กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1080.3 ภาพวาดในภูเขา
นักพรตเซียนเว่ยเข้าใจได้ทันที ถามหยั่งเชิงว่า “หากเจ้าขุนเขา ยินดีมอบให้ เสี่ยวเต้าหรือจะไม่รู ้จักกาลเทศะ ผิดต่อความปรารถนา ดีของเจ้าขุนเขา วันหน้าจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างสุดก าลัง ไม่ กล้าเพิกเฉยแม้แต่น้อย จะทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไปกับการเฝ้ า ประตูภูเขาให้ดีต่อไป”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็กาหนดให้ภูเขาเซียงฮว่อเป็ น ของนักพรตเซียนเว่ยและลูกศิษย์หลินเฟยจิงชั่วคราวก่อน แน่นอนว่า เรื่องนี้ยังต้องผ่านมติที่ประชุม แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหามากนัก”
นักพรตเซียนเว่ยเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ใครบ้างที่ไม่รู ้ว่าการประชุม ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เช่อของพวกเรา เจ้าขุนเขาเป็ นคนใจ กว้างที่สุด ไม่เคยเผด็จการฟังแต่เสียงตัวเอง”
เจิ้งต้าเฟิงอืมรับหนึ่งที “ทุกคนล้วนรู ้ดี”
เฉินผิงอันถอนหายใจอย่างที่หาได้ยาก คิดว่าควรจะให้จูเหลี่ยน ไปหาหยวนหวงแล้วรีบพาเขามาที่ภูเขาลั่วพั่วดีหรือไม่?
นักพรตเซียนเว่ยถูมือเอ่ยอย่างเขินอายว่า “เจ้าขุนเขา เอ่ย ประโยคจากใจจริงสักค า ไร ้ความชอบมิอาจรับเงินเดือน ข้าเตรียมใจ ไว้พร ้อมสาหรับการที่จะถูกสหายจิ่งชิงหยอกล้อแล้วนะ”
ได้ครอบครองภูเขาที่เป็ นของตัวเองในนาม ได้บุกเบิกพื้นที่ ประกอบพิธีกรรม! นี่คือเรื่องดีงามที่เหนียนจิ่งนักพรตตัวปลอมซึ่ง เมื่อก่อนเป็ นนักต้มตุ๋นอยู่ในยุทธภพไม่กล้าแม้แต่จะฝันถึง
ต้องนอนท่าไหนถึงจะหลับฝันถึงฝันดีขนาดนี้ได้นะ?!
แล้วนับประสาอะไรกับภูเขาลั่วพั่วบ้านตนยังไม่ใช่พรรคเล็กที่มี แค่เทพเซียนห้าขอบเขตกลางก็ได้ครอบครองภูเขาก่อตั้งพรรค ไม่ได้เป็ นแค่ผู้ฝึกลมปราณที่ขึ้นเขาฝึกตนก็สามารถยึดครองภูเขา ไปได้ง่ายๆ
ก่อนหน้านี้ฟังหมี่ลี่น้อยเล่าว่าที่สานักเบื้องล่างบ้านตนมี กฎระเบียบใหญ่มาก ธรณีประตูก็สูงมาก เจ้าส านักชุยบอกไว้แล้วนะ ว่าวันหน้าหากไม่ใช่ขอบเขตก่อก าเนิดก็ไม่อาจจัดงานพิธีเปิดภูเขา ได้
จวนเซียนใหญ่ทั่วไป อยู่บนภูเขาของเก้าทวีปในไพศาล หาก ไม่ใช่โอสถทองก็เปิดยอดเขาไม่ได้ นี่คือกฎระเบียบที่ปฏิบัติตามกัน มาจนกลายเป็ นธรรมเนียมอย่างหนึ่งไปแล้ว
สานักชั้นสูงของใต้หล้าไพศาล เกรงว่าต่อให้ที่ตั้งของศาลบรรพ ชนจะใหญ่แค่ไหน จะมีภูเขามากมายเท่าไรก็ยังไม่พอให้เซียนดิน แบ่งกันอยู่ดี นี่ก็มีทั้งสานักดั้งเดิมปฐมสานักสานักเบื้องบนและสานัก เบื้องล่างไปพร ้อมกันแล้วไม่ใช่หรือ
