กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1079.1 ต่างถิ่น บ้านเกิด ถิ่นแห่งสุรา บ้านแห่งหัวใจ
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1079.1 ต่างถิ่น บ้านเกิด ถิ่นแห่งสุรา บ้านแห่งหัวใจ
เฉินผิงอันพาหมี่ลี่น้อยไปถึงที่เรือนแห่งนั้น ประตูเรือนและประตู ห้องล้วนเปิดอ้าอยู่ ในห้องรับรองแขกนอกจากอวี๋เสวียนแล้ว ทั้งศิษย์ พี่จวินเชี่ยนและป๋ ายเหย่ต่างก็อยู่ด้วย เผยเฉียนนั่งตัวตรงอย่างสารวม และยังมีเด็กชายชุดเขียวที่นั่งตามองจมูกจมูกมองใจ ไม่รู ้ว่าตัวเองมา นั่งทาอะไรอยู่ตรงนี้ เทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ มองท่าทางของเจ้าแล้วก็ไม่ เหมือนคนที่จะชอบดื่มเหล้าเลยนี่นา อีกอย่างท่านผู้อาวุโสขอบเขต สูงขนาดนี้ อายุก็ตั้งปูนนี้แล้ว หากนั่งลงที่โต๊ะสุราแล้วต้องดื่มคารวะ กันขึ้นมาจริงๆ เฉินหลิงจวินก็กลัวว่าตัวเองจะมือสั่น ถือชามเหล้าได้ ไม่มั่นคง
เฉินผิงอันที่ยังคงสวมชุดเต๋าผ้าโปร่งสีเขียวสะพายกระบี่เดินข้าม ธรณีประตูเข้ามาเขาคารวะเงินเหรินผู้เฒ่าตามขนบลัทธิเต๋าก่อน “ผู้เยาว์คารวะอวี๋เจินเหริน”
เจินเหรินผู้เฒ่ายื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่าสองที ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าที่เป็ นแขกยังไม่เกรงใจเลย เดินเล่นอยู่ในภูเขาเหมือนเป็ นบ้าน ตัวเอง สหายเฉินที่เป็ นเจ้าบ้านจะต้องเกรงใจไปไย จะห่างเหินกันได้”
นี่เป็ นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้พบกับผู้ที่เป็ นที่ภาคภูมิใจที่สุดใน โลกมนุษย์แห่งใต้หล้าไพศาลเป็ นครั้งแรก เขาจึงประสานมือค้อมตัว คารวะ “คารวะอาจารย์ป๋ าย ศิษย์พี่จวินเชี่ยน”
ป๋ ายเหย่ผงกศีรษะตอบรับ
จวินเชี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “รีบนั่งเถอะ”
กว่าเฉินผิงอันจะห้ามตัวเองไม่ให้หันไปมองหมวกหัวเสือได้ไม่ใช่ เรื่องง่าย เขาไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ตาแหน่งประธาน เพียงแค่ขยับมานั่ง ข้างกายของศิษย์พี่จวินเชี่ยน ตามองตรงไม่ล่อกแล่ก สบตากับเผย เฉียนและเฉินหลิงจวิน เผยเฉียนยิ้มกว้าง แววตาเฉินหลิงจวินฉาย แววไม่พอใจ สูดจมูก ท่าทางน้อยเนื้อต่าใจอย่างเห็นได้ชัด อะไรกัน อะไรกัน เจินเหรินผู้เฒ่าคิดอะไรอยู่ถึงได้เจาะจงเรียกตนมาอยากจะ พูดคุยกับตนให้จงได้ คุยอะไรกัน ตนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วย ซ้า
อวี๋เสวียนนั่งอยู่ข้างกายเฉินหลิงจวิน
เก้าอี้แถบที่เฉินผิงอันนั่งอยู่ ตาแหน่งของชุยตงซานที่เป็ นเจ้า ส านักอยู่ด้านในสุด จากนั้นก็เป็ นแขกอย่างป๋ ายเหย่ แล้วจึงเป็ นศิษย์ พี่จวินเชี่ยนที่อยู่ด้านนอก
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “อวี๋เจินเหริน อันที่จริงเวลาปกติเฉินหลิงจวิน ไม่ได้ระมัดระวังตัวขนาดนี้หรอก วันหน้าสนิทกันแล้วจะรู ้ว่าเขา ค่อนข้างร่าเริง”
แน่นอนว่าหากเฉินหลิงจวินไม่ได้รู ้ตัวตนของท่านผู้อาวุโสมา ก่อน บางทีอาจจะยิ่งร่าเริงยิ่งมีชีวิตชีวามากกว่านี้
อวี๋เสวียนลูบหนวดยิ้ม “ที่แท้ก็เป็ นอย่างนี้นี่เอง”
ที่แท้ความสัมพันธ ์ของทั้งสองยังไม่ได้ดีถึงขนาดนั้น
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “ท าไมเฉาฉิงหล่างถึงไม่ได้มา ที่นี่ด้วย?”
