กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1080.1 ภาพวาดในภูเขา
เฉินผิงอันทิ้งอวี๋เสวียนเอาไว้ ตัวเองออกไปจากยอดเขาคนเดียว เปลี่ยนมาสวมชุดแต่งกายยามปกติของตัวเองเป็ นชุดผ้าฝ้ ายและ รองเท้าผ้าอีกครั้งที่เรือนไม้ไผ่ สีเขียวสะอาดตา
เซี่ยโก่วนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าผา บอกว่าไม่ทาให้ผิดหวังในภารกิจ ที่ได้รับมอบหมาย ได้น าความไปบอกกับเจ้าคนแซ่หลิ่วที่แต่งกาย ฉูดฉาดนั่นแล้ว เฉินผิงอันผงกศีรษะยิ้มรับแล้วบอกให้นางไปเรียกก วอจู๋จิ่วให้มากินอาหารเย็นด้วยกัน
ที่ผ่านๆ มาขอแค่กวอจู๋จิ่วอยู่กินข้าวในภูเขา เฉินผิงอันก็จะเข้า ครัวท ากับข้าวเล็กๆ น้อยๆ ด้วยตัวเอง ไม่พูดว่าฝีมือสามารถทัดเทียม กับพ่อครัวเฒ่าได้ แต่หากจะบอกว่ากับข้าวที่เขาทา ทาให้คนกินข้าว ได้เยอะ ก็ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจ
อวี๋เสวียนอ่อนใจอย่างมาก เมื่อครู่ประโยคประเมินตัวเองของ สหายเฉินที่บอกว่า “คุณสมบัติไม่เพียงพอ ความคิดแค่พอถูไถ ทา ให้เจินเหรินผู้เฒ่าพูดไม่ออกอีกครั้ง ทาไมสหายถึงได้ด่ากันอีกแล้ว เล่า ซิ่วไฉเฒ่าเจ้าต้องควบคุมเขาหน่อยแล้วนะ
เถาฝูหนึ่งภูเขาห้าสานักมีเพียงหนึ่งเดียวในไพศาล อวี๋เสวียนนึก ถึงพวกต้นกล้าเซียนทั้งหลายในบ้านของตัวเอง คุณสมบัติล้วนไม่ เลว ขึ้นเขาฝึกตนได้อย่างว่องไวราวกับผ่าลาไม้ไผ่ เพียงแค่ว่าแต่ละ
คนหยิ่งยโสกันไปหน่อย จาได้ว่ามีผู้ฝึกกระบี่โอสถทองหนุ่มคนหนึ่งที่ ท าเนียบอยู่ในสายของเซียนกระบี่ลัทธิเต๋าอารามจิงเหว่ย พอเห็น บรรพจารย์อย่างตนก็ยังรูจมูกเชิดขึ้นไปบนฟ้ า แล้วยังบ่นต่อหน้าว่า บรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาไม่ใช่เซียนกระบี่คือความบกพร่องในความ สมบูรณ์แบบ…ควรจะให้พวกเขามาฝึกประสบการณ์ในภูเขาลั่วพั่วดี ไหม นะ? พวกเจ้าแต่ละคนต่างก็ภาคภูมิใจว่าตัวเองฉลาดล้าลึก ฝ่ า ทะลุขอบเขตเป็ นเรื่องปกติเหมือนกินข้าวกันนักไม่ใช่หรือ จะให้พวก เจ้าได้มาเจอกับเฉินผิงอันที่โอสถทองแตกแล้วแตกอีกกว่าจะเป็ น ก่อกาเนิด ปิ ดด่านตั้งสามครั้งกว่าจะหวนกลับคืนเป็ นหยกดิบได้ หน่อยเป็ นไร!เพียงแต่ไม่รู ้ว่าสหายเฉินจะมีเวลาว่างยินดีอบรมสั่งสอน พวกเขาหรือไม่? คิดแล้วน่าจะหมดหวัง
หรือว่าควรจะต้องใช ้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองห้าร ้อยเหรียญ มาซื้อสองตัวอักษร “เต้ากวาน” หรืออ่านอีกอย่างว่า “กวานเต๋า” ด้วย ราคาแพงลิบลิ่วจริงๆ แล้วค่อยมาขอ“รางวัลเพิ่มเติม” ไปจากสหาย เฉินอีกที?