แล้วนับประสาอะไรกับที่หากไม่พูดถึงกรณีเฉพาะบุคคล สานัก และบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาในใต้หล้าต่างก็แทบจะมาจากพรรคเล็ก และเป็ นผู้ฝึ กตนตัวเล็กๆ กันทั้งนั้น ส่วนใหญ่แล้วขนาดของปฐม สานักมักจะธรรมดา ไม่ได้มีพลังอานาจน่าครั่นคร ้ามสักเท่าไร ผ่าน ไปนานหลายปีเหมือนนกนางแอ่นที่คาบดินโคลนมาทารังจึงจะมีภาพ บรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ได้ ภูเขาลั่วพั่วก็ถือว่าอยู่ในกรณีนี้
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “คนกันเองไม่พูดจาห่างเหิน นักพรตเซียนเว่ย แค่รับไปให้สบายใจก็พอ”
“อีกเดี๋ยวภูเขาพอวิ่นจะจัดงานพิธีแต่งตั้งอย่างเป็ นทางการแล้ว พวกเจ้าต้องการติดตามข้าไปดื่มเหล้าที่นั่นด้วยกันหรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิ งส่ายหน้า “สนิทกับเว่ยป้ อเกินไป ข้าคงไม่ไปร่วมวง ความครึกครื้นแล้ว”
นักพรตเซียนเว่ยพยักหน้าตาม เป็ นเพราะทรัพย์สมบัติมีอยู่ไม่ มาก กระเป๋ าฟีบแบนไม่สะดวกจะไปกินเปล่าดื่มเปล่าในงานเลี้ยง ต่อ ให้ทุบหม้อขายเหล็กก็ยังรวบรวมเอาของขวัญแสดงความยินดีที่ เข้าท่าเข้าทีสักชิ้นออกมาไม่ได้ จะเดือดร ้อนให้ภูเขาลั่วพั่วต้องขาย หน้าเพราะเรื่องนี้ไม่ได้
ได้ฟังหมี่ลี่น้อยเล่าเรื่องวงในเกี่ยวกับงานเลี้ยงท่องราตรีของ ขุนเขาเหนือมามากมาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าและผู้ฝึ ก
ลมปราณของแต่ละฝ่ ายที่เข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีในแต่ละครั้ง แต่ ละคนฮึกเหิมองอาจ มือเติบใจป้ ากันมาก
เพียงแค่เพราะหลังจากเหล่าขุนนางหญิงของกองระเบียบพิธีการ ภูเขาพีอวิ๋นที่บันทึกชื่อรับของขวัญที่ตีนเขาเรียบร ้อยแล้ว พวกนางก็ จะต้อง “ร ้องขานชื่อ” เสียงดัง เป็ นใคร มาจากภูเขาลูกไหน มอบ ของขวัญร่วมแสดงความยินดีอะไรบ้าง ล้วนพูดอย่างชัดเจน
ตอนนั้นหมี่ลี่น้อยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ความคิดดีๆ พลันบังเกิด จึงยกตัวอย่างที่เห็นภาพอย่างมาก บอกว่าฟังแล้วเหมือนการแจ้ง รายการอาหารเลย
เซียนเว่ยถึงขั้นสามารถจินตนาการได้ถึงภาพที่ “แขกผู้ยิ่งใหญ่” ซึ่งเข้าแถวอยู่ด้านหลังยังไม่ได้เอาของขวัญร่วมแสดงความยินดี ออกมา ได้ยินการร ้องขานชื่อในแต่ละครั้งของคนที่อยู่เบื้องหน้า ใน ใจก็คงคิดคานวณโดยหักลบเป็ นน้าหนักของเงินเทพเซียนไปด้วย จากนั้นก็กัดฟันแข็งใจเพิ่มน้าหนักของของขวัญร่วมแสดงความยินดี หรือไม่ก็จ านวนของเงินเทพเซียนให้มากขึ้น ก่อนจะดื่มเหล้าของงาน เลี้ยงท่องราตรีก็คงเมาไปก่อนแล้วกระมัง?
