กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1077.4 ท่านอาจารย์ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย
“เคยมีผู้ฝึ กยุทธที่เป็ นผู้อาวุโสแซ่จูคนหนึ่ง ปี นั้นเขาเคย ยกตัวอย่างให้ข้าฟังสองข้อบอกว่าชีพจรก็เหมือนเส้นทาง ลมปราณ แท้จริงที่บริสุทธิ์ที่ไหลรินผ่านก็เหมือนรถม้าที่เคลื่อนผ่าน เป็ นเหตุให้ เมื่อเจอภูเขาก็ต้องเปิดเส้นทาง เจอน้าก็ต้องสร ้างสะพาน หากแอบอู้ ในขอบเขตนี้ก็มีทางลัดให้เดินอยู่เหมือนกัน ปูเส้นทางให้น้อย ขยับ เลื่อนไปยังขอบเขตถัดไปให้ได้โดยเร็ว ทว่าการจับคู่เข่นฆ่ากับผู้ฝึก ยุทธขอบเขตเดียวกันก็จะเหมือนกองก าลังของสองแคว้นที่ ประจัญบานกันในสนามรบ แน่นอนว่าใครที่โยกย้ายกาลังพลได้เร็ว กว่าคนนั้นก็สามารถเอาชนะได้ แล้วก็เหมือนชาวไร่ชาวนาที่คิด อยากจะให้ผลเก็บเกี่ยวประจาปี ดีก็ต้องลงแรงเหน็ ดเหนื่อยมาก กว่าเดิม ปลูกพืชพรรณในไร่นาไว้ให้มากกว่าเดิม คากล่าวนี้ ค่อนข้างจะตื้นเขินเข้าใจได้ง่ายแล้ว”
จากนั้นเฉินผิงอันก็อธิบายถึงกุญแจสาคัญของขอบเขตน้าเงิน บนเส้นทางวรยุทธให้ฟังอีกคร่าวๆ ว่าท าไมถึงเป็ น “พระโพธิสัตว์ดิน ปั้นข้ามแม่น้า” ความอันตรายและผลประโยชน์ของมันอยู่ตรงไหน
“เกี่ยวกับความกล้าแห่งนักสู้ ข้าจะอธิบายถึงสัจธรรมแห่งหมัดที่ คนรุ่นก่อนถ่ายทอดให้ฟังอีกสักสองสามประโยค เป็ นทั้งทางลัดแล้วก็ ไม่ใช่ทางลัด พูดถึงแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสามหลอมลมปราณ เมื่อ
ก่อนอวี่เจินอี้และจังชิวพวกเขาต่างก็เคยได้ยินแต่ไม่เคยเอามาใช ้ ทว่าวันนี้มีโอกาสแล้วพวกเจ้าก็สามารถลองดูได้ ทางที่ดีที่สุดควรจะ เลือกซากปรักสนามรบที่มีผีร ้ายมีกองทัพหยินออกอาละวาด เลือก สถานที่ที่มีกลิ่นอายชั่วร ้ายของปราณหยินที่สกปรกและมีพายุ ลมกรดของปราณหยางปะปนกัน เผชิญหน้ากับผีที่ดุร ้ายประหนึ่ง กองทัพม้าหนึ่งพันหนึ่งหมื่นนาย เมื่อผู้ฝึกยุทธพาตัวเข้าไปอยู่ในนั้น บุกเดี่ยวออกไปต่อสู้ก็เหมือนการถามหมัดกับฟ้ าดิน แน่นอนว่าหาก สามารถเพิ่มปณิธานหมัดได้ กระบวนท่าหมัดก็จะมีการพัฒนา หรือ จะถามหมัดกับวิญญาณวีรบุรุษที่เป็ นแม่ทัพผู้บัญชาการณ์ซากปรัก สนามรบพวกนั้นอย่างเปิดเผยก็ได้”