ขุนเขาสูงต่าซับซ ้อนอยู่ที่ฉู่โจว
อย่าได้โทษว่าขนบธรรมเนียมของที่แห่งนี้เก่าแก่ที่สุด เดิมทีที่ที่ แห่งนี้ก็คือสันหลังแห่งใต้หล้า
เจินเหรินผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยสวมชุดคลุมเต๋าสีม่วงนับนิ้วคานวณ เพ่งสมาธิมองไปทางประตูตะวันออกของเมืองเล็ก อวี๋เสวียนพอจะ
มองเห็นได้ร าไรว่ามีนักพรตขี่วัวผ่านด่านเข้ามา ลมปราณม่วงมา จากทิศตะวันออก
ไม่กล้ามองภาพบรรยากาศในวันวานนานเกินไปนัก อวี๋เสวียน ยืนอยู่บนราวรั้ว ร ้องเอ๊ะหนึ่งทีแล้วพลันเบิกตากว้าง เห็นเพียงว่า ระหว่างฟ้ าดินมีกลิ่นอายมรรคาสีม่วงชุมหนึ่งแบ่งแยกออกเป็ นสอง สาย ไหลเชี่ยวกรากดุจกระแสน้าเชี่ยว พริบตานั้นก็พุ่งเข้ามาในชาย แขนเสื้อของตนเหมือนปลาได้น้า อวี๋เสวียนถึงกับขัดขวางไม่อยู่ เขา สะบัดชายแขนเสื้อ เจ้าตัวดีเดิมทีควรเป็ นกลิ่นอายแห่งมรรคาที่ ล่องลอยไร ้น้าหนัก ทว่ากลับหนักอึ้งได้ถึงเพียงนี้ ทาให้เจินเหรินผู้ เฒ่าที่เป็ นขอบเขตสิบสี่แล้วต้องค้อมเอวลงเล็กน้อย หากอยู่ในพื้นที่ ประกอบพิธีกรรมที่ธารดวงดาวนอกฟ้ า ผินเต้าอวี๋เสวียนก็ไม่ต้อง
ค้อมเอวเช่นนี้แล้ว!
อวี๋เสวียนเก็บความคิดกลับคืน สะบัดชายแขนเสื้อ ก้มหัวคารวะ ไปยังนอกฟ้ าขอบคุณมรรคาจารย์เต๋า
บ้านพักของหลิวสือลิ่วกับป๋ ายเหย่อยู่ติดกันเพื่อให้ไปมาหากัน ได้สะดวก ในที่สุดเจิ้งโย่วเฉียนก็ได้เจอกับผู้ที่เป็ นความภาคภูมิใจ ที่สุดในโลกมนุษย์ ภูตน้อยที่มาจากใบถงทวีปยังปลุกความกล้าชวน คนผู้นั้นคุยสองสามประโยค
ดูท่าตนคงจะเข้าใจผิดอาจารย์ไปจริงๆ ที่แท้อาจารย์ก็ไม่ได้คุยโว โดยไม่ได้ร่างค าพูดเขารู ้จักป๋ ายเหย่จริงๆ
เจิ้งโย่วเฉียนกลับไม่ได้รู ้สึกหวาดกลัวป๋ ายเหย่สักเท่าไร เพราะถึง อย่างไรหากป๋ ายเหย่จะฆ่าก็มีแต่จะฆ่าปีศาจใหญ่บัลลังก ์ราชาของ เปลี่ยวร ้างเท่านั้น
ไม่เหมือนกับอาจารย์อาน้อยอิ่นกวานของเขา เจอเผ่าปี ศาจ เมื่อไหร่ นั่นก็ต้องเรียกว่าฆ่าอย่างส่งเดช เจอคนหนึ่งฆ่าคนหนึ่ง เจอ สองคนฆ่าทั้งคู่ เจอสามคนก็ฆ่าไม่เหลือ ไม่กะพริบตาด้วยซ้า
แน่นอนว่านอกจากจะเป็ นอิ่นกวานคนสุดท้ายที่ฆ่าปีศาจเหมือน ผักปลาอยู่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ยังเป็ นอาจารย์อาน้อย สายบุ๋นของตน ปี ก่อนที่ได้พบเจอกันครั้งแรกบนเส้นทางภูเขา อาจารย์อาน้อยใจดีกับตนมาก ตอนที่คุยเล่นกับตน อาจารย์อาน้อย ยังไม่พูดเสียงดังด้วยซ้า