งานพิธีแต่งตั้งประทานฉายาเทพที่อริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นเป็ น ผู้ดาเนินพิธีในครั้งนี้ ภูเขาพีอวิ๋นยังไม่อาจเชิญป๋ ายเหย่และอาจารย์จ วินเชี่ยนให้ไปร่วมงานได้
แต่งานเลี้ยงท่องราตรีครั้งนี้กลับยังคงเรียกได้ว่าส่องแสงเจิดจรัส ดั่งดวงดารา กลุ่มดวงดาวประชันแสงพร่างพราว
การปรากฏตัวของฝูลู่อวี๋เสวียนแห่งภูเขาเถาผู้แผ่นดินกลางท า ให้คนทั่วทั้งอาณาเขตขุนเขาเหนือตกตะลึงกันอย่างหนัก
นี่ถึงได้ทาให้วันนี้บุคคลอันดับหนึ่งบนภูเขาของหลิวเสียทวีป อย่างจิงเฮาขอบเขตบินทะยานที่มีฉายาว่าชิงกงไท่เป่ าดูไม่สะดุดตา ถึงเพียงนั้น
พูดถึงแค่ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วก็มีเจ้าส านักสองท่านปรากฏตัว พร ้อมกัน เฉินผิงอันและลูกศิษย์ชุยตงซาน
และยังมีผู้คุมกฏฉางมิ่ง ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งโจวเฝยแห่งภูเขา ลั่วพั่ว และเฉินผิงอันยังพาลูกศิษย์คนแรกอย่างเผยเฉียนและผู้ถวาย งานพิทักษ์ภูเขาโจวหมี่ลี่มาด้วย ยังมีเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิง ชุดกระโปรงชมพู รวมไปถึงเด็กสาวสวมหมวกขนเตียวที่ตอนที่ร ้อง ขานชื่อหน้าประตูภูเขาว่ากันว่าคือเซี่ยโก่วผู้ถวายงานอันดับรองแห่ง ภูเขาลั่วพั่ว
ราชส านักต้าหลีให้เจ้ากรมพิธีการเดินทางมาร่วมแสดงความ ยินดีที่ภูเขาพีอวิ๋น แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ได้เสด็จมาเยือนด้วยตัวเอง แต่ก็ เขียนสาส์นอวยพรด้วยลายมือตัวเอง แซ่สกุลเสาค้ายันแคว้น มากมายก็มาร่วมงานด้วย
เซี่ยหลิงแห่งส านักกระบี่หลงเฉวียนที่เพิ่งออกจากด่านเลื่อนเป็ น ขอบเขตหยกดิบเป็ นตัวแทนอาจารย์หร่วนฉงและเจ้าส านักหลิว เสี้ยนหยางนาของขวัญร่วมแสดงความยินดีมามอบให้ ขณะเดียวกัน ก็ยังนาของขวัญที่เทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปให้เซี่ยหลิงผู้เป็ น หลานในตระกูลตัวเองน ามามอบต่อมาด้วย
ทว่านี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ทาให้จิตแห่งมรรคาของผู้คนไม่มั่นคงที่สุด เพียงแค่เพราะเซี่ยหลิงที่ควักของขวัญร่วมแสดงความยินดีชิ้นแล้ว ชิ้นเล่าออกมาแล้ว สุดท้ายของขวัญที่เป็ นสมบัติก้นกรุของเขาถึงกับ มาจากลู่เฉินเจ้าลัทธิแห่งป๋ ายอวี้จิง!
ต่อจากนั้นก็ยังมีบัณฑิตคนหนึ่งที่มีนามว่าซินจี้อันที่เดินทางไป เยือนศาลชิวเฟิงกับสหายรักมารอบหนึ่ง ได้ช่วยนาของขวัญแสดง ความยินดีมามอบแทนฝ่ ายหลัง ตอนที่ร ้องขานชื่อ ชื่อที่เอ่ยคือเฉิน ชิงหลิว!