“เมื่อผู้ฝึกยุทธอยู่ในสถานการณ์จนตรอกต้องตายอย่างแน่นอน แต่กลับไม่มีความคิดอยากจะถอยหนี ก็คือความหมายและเจตจ านง ที่แท้จริงของคาว่า “พุ่งเข้าหาความตายความกล้าของนักสู้พลัน บังเกิด” อย่างที่กล่าวถึงในตาราหมัดแล้ว ในซากปรักสนามรบที่อืมค รีมน่าสะพรึงกลัวไร ้แสงตะวัน จิตวิญญาณและพายุหมัดของผู้ฝึ ก ยุทธสามารถร ้อนแรงดุจดวงตะวันแรงกล้าที่แผดเผาฟ้ าดิน สิ่งชั่วร ้าย เสนียดจัญไรทั้งหลายล้วนพากันหลบหนี รองลงมาก็คือไปเปิดฉาก เข่นฆ่าที่สนามรบ พาตัวไปอยู่ในสงครามเลือด ท้ายที่สุดก็เข้าใจคา ว่า “คนทั้งโลกล้วนเป็ นศัตรู” ได้อย่างกระจ่างแจ้ง สุดท้ายจึงจะเป็ น การประลองหมัดกันระหว่างผู้ฝึกยุทธ แน่นอนว่าระดับความอันตราย ของสองอย่างแรกมีมากแค่ไหน แค่คิดก็พอจะรู ้ได้”
“ปณิธานหมัดที่ไหลรินอยู่บนร่างของผู้ฝึ กยุทธประหนึ่งมีองค์ เทพคอยให้การปกป้ อง รอกระทั่งความกล้าแห่งนักสู้ของขอบเขตหก บังเกิดขึ้น ภาพบรรยากาศมีมากมายสารพัดอย่าง เป็ นเหตุให้เมื่อผู้ ฝึกยุทธเลื่อนมาสู่ขอบเขตนี้ก็สามารถเรียกขานว่าปรมาจารย์น้อยได้ แล้ว”
ตอนที่เริ่มบรรยายถึงสามขอบเขตของจิตวิญญาณและความ กล้าแห่งการเรียนวรยุทธเฉินผิงอันก็ยกมือขึ้นโบกชายแขนเสื้ออีก ครั้ง ด้านข้าง “ภาพแผนที่ เรือนกายของผู้ฝึกยุทธก็มีฟ้ าดินร่างกาย มนุษย์ที่เป็ นราวกับ “กลุ่มดวงดาวบนฟากฟ้ า’ ปรากฏเพิ่มขึ้นมา ช่อง โพรงและช่องลมปราณแต่ละช่องรวมตัวกันหนาแน่นดุจดวงดาวที่ ลอยอยู่กลางนภา
เกาจวินพลันเบิกตากว้างประหนึ่งได้เห็นสมบัติล้าค่า! นางกลั้น หายใจเพ่งสมาธิจ้องมองไป พยายามให้ตัวเองจดจ าทุกรายละเอียด บนภาพนี้ให้ได้มากที่สุดด้วยความเร็วที่มากที่สุด
ซุนหว่านแย่นที่ไร ้ชีวิตชีวาหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ในที่สุดนาง ก็อดไม่ไหวส่งเสียงอุทานออกมาว่า “ไม่มีทาง! ต่างก็เดากันว่าจ านวน รวมของช่องโพรงลมปราณในร่างมนุษย์มีแค่สามสี่ร ้อยแห่งเท่านั้น ไม่ใช่หรือ? จะมีเยอะขนาดนี้ได้อย่างไร?!”
กระทั่งบัดนี้ ซุนหว่านแย่นถึงเพิ่งจะรู ้ว่าอะไรคือกบใต้บ่อ อะไรคือ แตกต่างกันราวฟ้ ากับเหว นางสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเริ่มท่องจาเอา อย่างเกาจวิน
สีหน้าของโจวซูเจินซับซ ้อนอย่างถึงที่สุด บางทีนางอาจจะเป็ นผู้ หลอมลมปราณเพียงคนเดียวในที่นี้ที่มีช่องโพรงลมปราณมากกว่า เกาจวิน แต่กลับยังไม่สามารถบุกเบิกได้ส าเร็จ
ดังนั้นโจวซูเจินจึงรู ้ดีถึงมูลค่าที่แท้จริงของภาพนี้ ลาพังแค่ “ภาพดวงดาวตระกูลเซียน” ที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างถึงที่สุดภาพนี้ แค่ ค าว่ามูลค่าควรเมืองจะพอให้เอามาบรรยายได้อย่างไร?
