กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1077.3 ท่านอาจารย์ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช ้าด้วยน้าเสียงเรียบเรื่อย “วิถีทางโลกในทุก วันนี้ ชื่อเรียกปะปนกันวุ่นวาย ชื่อด้านกฎหมาย ยศศักดิ์ และชื่อทาง วรรณกรรมล้วนยึดตามแบบแผนโบราณ ส่วนชื่อเรียกทั่วไปนั้น เป็ นไปตามจารีตประเพณี กระจัดกระจายหลากหลาย เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา เปลี่ยนจากเก่ามาใช ้แบบใหม่ บวกกับการประดิษฐ ์ ชื่อเรียกแปลกใหม่ให้กับสรรพสิ่ง ชื่อและความจริงก็ยิ่งสับสนปนกัน ถ้าชื่อเรียกไม่ถูกต้อง ค าพูดก็ไม่เป็ นระเบียบ หากค าพูดไม่เป็ น ระเบียบ การกระทาก็จะไม่สาเร็จ แม้ว่าสิ่งต่างๆ จะมากมาย แต่ ทั้งหมดล้วนมีชื่อเรียกรวมกัน ผลักดันหาจุดร่วม เมื่อรวมกันแล้วก็จะ เจอจุดร่วม จนกระทั่งถึงจุดที่ไม่มีส่วนร่วมจึงหยุด การยกตัวอย่าง เฉพาะเจาะจงนั้นคือการจาแนกชื่อที่สาคัญอย่างหนึ่ง ผลักออกเพื่อ แยกแยะ เมื่อแยกแล้วก็ย่อมเห็นความแตกต่าง จนกระทั่งไม่มีความ แตกต่างจึงจะหยุดรูปร่างความคิดแตกต่าง แต่ก็ยังสื่อสารกันได้ สิ่งของที่แตกต่าง ชื่อและแก่นแท้ปนกันสับสนการตั้งชื่อจึงต้องอาศัย ทั้งความเหมือนและความแตกต่าง เป็ นแกนหลักของการตั้งชื่อที่มิ อาจมองข้ามได้”
“เพียงแต่ว่าเกี่ยวกับเรื่องของการป่าวประกาศชื่อเรียกของบุคคล และเรื่องราวในใต้หล้า ข้าเป็ นแขก คงไม่ทาในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของ
ตน แต่สามารถอาศัยกาลังอันน้อยนิดที่มี ข้าจะพูดแค่เรื่องสองเรื่อง ให้ทุกท่านได้เอาไปใช ้อ้างอิง”
“จะพูดเรื่องของการเรียนวรยุทธในใต้หล้ากับผู้ฝึกยุทธทุกท่านที่ อยู่ที่นี่ก่อน เป็ นเรื่องของการตั้งคาจากัดความชื่อเรียกในการ แบ่งแยกสูงต่าของแต่ละขอบเขตและความสอดคล้องต้องกัน”
เมื่อคาพูดนี้ดังออกมา ปรมาจารย์วิถีวรยุทธอย่างพวกเฉานี่ อู่ แชว่ก็มีสีหน้าสดชื่นเปลี่ยนมาเป็ นฮึกเหิมประหนึ่งมังกรและพยัคฆ์ที่มี ชีวิตชีวา กลัวว่าจะพลาดคาใดคาหนึ่งไป
ส่วนพวกอดีตผู้ฝึกยุทธที่เปลี่ยนไปเดินขึ้นเขาฝึกวิชาเซียนอย่าง พวกถังเถี่ยอี้ ปี้เซิ่งเฉิงหยวนชานก็รีบทาตัวให้กระปรี้กระเปร่า เงี่ยหู ตั้งใจฟัง
แม้กระทั่งพวกผู้หลอมลมปราณที่รู ้สึกว่าในที่สุดก็เข้าประเด็น ส าคัญได้เสียที พวกเขาจึงเริ่มจะตั้งใจฟังกันบ้างแล้ว ดูสิว่าเจ้าคนที่ แยกไม่ออกว่าเป็ นปรมาจารย์วิถีวรยุทธหรือเซียนกระบี่พสุธากันแน่ผู้ นี้กาลังอมพะนาอะไรอยู่กันแน่ คิดจะหลอกขายยาหนังสุนัขที่ตบตา ประชาชนหรือจะขายยาวิเศษที่สามารถสร ้างผลประโยชน์ให้กับการ เรียนวรยุทธในใต้หล้า?