ชุยตงซานโน้มตัวมาด้านหน้า ยื่นหน้าออกมามองทางอาจารย์ ของตน “มีเรื่องที่ไม่เล็กไม่ใหญ่เรื่องหนึ่งที่ข้าจาต้องพูดกับอาจารย์
| ลับหลังสักหน่อย” เฉินผิงอันเอ่ย “ว่ามาสิ” |
เผยเฉียนกล่าว “ตอนอยู่ใบถงทวีปเฉาฉิงหล่างได้เจอกับสหาย สองคน คนหนึ่งในนั้นค่อนข้างจะพิเศษ”
เฉินผิงอันกังขา “นี่มีอะไรให้ต้องพูดลับหลังเฉาฉิงหล่างกันล่ะ”
ปี นั้นเฉาฉิงหล่างออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวก็ได้ติดตาม อาจารย์จังเดินทางไกลข้ามทวีป หลังจากนั้นก็มาเจอกับสวินชวี่ที่ สอบเคอจวี่ในปีเดียวกันที่ราชสานักต้าหลี ทั้งสองสนิทสนมกันอย่าง มาก
เรื่องอย่างการคบหาสหาย มีอะไรให้ต้องตกอกตกใจกัน แล้ว นับประสาอะไรกับที่เฉาฉิงหล่างโตเกินวัยมาตั้งแต่เด็ก หลังผ่านการ ฝึกประสบการณ์ นิสัยก็หนักแน่นมั่นคงมากกว่าเดิม จะมีปัญหาอะไร ได้?
ชุยตงซานอธิบาย “นอกจากสวินชวี่ที่อาจารย์ได้เจอแล้ว เฉาฉิง หล่างยังรู ้จักสหายอีกสองคนที่ใบถงทวีป คนหนึ่งชื่อสวีเจิน คือ บัณฑิตหนุ่มที่เพิ่งจะเริ่มฝึ กตน ทาหน้าที่เป็ นอาจารย์ผู้บรรยายใน สานักศึกษาของทางการแห่งหนึ่งมานานหลายปี ถือว่ามีความสนใจ คล้ายคลึงกับเฉาฉิงหล่าง บางครั้งก็มีการถกกันเรื่องวิชาความรู ้ สามารถร่วมมือกันในสิ่งที่เห็นพ้องและเคารพในสิ่งที่เห็นต่าง ถือว่า ช่วยขัดเกลาความรู ้ให้แก่กัน อีกทั้งมองออกว่าสวีเจินเลื่อมใสในตัว เฉาฉิงหล่างอย่างมาก รู ้สึกว่าตัวเองกับเฉาฉิงหล่างมีความสัมพันธ ์ที่ ทั้งเหมือนอาจารย์และเหมือนสหาย”
“และยังมีผู้ฝึกลมปราณอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่าอวี๋ลี่ อยู่ล่างภูเขาถือ เป็ นคนแก่อายุแปดสิบเก้าสิบปี แล้ว แต่เพราะฝึ กตนประสบ ความส าเร็จ มีศาสตร ์คงความเยาว์ มองแล้วยังหนุ่มอยู่มาก อวี๋ลี่มี ชาติกาเนิดเป็ นผู้ฝึ กตนอิสระครึ่งทาง เมื่อไม่กี่ปี ก่อนเพิ่งจะสร ้าง โอสถทองได้มีความรู ้ความสามารถมากมาย ข้าเคยพูดคุยถึงคนผู้นี้ กับศิษย์น้องเฉาเป็ นการส่วนตัว ศิษย์น้องเฉาให้ค าประเมินเขาสูง มาก รู ้สึกว่าอวี๋ลี่กับอาจารย์ลู่ที่ถือเป็ นอาจารย์ครึ่งตัวของตัวเองใน