“ผู้ฝึกยุทธเลื่อนจากหกไปเจ็ดก็คือร่างทอง เมื่อฝ่ าทะลุขอบเขต ของร่างทองก็จะกลายเป็ นขอบเขตเดินทางไกลที่สามารถทะยานลม ได้เหมือนกับผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง ดังนั้นถึงได้ถูกเรียกว่า ขอบเขตจ าแลงขนนก”
“สามขอบเขตของการหลอมจิตวิญญาณ โดยเฉพาะขอบเขต ร่างทอง เล่าลือกันว่าจะมีฟ้ าดินแห่งใหม่ บ้างก็อาศัยโชควาสนาส่วน บุคคล บ้างก็อาศัยการสืบทอดจากส านักและอาจารย์มาบุกเบิก เส้นทางสายใหม่ ผู้ที่ทาเช่นนี้จะสามารถอาศัยสามวิธีอย่างการบังคับ อัญเชิญและขอร ้อง ก็เหมือนการอัญเชิญเทพเข้าร่าง น ามา เสริมสร ้างความแข็งแกร่งให้ร่างกาย เหมือนทหารที่อยู่บนสนามรบ สวมเสื้อเกราะ เหมือนผู้หลอมลมปราณที่สวมชุดคลุมอาคม เพียงแต่ ว่าวิชาหมัดที่ข้าเล่าเรียนมาไม่ได้เดินไปบนทางเส้นนี้”
“ส่วนขอบเขตยอดเขาขอบเขตเก้า รวมไปถึงขอบเขตปลายทาง ที่อยู่เหนือขอบเขตนี้ขึ้นไป ระหว่างนี้ข้าจะพูดถึงด่านด่านหนึ่งที่มีชื่อ ว่า “ประตูชนสวรรค์
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “วันนี้พวกเจ้าฟังไปแล้ว มีความเข้าใจก็ พอแล้ว การเรียนวรยุทธสอนหมัดนั้นมีอยู่ แต่การป้ อนหมัดไม่ใช่การ ป้ อนข้าว ต้องอาศัยให้พวกเจ้าขัดเกลากันเอาเอง”
และเวลานี้เองท่าป๋ าต้าเจ๋อเจ้าแห่งทุ่งหญ้ากว้างก็กุมหมัด สายตา จริงใจ ใช ้ภาษากลางของจงหยวนที่สาเนียงแปลกแปร่งพูดขึ้นว่า “ขอเซียนกระบี่เฉินอย่าได้เก็บงาฝี มือไว้อีกเลย ช่วยแสดงสุดยอด เคล็ดวิชาอย่างเต็มที่ให้พวกเราได้ดูด้วยเถอะ ถึงอย่างไรชีวิตนี้ข้าก็ ไม่กล้าวาดหวังถึงขอบเขตยอดเขาอะไรแล้ว ขอบเขตปลายทางก็ยิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะคิด ก็แค่อยากจะเห็นภาพบรรยากาศของปรมาจารย์ ใหญ่ที่เป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางกับตาตัวเองสักครั้งว่าจะเป็ น เช่นไรกันแน่!”
“ในเมื่อเจ้าก็พูดเองแล้ว ยังคิดว่าข้าจะทาให้เจ้าเห็นอีกหรือ?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “เจ้าคิดว่าเป็ นการจ่ายเงินดูงิ้วหรือไร? หืม?”