เฉินผิงอันกล่าว “เก้าขอบเขตของวิถีวรยุทธ หลอมเรือนกาย หลอมลมปราณและหลอมจิตวิญญาณต่างก็แบ่งแยกไปอีกอย่างละ สามขั้น ขยับขึ้นไปทีละชั้น เดินขึ้นสู่ที่สูงไปทีละก้าว หนึ่งก้าวขึ้น
บันไดหนึ่งขั้น จะช ้าหรือเร็วก็อยู่ที่ตัวคน แต่ความเร็วความช ้าไม่ได้มี ข้อดีและข้อเสียอะไร สาคัญคือต้องดูที่ระดับความแข็งแกร่งก็การขัด เกลาเส้นเอ็นกระดูกและเลือดลม วิชาหมัดจะสามารถบ่มเพาะจิต วิญญาณออกมาได้หรือไม่ จะเป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งได้หรือไม่ หรือจะมีแต่ขอบเขตที่สูง ทว่าเรือนกายกลับเหมือนกระดาษเปียกยาม ที่ประชันกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันก็มิอาจต้านทานการโจมตีได้ ยามที่ต้องประลองกับผู้หลอมลมปราณบนภูเขาที่ในมือครอบครอง สมบัติวิเศษ สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ก็พ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย เป็ นเหตุให้ผู้มีพรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธต้องล าบากยิ่งกว่า เข้าถึง แก่นแท้ให้มากกว่า แต่กลับด้อยในเรื่องชื่อเสียงมากกว่าผู้มี พรสวรรค์ด้านการฝึกตนบนภูเขา”
ปรมาจารย์วิถีวรยุทธอย่างพวกเฉานี่ต่างก็รู ้สึกว่าการอธิบาย ของอีกฝ่ ายไม่ธรรมดาโดยเฉพาะประโยคสุดท้ายนี้ที่มีเหตุผลมาก ที่สุด
อู๋แชว่เกิดความสนใจขึ้นมาทันที ในใจไม่เหลือความคิดวุ่นวาย อีกแล้ว เพียงแต่เขาหลุดปากถามไปว่า “เซียนกระบี่เฉิน หากผู้ฝึก ยุทธอย่างพวกเราฝึกวรยุทธจนเข้าขั้นชานาญจะสามารถอาศัยก าลัง หมัดเท้ากดข่มผู้หลอมลมปราณได้หรือไม่?!”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ถามได้ดี เมื่อครู่นี้ข้าขอร ้องให้พวกเจ้าทุกคน ลุกขึ้นจากที่นั่งหอใช ้เม็ดกระบี่ในตานานดันหัวของพวกเจ้าเอาไว้ ล่ะ?”
อู๋แชว่รู ้สึกเขินอาย แต่จากนั้นก็ยิ้มกว้าง กุมหมัดเอ่ยเสียงดัง กังวานว่า “มีเหตุผล!”
มารดามันเถอะ คิดไม่ถึงว่า “เซียนกระบี่เฉิน” ผู้นี้จะเป็ นคน กันเอง สาแก่ใจ สาแก่ใจนัก ถือว่าได้ช่วยให้ตนได้ระบายความอัดอั้น ที่สะสมมานานหลายปี! คิดว่าเป็ นเทพเซียนอยู่บนภูเขาแล้วร ้ายกาจ นักหรือไร?!