บ้านเกิดเป็ นคนที่มีความรู ้พอๆ กัน ดังนั้นข้าจึงประหลาดใจอย่าง มาก อยากเห็นกับตาตัวเองว่าเขาเป็ นเทพเซียนจากที่ใดกันแน่ถึงได้ สามารถท าให้ศิษย์น้องเฉารู ้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ ชาติกาเนิดและภูมิ หลังของอวี๋ลี่คนนี้มีหลักฐานให้สืบหาได้ เคยเป็ นผู้ฝึ กตนท าเนียบ ของจวนเซียนขนาดเล็กแห่งหนึ่งในใบถงทวีป ทุกวันนี้สานักยังคงอยู่
เอกสารประวัติความเป็ นมาก็ยังคงอยู่ แม้กระทั่งในตระกูลของเขาก็ ยังไม่มีปัญหาใดๆ การที่กลายมาเป็ นผู้ฝึกตนอิสระก็เพราะตอนนั้น คนในส านักไม่มีความรับผิดชอบใดๆ สมาชิกกลุ่มใหญ่ในศาลบรรพ จารย์เอาแต่สนใจเป็ นห่วงลูกศิษย์ผู้สืบทอด ลูกหลานและคนใน ครอบครัวตัวเอง แอบนั่งเรือข้ามฟากหนีภัยไปทางเหนือ ระหว่างนั้น บังเอิญกับที่ใต้หล้าห้าสีเปิดประตูพอดีก็เลยพากันหนีหายไม่เหลือแม้ เงา ด้วยความโมโหอวี๋ลี่ทั้งไม่ได้ติดตามพวกเจ้าประมุขและผู้อาวุโส ในสานักออกจากบ้านเกิดไปหลบภัย แล้วก็ไม่ได้จากไปทั้งอย่างนั้น เขาพาลูกศิษย์ฝ่ ายนอกและพวกสาวใช ้นักการไปตามหาสถานที่ แร ้นแค้นห่างไกลเพื่อหลบซ่อนตัวก่อนอย่างไม่ให้กระโตกกระตาก รอกระทั่งเลิกทาสงคราม วิถีทางโลกสงบสุขแล้วก็ไม่ยินดีจะรอคอย ให้ผู้ฝึกตนในสานักกลับคืนมายังถิ่นฐานเดิม เขาจึงแจกจ่ายเงินเทพ เซียนที่ตัวเองสะสมมา มอบให้กับคนร่วมส านักห้าขอบเขตล่างพวก นั้นจนสิ้น จากนั้นช่วยพวกเขาหาภูเขาลูกหนึ่งแล้วบุกเบิกถ้าสถิต ส่วนตัวเองก็ออกจากทาเนียบศาลบรรพจารย์ นับแต่นั้นมาก็กลายไป เป็ นผู้ฝึกตนอิสระที่เดินทางท่องไปทั่วสารทิศ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ชุยตงซานก็แข็งใจปลุกความกล้าเอ่ยว่า “ได้รับ การไหว้วานจากข้าศิษย์พี่หญิงใหญ่เคยมองสภาพจิตใจของอีกฝ่ าย อยู่ไกลๆ ภาพเหตุการณ์พื้นที่ประกอบพิธีกรรมในทะเลสาบหัวใจคือ นครยักษ์แห่งหนึ่ง ดวงตะวันลอยอยู่กลางอากาศ ส่องแสงสว่างเจิดจ้า ชาวบ้านในเมืองอยู่อย่างสงบเป็ นสุข ค านวณคร่าวๆ แล้วมีมากนับ