ซินจี้อันมังกรแห่งถ้อยคา คนพิฆาตมังกรเฉินชิงหลิว สองชื่อที่มี ความหมายไม่ธรรมดา หากแยกกันมาร่วมแสดงความยินดี คนอื่น อาจจะยังเกิดการคาดเดาอยู่บ้าง ไม่กล้าแน่ใจว่าเป็ นจริงหรือเท็จ
แต่เมื่อนาสองชื่ออย่างซินจี้อันและเฉินชิงหลิวมาไว้ด้วยกัน ยาม ที่ถูกเทพหญิงขุนนางหลักของกองระเบียบพิธีการขานออกมาด้วย เสียงสั่นๆ ถึงขั้นที่ว่ายังนาพู่กันในมือส่งมอบให้กับบัณฑิตคนนั้น บอกว่าซานจวินมีคาสั่ง ให้นางบังอาจขอร ้องให้อาจารย์ช่วยเขียนชื่อ
ทั้งสองลงไปด้วยตัวเอง ทิ้งผลงานน้าหมึกที่แท้จริงเอาไว้….ถ้าอย่าง นั้นต่อให้เป็ นคนโง่ก็ยังรู ้ว่าพวกเขา…ก็คือพวกเขาแล้ว!
ซานจวินห้ามหาบรรพตของแจกันสมบัติทวีปในครั้งนี้ ศาลบุ๋น แผ่นดินกลางเป็ นผู้ด าเนินการงานพิธี แยกกันมอบ “ฉายาเทพ” ให้ ซึ่งงานพิธีจะถูกจัดขึ้นในวันและเวลาเดียวกัน
ดังนั้นฝ่ ายที่ครึกครื้นสุดขีดจึงไม่ได้มีเพียงภูเขาพีอวิ๋นเท่านั้น จวนซานจวินห้ามหาบรรพตล้วนมีแขกเหรื่อมากมายดั่งหมู่เมฆ เสียง ผู้คนพลุกพล่านดั่งน้าเดือดในหม้อ ต่างร่วมแรงร่วมใจกันประกอบ พิธีอันยิ่งใหญ่
ภูเขาเช่อจื่อมหาบรรพตกลาง ซานจวินจิ้นชิงได้รับฉายาที่ทาง ศาลบุ๋นประทานให้คือค าว่า “หมิงจู๋”
เหมิงหรงแห่งภูเขาชี่ซานมหาบรรพตตะวันออก ได้รับฉายาเทพ ว่า “อิงหลิง” ความหมายยิ่งใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้ถึง!
มหาบรรพตเหนือภูเขาพีอวิ๋น เว่ยป้ อ ได้รับฉายาเทพว่า “เย่ โหยว” ไม่น่าประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย หากไม่ใช่ฉายานี้ นั่นแหละ ถึงจะเป็ นเรื่องน่าแปลกใจ
ถงเหวินช่างแห่งภูเขากานโจวมหาบรรพตตะวันตก ฉายาเทพ คือ “ต้าเต้า” ภูเขาจือถงมหาบรรพตใต้ ฟ่ านจวินเม่าซานจวินหญิง ฉายาเทพของนางถึงกับเป็ นค าเรียกขานของภูเขาอีกคาหนึ่งอย่าง “ชุ่ยเวย!
เต้าหลิงอาจารย์ใหญ่หนึ่งในสิบลูกศิษย์เอกแห่งศาลบุ๋น รับผิดชอบจัดงานพิธีของขุนเขาเหนือ
ผู้ฝึกตนใหญ่ที่มาร่วมงานที่ภูเขาพีอวิ๋นในวันนี้ก็มีอวี๋เสวียน ซิน จี้อัน จิงเฮา คนที่ให้ผู้อินน าของขวัญร่วมแสดงความยินดีมามอบให้ แทนก็มีลู่เฉิน เฉินชิงหลิว เซี่ยสือ….