เฉินผิงอันกล่าวต่ออีกว่า “สามขอบเขตของขอบเขตหลอมเรือน กายแบ่งออกเป็ นดินดิบ หุ่นไม้และน้าเงิน (ในที่นี้หมายถึงปรอท) การ หลอมลมปราณสามชั้นต่อจากนั้น สาคัญตรงที่จิต วิญญาณและ ความกล้า ดังนั้นจึงมีชื่อว่าขอบเขตจิตวีรบุรุษ ขอบเขตวิญญาณผู้ กล้าและขอบเขตความกล้าแห่งนักสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบ่มเพาะ ให้เกิดความกล้าแห่งนักสู้ในขอบเขตหกที่สาคัญอย่างถึงที่สุด ถูก มองเป็ นจุดศูนย์กลางของลมปราณแท้จริงของผู้ฝึ กยุทธมาโดย ตลอด คือกุญแจสาคัญในการเดินขึ้นสู่ยอดเขาของวิถีวรยุทธ ปรมาจารย์วิถีวรยุทธทุกท่านที่อยู่ที่นี่ รวมไปถึงผู้หลอมลมปราณที่ เคยเป็ นผู้ฝึกยุทธ ไม่สู้ลองถามตัวเองอีกครั้งว่าความกล้าแห่งนักสู้ ของตัวเองคือสิ่งใด ได้มาจากที่ใด จากนั้นลองตั้งชื่อเป็ นการส่วนตัว ดู ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน”
“สามขอบเขตของการหลอมจิตวิญญาณคือร่างทอง อีกชื่อคือ จินกัง เดินทางไกล มีอีกชื่อคือพลิกดิน ยอดเขา เหนือยอดเขาซึ่ง
เป็ นขอบเขตเก้ายังมีขอบเขตสิบ มีชื่อว่าขอบเขตปลายทาง มี ความหมายก็คือผู้ฝึกยุทธมาหยุดเท้าอยู่ที่นี่”
“แต่ขอบเขตปลายทางก็แบ่งออกเป็ นอีกสามขั้น ได้แต่ปราณ โชติช่วง คืนความจริงเทพมาเยือน ผู้ฝึกยุทธจะต้องหยุดอยู่ที่นี่ เดิน ไปถึงปลายทางของเส้นทางหัวขาดแล้วจริงๆ หรือ? ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะเหนือขอบเขตสิบยังมีอีกขอบเขตหนึ่งในตานาน สามารถ เรียกว่าเป็ นเทพแห่งการต่อสู้ได้”
นี่ต่างหากจึงจะเป็ นเมฆเคลื่อนออกมองเห็นแสงตะวันอย่าง แท้จริง!
ในอารามต้ามู่พลันเงียบสงัดไร ้สรรพส าเนียง มีเพียงเสียงลม หายใจแผ่วเบาเท่านั้น
สตรีองอาจที่ยืนอยู่ข้างกายมือกระบี่เฉานี่ ปีนี้อายุห้าสิบปี แต่ กลับมีรูปโฉมเป็ นสตรีวัยกลางคน นางไม่เคยพกอาวุธติดกาย และนี่ เป็ นครั้งแรกที่นางเปิดปากพูด “ขอถามอาจารย์เฉิน จงเชี่ยนที่เป็ น บุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า เขาอยู่ที่ขอบเขตเท่าไร? ทุกวันนี้คือ ขอบเขตร่างทองหรือ?”
ปรมาจารย์ใหญ่จงเชี่ยนของพวกเราได้ยินคาถามก็แค่กลอกตา มองบนเท่านั้น
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “จงเชี่ยนคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขต ร่างทองคนแรกในโลกมนุษย์ของพวกเจ้าจริงๆ ปีนั้นพวกอวี๋เจินอี้
กับจ้งชิวก็เหมือนกับพวกเจ้าในเวลานี้ที่ต่างก็หยุดอยู่ที่ขอบเขต ความกล้าแห่งนักสู้ ไม่ได้ฝ่ าทะลุคอขวด ทว่าในความเป็ นจริงแล้วติง อิงในประวัติศาสตร ์ และยังมีผู้อาวุโสในยุทธภพบางคนที่มาก่อนดึง อิงต่างก็เคยเลื่อนเป็ นขอบเขตเจ็ด ทว่าพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้อง กับคาว่า “บริสุทธิ์เต็มตัว’ แล้ว เป็ นเหตุให้ไม่ได้รับการยอมรับจาก มหามรรคาของฟ้ าดิน ในสายตาของข้า มีแค่คนคนเดียวที่พอจะถือ เป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตร่างทองคนแรกก่อนจงเชี่ยนได้ นั่นก็คือ สุยโย่วเปียนที่พกกระบี่บินทะยานพยายามจะเปิดม่านฟ้ า”
“เดิมทีปรมาจารย์สุยก็เป็ นคนที่ผู้เยาว์เลื่อมใสที่สุดในชีวิตอยู่ แล้ว!”