ล้านคนแต่ละคนไร ้ทุกข์ไร ้กังวล สิ่งปลูกสร ้างน้อยใหญ่มีระเบียบ ดอกไม้พืชพรรณเจริญงอกงามส านักศึกษามีอยู่มากมาย ศูนย์ฝึกวร ยุทธตั้งเรียงราย ควันธูปในศาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลอยกรุ่น คนในโลก สว่างและผีในโลกมืด ผู้ฝึกลมปราณและภูตผีปีศาจอาศัยอยู่ร่วมกัน ความรู ้ของลัทธิขงจื๊อพุทธเต๋าและร ้อยสานักอยู่ที่นี่เหมือนแม่น้าไหล
มารวมกัน”
เฉินผิงอันตั้งใจฟังมาถึงตรงนี้ก็เปิ ดปากวิจารณ์ว่า “ภาพ เหตุการณ์ในหัวใจไม่ได้ยิ่งใหญ่ธรรมดาแล้ว เพียงแต่ไม่รู ้ว่าคนผู้นี้มี ใจเช่นนี้แล้วจะมีตบะเช่นนี้หรือไม่”
ขุยตงซานเองก็เคยตั้งใจไปเยี่ยมเยือนคนผู้นี้ ใช ้เวลาอยู่กับเขา ประมาณครึ่งเดือน แม้กระทั่งคนที่เชี่ยวชาญด้านการหาข้อตาหนิ อย่างชุยตงซานก็ยังหาความผิดปกติของอีกฝ่ ายไม่พบ สุภาพมี มารยาท ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ปณิธานสูงส่งยาวไกล ทา อะไรรอบคอบ….แต่ยิ่งไร ้จุดให้โจมตีเช่นนี้ ชุยตงซานก็ยิ่งมั่นใจว่า เหตุการณ์ผิดปกติต้องมีอะไรซ่อนอยู่อย่างแน่นอน!
เหตุผลของชุยตงซานเรียบง่ายมาก โลกมนุษย์ในใต้หล้านี้ จะต้องไม่มีคนที่ “จัดการเรื่องราวได้อย่างถูกต้องเหมาะสม” อย่าง อาจารย์ของข้าปรากฏขึ้นเป็ นคนที่สองอย่างแน่นอน!
เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่ความลับที่มิอาจ บอกกล่าวใครได้เสียหน่อย พวกเจ้าควรจะเรียกเฉาฉิงหล่างมาคุยกัน ใจที่ทาร ้ายคนอื่นไม่ควรมี แต่ใจที่ป้ องกันคนอื่นไม่ควรขาด”
เผยเฉียนเอ่ยทันใดว่า “อาจารย์พ่อ ตอนนั้นข้าก็พูดแบบนี้ เหมือนกัน ศิษย์พี่เล็กกลับยืนกรานจะท าลับๆ ล่อๆ เหมือนว่าท าเรื่อง อะไรที่เปิดเผยไม่ได้อย่างนั้นแหละ”
ชุยตงซานเบิกตากว้าง ศิษย์พี่หญิงท่านเคยพูดแบบนี้หรือ? ทาไมศิษย์พี่เล็กถึงจาไม่ได้เลยล่ะ!
เผยเฉียนเอ่ยเตือน “รบกวนเจ้าสานักซุยพูดเรื่องเป็ นการเป็ น งานต่อ”
ชุยตงซานยกมือขึ้นกุมเป็ นหมัดแล้วทุบลงบนหัวใจเบาๆ ไม่มี เรื่องอะไรเรียกห่านขาวใหญ่ พอมีเรื่องกลับเรียกศิษย์พี่เล็ก ตอนนี้ กลับดีนัก เรียกเจ้าส านักชุยแล้วหรือ? ช่างท าให้คนเจ็บปวดรวดร ้าว
ปานจะขาดใจจริงๆ!
เฉินผิงอันพลันถามว่า “คนผู้นี้มีปณิธานที่จะเข้าไปอยู่ในราช ส านักของแคว้นใดหรือไม่?”