เมื่อเป็ นเช่นนี้ หากว่ากันด้วยด้านของอานาจบารมี ในบรรดา ห้ามหาบรรพตของหนึ่งทวีป ภูเขาพีอวิ๋นก็คือผู้นาอันดับหนึ่งอย่าง สมศักดิ์ศรี
เวยป้ อที่สวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวหิมะ ตรงหูห้อยห่วงสีทองรับ ม้วนภาพที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์เขียนฉายาเทพด้วยตัวเองมาจาก มือของอาจารย์ใหญ่อย่างนอบน้อม
เว่ยป้ อประสานมือคารวะแล้วก็หมุนตัวคลี่กางม้วนภาพออก สอง ค าว่า “เย่โหยว” จ าแลงกลายเป็ นสีทองพร่างพราว มหามรรคาจ าแลง อยู่เหนือยอดเขาพีอวิ๋น ผสานกลมกลืนเป็ นหนึ่งเดียวกับโชคชะตา ภูเขาสายน้าของมหาบรรพตอุดร
อันที่จริงงานพิธีแต่งตั้งครั้งนี้ไม่ได้มีพิธีการที่ยิบย่อยอะไร ออกจะ เรียบง่ายด้วยซ้าอาจารย์ใหญ่ที่สวมชุดผ้าฝ้ ายสีเขียวห้อยกระบวยตัก น้าไว้ตรงเอวอ่านบทความของอริยะปราชญ์บทหนึ่งแล้วก็กล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร ์ของมหาบรรพตอุดรใน แจกัน สมบัติทวีปคร่าวๆ ประทานฉายาเทพให้กับเว่ยป้ อแห่งขุนเขาเหนือ
สุดท้ายอาจารย์ ใหญ่ก็เอ่ยถ้อยค ามงคล ไพเราะน่าฟัง” กับเว่ยป้ ออีก สองสามประโยค เท่านี้ก็เป็ นอันเสร็จพิธี
อาจารย์ใหญ่กับอริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นอีกสี่คนที่เหลือ ลูก ศิษย์ผู้สืบทอดของปรมาจารย์มหาปราชญ์ต่างก็ไม่ได้รั้งรออยู่นาน เมื่องานพิธีแต่งตั้งจบแล้วก็เอ่ยขอตัวลากลับไปแทบจะเวลาเดียวกัน
แต่กลับไม่ได้กลับไปยังศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง
แต่ไปที่ริมแม่น้าสายหนึ่งที่ชื่อสมัยโบราณคือเสาโจว ปัจจุบันคือ แม่น้าพ่านสุ่ยบทเพลงโบราณชื่อว่า “เสา” ขงจื๊อกล่าวว่ามีความ งดงามและความดีงามครบถ้วน
ผู้เฒ่าเรือนกายสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ริมน้า ข้างกายยังมีหลี่เซิ่ง ที่บุคลิกอบอุ่นอ่อนโยน หย่าเซิ่งที่สีหน้าเคร่งขรึมและซิ่วไฉเฒ่าที่ เสียใจอย่างถึงที่สุดยืนอยู่ด้วย
รวมไปถึงอริยะปราชญ์ที่มีเทวรูปตั้งบูชาในศาลบุ๋นอีกหลายคนที่ เรือนกายล่องลอยกลายเป็ นเพียงจิตหยินตนหนึ่ง ร่างของพวกเขา มารออยู่ที่ริมน้า รอคอยให้พวกอาจารย์ใหญ่ดาเนินงานพิธีแต่งตั้ง เสร็จสิ้นกันอยู่นานแล้ว
อริยะปราชญ์บางคนกายดับมรรคาสลายไปนานแล้ว ทยอยกัน หายสาบสูญไปในแม่น้ายาวแห่งประวัติศาสตร ์ชื่อเสียงเกียรติยศและ กิจการงานที่สร ้างไว้จะเสื่อมสูญไปด้วยหรือไม่ก็ต้องรอคอยค า ประเมินจากคนรุ่นหลังแล้ว
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ได้มารวมตัวกันแบบ นี้นานแล้วนะ”