สตรีผู้นี้อารมณ์ดีมาก สีหน้าของนางสดใส กุมหมัดยิ้มเอ่ย “ใช่ แล้ว ลืมแนะน าตัวเองกับอาจารย์เฉินไปเลย ข้าชื่อเฮ้อฉีโจว มาจาก เขตชนบทของเจี้ยงโจวแคว้นซงไล่!”
มักจะต้องมีพวกชอบสอดรู ้สอดเห็นที่ประเมินสิบคนใน ประวัติศาสตร ์ของใต้หล้าอย่างส่งเดช พอเอาแต่ละยุคแต่ละสมัยมา ประกอบเข้าด้วยกัน คุณชายผู้สูงศักดิ์จูเหลี่ยนและติงอิงแห่งลัทธิมาร ก็มักจะคว้าสามอันดับแรกได้อย่างมั่นคงเสมอ ในยุทธภพไม่มี ความเห็นต่าง อย่างมากก็แค่ทะเลาะกันว่าใครเป็ นที่หนึ่งใครเป็ นที่ สองเท่านั้น แต่เกี่ยวกับอีกตาแหน่งหนึ่งที่เหลืออยู่กลับแทบไม่เคยมี ใครเอาสุยโย่วเปียนใส่เข้าไป เฮ้อฉีโจวรู ้สึกว่าไม่ถูกต้อง แต่จะมัวมา ทะเลาะกับพวกเขาเรื่องนี้ก็ไม่ได้ ดีนักนะ ในที่สุดตอนนี้ก็มีข้อสรุป
แล้ว! บุรุษอย่างพวกเจ้าที่เพียงแค่เพราะความเห็นแก่ตัวจึงจงใจดู แคลนสุยโย่วเปียน ยังมีใครรู ้สึกไม่ยอมแพ้อีกบ้างเล่า?
ใบหน้าของเฉินผิงอันประดับยิ้มน้อยๆ กุมหมัดคารวะนาง กลับคืน หากไม่รู ้เรื่องนี้ ข้ายังต้องพูดประโยคสุดท้ายเพิ่มมาให้มาก ความท าไม
เฮ้อฉีโจวถามอย่างระมัดระวัง “ขอบังอาจถามอาจารย์เฉินอีกสัก ประโยค ทุกวันนี้ขอบเขตวิถีวรยุทธของอาจารย์เฉินอยู่บนบันไดขั้น ไหน?”
ดินดิบ หุ่นไม้ น้าเงิน จิตวีรบุรุษ วิญญาณผู้กล้า ความกล้าแห่ง นักสู้ ร่างทอง เดินทางไกล ยอดเขา ปราณโชติช่วง คืนความจริงและ เทพมาเยือนสามขั้นของขอบเขตปลายทางผลส าเร็จสุดท้ายก็คือ ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้!