ชุยตงซานพยักหน้า “มี เมื่อปีก่อนเขาได้ไปติดต่อไปหาราชวงศ์ สกุลอวี๋แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า นี่ก็ยิ่งสมเหตุสมผลแล้ว “ไม่ต้องปิดบังอะไร อีก เดี๋ยวคราวหน้าข้าจะคุยเรื่องนี้กับเฉาฉิงหล่างเอง”
ชุยตงซานกล่าวต่ออีกว่า “อาจารย์ ต่อจากนี้มีแต่เรื่องที่ชวนให้ ไม่สบายใจแล้วนะ ต่อให้ศิษย์อยากจะบอกแต่เรื่องดีๆ ไม่บอกเรื่อง ทุกข์ใจให้อาจารย์ฟังก็ยังยากแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ข้าคือเจ้าขุนเขา เจ้าคือเจ้าสานัก พูดไปพูด มา อย่างมากข้าก็แค่ฟังแล้ววุ่นวายใจ คนที่ต้องเหนื่อยใจอย่าง แท้จริงยังคงเป็ นเจ้าส านักชุย”
ชุยตงซานปากอ้าตาค้าง ไม่ควรมา ไม่ควรมาเลยจริงๆ อาจารย์ กับศิษย์พี่หญิงใหญ่ถึงกับเริ่มเปลี่ยนสีหน้าไม่จาคนแล้ว หรือว่า
สานักเบื้องล่างไม่ใช่คนบ้านเดียวกัน?!
เฉินผิงอันกล่าว “เรือกระบี่วิ่งติ่งที่จู่ๆ ก็โผล่มาลานั้น สรุปแล้ว ควรเป็ นของใคร ตามกฎดูเหมือนว่าจะยังต้องปรึกษากันในศาลบรรพ จารย์ยอดเขาจี้เซ่อก่อนถึงจะมีข้อสรุปไม่ใช่หรือ?”
ชุยตงซานทาท่าเซื่องซึม ก้มหน้าใช ้ชายแขนเสื้อเช็ดที่เท้าแขน เก้าอี้ เอ่ยอย่างมีอารมณ์แต่ไร ้กาลัง “ถ้าอย่างนั้นศิษย์มีอะไรก็จะพูด ตามตรงเลยแล้วกัน อันดับแรกมีข้อพิพาทบนภูเขาเกิดขึ้นที่ท่าเรือ อวี๋หลินนอกเมืองหลวงแคว้นอวิ๋นเหยียน ผู้หลอมลมปราณหลายคน กับผู้ฝึ กยุทธในยุทธภพกลุ่มหนึ่งลงมือต่อสู้กันอย่างดุเดือดจน เกือบจะมีคนตายแล้วก็เริ่มฟ้ องร ้องกันอย่างเลอะเทอะ ฮ่องเต้ แคว้นอวิ๋นเหยียนยังเป็ นพวกชอบเลี่ยงปัญหาไม่ยินดีจะให้เกิดเรื่อง จึงผลักคดีไปที่ศาลบรรพจารย์ บังเอิญยิ่งนัก ฝ่ ายในของศาลบรรพ จารย์ที่สร ้างขึ้นมาชั่วคราวก็ทะเลาะกันไปครั้งใหญ่ หลี่ป๋ าที่มีฉายาว่า ชุ่ยจ่าง ในฐานะคนประสานงานของจวนวารีมหาสมุทรตะวันออกที่ กุมอานาจเบ็ดเสร็จเรื่องของการขุดเจาะลาน้าใหญ่ คงเป็ นเพราะได้ ยินประโยคที่ไม่น่าฟังหลายคามาจากเมืองหลวงจึงทาเรื่องเล็กให้เป็ น
เรื่องใหญ่ ยืนกรานจะให้อีกฝ่ ายยอมรับผิด เอาคาพูดกลับคืนไปให้ จงได้ ผลคือไปเจอกับพวกคนที่หัวแข็งเอวแข็งปากกลับแข็งยิ่งกว่า เจ้าหลี่ป่าขอบเขตสูง คิดจะสังหารพวกเขานั้นได้ แต่อย่าหวังว่าจะขอ โทษ แค่คิดก็ไม่ต้องคิดเลย แน่นอนว่าข้าอยากจะจัดการอย่างเป็ น ธรรม ก็คือกดหัวของคนพวกนั้นให้มาขอโทษ ผลคือกองกาลังบน ภูเขาเบื้องหลังของพวกเขาแต่ละฝ่ ายต่างก็โยนภาระทิ้ง พื้นที่ ประกอบพิธีกรรมของภูเขาสองลูก รวมไปถึงแคว้นเล็กล่างภูเขาที่อยู่ เลียบลาน้าใหญ่หลายแคว้นต่างก็ไม่ทางานกันแล้ว บวกกับที่คนสอง กลุ่มเกือบจะตีกันจนน้าสมองไหลอยู่ที่ท่าเรืออวี๋หลิน สรุปก็คือมีแต่ พวกที่ไม่ทาให้คนอื่นวางใจได้”