เหล่าอาจารย์ทั้งหลายที่อยู่ริมแม่น้าพากันเงียบงัน ประสานมือ คารวะปรมาจารย์มหาปราชญ์อย่างพร ้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัด หมาย
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุดเบี่ยงกายคารวะพวก เขากลับคืน
หลังจากที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยึดตัวขึ้นแล้วก็เบี่ยงหน้าทาท่า เหมือนกาลังเงี่ยหูฟังบทเพลงโบราณที่ชื่อว่าเสาซึ่งถือเป็ นความ งดงามยิ่งใหญ่ แล้วก็คล้ายจะฟังเสียงอ่านตาราดังไพเราะกังวาน แม้ จะบอกว่าบทเพลงเสาไพเราะและงดงามอย่างถึงที่สุด แต่ดูเหมือนว่า จะยังไม่น่าฟังเท่าอย่างหลัง
ผู้เฒ่าทรุดตัวนั่งลงบนพื้นริมน้าก่อน ครั้นจึงพูดกลั้วหัวเราะเสียง ดังกังวานว่า “เป็ นการถ่ายทอดวิชาไขข้อข้องใจครั้งสุดท้ายแล้ว ถาม และตอบ หรือจะใช ้การย้อนถามเป็ นคาตอบ อะไรที่พวกเรารู ้ก็ล้วน พูดออกมาให้หมดอย่าได้เก็บไว้”
ดินแดนพุทธะสุขาวดี ใต้ต้นโพธิ์ ภิกษุวัยกลางคนนั่งขัดสมาธิ เริ่มบรรยายหลักธรรม
ใต้หล้ามืดสลัว นักพรตเด็กหนุ่มคนหนึ่งไปถึงนอกประตูของ อารามเต๋าขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนสนามรบโบราณจัวลู่ นักพรตเด็ก
หนุ่มบอกกล่าวกับนักพรตที่ทาหน้าที่ต้อนรับแขกซึ่งสอบถามถึง สถานะของเขาว่าตัวเองแซ่หลี่ มาจากอาเภอขู่เชี่ยนแคว้นเฉิน
หน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว เมื่อคืนวานก่อนที่จะนอนหลับไป กลางดึก นักพรตเซียนเว่ยก็ตาหนิตัวเอง ตัดสินใจแล้วว่าพรุ่งนี้จะ อ่าน “หนังสือเบ็ดเตล็ด” อีกไม่ได้แล้วเป็ นต้องอ่านตาราเต๋าที่เป็ นการ
เป็ นงาน
วันนี้แสงแดดอบอุ่น เหนียนจิ่งอ่านต าราเบ็ดเตล็ดอีกเล่มอย่าง เพลิดเพลิน ใช ้นิ้วแตะน้าลายพลิกเปิ ดหน้าหนังสือเบาๆ เนื้อหา ตระการตาสนุกสนานเกินไปจนต้องย้อนกลับไปอ่านซ้าอีกรอบ
ต าราเต๋าเป็ นการเป็ นงานที่ถูกนักพรตตัวปลอมใส่ไว้ในชายแขน เสื้ออีกข้างคล้ายกาลังอดทนรอคอยการมาถึงของวันพรุ่งนี้อีกครั้ง
ดูเหมือนว่าเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิก็จะได้เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ ร่วง ช่วงเวลาที่ส้มเหลืองและส้มเขียวก าลังออกผลอุดมสมบูรณ์ นักพรตที่เห็นภูเขาแห่งนี้เป็ นบ้านเกิดก็เอ่ยเพียงว่าที่ใดที่ข้าอยู่แล้ว สบายใจก็คือบ้านเกิดของข้า
ในกลุ่มภูเขาทางทิศตะวันตก ทะเลสาบหวนเจี้ยนที่ปรากฏขึ้นมา เพราะภูเขาลูกหนึ่งถูกย้ายออกไป ลมพัดให้พื้นผิวหน้าทะเลสาบเกิด ริ้วกระเพื่อมเป็ นระลอก ราวกับกาลังพึมพาว่า ภูเขาสายน้ามีกลับมา บรรจบพบกันใหม่อีกครั้ง