เฉิงหยวนชานเริ่มเป็ นกังวลแล้วว่าเจ้าเด็กท่าป๋ าต้าเจ๋อผู้นี้จะไป นอนหลับอยู่บนพื้นหรือไม่
ท่าป๋ าต้าเจ๋อหน้าไม่เปลี่ยนสี กลับกันยังหัวเราะดังลั่น เอ่ยเสียง ดังว่า “เมื่อครู่พูดจาไร ้เหตุผลไปสักหน่อย อาจารย์เฉินโปรดให้ข้าได้ แก้ไขคาพูดเสียใหม่ ชั่วชีวิตนี้ข้าผู้อาวุโสจะขึ้นไปดูบนยอดเขา สัมผัสกับตัวเองว่าอะไรที่เรียกว่า “ประตูชนสวรรค์! ส่วนจะสาเร็จ หรือไม่ตายไปแล้วถึงจะรู ้ค าตอบ!”
ก็ไม่เห็นว่าเฉินผิงอันตั้งกระบวนท่าหมัดอย่างไร คนชุดเขียว ยังคงทาแค่ยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบเท้าลงเท่านั้น
พริบตานั้นรอบด้านที่มีอารามต้ามู่และภูเขาบรรพบุรุษของ ทะเลสาบชิวชี่เป็ นจุดศูนย์กลางก็มีกาแพงสูงสี่ด้านผุดขึ้นมา น้าโถม ตัวลอยค้างอยู่กลางอากาศ สะกดวิญญาณผู้คน
กาแพงสูงสี่ด้านถอยกลับเข้าไปในทะเลสาบอย่างเงียบเชียบ นี่ แสดงให้เห็นว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวท่านนี้ได้แสดงให้เห็นถึงตบะของ ปรมาจารย์ใหญ่สองรอบแล้ว?
ท่าป๋ าต้าเจ๋ออ้าปากค้าง เงียบไปพักหนึ่งก็หัวเราะหึหึ “อาจารย์ เฉิน พูดตามตรงนะสองขาของข้าอ่อนยวบไปหมดแล้ว ขอนั่งพัก สักครู่ให้หายใจหายคอคล่องหน่อยได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ลูกผู้ชายยืดได้หดได้”
“การหลอมลมปราณมีจิต วิญญาณและความกล้าของผู้ฝึกยุทธ ถ้าอย่างนั้นการศึกษาในเรื่องของสามจิตเจ็ดวิญญาณของผู้หลอม ลมปราณก็มีแต่จะลึกซึ้งยาวไกลยิ่งกว่าสามจิตในนั้นก็มีไทกวง (แสง สว่างแห่งทารกในครรภ์) ซวงหลิง (จิตวิญญาณที่ใสสะอาด) โยวจิง (วิญญาณลับ)”
“ขอบเขตของผู้หลอมลมปราณมีการแบ่งมากกว่า รวมแล้วมีสิบ ห้าขอบเขต…”
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ ภาพขุนเขาสายน้าในเรือนกาย มนุษย์ก็หายวับไป
เมื่อเฉินผิงอันพูดมาถึงตรงนี้ ไหวเซี่ยพลันเปิดปากเอ่ยว่า “ก่อน หน้านี้อาจารย์เฉินเอ่ยประโยคหนึ่งบอกว่า “เชื่อมโยงกับเทพ ร่วมกับ ฟ้ าดิน” แต่ก็พูดอีกว่าไม่เห็นการกระท า แต่เห็นผลลัพธ ์ นั่นก็คือสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์”
ผู้คนพากันส่งเสียงดังขรม สมาชิกที่เข้าร่วมการประชุมที่แม้จะ ส่งเสียงไม่ดัง แต่พอสวมกันแล้วก็เป็ นเสียงที่ไม่เบา ต่างก็รู ้สึกว่าใน ช่วงเวลาสาคัญอย่างนี้ ซานจวินอย่างเจ้าจะถามโน่นถามนี่ทาไม?!
เพราะถึงอย่างไรผู้หลอมลมปราณอาจจะไม่รู ้สึกสนใจใน ขอบเขตของผู้ฝึกยุทธเท่าใดนัก แต่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวกลับไม่กล้าเกิด ความประมาทใดๆ ต่อขอบเขตของผู้หลอมลมปราณอย่างแน่นอน
ซานจวินไหวเซี่ยที่มีรูปโฉมเป็ นเด็กน้อยแสร ้งท าเป็ นไม่ได้ยิน เพียงแค่จับจ้องเซียนกระบี่ชุดเขียว ยังคงพูดเรื่องของตัวเองต่อไปว่า “ข้าไม่อยากสืบเสาะไปถึงต้นก าเนิดว่าทาไมตนเองถึงกลายมาเป็ นสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าได้ แต่ในใจกลับมีข้อสงสัยที่หลายปีมานี้ คิดไปหลายร ้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ จึงอยากจะขอความกระจ่างจาก ท่านอาจารย์ หากจะบอกว่าร่างกายมนุษย์นั้นได้มายากยิ่ง ถ้าอย่าง นั้นตายไปกลายเป็ นผี ในบรรดานี้ก็มีวิญญาณวีรบุรุษบุ๋นบู๊ การที่มี ความแตกต่างไปจากวิญญาณเร่ร่อนที่จิตสานึกพร่าเลือนจึงค่อยๆ ดับสูญไปจากฟ้ าดิน เป็ นเพราะว่าจิตวิญญาณที่แท้จริงของความ
เป็ นมนุษย์ยังไม่สลายหายไปหรือ? หรือเป็ นเพราะตอนมีชีวิตอยู่ท า ความดีสั่งสมบุญกุศลเอาไว้? แต่หากเป็ นเช่นนี้จริง ทาไมคนตายไป แล้วถึงกลายไปเป็ นผีร ้ายได้ แล้วทาไมเมื่อข้าเฝ้ ามองการกระทาของ ผีบางตน ทั้งๆ ที่ตอนมีชีวิตเป็ นพวกชั่วช ้าก่อกรรมทาเข็ญไม่เว้นวาง แต่กลับสามารถมีชีวิตดารงอยู่บนโลกได้อย่างยาวนาน ถึงขั้นที่ว่ายัง แอบยึดครองภูเขาสายน้า สร ้างศาลก่อตั้งเทวรูป ได้เสวยสุขจากควัน ธูปที่ชาวบ้านมากราบไหว้? หรือว่ายังต้องตามหาเส้นสายก่อนหน้านี้ สืบย้อนไปถึงวัฏจักรแห่งแรงกรรมของสามชาติก่อนหรืออาจจะ มากกว่านี้?”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ข้ารู ้แค่ว่าการปรากฏของ วิญญาณวีรบุรุษสามารถเดินท่องอยู่ในโลกมืดและโลกสว่างได้อย่าง ยาวนานไร ้อุปสรรคนั้นเป็ นเพราะจิตวิญญาณที่แท้จริงส่วนหนึ่ง ผลักดันจริงๆ เรื่องอื่นๆ ข้ากลับไม่รู ้แล้ว”
ไหวเซี่ยพยักหน้า “ในอนาคตข้าจะต้องหาค าตอบด้วยตัวเอง”
แล้วก็ไม่ต้องให้เฉินผิงอันเปิดปากพูดอะไร ตัวเขาเองก็นั่งแปะลง ไปบนเก้าอี้แล้ว
ซุนหว่านแย่นถามต่อทันทีว่า “ข้าเองก็มีเรื่องอยากจะถาม เคย เจอประโยคหนึ่งในตาราบอกไว้ว่า “มีแต่ความสัตย์จริงที่สุดในใต้ฟ้ า ที่จะเผยธรรมชาติได้สิ้น” คากล่าวนี้มีเหตุผลหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่ามีเหตุผล”
ซุนหว่านแย่นยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งประหลาดแล้ว คนบางคน ที่นั่งอยู่ก็ถือว่าเป็ นที่มีความสัตย์จริง หรือควรจะพูดว่าเป็ น…..คนดี ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันตอบกลับเรียบๆ “จะฝึ กบ าเพ็ญตนได้หรือไม่ ศาล เถื่อนกลายเป็ นเทพ ขึ้นภูเขากลายเป็ นเซียน ไม่เกี่ยวกับดีเลว มีแค่
ความบริสุทธิ์ อีกทั้งต้องมีโชควาสนา” ซุนหว่านแย่นท าท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด |
เฉินผิงอันยิ้มบาง “ดังนั้นถึงต้องให้ใครบางคนมายืนอยู่ที่นี่ เหมือนกัน อย่าได้ยกที่นั่งและเปิดทางให้ใครบางคน สหายซุน เจ้าคิด ว่าอย่างไรล่ะ?”
