กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1082.3 บนฟ้ าล่างฝน
ถึงอย่างไรเหวยไท่เจินก็ไม่ค่อยเข้าใจขนบธรรมเนียมของเปลี่ยว ร ้างนัก นางรู ้สึกว่าที่นี่มีเทือกเขาทอดยาวเป็ นสาย มองดูแล้วทรงพลัง ยิ่งใหญ่อย่างมาก แต่นางกลับไม่รู ้ว่า ที่แห่งนี้ก็คือภูเขาใหญ่แสนลี้ที่ ถูกตัดแบ่งออกมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง
เฒ่าตาบอดยืนอยู่ข้างกายเด็กสาวสวมหมวกขนเตียว ถามว่า “ทาไมถึงไปเที่ยวเล่นอยู่ที่ไพศาลได้ล่ะ?”
เซี่ยโก่วกล่าว “เรื่องของความรักชายหญิง เจ้าเป็ นคนนอก ไม่ เข้าใจแม้แต่ผายลม จะต้องให้ข้าพูดกับเจ้าท าไม”
เฒ่าตาบอดกล่าว “ก็ไม่ใช่ความรักข้างเดียว นอนเดียวดายบน หมอนยากจะข่มตาหลับหรอกหรือ”
เซี่ยโก่วร ้องเฟ้ ย “ไม่เข้าใจแต่แสร ้งท าเป็ นเข้าใจ พูดส่งเดชไป เรื่อย”
เฒ่าตาบอดที่ผิวหนังสองข้างแก้มเว้าลึกเห็นกระดูกกระตุกมุม ปาก
เซี่ยโก่วขยับเส้นสายตาออกไปเล็กน้อย มองไปยังนิ้วเท้าที่แห้ง เหี่ยวซึ่งอยู่บนรองเท้าสานคู่นั้น ถอนสายตากลับมาแล้วก็เอ่ยอย่าง เวทนาว่า “จือสือ เจ้าคิดอย่างไรอยู่กันแน่ ถึงได้จงใจท าให้ตัวเอง
ผอมเหลือแต่โครงกระดูกเหมือนท่อนฟืนอย่างนี้ หวนนึกถึงอดีตอัน ห่างไกล พูดประโยคที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจสักคา หากพูดกันถึง แค่รูปโฉม พวกเฉินชิงตูก็ไม่คู่ควรจะถือรองเท้าให้เจ้าด้วยซ้า อืม แต่ ก็มีอยู่คนหนึ่งที่ปีนั้นไม่ว่าจะเป็ นรูปโฉมหรือบุคลิกก็ล้วนเหนือกว่า เจ้าอยู่ระดับหนึ่ง”
เฒ่าตาบอดยิ้มเอ่ย “อ้อ? ถ้าอย่างนั้นไม่ไปขายกันก็ช่างน่า เสียดายจริงๆ”
เซี่ยโก่วกรีดร ้องเสียงแหลม เงยหน้าถลึงตาใส่ “เฒ่าตาบอด เตือนเจ้าไว้ก่อนเลยนะ อย่าได้พูดจาหยาบคายแบบนี้กับสตรีที่ เรียบร ้อยดุจคุณหนูตระกูลใหญ่อีก”
“ในยุคบรรพกาลมีวีรบุรุษกี่มากน้อยที่ถูกคาว่ารักถ่วงรั้งการฝึก ตน”
เฒ่าตาบอดเอาสองมือไพล่หลัง ทอดถอนใจอย่างที่หาได้ยาก “ทุกวันนี้แม้กระทั่งผู้ฝึกกระบี่ป๋ ายจิ่งก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้นเสียแล้ว”
เซี่ยโก่วใช ้เสียงในใจถาม “ข้าไม่มีโอกาสที่จะเผชิญหน้ากับโจว มี่ผู้นั้นจริงๆ หรือ?”
เฒ่าตาบอดเงียบไปพักหนึ่ง “บุคคลที่จะปรากฏตัวในรอบหมื่นปี ไม่ใช่ว่าอยากจะพบก็พบได้หรอกนะ”
เซี่ยโก่วถาม “แล้วจงหยวนผู้นั้นล่ะ?”