เพราะพี่ใหญ่ป๋ ายเติงถูกราชสานักต้าหลีแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่ง เทพวารีแม่น้าเถี่ยฝูที่ว่างอยู่ ตอนนี้ก็ขาดแค่การเดินเส้นทางของการ กลายเป็ นเทพและพิธีแต่งตั้งอย่างเป็ นทางการเท่านั้น ป๋ ายเติงคือ ลูกหลานมังกร เกิดมาก็มีเรือนกายที่แข็งแกร่งกายา อีกทั้งยังเป็ น เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ จึงไม่ค่อยหวาดกลัวความทุกข์ทรมาน จากการที่ร่างเหลือเพียงโครงกระดูกตั้งอยู่ อีกทั้งยังอยู่ใต้เปลือกตา ของภูเขาลั่วพั่ว คิดดูแล้วก็คงไม่มีเรื่องไม่คาดฝันใดๆ เกิดขึ้น ดังนั้น ผีอิ๋นลู่ที่เปลี่ยนชื่อเป็ นเฉิงฉว่อ ในฐานะพี่รองจึงวางแผนกับเกาเกิง แห่งภูเขาชิงกงหลิวเสียทวีปที่เป็ นน้องสามเป็ นการส่วนตัวว่า นอกจากพวกเขาสองคนจะช่วยปกป้ องด่านให้กับพี่ใหญ่ ยังต้องเข้า
ร่วมงานพิธีแต่งตั้งอย่างเป็ นทางการของราชสานักด้วยจะดีจะชั่วก็ ควรต้องให้การสนับสนุนพี่ใหญ่ของตัวเองเสียหน่อย นอกจากนี้การ ประทานฉายาเทพที่ศาลบุ๋นมีต่อภูเขาพอวิ๋นมหาบรรพตอุดรก็ยิ่งเป็ น งานพิธีเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ คิดอยากจะสัมผัสกับงานเลี้ยงท่องราตรี ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้ากับตัวเองเสียหน่อย แต่พวกเขาต่างก็ ไม่สนิทสนมกับเว่ยซานจวิน สุดท้ายก็ต้องขอให้ภูเขาลั่วพั่วช่วยขอที่ นั่งสามที่มาจากจวนซานจวิน เพียงแต่ว่าอิ๋นลู่หรือจะกล้าแสร ้งท าเป็ น ว่าความสัมพันธ ์ระหว่างตนกับเฉินอิ่นกวานดีเยี่ยม หากไม่ทันระวังก็ จะต้องโดนอิฐทุบหัว ดังนั้นจึงต้องให้เกาเกิงที่มาเป็ นแขกที่ภูเขาลั่ว พั่วเป็ นคนท าหน้าหนาไปพูดกับอิ่นกวานหนุ่มเรื่องนี้ แม้ว่าเกาเกิงจะ อายุน้อยที่สุด เป็ นน้องสาม แต่กลับมีความรับผิดชอบ บอกว่าต่อให้ ต้องขึ้นภูเขามีดลุยทะเลเพลิงก็ต้องไป ไปพูดก็ไปพูดสิ ไปหาเจ้า ขุนเขาเฉิน ขอเทียบเชิญจากเว่ยซานจวินแค่สามฉบับเท่านั้นเอง พวกเขาสามพี่น้องใช่ว่าจะไม่มีของขวัญร่วมแสดงความยินดีให้เสีย หน่อยงานเลี้ยงท่องราตรีของมหาบรรพตอุดรแห่งแจกันสมบัติทวีป เชียวนะ พวกเขารู ้กฏกันดีอยู่แล้ว!
