อยู่ทางทิศใต้ “เกาจวินแห่งพรรคหูซาน เคารพนอบน้อมไม่สู้เชื่อฟังคาสั่ง ขอบังอาจนั่งลงตรงนี้”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินอ้อมเก้าอี้มา ยกชายชุดกว้าตัวยาวขึ้น แล้วนั่งลงเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ได้เลย”
เก้าอี้สองแถว ฝั่งซ ้ายมือคือจักรพรรดิของสี่แคว้นเป็ นผู้ที่ได้ ความเคารพสูงสุด ฝั่งขวามือคือซานจวินห้ามหาบรรพตที่คือผู้ที่ได้ ความเคารพสูงสุด
จากนั้นสองฝั่งก็ไล่เรียงมาเป็ นผู้ฝึกยุทธจงเชี่ยน โจวซูเจินแห่ง หอจิ้งหย่าง เฉิงหยวนซาน เฉานี่ อู๋แชว่…และกงฮวาแห่งอารามต้ามู่ เพ่ยเซียงเจ้าแห่งแคว้นหู ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง ของพรรคหูซาน ซุนหว่านแย่นที่มีฉายาว่า “หลิงฝู” รูปโฉมงามล่ม บ้านล่มเมือง จางจีเทพภูเขาแห่งแคว้นเป่ยจิ้นที่มีรูปโฉมแก่ชรา เถา เจ่อ เทพภูเขาซ่งเจี่ยน…
และเวลานี้เอง ตรงหน้าประตูใหญ่ของอารามก็มีเด็กหนุ่มสีหน้า ตื่นตระหนกมายืนอยู่ตรงนั้น เขามีท่าทางลนลานทาอะไรไม่ถูก ท าท่าจะพูดแต่ไม่พูด
กงฮวาขมวดคิ้วน้อยๆ หันหน้าไปมองเกาจวิน เกาจวินเองก็สอง จิตสองใจ โจวซูเจินหลุบสายตาลงต่า กลั้นหายใจทาสมาธิ
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางหน้าประตูอาราม ยังไม่ทันเห็นตัว คนก็ได้ยินเสียงดังมาก่อน มีคนเอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “เจี่ยงเฉวียน บัณฑิตสอบตกแห่งแคว้นหนันเยวี่ยนต้องการตัดสินเป็ นตายกับ เซียนกระบี่เฉิน”
ลานกว้างที่เดิมทีบรรยากาศเคร่งเครียดพลันเกิดเสียงแตกตื่น
ฮือฮา
ตรงหน้าประตูมีเรือนกายสูงเพรียวของคนผู้หนึ่งที่สวมหน้ากาก บนใบหน้าเผยกายตรงเอวพกดาบ ด้านหลังสะพายห่อผ้าใส่พิณ
คนผู้นี้ไม่ใช่เจียงเสินจื่อมือดาบที่เพิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังคนนั้น หรอกหรือ? ไฉนถึงกลายเป็ นปัญญาชนของแคว้นหนันเยวี่ยนไปได้
เจียงเฉวียนปลดหน้ากากลง โยนทิ้งลงบนพื้น ทุกคนเห็นเพียงว่า เขาปลดห่อใส่พิณที่อยู่ด้านหลังวางพิงกาแพงไว้เอียงๆ จากนั้นเจี่ยง เฉวียนหยิบถุงเงินเก่าแก่ใบหนึ่งและตั๋วเงินสองแผ่นออกมาจากชาย แขนเสื้อ วางลงบนห่อพิณ
เจียงเฉวียนเปลี่ยนคาเรียกขานใหม่ “อาจารย์เฉิน ยังจ าข้าได้ หรือไม่?”
บุรุษชุดเขียวที่ดูเหมือนว่าการฝึ กตนในภูเขาก็ยังมิอาจชะลอ ร่องรอยของกาลเวลาได้ตรงหน้าผู้นี้ ปีนั้นเคยสวมรอยเป็ นลูกหลาน ตระกูลกู้มาพบตน จากนั้นมอบค่าเดินทางให้เจี่ยงเฉวียนเตรียมตัว เดินทางไปสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิของเมืองหลวงคราวหน้า
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน พยักหน้าเอ่ย “แน่นอนว่าต้องจาได้”
เจียงเฉวียนเงียบไปพักหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นท่านก็ยังต้องจากู้หลิง ได้”
เฉินผิงอันเงียบไม่ตอบ
เจี่ยงเฉวียนเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “ความแค้นส่วนตัวเก่าเก็บไม่ ถ่วงรั้งเวลาของพวกท่านนานนัก”
เพ่ยเซียงมึนงง นี่มันเรื่องอะไรกัน?
หรือว่าก่อนหน้านี้ที่เจ้าขุนเขาเฉินบอกว่าจะเป็ นตัวร ้าย คือไม่ได้ ล้อเล่น?
จงเขียนลูบปลายคาง จมเข้าสู่ห้วงคิด พอจะจ าได้อย่างเลือนราง ว่าในการล้อมสังหารของที่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนในปีนั้น ดู เหมือนว่าจะมีสตรีนักดีดพิณที่เชี่ยวชาญการลอบฆ่าคนหนึ่งชิงลงมือ ก่อนจริงๆ?
ในอดีตตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว เกี่ยวกับกู้หลิง เฉินผิงอัน เคยคิดถึงทางเลือกสามอย่าง สุดท้ายเขาเลือกอย่างที่สาม สามปีให้ หลังค่อยให้จ้งชิวบอกความจริงแก่เจียงเฉวียน
แต่รอกระทั่งจ้งชิวออกไปจากพื้นที่มงคล มาอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว พอ เฉินผิงอันถามถึงได้รู ้ว่า เห็นได้ชัดว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าเล่นตุกติก
เพราะจ้งชิวถึงกับลืมเรื่องนี้ไปอย่างสิ้นเชิง
เจียงเฉวียนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ยื่นมือไปกดด้ามดาบ “เซียนกระบี่เฉิน เหตุผลนั้นข้าเข้าใจ ความแค้นในยุทธภพ แสงดาบ เงากระบี่ หนีไม่พ้นว่าต้องรับผิดชอบความเป็ นความตายเอาเอง แค่นี้ เท่านั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เหตุผลคือเหตุผลข้อนี้”
โจวซูเจินเอ่ยปากเนิบช ้าว่า “เจี่ยงเฉวียนตายไปแล้ว โจวซูเจิน แห่งหอจิ้งหย่างขอให้ทุกท่านที่อยู่ที่นี่เป็ นพยาน ถือว่าเป็ นการลง สัญญาเป็ นตายก็แล้วกัน อยากจะขอบังอาจถามมรรคากับเจ้าขุนเขา เฉินสักครั้ง”
เฉานี่ดวงตาเป็ นประกายระยิบระยับ “ผู้ฝึกยุทธเฉานี่ยินดีถาม กระบี่กับเซียนกระบี่เฉินไม่มีความแค้นส่วนตัว ไม่มีความแค้น ส่วนรวม ยินยอมพร ้อมตาย แค่อยากจะสัมผัสกับตัวเองว่าอะไรคือค า ว่าเซียนกระบี่!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ไม่ต้องรีบร ้อน รอให้เจี่ยงเฉวียนชักดาบออก จากฝักก่อนค่อยว่ากัน หลังการประลองครั้งนี้ผ่านไป หากทุกท่านที่ อยู่ที่นี่ยังยินดีจะลุกขึ้นมา ประลองฝีมือถามมรรคา ประชันมรรคกถา ถามกระบี่ ก็เข้ามาพร ้อมกันได้เลย”