ซุนหว่านแย่นดวงตาเป็ นประกาย นางเบี่ยงกายยอบตัวคารวะ ด้วยท่าทางสุภาพอ่อนน้อม ยิ้มแล้วนั่งลง
ผู้เฒ่าที่เรียกตัวเองว่าเถาเจ่อเปิดปากพูดด้วยน้าเสียงแหบพร่า “มีเรื่องอยากจะถามอะไรคือการฝึกบ าเพ็ญตน”
เฉินผิงอันตอบ “สิ่งของนั้นดารงอยู่ เพียงแต่รอเวลาที่เหมาะสม จึงจะปรากฏ ดังนั้นเมื่อจริงใจจึงเกิดรูปร่าง มีรูปร่างก็มีจิตวิญญาณ มี จิตวิญญาณย่อมสามารถเปลี่ยนแปลง มีเหตุผลและความชอบธรรม เป็ นหลัก เมื่อเผชิญเหตุการณ์ยิ่งชัดเจนแจ่มแจ้ง ยุคสมัยจึง ผลัดเปลี่ยนเจริญรุ่งเรือง นี่เรียกว่าคุณธรรมแห่งสวรรค์ นี่คือการ บาเพ็ญตน นี่เรียกว่าผู้ถึงที่สุดนี่คือการบรรลุซึ่งมรรคา”
“ค าบอกกล่าวของท่านอาจารย์ก็คือการถ่ายทอดมรรคา!”
ผู้เฒ่าขบคิดอยู่พักหนึ่งก็ทอดถอนใจด้วยความชื่นชม ยิ้มกุม หมัดเอ่ยว่า “แก่แล้วแขนขาก็ไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรง ขอท่านอาจารย์ โปรดประทานที่นั่ง”
เฉินผิงอันผายมือออกมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าเชิญ ตามสบาย”
จงเชี่ยนเข้าใจได้แล้ว ขอแค่หน้าหนาสักหน่อยก็ได้นั่งลงแล้ว? พูดถึงแค่ตาแก่ผู้นี้ เป็ นผีไม่ใช่หรือ จะมาแขนขาอ่อนแรงอะไร
ดังนั้นจงเชี่ยนจึงกระแอมหนึ่งที อีกๆ อักๆ อยู่นานกว่าจะเปิดปาก ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “คนกันเอง รู ้ไส้รู ้พุงกันดี จะนั่งก็ได้ จะยืนคุม หลังให้ก็ได้เหมือนกันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของปรมาจารย์จงตอนนี้แล้ว”
จงเชี่ยนหรือจะรู ้จักเกรงใจ เขารีบนั่งลงทันที เอนหลังพิงพนัก เก้าอี้ ยึดสองขาออกมาสองมือวางลงบนที่วางแขนเก้าอี้ พรูลม หายใจอย่างสบายอุรา
ถึงอย่างไรข้าก็แสดงน้าใจไมตรีอย่างสุดความสามารถแล้ว
ตนกับซานจวินไหวเซี่ย ซุนหว่านแย่นและตาเฒ่านั่นต่างก็ช่วย เต็มที่ให้พวกเจ้าได้จดจ าภาพเซียนภาพที่สองได้นานขึ้นอีกหน่อย
เฉินผิงอันกล่าวต่ออีกว่า “ห้าขอบเขตล่าง ขอบเขตหนังทองแดง ขอบเขตรากหญ้าขอบเขตเส้นเอ็นหลิว ขอบเขตปราณกระดูก ขอบเขตสร ้างกระท่อม มีความเหมือนและความต่างจากหลอม ร่างกายสามขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ ทุกท่านต้องลองสัมผัสด้วยตัวเอง และขอบเขตที่สามในนี้ก็มีอีกชื่อหนึ่งว่าขอบเขตรั้งคน”