บนภูเขาลั่วพั่ว ชุยเฉิงทิ้งหีบหนังสือไว้ใบหนึ่ง บอกให้หน่วนซู่ ช่วยดูแลแทนเขา ทั้งสองฝ่ ายมีข้อตกลงกันว่าผู้เฒ่าไม่ให้หน่วนซู่บ อกกับใครทั้งนั้น แม้กระทั่งเจ้าขุนเขาอย่างเฉินผิงอันก็ตาม
อีกวันหนึ่งบนลานกว้างนอกประตูศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ
ไม่ได้รีบร ้อนเปิดการประชุม
ซิ่วไฉเฒ่าท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาถึงแจกันสมบัติ ทวีป พวกเขาต่างก็รอให้ผู้เฒ่านั่งลง
เด็กชายผมขาวที่เป็ นขุนนางผู้เรียบเรียงตาราของภูเขาลั่วพั่วมี โอกาสได้แสดงฝีมืออีกครั้งแล้ว นางกลับคืนสู่รูปโฉมของหญิงสาว ตั้งโต๊ะวางหมึกและพู่กันไว้เรียบร ้อย นักพรตหญิง “เทียนหราน” ใน ดวงตามีรอยยิ้ม ทาท่าหมายมั่นปั้นมือพร ้อมเต็มที่
ใต้หล้าไพศาล สายเหวินเซิ่ง
ซิ่วไฉเฒ่า
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดมีจวินเชี่ยน เฉินผิงอัน
ลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดมีอู๋ยวน เจิ้งโย่วเฉียน หลี่เป่ าผิง หลินโส่วอี หลี่ไหว เซี่ยเซี่ย อวี๋ลู่ ต่งสุ่ยจิ่ง สือเจียซุน จ้าวเหยา ชุยตง ซาน เฉาฉิงหล่าง หนิงจี๋
ตามหลักแล้ว พวกเขาต่างก็สามารถนั่งลงได้
เพราะอันที่จริงลูกศิษย์ของเฉินผิงอันอย่างเผยเฉียน กวอจู๋จิ่ว และจ้าวซู่เซี่ย และยังมีลูกศิษย์ของเผยเฉียน โจวจวิ้นเฉินที่มีฉายาว่า เจ้าใบ้น้อย แม้ว่าพวกเขาต่างก็เป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ของ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเฉินผิงอัน แต่กลับไม่ได้อยู่ในสายเหวินเซิ่ง ตามความหมายที่เข้มงวด
ถ้าอย่างนั้นพวกจ้าวหลวน เจี่ยงชวี่ ชุยฮวาเชิง หูฉู่หลิง ในฐานะ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของชุยตงซานก็ใช ้หลักการเดียวกัน
ทุกคนล้วนนั่งตัวตรงอย่างสารวม สองมือกาเป็ นหมัดวางลงบน หัวเข่าเบาๆ
ซิ่วไฉเฒ่าคลายหมัดออก สายตายังคงมองตรงไปข้างหน้า เพียง แค่ยกมือขึ้นตบแขนของลูกศิษย์ปิ ดสานักที่อยู่ข้างกายเบาๆ เอ่ย เสียงแผ่วว่า “ล าบากแล้ว”
เฉินผิงอันเองก็สายตามองตรงไปข้างหน้าตลอดเวลาเช่นกัน เขายิ้มบางๆ ตอบกลับว่า “อาจารย์ ไม่ลาบากเลย”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะปากกว้าง นั่งอยู่ตรงกลาง ผู้เฒ่าหันหน้าไป ปรึกษากับลูกศิษย์ปิดสานักอย่างเฉินผิงอัน ไม่สู้ทุกคนมานั่งด้วยกัน เก็บภาพไว้เป็ นที่ระลึกสักหน่อย?