เป็ นเหตุให้พอรู ้ว่าเจ้าขุนเขาเฉินไปเดินเล่นกับนักพรตเฒ่าชุด ม่วงคนหนึ่งที่ยอดเขาเกาเกิงจึงแสร ้งท าเป็ นผ่อนคลาย ก้าวยาวๆ ออกจากบ้านพักไปท่ามกลางสายตาให้ก าลังใจของพี่ใหญ่และพี่รอง เพียงแต่ว่าพอออกมาจากบ้านเขาก็เปลี่ยนสีหน้า หน้าม่อยคอตก ทาท่าเหมือนจะกระโจนเข้าหาความตายอย่างไรอย่างนั้น เกาเกิงไม่
กล้าไปรบกวนการพูดคุยของเจ้าขุนเขากับสหายบนภูเขาจึงเดิน ป้ วนเปี้ยนไปมาอยู่แถวจุดตัดระหว่างเส้นทางภูเขากับเส้นทางเทพ รอ เฉินผิงอันเดินลงจากภูเขามาเพียงลาพังอยู่ที่เดิมอย่างอดทน พอเจอ อีกฝ่ ายเขาถึงได้ก้าวเร็วๆ ขึ้นหน้าไป แข็งใจบากหน้าเอ่ยเรื่องขอ เทียบเชิญ เฉินผิงอันได้ยินแล้วก็ไม่ลาบากใจแม้แต่น้อย ยิ้มเอ่ย ประโยคหนึ่งว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เกาเซียนซือแค่ต้องพูดกับเฉินหลิง จวินตอนดื่มเหล้าด้วยกัน จากนั้นให้เขามาแจ้งตนสักคาก็พอแล้ว มา เป็ นแขกอยู่ในภูเขา หากยังมีเรื่องทานองนี้อีกก็ไม่ต้องระดมกาลัง ใหญ่โตเช่นนี้ ออกจะห่างเหินกันเกินไปแล้ว
เกาเกิงดีใจอย่างมาก คิดไม่ถึงเลยว่าตนจะมีหน้ามีตาส าหรับเจ้า ขุนเขาเฉินขนาดนี้!
เจ้าขุนเขาเฉินยังถึงขั้นเดินไปส่งเกาเกิงถึงหน้าประตูเรือนด้วย ตัวเอง คุยเล่นกันไปตลอดทาง ค าพูดค าจาเป็ นกันเองอย่างมาก เกา เกิงยืนอยู่ที่เดิม รอให้เรือนกายของเจ้าขุนเขาเฉินที่ขอตัวลากลับไป ค่อยๆ จากไปไกลแล้ว เขาถึงได้หมุนตัวกลับไปบอกข่าวดีกับพี่น้อง ทั้งสอง ต้องรู ้ว่าจิงเฮาอาจารย์ของเขาอยู่บนภูเขานานขนาดนั้นก็ยัง ไม่เคยได้มีหน้ามีตาถึงขนาดได้ดื่มเหล้ากับอิ่นกวานหนุ่มที่คุณูปการ ล้าโลกเลยสักมื้อ!
หนิงจิ๋มาเยือนภูเขาลั่วพั่วเป็ นครั้งแรก ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็รู ้สึก แปลกใหม่ไปหมด เพียงแต่ว่าเขาไม่ค่อยกล้าออกจากบ้านไปเพียง
ลาพังมากนัก อาจารย์มีธุระยุ่ง หนิงจี๋จึงติดตามอยู่ข้างกายศิษย์พี่จ้าว เหมือนลูกสมุนตัวน้อยมากกว่า
ก่อนหน้านี้เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่ชื่อว่าหน่วนซู่บอกว่าใน เมื่อเป็ นลูกศิษย์ของนายท่านเจ้าขุนเขา ตามกฎแล้วก็ต้องมีบ้านพัก อยู่บนภูเขา ตอนนี้มีเรือนพักที่ว่างอยู่หลายหลัง หนิงจี๋สามารถเลือก ได้เลย เด็กหนุ่มที่ยากจนจนกลายเป็ นความกลัวไหนเลยจะกล้ายืด ครองบ้านหลังหนึ่งเพียงลาพัง บอกตามตรง หนิงจี๋ที่ใช ้ชีวิตระหกระ เหเร่ร่อนมาจนชินแล้วไม่เคยชินกับชีวิตสุขสบายร่ารวยเลยจริงๆ ดังนั้นจึงบอกไปว่าเขาพักอยู่ในบ้านหลังเดียวกับศิษย์พี่จ้าวก็ได้