เฉินผิงอันตอบไปตามสัตย์จริง “เคยเป็ นขั้นคืนความจริงของ ขอบเขตปลายทาง ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งขอบเขตถดถอยมาเป็ น ปราณโชติช่วง”
เฮ้อฉีโจวพยักหน้า ทาท่าจะนั่งลงตามจิตใต้สานึก แต่นางกลับ สัมผัสได้ถึงความไม่ถูกต้องได้โดยเร็ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความ กระอักกระอ่วน รีบยืดตัวขึ้นทันใด
คิดไม่ถึงว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นจะยื่นมือมากดลงบนความ ว่างเปล่าสองที ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ปรมาจารย์เฮ้อนั่งลงได้ตามสบาย”
ซ่งไหวเป้ ามองใบหน้าของเฮ้อฉีโจว หากอายุน้อยกว่านี้สักสิบ ยี่สิบปี ไม่แน่ว่าอาจเป็ นสาวงามคนหนึ่ง แต่ตอนนี้น่ะหรือ? เขานินทา ในใจไม่หยุด รสนิยมของเซียนกระบี่เฉินค่อนข้างจะแปลกสักหน่อย
พริบตานั้นซ่งไหวเป้ าก็เห็นว่าสายตามีเลศนัยของเฉินผิงอันมา หยุดอยู่บนร่างของตน
ซ่งไหวเป้ าได้แต่ยกสองมือขึ้นกุมเป็ นหมัดเขย่าแรงๆ ถือเป็ นการ ขออภัยเซียนกระบี่ท่านนี้ แล้วก็ไม่กล้าคิดอะไรเหลวไหลอีก
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อง่ายๆ หนึ่งที บนลานกว้างหยกขาว ก็มี “แผนภาพสถานการณ์” ของฟ้ าดินร่างกายมนุษย์ที่ลี้ลับ มหัศจรรย์เพิ่มขึ้นมา
ม้วนภาพในแนวตั้งส่องประกายแสงเรืองรอง เส้นเอ็นและกระดูก เหมือนรากภูเขาเส้นชีพจรเหมือนสายน้า เลือดลมชัดตลบประหนึ่ง น้าในแม่น้าที่ไหลเชี่ยวกราก ช่องโพรงทั้งหลายที่อยู่เลียบเส้นทาง ประหนึ่งหน้าด่าน มองดูคล้ายจวนที่พัก ภาพรวมจึงเหมือนนครยักษ์ โอฬาร!
“ในร่างกาย” ของผู้ฝึกยุทธคนนั้นมีเส้นใยสีขาวหิมะคล้ายใยแมง มุมปรากฏขึ้นมารังหนึ่ง
“ช่วงเริ่มต้นของการเรียนวรยุทธ คือการมองประตูแห่งวิถีวรยุทธ ในช่วงต้น ขอบเขตดินดิบ”
“ตอนที่เดินข้ามธรณีประตูบานนี้ ลมปราณที่แท้จริงจะกระจาย ตัวเหมือนแหปากหนึ่ง การกลั้นลมปราณรวบรวมสมาธิก็คือการรวบ แห อาศัยกระบวนท่าหมัดและท่าเดินมารวบรวมลมปราณที่แท้จริง เมื่อหยุดนิ่งก็คือการกดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน ไม่ขยับเขยื้อน เหมือนภูเขา ทดลองทาตัวให้นิ่งเหมือนพระโพธิสัตว์ดินปั้น แก่นแท้ ของความรู ้ในขอบเขตนี้อยู่ที่คาว่า “กระจาย” และคาว่า ‘จม” สามารถอาศัยลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธกลับมาหล่อเลี้ยงเส้น เอ็น กระดูกและเลือดลมของร่างกายตัวเองได้ สามารถขับเอากาก อาหารที่กินเข้าไปแล้วจมสะสมอยู่ในร่างกายให้กระจายออกไปนอก ร่าง เวลาปกติที่ฝึกท่าหมัดท่าเดินนอกร่างเหงื่อจะออกเหมือนฝนตก ส่วนเลือดลมจะเหมือนฝนรสหวานที่อยู่ในกาย”
“ยามที่ขอบเขตนี้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบก็จะหาลมปราณก่อน กาเนิดขุมหนึ่งพบ ลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์รวมตัวกันเป็ นเส้นเส้น หนึ่งที่ไหลวนรวดเร็วเหมือนฟ้ าแลบ เป็ นเส้นยาวเลื้อยคดเคี้ยวเหมือน เจียวหลง ข้ามภูเขาลุยน้า พลิกแม่น้าข้ามมหาสมุทร”
ภาพบรรยากาศของผู้ฝึกยุทธเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง ลมปราณ แท้จริงที่บริสุทธิ์เหมือนมังกรเพลิงที่เลื้อยไปไม่หยุดนิ่ง
“สถานที่ที่ “ลมปราณจมลง” เหมือนคนที่เลือกสถานที่แห่งหนึ่ง แล้วท าการกระทุ้งดินปูพื้นให้แน่นหนา ก่อนจะสร ้างบ้านขึ้นมา เป็ น บ้านหลังเล็กเรียบง่าย….”
พูดมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หยุดชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าอ่อนโยน ลงหลายส่วน เพียงแต่ไม่นานเขาก็คืนสติ เอ่ยต่ออีกว่า “หนึ่ง ลมปราณพุ่งผ่านเสร็จในรวดเดียว ก็คือการที่ผู้ฝึกยุทธใช ้กระดูกเป็ น เสาคาน ใช ้เลือดเนื้อก่อเป็ นกาแพงสูงในเวลาเดียวกัน สลายปราณ ขุ่นมัวสกปรกที่เกิดขึ้นในภายหลัง ถึงขั้นที่ว่ายอมสลายปราณ วิญญาณฟ้ าดินที่ได้มา ขับไล่ออกจากดินแดนไปพร ้อมกันด้วย ฟ้ า ดินเรือนกายมนุษย์เหมือนแคว้นแห่งหนึ่งที่มิอาจมีเจ้าของได้สองคน มีเพียงข้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ความบริสุทธิ์เต็มตัวของผู้ฝึ กยุทธได้มา อย่างไร ก็คือได้มาอย่างนี้ ผู้ฝึกยุทธจะต้องงัดข้อกับตัวเอง ต้องงัดข้อ กับผู้ฝึกยุทธรุ่นเดียวกัน และยิ่งต้องงัดข้อกับฟ้ าดินแห่งนี้ นี่ต่างหาก จึงจะเป็ นผู้ฝึกยุทธที่แท้จริง ต่อให้บ้านพักของขอบเขตนี้จะเรียบง่าย มอซอ แต่บรรยากาศก็สูงส่งยาวไกล มีพลังใจที่สูงมาก”
“ขอบเขตที่สองคือขอบเขตหุ่นไม้ เรือนกายจะค่อยๆ แข็งแกร่ง เลือดลมพลุ่งพล่านเมื่อฝึกขอบเขตนี้ได้สาเร็จ ลมปราณแท้จริงจะ หวนกลับคืนไปหล่อเลี้ยงแทรกซึมไปถึงเส้นเอ็นกระดูกและผิวหนัง ใช ้ จุดที่ลมปราณจมลงไปเป็ นช่องโพรงแห่งชะตาชีวิต ขยับขยายพื้นที่ ออกไปข้างนอก ค่อยๆ ขยับขยายเส้นทางที่ลมปราณแท้จริงต้อง ไหลเวียนผ่านให้ใหญ่ขึ้นทีละนิด เหมือนเปลี่ยนเส้นทางดินโคลน สายเล็กในชนบทที่คดเคี้ยวขรุขระให้กลายมาเป็ นถนนทางหลวงที่ กว้างขวางราบเรียบ เส้นชีพจรขยับขยาย ยิ่งนานวันการไหลรินของ ลมปราณแท้จริงก็ยิ่งราบรื่นมากขึ้นเรื่อยๆ เป็ นเหตุให้ขอบเขตนี้ทั้ง
สามารถทดสอบว่าฐานกระดูกของผู้ฝึ กยุทธดีหรือไม่ดีได้โดยตรง ที่สุด ขณะเดียวกันก็สามารถทดสอบถึงความอดทนและความ ยืดหยุ่นของคนที่เรียนวรยุทธได้ดีที่สุด เพราะจาเป็ นต้องใช ้วิธีการ ขัดเกลาช ้าๆ ซึ่งเป็ นวิธีที่โง่ที่สุดอย่างการ… “เปิดภูเขา”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็กาสองมือที่สอดกันไว้ในชายแขน เสื้อเป็ นหมัดหลวมๆ ตามจิตใต้ส านึกแล้วเอาหมัดวางลงบนหัวเข่า พูดด้วยสายตาฉายประกายร ้อนแรงว่า “เคยมีผู้อาวุโสสอนหมัดได้ เอ่ยประโยคหนึ่งว่า เทพเชียนบนภูเขา บนภูเขามีเทพเซียน แต่ผู้ฝึก ยุทธต้องใช ้สองหมัดเปิดภูเขา เมื่อเจอกับเรื่องอยุติธรรม ข้าก็ใช ้สอง หมัดจัดการ ผู้ฝึกยุทธอย่างเราๆ มหามรรคาเป็ นเส้นตรง! วิถีทางโลก คือเส้นทางเล็กแคบเหมือนไส้แกะที่คดเคี้ยวก็ให้ข้าได้เป็ นผู้บุกเบิก เส้นทางกว้างใหญ่ให้กับตัวเอง ให้กับโลกยุคหลัง! เป็ นเหตุให้ผู้ฝึก ยุทธที่อยู่ในขอบเขตนี้ยิ่งทนกับความยากลาบาก ยิ่งยอมทุ่มเทความ พยายามอย่างหนักหน่วงเท่าไร ผลสาเร็จในอนาคตก็ยิ่งไม่เป็ นรอง เรือนกายมิพ่ายของจินกุ้งแห่งลัทธิพุทธและเรือนกายไร ้มลทินของ ลัทธิเต๋ามากเท่านั้น”
เมื่อเฉินผิงอันพูดถึงคาว่า ‘เป็ นเหตุให้” สีหน้าของเขาก็กลับคืน มาเป็ นปกติแล้ว น้าเสียงก็เริ่มราบเรียบ เพียงแค่ยื่นมือไปตบใบไม้ใบ นั้น “ขอบเขตหนึ่งกับขอบเขตสองมีความต่างกันดุจต้นหญ้ากับ ต้นไม้”
เฉินผิงอันมองเฉานี่
จงเชี่ยนเองก็หันไปมองบุคคลอันดับหนึ่งด้านเวทกระบี่ของใต้ หล้าในทุกวันนี้ บนร่างอีกฝ่ ายมีภาพบรรยากาศของผู้ฝึ กยุทธขุม หนึ่งที่จงเชี่ยนคุ้นเคยอย่างยิ่ง เพราะถึงอย่างไรตนก็เคยเดินผ่าน เส้นทางนี้มาก่อน เฉานี่ใช ้ได้เลยนี่นา อีกเดี๋ยวก็จะกลายเป็ นขอบเขต ร่างทองคนที่สองแล้วหรือ?
เฉานี่ที่ได้ครอบครองความกล้าแห่งนักสู้ตอนอยู่ในสนามรบ โบราณพึมพ ากับตัวเองว่า “หมัดพ่ายแพ้ได้ หมัดสังหารศัตรูได้ หมัด สามารถท าให้ผู้ฝึกยุทธกลายเป็ นศัตรูของคนนับหมื่นบนสนามรบได้ แต่สองหมัดของผู้ฝึกยุทธก็สามารถช่วยชีวิตคนท าให้ใต้หล้าสงบสุข ได้เช่นกัน”
แต่ค่อนข้างน่าประหลาด เพราะเฉานี่ที่เป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวซึ่ง ขยับเสื้อผ้าให้เรียบร ้อยกลับถามคาถามที่อยู่ห่างจากหัวข้อสนทนา ไปไกล “ขอถามอาจารย์เฉินสักหน่อย ในใจของท่าน จักรพรรดิและ ขุนนางคืออะไร และบัณฑิตคืออะไร”
เฉินผิงอันท าท่าครุ่นคิด ก่อนจะตอบว่า “จักรพรรดิคืออะไร? อริยะกล่าวไว้ว่าคือคนที่สามารถปกครองคนหมู่มาก จักรพรรดิใช ้ หลักแห่งจารีตพิธีการในการปกครองแคว้น การปกครองแคว้นก็ เหมือนการปรุงปลาน้อยที่ต้องมีทั้งหลักธรรมควบคู่ไปกับการลงมือ ปฏิบัติใช ้วิถีธรรมและความเผด็จการควบคู่กัน สามารถเปลี่ยนหนัก ให้เป็ นเบา ชะตาแคว้นทอดยาว ชาวบ้านใช ้ชีวิตอย่างสงบสุข แผ่นดินเป็ นของราชวงศ์ แต่ยอมสละผลประโยชน์ให้กับราษฎร หาก