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยยิ้ม บอกว่าล้วนฟังอาจารย์ ดังนั้นจึง ให้พวกหน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยช่วยไปยกเก้าอี้จากในศาลบรรพจารย์ มาเพิ่ม
แต่ประหลาดมาก เพราะจ านวนไม่ถูกต้อง ท าไมถึงดูเหมือนมี เก้าอี้เพิ่มมาสามตัวได้ล่ะ?
อีกทั้งเฉินผิงอันก็เปลี่ยนตาแหน่งที่นั่ง นั่งห่างจากเหวินเซิ่งมา โดยมีเก้าอี้ว่างเปล่าอีกสองตัวกั้นขวาง?
จวินเชี่ยนเองก็ลุกขึ้นยืน เปลี่ยนเก้าอี้ตัวที่นั่ง เมื่อเป็ นเช่นนี้ ข้าง
กายของชีวไฉเฒ่าจึงไม่มีคนนั่งลง
เฉินผิงอันนั่งตัวตรงอย่างสารวม เอ่ยเรียกเสียงเบาว่า “ตงซาน”
ชุยตงซานยิ้มกว้างสดใสอิ่มรับหนึ่งที พริบตานั้นบนเก้าอี้ที่ว่าง เปล่าสามตัวก็มีคนสามคนเพิ่มมา
ชุยฉานลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง “นั่ง” อยู่ระหว่างซิ่วไฉเฒ่า กับศิษย์น้องจวินเชี่ยนศิษย์น้องจั่วโย่วและฉีจิ้งขุนนั่งกันอยู่อีกด้าน
เด็กคนที่ลาดับอาวุโสต่าที่สุด เจ้าใบ้น้อยที่ชื่อว่าโจวจวิ้นเฉินให้ ตายอย่างไรก็ไม่ยอมนั่งข้างกายเผยเฉียนผู้เป็ นอาจารย์ เด็กน้อย ยินดีนั่งอยู่ในตาแหน่งข้างสุดที่ไม่สะดุดตาเท่านั้น
ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์ปู่ อาจารย์ ไม่สู้ข้ากับพวกเป่า ผิงยืนกันดีกว่าไหม? ยืนอยู่ข้างหลังพวกท่านแล้วกัน”
เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “อาจารย์ ท่านคิดว่าอย่างไร? แต่ข้า กลับรู ้สึกว่าท าได้”
ซิ่วไฉเฒ่ามองซ ้ายมองขวาแล้วยิ้มถาม “ทุกคนไม่มีความเห็น ต่างนะ?”
พวกหลี่เป่ าผิงต่างก็ยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน ขยับเก้าอี้ออกไปก่อน จากนั้นก็ไปยืนเรียงกันเป็ นแถวอยู่ด้านหลังพวก “อาจารย์ลุงอาจารย์ อา
ซิ่วไฉเฒ่าพลันลูบหนวดยิ้มกล่าว “ผิงอัน เจ้าเปลี่ยนตาแหน่งกับ จั่วโย่ว วางใจเถอะเขาไม่ถือสาหรอก”
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยอมฟังการจัดการของอาจารย์
เพียงแต่ว่ายามที่ขุนนางผู้เรียบเรียงตาราของภูเขาลั่วพั่วเตรียม จะจรดพู่กันวาดภาพนั้นเอง เฉินผิงอันกลับยิ้มพลางหันหน้าไปกวัก มือเรียก “จวิ้นเฉิน เจ้ามานี่”
เด็กน้อยที่หน้าแดงก่าไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุจึงไม่ยอมขยับ ตัวไปไหน ผลคือเด็กน้อยกลับถูกผลักเบาๆ มาตลอดทางจนเดิน อย่างมึนๆ งงๆ มาถึงข้างกายอาจารย์ปู่
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เจ้ายืนอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”
นี่ก็น่าจะเป็ นความสนิทสนมข้ามรุ่นอย่างที่ผู้คนเอ่ยกันกระมัง
เด็กน้อยยึดเอวตรงตามจิตใต้ส านึก สองมือก าเป็ นหมัด เม้มปาก แน่น
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มอ่อนโยน ยื่นมือไปกอดไหล่ของเด็กน้อยไว้เบาๆ