เกี่ยวกับเรื่องของการเรียนวิชาหมัด จ้าวซู่เซี่ยใช ้ความมานะ หมั่นเพียรชดเชยข้อด้อยของตัวเองมาโดยตลอด เวลานี้ก็กาลังฝึก ท่าเดินอยู่ในลานบ้านไม่หยุดพัก
หนิงจี๋นั่งมองอยู่บนขั้นบันได เด็กหนุ่มมีสภาพจิตใจที่นิ่งสงบเป็ น สุข แล้วก็ไม่รู ้สึกว่าการมองหมัดเป็ นเรื่องน่าเบื่อ
เฉินยวนจีฝึ กท่าหมัดเดินนิ่งอยู่บนเส้นทางเทพของบนภูเขา นักพรตเซียนเว่ยที่อยู่ตรงหน้าประตู เดิมทีก็เป็ นคนจริงจังอยู่หรอก ทุกครั้งที่เฉินยวนจีไปหยุดพักเปลี่ยนลมปราณที่หน้าประตูภูเขา นักพรตก็จะพูดถ้อยคาตามมารยาททานองว่าวันนี้อากาศไม่เลว ทุก วันนี้พอเจิ้งต้าเฟิงเงยหน้ามอง นักพรตก็เงยหน้ามอง เจิ้งต้าเฟิงจ้อง นาง นักพรตก็มองตามองศาการเอียงหัวของคนทั้งสองยังเหมือนกัน
เหอะ ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตูบานเดียวกัน ว่ากันว่า ล้วนเป็ นคนเฝ้ าประตูที่เจ้าขุนเขาเลือกมาด้วยตัวเองเลยนะ
เฉินหลิงจวินที่อยู่ดีๆ ก็โวยวายว่าจะลงจากภูเขาโดนสั่งสอนไป รอบหนึ่ง หน่วนซู่พาหมี่ลี่น้อยมาหาเขา ถามเขาว่าประสาทเส้นไหน ทับกันผิด อยู่บนภูเขาก็ดีอยู่แล้ว ยืนกรานจะย้ายไปอยู่ตรอกฉีหลง คิดจะชักสีหน้าให้ใครดูกัน เฉินหลิงจวินน้อยใจยิ่งนัก เพียงแต่ว่าพอ เห็นนังหนูชุดกระโปรงชมพูที่พอด่าตนเสร็จก็เตรียมจะไปง่วนท าโน่น ทานี่อีกครั้ง คิดๆ ดูแล้วเฉินหลิงจวินก็ไม่ได้พูดอะไร ลูกผู้ชายต้องค้า ฟ้ ายันดินได้ จะถือสานังเด็กโง่ที่ไม่รู ้ถึงความอันตรายในยุทธภพไป ทาไม เด็กชายชุดเขียวจึงนั่งลงบนขั้นบันได กุมหัวถอนหายใจ หมี่ลี่ น้อยนั่งลงด้านข้าง กระตุกชายแขนเสื้อของจิ่งชิงแล้วยื่นเมล็ดแตงกา มือหนึ่งไปให้ เฉินหลิงจวินแทะเมล็ดแตง แทะไปแทะมาความกล้าก็ พลันบังเกิด จึงคุยเล่นเรื่อยเปื่อยกับหมี่ลี่น้อย หมี่ลี่น้อยบอกว่าไม่ ต้องกลัว เจ้าขุนเขาคนดีบอกแล้วว่าเทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ได้ยินอาจารย์ ของเขาเล่าเรื่องการเดินลงน้าที่อุตรกุรุทวีปของจิ่งชิง ครั้งนี้นอกจาก จะมาท าธุระแล้วก็อยากจะรู ้จักเจ้าด้วย เฉินหลิงจวินได้ยินแล้วก็ยิ้ม หน้าบาน หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง หน่วนซู่ที่แอบยืนอยู่นอกก าแพงเห็นว่า หมี่ลี่น้อยพูดไม่ตกหล่นสักคา เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็วางใจลง ได้จึงเดินจากไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