“ห้าขอบเขตกลางได้แก่ขอบเขตถ้าสถิต ขอบเขตชมมหาสมุทร ขอบเขตประตูมังกรขอบเขตโอสถทอง ขอบเขตก่อกาเนิด “ผู้ที่สร ้าง โอสถทองได้ส าเร็จก็คือคนรุ่นเดียวกับข้า” ทุกวันนี้เกาจวินก็คือ ขอบเขตโอสถทอง ถูกเรียกขานว่าเป็ นเซียนดินเช่นเดียวกับ ขอบเขตก่อก าเนิด สามารถปล่อยจิตหยินออกจากช่องโพรงเดิน ทางไกล สามารถหลอมร่างจิตหยางกายนอกกายขึ้นมาได้”
“ห้าขอบเขตบน หยกดิบ เซียนเหริน บินทะยาน ขอบเขตสิบสี่ คนฟ้ าผสานเป็ นหนึ่งชื่อชั่วคราวคือผสานมรรคา ขอบเขตสิบห้าไม่มี ชื่อเรียก”
เมื่อเทียบกับภาพขุนเขาสายน้าภาพแรก ดูเหมือนว่าเซียนกระบี่ เฉินจะอธิบายถึงภาพดวงดาวภาพที่สองอย่างกระชับเรียบง่ายไปสัก หน่อยหรือไม่?
เกาจวินที่อันที่จริงได้จดจารายละเอียดทั้งหมดเอาไว้แล้วบาก หน้าใช ้เสียงในใจถามว่า “ไฉนเจ้าขุนเขาเฉินถึงได้เลือกที่รักมักที่ชัง เช่นนี้?”
“เพียงแค่เพราะสามารถรังแกวิญญูชนได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ชอบธรรม เมื่อครู่นี้ถึงได้ไม่ถือสาอะไรเจ้า เจ้าที่เป็ นเจ้าประมุขพรรค หูซานก็อย่าคิดได้คืบจะเอาศอก”
เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจเอ่ยเตือน “เรียนรู ้จากข้าให้มาก หยุดแต่ พอสมควร”
เกาจวินคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ยังหาถ้อยค าใดมาตอบโต้ไม่ได้
เฉินผิงอันยื่นมือไปคีบใบไม้ใบนั้นขึ้นมาแล้วโยนออกไปเบาๆ ใบไม้เปล่งวูบแล้วหายวับไปท่ามกลางสายตาของทุกคน
พื้นที่มงคลรากบัวได้เลื่อนขั้นเป็ นพื้นที่มงคลระดับสูงซึ่งสูงไป มากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วอย่างมากสุดวันหน้าก็ได้แค่เชื่อมโยงเข้ากับ ถ้าสวรรค์เล็กอีกแห่งหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเป็ นเช่นนี้ ขอแค่ภูเขาลั่วพั่วไม่ขัดขวาง เกาจวินที่ตอนนี้เป็ น โอสถทองแล้วย่อมต้องได้กลายเป็ นขอบเขตก่อก าเนิดแน่นอน ถึง ขั้นมีหวังที่จะเลื่อนเป็ นห้าขอบเขตบน
ซุนหว่านแย่นมีคุณสมบัติดีเยี่ยม นางถึงขั้นสามารถย้ายไปสู่ สายยันต์ที่ธรณีประตูสูงมากได้ ผลสาเร็จในอนาคตก็ต้องไม่ต่าอย่าง แน่นอน ขอแค่มอบตาราให้นางสักสองเล่ม เล่มหนึ่งคือตารายันต์ พื้นฐานของไพศาล บวกกับตาราลับอีกเล่มที่เหมาะให้ภูตผีหลอม ลมปราณ ในอนาคตอีกร ้อยปีซุนหว่านแย่นก็จะต้องกลายเป็ นเซียน