เฒ่าตาบอดกล่าว “แค่รักษาจิตแห่งกระบี่ที่บริสุทธิ์เอาไว้ได้ ตัว คนไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว หากมองเขาเป็ นกระบี่เล่มหนึ่งจะ เหมาะสมยิ่งกว่า สามารถจาแลงกลายเป็ นคนได้เช่นเดียวกับกระบี่ เซียนสี่เล่ม แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่”
เซี่ยโก่วยื่นฝ่ ามือข้างหนึ่งออกมาโบก “จือสือ อย่ามัวอึ้งอยู่เลย
รีบเอาเหล้าออกมารับรองแขกหน่อยสิ”
เฒ่าตาบอดหัวเราะร่วน ยื่นแขนที่แห้งเหี่ยวแทบไม่มีเลือดเนื้อ ข้างหนึ่งออกมา ทาท่าคล้ายจะปลดเชือกที่ร ้อยหูกางเกง
ไม่มีสุรา ดื่มฉี่แทนได้หรือไม่?
เซี่ยโก่วด่าคัมภีร ์สามอักษรออกไป เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พอทีๆ กลัวเจ้าแล้วขอบเขตสูงแล้วร ้ายกาจนักหรือ เจ้ารอก่อนเถอะ คราวหน้าที่ถามกระบี่หากไม่ปาดภูเขาแสนดี้ให้ราบเรียบ เหล่า เหนียงก็จะเปลี่ยนไปใช ้แซ่ตามเจ้าเลย”
เฒ่าตาบอดหลุดหัวเราะพรืด “อย่างเจ้าก็คิดจะเลื่อนเป็ น ขอบเขตสิบสี่ด้วยหรือ? หากเจ้าป๋ ายจิ่งท าได้ส าเร็จ ข้าก็จะตัด เจ้าของที่อยู่ในกางเกงตัวนี้เอาให้เจ้าไปดองเหล้าดื่มเลย”
เซี่ยโก่วลุกขึ้นยืน ไม่มีสีหน้าสบายๆ อีกแล้ว นางพูดด้วยสีหน้า เคร่งขรึมว่า “หมายความว่าอย่างไร? ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็ข้ามธรณี ประตูไปได้แล้ว ทาไมถึงจะเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ไม่ได้?”
เฒ่าตาบอดกล่าว “ผู้ฝึกบาเพ็ญตน ใครบ้างที่ไม่ช่วงชิงวิถีแห่ง สวรรค์ มีคนขโมย หากมีวิธีการไม่ดีพอ จิตใจไม่พร ้อมมากพอ ก็ กลายเป็ นขอบเขตบินทะยาน มีคนบังคับปล้นชิง ใจใหญ่ขวัญกล้าก็ เรียกว่าขอบเขตสิบสี่”
เซี่ยโก่วขมวดคิ้วเอ่ย “พูดส่งเดชไปเรื่อย หลักการเหตุผลเลื่อน ลอยพวกนี้ เหล่าเหนียงเข้าใจตั้งแต่เมื่อหมื่นปี ก่อนแล้ว รบกวน สหายจือสือช่วยพูดเรื่องเป็ นการเป็ นงานหน่อยได้ไหม?!”
เฒ่าตาบอดกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็มียืมมีคืน ยืมอีกไม่ยาก ก็คือ ความหมายที่ซ่อนอยู่ของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ เจ้าคือหนึ่งในสิบคน ที่มีคุณสมบัติดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา คือนักพรตที่มีมาตรฐาน เดียวกันกับพวกผู้ฝึ กกระบี่ในโลกยุคหลังอย่างจงหยวน ป๋ ายเหย่ บังเอิญที่ว่าเพราะการใช ้หนี้คืนของวัตถุดิบแห่งสวรรค์ชั้นเลิศพวกนี้ ความเป็ นความตายของจงหยวนล้วนอยู่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ ป๋ ายเหย่เองก็ไม่อาจกลายเป็ นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวได้ ส่วนเจ้าป๋ ายจิ่ง ปี นั้นแบ่งใต้หล้ากันไป เจ้าจึงมีความเกี่ยวข้องกับเปลี่ยวร ้าง ภายหลัง ยังถูกป๋ ายเจ๋อที่หวนกลับมาปลุกให้ตื่น หากป๋ ายเจ๋อไม่ทาเช่นนี้ เจ้าก็ ต้องกายดับมรรคาสลายไปนานแล้ว ไม่ถูกสิ คงไม่ได้เร็วเกินไปนัก จะต้องได้เจอกับโจวมี่ ต้องรู ้ว่าเขาเดินทางท่องไปทั่วเปลี่ยวร ้างตลอด หลายปี นอกจากจะวางแผนแล้ว อันที่จริงก็คอยตามหาเรือนกายของ ผู้ฝึกกระบี่ที่ดีเยี่ยมที่สุดในโลกมนุษย์มาโดยตลอด ไม่ไปหาเจ้าแล้ว
จะไปหาใคร ดังนั้นไม่ว่าป๋ ายเจ๋อจะคาดเดาได้ล่วงหน้า หรือเป็ นแค่ การกระทาที่ไม่ตั้งใจ ผลคือก็ป๋ ายเจ๋อก าลังช่วยเจ้าอยู่”
เซี่ยโก่วถามอย่างสงสัย “แล้วนี่เกี่ยวบ้าบออะไรกับการที่ข้าไม่ อาจข้ามก้าวนั้นออกไปได้ด้วยเล่า?”