หมี่ลี่น้อยแพร่งพรายความลับสวรรค์แก่จิ่งชิงพลางแอบยก นิ้วโป้ งไปทางกาแพงด้วยเฉินหลิงจวินพยักหน้า บอกเป็ นนัยว่าตัวเอง รู ้แล้ว พวกเขาสบตากันแล้วก็ยิ้มกว้างให้กัน
เฉาฉิงหล่างแกะสลักตราประทับอยู่ในห้องหนังสือ ปีนั้นติดตาม อาจารย์จังเดินทางไปเยือนก าแพงเมืองปราณกระบี่ มีดแกะสลัก อาจารย์เป็ นคนมอบให้ เฉาฉิงหล่างก าลังแกะตราประทับหนังสือเป็ น รูปน้าเต้า ตัวอักษรของตราประทับก็คือ “เหมือนตาราเล่มใหม่” คิด ว่าจะมอบให้เป็ นของขวัญวันเกิดของอาจารย์ปีนี้
ในห้องแขวนกรอบป้ ายของห้องหนังสือเอาไว้ เป็ นอาจารย์ที่ เขียนลงบนกระดาษก่อนแล้วค่อยให้อาจารย์จู “คัดลอก’ แกะสลัก ตัวอักษรลงบนแผ่นไม้ กรอบป้ ายคือค าว่า “ยินดีรับฟังความผิดของ ตน
เผยเฉียนติดตามหลี่เป่ าผิงไปที่เนินจ้าวตู๋ หลี่ไหวพักอยู่ที่นั่น เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ได้ “ประลองบุ๋น” กันเหมือนตอนเป็ นเด็กแล้ว เจอหน้ากัน สตรีที่มัดผมเป็ นมวยกลมกลางศีรษะเป็ นผู้ฝึ กยุทธ ขอบเขตเดินทางไกล กับคนหนุ่มที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อ นักปราชญ์ แห่งส านักศึกษาต่างก็ไม่มีอารมณ์จะโต้คารมกันแล้ว
ได้ยินว่าหลี่เป่าผิงมา หลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิงจึงพาสือเจียชุนที่พัก อยู่ในตรอกเถาเย่ชั่วคราวนั่งเรือยันต์เร่งรุดมาที่เนินจ้าวตู๋ด้วย คน ร่วมห้องเรียนได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งอย่างที่หาได้ยาก
ชุยตงซานบอกให้หลิวเสี้ยนหยางถามกระบี่ในความฝันโดย พลการ เขาจึงไม่กล้าไปพบหน้าอาจารย์ เพียงเรียกโจวอันดับหนึ่ง มาแล้วพากันเผ่นหนีไปที่พื้นที่มงคลรากบัวด้วยกัน เรื่องบางอย่างถึง เวลาต้องยุติลงได้แล้ว
เด็กสาวสวมหมวกขนเตียวนอนอยู่กลางทะเลเมฆ ยกขาไขว่ห้าง รอเสี่ยวโม่กลับบ้านเสี่ยวโม่ผู้อ่อนโยนอาจจะกลับมาวันนี้ หรืออาจจะ กลับมาพรุ่งนี้ ฮ่า วันมะรืนก็น่าจะได้เข้าห้องหอกันแล้วนะ
ข้างกายมีเด็กชายผมขาวที่เสียใจอย่างถึงที่สุดนั่งอยู่ ทาท่าทาง ซังกะตายราวกับว่าชีวิตนี้ไม่เอาอะไรอีกแล้ว เพราะเพิ่งจะรู ้ว่าตนเอง ถึงกับถูกเจ้าประมุขกวอที่จัดการญาติพี่น้องเพื่อคุณธรรมตัดชื่อ ออกไปแล้ว ตนช่างเป็ นคนน่าสงสารนัก มหรรณพแห่งทุกข์กว้าง ใหญ่ไร ้ที่สิ้นสุด นี่ข้าเคยไปก่อกรรมทาเข็ญอะไรไว้นะ
สัมผัสได้ถึงลมปราณม่วงผิดปกติมาจากทางยอดเขา เซี่ยโก่ว ลุกขึ้นนั่ง สองมือกาเป็ นหมัดยันไว้บนหัวเข่า บรรยากาศรอบกาย พลันแปรเปลี่ยน ละอายใจที่ตัวเองพกกระบี่สั้นเพียงเพื่อมาชมภูผา