ตอนนั้นหวังจูทุ่มเงินฝนธัญพืชหนึ่งหมื่นห้าพันเหรียญให้กับชุย ตงซานอย่างใจกว้าง ชุยตงซานที่ถูกทุ่มเงินใส่เกือบจะเวียนหัวหมด สติไป
ที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบที่เป็ นรูปชื่อหลงขดตัวคือวัตถุจื่อชื่อ ชิ้นหนึ่ง ตอนนั้นนางไม่ได้บอกว่าให้คืนของชิ้นนี้เมื่อไหร่ ชุยตงซาน จึงคิดเอาว่าเป็ นของรางวัลที่ได้เพิ่มมา คืนอะไรกัน
เฉินผิงอันกล่าว “สามารถพูดเรื่องน่าหนักใจที่แท้จริงได้แล้ว”
ชุยตงซานถอนหายใจหนักๆ ตบที่เท้าแขนเก้าอี้ เอ่ยอย่างเดือด ดาลว่า “ก่อนหน้านี้ไม่นาน ลาน้าใหญ่หลายช่วงที่เริ่มลงมือขุดดิน ก่อสร ้างกันแล้วกลับมีคนมาก่อกวน พวกเขาลงมืออามหิตทั้งยัง ปรากฏตัวอย่างลับๆ ล่อๆ โผล่มาพร ้อมกันหลายคน คนหนึ่งในนั้น
คือผู้ฝึกลมปราณ ทุกครั้งจะต้องไปยังช่วงแม่น้าที่มีคนอยู่เยอะ ส่วน ใหญ่คือแคว้นเล็กภาคกลางของใบถงทวีปที่ไม่มีเซียนดินนั่งบัญชา การณ์ ไหนเลยจะทนกับการทุบตีเช่นนี้ได้ คนที่บาดเจ็บล้มตายจึงมี มาก หลังจากขว้างยันต์หลายแผ่นที่มีพลังทาลายล้างสูงแล้วก็เผ่น หนีนอกจากนี้อีกสี่คนเหมือนจะเป็ นผู้ฝึกตนอิสระที่สถานะไม่แน่ชัด ด้านหนึ่งก็อยู่ให้ห่างช่วงตอนของลาน้าใหญ่ อีกด้านหนึ่งก็อาพราง ร่องรอยรอฉวยจังหวะลงมือ พอลงมือทีก็เป็ นการเปิดฉากสังหารครั้ง ใหญ่ อีกทั้งยังสังหารเฉพาะแม่ทัพขุนนางสาคัญของแคว้นใต้อาณัติ ราชวงศ์ใหญ่กับผู้ฝึกลมปราณของภูเขาลูกเล็ก เวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน ท าเรื่องพวกนี้เสร็จก็รีบหยุดมือทันที ลงมือแค่ครั้งเดียวก็หายเข้ากลีบ เมฆไปอย่างไร ้ร่องรอย ยังไม่ลืมแปะป้ ายประกาศบอกไว้ด้วยว่า นี่ก็ คือจุดจบที่พวกเจ้าบังอาจขุดเจาะลาน้าใหญ่โดยพลการ ทาลาย โชคชะตาของใบถงทวีปพวกเรา นอกจากอักษรตัวใหญ่แล้วยังมี เนื้อหาที่ใส่ร ้ายป้ ายสี ก็หนีไม่พ้นพูดว่า…มีใจเห็นแก่ตัว เพื่อประจบ เอาใจฮ่องเต้หญิงต้าเฉวียนและหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิง รวมไปถึงหวง