ดินโอสถทองที่ไร ้ศัตรูทัดเทียมในขอบเขตเดียวกันเว้นจากผู้ฝึกกระบี่ อย่างแน่นอน
ปีนั้นอวี๋เจินอี้ถ่ายทอดมรรคกถาลับหลายชนิดให้กับเฉิงหยวน ซานที่เป็ นฝ่ ายมาสวามิภักดิ์ต่อตนเอง ไม่ได้เก็บงาวิชาไว้มากนัก จึง พอจะถือว่าเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดครึ่งตัวรองจากเกาจวินได้
ดังนั้นเฉิงหยวนซานที่ผลัดรกเปลี่ยนกระดูกจึงมีคุณสมบัติของ โอสถทองจริงๆ เพียงแต่ว่ามีคุณสมบัติก็เป็ นเรื่องหนึ่ง จะทาสาเร็จ หรือไม่ก็เป็ นอีกเรื่องหนึ่ง ฝึกบาเพ็ญตนบนภูเขา เดินสะดุดอยู่หลาย ครั้งก็เป็ นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้
โจวซูเจินแห่งหอจิ้งหย่าง ผลสาเร็จในการเรียนวรยุทธในอดีต กับฐานกระดูกคุณสมบัติในการฝึกตนทุกวันนี้ ต่างก็ถือว่าสูสีกับปี้ เซิ่งเฉิงหยวนซาน
แต่ว่ามีอยู่ข้อหนึ่งที่โจวซูเจินได้เปรียบมากกว่าเฉิงหยวนซาน นั่นก็คือนางได้เปรียบในเรื่องที่เป็ นศาลาอยู่ใกล้น้าได้ยลแสงจันทร ์ ก่อน อวี๋เจินอี้ต้องศึกษาคาถาตระกูลเซียนด้วยตัวเองทั้งหมด แต่ หอจิ้งหย่างกลับมีรากฐานที่ลึกล้ามาก่อนแล้ว ลาพังแค่ตาราลับ สาเร็จรูปที่ผู้หลอมลมปราณเอามาใช ้ได้ทันทีก็มีถึงห้าสิบกว่าเล่ม พูดถึงแค่โจวซูเจินกับเจ้าหอคนปัจจุบัน ต่างก็ฝึกวิชาตระกูลเซียน กันคนละสิบกว่าชนิดแล้ว
ตอนนั้นที่ลู่ไถมาเป็ นแขกที่หอจิ้งหย่างอยู่หลายครั้ง อันที่จริงก็ เพื่อขวางประตูและขวางทาง ยืนกรานจะไม่ยอมให้อวี๋เจินอี้เข้าไป อ่านหนังสือด้านในเด็ดขาด
อวี๋เจินอี้จะว่างกว่าเขาได้หรือ? เจ้าลัทธิมารอย่างลู่ไถนั้นต้อง เรียกได้ว่าวันทั้งวันนอกจากกินอิ่มแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทาอีก
พูดถึงแค่ครั้งสุดท้ายลู่ไถก็นาพาลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคนมา ด้วยกัน ตั้งท่าชัดเจนว่ามาเพื่อเฝ้ าตอรอกระต่าย ถือโอกาสนั้นรอ กาจัดอวี๋เจินอี้ ลู่ไถถึงกับจัดวางค่ายกลไว้แล้วด้วยซ้า
น่าเสียดายที่อวี๋เจินอี้ถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ
ส่วนเจียวทะเลสาบที่ฝึกวิชาไฟแต่เดินลงน้าตัวนั้น ขอแค่เว่ยเหลี ยงจัดการควบคุมได้อย่างเหมาะสม นางก็อาจจะกลายเป็ นก่อก าเนิด คนหนึ่งได้เหมือนกัน