เซี่ยโก่วเม้มปาก เจ้าประมุขกวอพูดได้ถูกต้อง จะอาศัยว่า คุณสมบัติของตัวเองดีแล้วเกียจคร ้านฝึกตนไม่ได้ แม้กระทั่งผู้เยาว์ อย่างอวี๋เสวียนที่อายุขัยการฝึกตนห่างจากนางหลายพันปีก็ยังเป็ น ขอบเขตสิบสี่แล้ว
ทางฝั่งห้องครัวของเรือนหลังเล็ก เฉินผิงอันผูกผ้ากันเปื้อนกาลัง ง่วนท าอาหาร หลิวเสี้ยนหยางนั่งอยู่บนธรณีประตู กู้ช่านนั่งอยู่บนม้า นั่งในห้องครัว ในมือถือกระบอกเป่ าไฟเป่ าลมกระตุ้นแรงไฟจนแก้ม พองโป่ง
เฉินผิงอันถามชวนคุย “คือยันต์แทนกายแผ่นหนึ่งหรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะร่วน “ไอ้หมอนั่นใช ้วิธีตัวตายตัวแทนจริงๆ เจ้าเล่ห์ไหลลื่นเหมือนปลาไหล ตัวแทนถูกนายท่านใหญ่ท าลายไป โดยไม่เปลืองแรงสักกะฝึ กแล้ว ขอบเขตของร่างจริงไม่มีทางสูงไป ยังไงได้แน่”
เฉินผิงอันกล่าว “วิธีการที่เป็ นสมบัติก้นกรุเช่นนี้ ก่อนจะเลื่อน เป็ นขอบเขตบินทะยานหากไม่ต้องเอาออกมาใช ้ได้ทางที่ดีที่สุดก็ อย่าเอามาใช ้”
หลิวเสี้ยนหยางหลุดหัวเราะพรีด “สอนข้าว่าต้องท าอย่างไรหรือ? หากยังพูดมากอีกข้าจะผายกู้ช่านแล้วนะ”
กู้ช่านคร ้านจะสนใจ เพียงแค่ยืดคอขึ้นเหลือบมองไปยังวัตถุดิบที่ อยู่บนเขียง เอ่ยเตือนว่า “ผัดหมูรมควันใส่พริกเขียวให้ข้าหน่อย เอา เผ็ดๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้า เอ่ยว่า “หลิ่วชื่อเฉิงมาถึงที่ตัวจังหวัดแล้ว ตอนนี้พักอยู่ในโรงเตี๊ยมของต่งสุ่ยจิ่ง ไม่พรุ่งนี้ก็คงมะรืนนี้น่าจะมา ดื่มเหล้าที่ภูเขาลั่วพั่ว”
กู้ช่านเอ่ย “ร าคาญเขา ไม่อยากพบ”
เฉินผิงอันหยิบพริกมาเพิ่มอีกเล็กน้อย หั่นขาหมูรมควันอย่าง ประณีติ เอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็เป็ นอาจารย์อา ได้เจอกับผู้อาวุโสใน สานักอย่างหันเชี่ยวเซ่อก็ถือว่าเป็ นความโชคดีของเจ้า มีคนอย่าง หลิ่วชื่อเฉิงอย่างน้อยที่สุดก็ไม่เกะกะเจ้า ก็ถือเป็ นความโชคดีของเจ้า เช่นกัน ไม่ต้องกระตือรือร ้นมากมาย แต่ภายนอกก็ยังต้องไว้หน้ากัน บ้าง”
กู้ช่านเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “คนอย่างหลิ่วชื่อเฉิง จงใจไม่ ไปคบค้าสมาคมกับเขากลับกลายเป็ นว่าตัวเขาเองจะฉลาดขึ้นมา หน่อย หาไม่แล้วหากไม่ต้องใช ้สมองได้เขาก็จะไม่ยอมใช ้เลยจริงๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ก็จริงนะ”
กู้ช่านกล่าว “ข้าว่างมาก ต้องการให้ข้าไปใบถงทวีปสักรอบ หรือไม่?”