อีอวิ๋นแห่งผูซาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็นแก่มิตรภาพของคนร่วมบ้าน เกิดพยายามจะเอาใจหวังจูสุ่ยจวินแห่งมหาสมุทรบูรพา มีการท า การค้ากันลับหลัง เพื่อให้เป็ นค่าตอบแทนในการหยัดยืนอยู่ในใบถง ทวีปของสานักกระบี่ชิงผิง สานักกระบี่ชิงผิงก็จะต้องหอบเอา โชคชะตาภูเขาภาคกลางของทวีปไปไว้ในน้าของลาน้าใหญ่ มอบ ให้กับมหาสมุทรบูรพาเปล่าๆ เป็ นเหตุให้นี่คือการกระทาชั่วร ้ายที่ เฉือนเอาโชคชะตาของครึ่งทวีปไปขุนจวนวารีให้อ้วนพี รอกระทั่งลา
น้าใหญ่ขุดเจาะเชื่อมโยงไปถึงทะเลได้สาเร็จ จะเสียใจภายหลังก็สาย ไปแล้ว”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา
ไม่ได้สนใจเนื้อหาใส่ร ้ายป้ ายสีที่ถูกแต่งขึ้นมาพวกนี้ ทว่าผู้ฝึก ลมปราณที่โผล่มาเหมือนกระต่ายหายไปเหมือนเหยี่ยวร่อนถลากลุ่ม นี้ ทาอะไรไม่บุ่มบ่ามแม้แต่น้อย แต่มีการวางแผนมาเป็ นอย่างดี ร ้อย เรียงต่อเนื่องกัน ประเด็นสาคัญคืออีกฝ่ ายต้องยังเตรียมทางหนีทีไล่ ไว้แน่นอน
เฉินผิงอันถาม “แคว้นต่างๆ ที่อยู่เลียบลาน้าใหญ่ ช่วงนี้มีโรค ระบาดเกิดขึ้นหรือไม่?”
ชุยตงซานพยักหน้า “มีแล้ว แล้วยังไม่ใช่แค่สถานที่เดียว แต่ ศิษย์ได้เชิญยอดฝีมือส านักแพทย์ของแผ่นดินกลางหลายคนให้ออก โรง จึงควบคุมโรคระบาดไว้ได้ชั่วคราวแล้วไม่ได้ลุกลามไปมากกว่า นี้”
เฉินผิงอันถาม “ทางฝั่งของสานักศึกษาล่ะ?”
ชุยตงซานกล่าว “เวินอวี้รองเจ้าขุนเขาของส านักศึกษาเทียนมู่ ได้ไปคุมสถานการณ์ใหญ่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นอวิ๋นเหยียนแล้ว”
เฉินผิงอันพอจะโล่งใจได้บ้าง
ชุยตงซานพอจะยิ้มออกบ้างแล้ว “เจ้าขุนเขาเวินทาอะไรรวดเร็ว ฉับไวดีจริงๆ ถึงกับลงมือประหารก่อนแล้วค่อยรายงานให้ทางศาลบุ๋ นทราบ เขาเรียกจงขุยมา ให้อีกฝ่ ายพาไปเยือนนครเฟิงตูด้วยตัวเอง รอบหนึ่ง ไปตามหาต้นกาเนิดของโรคระบาดหนึ่งในนั้น จากนั้นไล่ สืบเสาะไปตามหาเบาะแส สุดท้ายเวินอวี้ที่ย้อนกลับมายังโลกมนุษย์ก็ เจอผู้ฝึกตนเซียนดินเผ่าปีศาจที่เลี้ยง “เทพโรคระบาด” ตนหนึ่งเอาไว้ ได้แล้วสังหารทิ้งทันที ก่อนจะจับตัว “เทพแห่งโรคระบาด” ที่ถูกบีบให้ ต้องลงมือขังไว้ที่สานักศึกษา ไม่รู ้ว่าเวินอวี้ใช ้วิธีการเช่นไรถึงได้ สามารถเอาตัวตนของเผ่าปี ศาจตนนั้นไปเชื่อมโยงเข้ากับผู้ร่วม ขบวนการอีกสองคนที่เหลือได้ จึงจัดการไปพร ้อมกันด้วย ตอนนี้พูด ถึงแค่ที่รู ้ๆ ภายนอกก็เหลือแค่สองคนแล้ว”