จักรพรรดิผู้ครองแคว้นไม่ได้ใจคนก็ควรถูกปลดให้กลายเป็ นคน ธรรมดา หลักการเดียวกัน คนธรรมดาที่ได้ใจราษฎร แน่นอนว่า สามารถขึ้นครองตาแหน่งจักรพรรดิได้ย้อนกลับมามองวิญญูชน ก็ คือผู้ทรงภูมิรอบรู ้ ปฏิบัติตามมารยาทพิธีการ คือต้นก าเนิดแห่ง กฎหมาย วิญญูชนผสานกลมกลืนกับฟ้ าดิน การกระทาดุจดั่งพระผู้ เป็ นเจ้าแห่งสรวงสวรรค์ควบคุมชะตาฟ้ าลิขิต รองรับหมื่นสรรพสิ่ง ให้ ความส าคัญกับความมานะพยายามของตัวเอง หาใช่รอคอยให้ สวรรค์ประทานให้”
“ผู้ที่ชอบการต่อสู้มักจะหลงลืมความปลอดภัยของชีวิตและ ร่างกายตัวเอง ผู้ที่ต่อสู้ก็มักจะเข้าใจผิดคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทานั้น ถูกต้อง เบาหน่อยก็คือการผดุงคุณธรรมกระท าการตามใจตัวเอง มี บุญคุณต้องตอบแทนมีความแค้นต้องชาระ ประหนึ่งผู้ฝึกยุทธเจี่ยง เฉวียนแล้วก็มีคนที่แสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ อาศัยอานาจ รังแกคนอื่น ใช ้ฝีมือการต่อสู้ละเมิดกฎอย่างก าเริบเสิบสาน ร ้ายแรง หน่อยก็คือลงมืออ ามหิตดูแคลนความตาย บุกรุดหน้าไปอย่างไม่กลัว สิ่งใด มีผู้กล้ายอมสละชีพเพื่อคุณธรรมอันสูงส่ง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี สามัญชนผู้หุนหันพลันแล่นที่อาศัยเพียงใจฮึกเหิมเข้าท้าทายอานาจ สูง ท าให้อีกฝ่ ายเลือดสาดตายคาที่ วีรบุรุษผู้กล้าที่บนร่างมีมาดตาม แบบคนโบราณ และผู้ที่กล้าดูแคลนอ๋องและราชาก็มี เพียงแต่ว่า จ านวนมีไม่มาก”
“ดวงดาวตกลงมา ปราณวิญญาณไหลริน เทพและผีผุดขึ้นมา พร ้อมกัน หยินหยางปะปน มืดและสว่างยากจะแยกแยะ ภาพ บรรยากาศผิดปกติบังเกิด เจ้าเฉานี่คือผู้ฝึ กยุทธเคยได้เห็นความ มหัศจรรย์น่าเหลือเชื่อพวกนี้มากับตาตัวเองแล้ว สภาพจิตใจของเจ้า เป็ นเช่นไร?”
เฉานี่ตอบ “วิญญูชนเห็นเป็ นเรื่องธรรมดา แต่คนถ่อยกลับรู ้สึก แปลกประหลาด”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ ผายฝ่ ามือข้างหนึ่งออกไป “ก่อนหน้า นี้ล่วงเกินแล้ว ขอเฉานี่โปรดนั่งลง”
มือกระบี่เฉานี่คลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “เป็ นหน้าที่ที่พึงกระทา หาก มิใช่ข้าแล้วจะเป็ นใคร”
อันดับแรกก็เป็ นเฮ้อฉีโจว แล้วจึงตามมาด้วยเฉานี่ ผู้ฝึ กยุทธ ขอบเขตหกสองคนต่างก็ได้นั่งลงแล้ว ผลคือบุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้ หล้าอย่างจงเชี่ยนกลับยังคงยืนอยู่
เฉานี่เหลือบมองจงเชี่ยนคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา
จงเชี่ยนแยกเขี้ยว ในใจโมโหนัก ข้าผู้อาวุโสอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว อย่าว่าแต่นั่งเลย จะนอนก็ยังได้!