หากให้แข่งกันเรื่องของความอดทน ชีวิตนี้กู้ช่านก็ไม่เคยแพ้ให้ ใครมาก่อน
เฉินผิงอันกล่าว “ว่าง? ว่างแค่ไหน ทุกวันนี้เป็ นคอขวดขอบเขต หยกดิบแล้ว คล าเจอธรณีประตูขอบเขตเซียนเหรินแล้วหรือ? สร ้าง สานักใช่เรื่องเล่นๆ เสียที่ไหน”
กู้ช่านเงียบงัน
หลิวเสี้ยนหยางร ้องโอ้โหขึ้นมา แล้วก็หัวเราะเสียงดัง “เจ้าที่เป็ น ขอบเขตก่อกาเนิดก็กล้าสั่งสอนเจ้าสานักกู้ของพวกเราด้วยหรือ อีก เดี๋ยวตอนกินข้าว เจ้าต้องนั่งยองถือถ้วยข้าวไม่มีคุณสมบัติจะได้นั่งที่ โต๊ะด้วยซ้า”
กู้ช่านไม่สะดวกจะพูดอะไรกับเฉินผิงอัน แต่การพานโกรธใส่ หลิวเสี้ยนหยางกลับเป็ นเรื่องที่เขาคุ้นเคยดี หลิวเสี้ยนหยางคาดเดา ได้นานแล้ว ไม่รอให้กู้ช่านเปิ ดปากด่าก็เป็ นฝ่ ายยอมแพ้ไปก่อน “เฉินผิงอันนั่งยอง ข้านั่งกินข้าวกับพื้นคงได้แล้วกระมัง”
ครั้งนี้อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยก็โดยสารเรือข้ามฟากเฟิ งยวนกลับมาที่ ท่าเรือหนิวเจี่ยวด้วย เพียงแต่พวกเขาไม่ได้ไปที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่ตรง ไปที่ตรอกเอ้อหลาง บ้านถูกปล่อยวางมานานหลายปี คิดไม่ถึงว่าเซี่ย เซี่ยจะยังเก็บกุญแจเอาไว้ เปิ ดประตูออก อวี๋ลู่ยกม้านั่งมานั่งข้าง เพดานที่เปิดอ้า เงยหน้ามองท้องฟ้ า เซี่ยเซี่ยเคยเป็ นสาวใช ้อยู่ที่นี่ ได้ หวนกลับมายังสถานที่เดิมอีกครั้ง ข้าวของยังคงเดิมแต่คน แปรเปลี่ยนไปแล้ว นางไปตักน้ามาแล้วเริ่มเช็ดโต๊ะเช็ดเก้าอี้ หาไม้ กวาดด้ามเก่าเจอก็เริ่มทาความสะอาด ตอนที่ปัดกวาดจุดอื่นล้วนทา ด้วยท่าทางอ่อนโยน ทว่าตอนเดินผ่านอวี๋ลู่ฝุ่ นกลับคลุ้งตลบ อวี๋ลู่จึง ได้แต่โบกมือไล่ฝุ่นเป็ น พัลวัน
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยกลับไปที่ตรอกฉีหลง ได้เจอกับนักพรตหลิน เฟยจิงที่เป็ นตัวแทนเถ้าแก่ นั่นคือลูกศิษย์เอกของนักพรตเซียนเว่ย เชียวนะ จะเกรงใจมีมารยาทกันอีกท าไมแบบนั้นจะห่างเหินกันเกินไป
เทพเซียนผู้เฒ่าซื้อเนื้อพะโล้ ผักดอง และห่านย่างตัวหนึ่งมาจากร ้าน อื่นในเมืองเล็กก่อน จากนั้นทักทายเถ้าแก่สือที่หน้าร ้านยาสัยสอง สามประโยค เข้ามาในร ้านฉ่าวโถวแล้ว แมลงขี้เหล้าในท้องก็ก่อกบฏ ทันที บอกให้ลูกศิษย์สองคนอย่างเถียนจิ๋วเอ๋อร ์และจ้าวเติงเการีบไป หยิบเหล้ามา เอาอาหารในมือวางลงบนโต๊ะ นักพรตเฒ่าคารวะตาม ขนบลัทธิเต๋าต่อหลินเฟยจิง บอกกล่าวชื่อแซ่ตัวเอง หลินเฟยจิงรีบ เดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมาคารวะกลับคืนด้วยพิธีการที่เคร่งขรึม จริงจังต่อเทพเซียนผู้เฒ่าที่มีชื่อเสียงคุณธรรมสูงส่งในเมืองเล็กท่าน นี