เฒ่าตาบอดถอนหายใจ “ดังนั้นถึงได้บอกว่าคุณสมบัติของ นักพรตคนหนึ่งดีเกินไป เดินขึ้นเขาฝึ กตนได้ราบรื่นเกินไปก็ไม่ดี เหมือนกัน ล้วนมีหนี้ที่ต้องใช ้คืน สิ่งที่ป๋ ายจิ่งต้องใช ้คืนก็อยู่ที่ครึ่งก้าว นี้”
เซี่ยโก่วถาม “เสี่ยวโม่ล่ะ?”
ยวนยางชะตารันทดคู่หนึ่งที่ฝึกตนหมื่นปีกว่าจะประสบผลแล้ว หลับใหลไปพร ้อมกัน ก็น่าจะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งเป็ นผู้ฝึกกระบี่ บริสุทธิ์ขอบเขตสิบสี่ได้บ้างกระมัง
ในนิยายเรื่องเล่าประหลาดบางเล่มของอุตรกุรุทวีปก็เขียนไว้แล้ว ไม่ใช่หรือว่า ร ้อยปี ฝึ กบ าเพ็ญตนเหมือนเรือข้ามฟาก พันปี ฝึ ก บาเพ็ญตนเหมือนนอนร่วมหมอน นางกับเสี่ยวโม่อยู่ด้วยกันมากี่สิบ พันปีแล้ว
เฒ่าตาบอดสะอึกอึ้ง คงเป็ นเพราะคลื่นเหียนกับคาพูดของสตรีผู้ นี้อย่างมาก ลูกกระเดือกของเขาจึงขยับเคลื่อนเบาๆ ก่อนจะถ่ม เสมหะเหนียวหนืดลงบนพื้น แล้วเดินเอาสองมือไพล่หลังจากไปทั้ง อย่างนั้น
ลูกศิษย์คนดีท าหม้อไฟอยู่ในบ้าน เฒ่าตาบอดเดินข้ามธรณี ประตูเข้ามาแล้วถามชวนคุยว่า “ต้องการเอาเนื้อหมามาทาเป็ นน้า แกงหน่อยไหม”
ขอแค่ลูกศิษย์พยักหน้า เขาก็จะไปจับตัวนักพรตเนิ่นที่เหมือนจะ มีบารมีอย่างมากอยู่ในใต้หล้าไพศาลกลับมาจากใบถงทวีป
หลี่ไหวสะดุ้งโหยง ก่นด่าดังลั่น “บ้าเอ้ย หมดความอยากอาหาร แล้ว!”
เฒ่าตาบอดจึงเปลี่ยนคาพูดเสียใหม่ “อยากกินอาหารป่ าอะไร หรือไม่?”
หลี่ไหวตอบ “ไม่ต้องๆ ข้าเตรียมวัตถุดิบมาไว้เรียบร ้อยแล้ว มีตั้ง หลายสิบชนิด แต่ละอย่างล้วนสดใหม่ พอกินแน่นอน”
สวรรค์เท่านั้นที่รู ้ว่าอาจารย์เกินครึ่งตัวผู้นี้จะไปคว้าเผ่าปีศาจคน ใดมาแล่เนื้อหรือไม่
เฒ่าตาบอดพยักหน้า นั่งลงบนม้านั่งยาว หยิบตะเกียบมาทิ่มโต๊ะ “กินกันเถอะ”
หลี่ไหวตะโกนออกไปนอกประตู “แม่นางเซี่ย กินได้แล้วนะ มา กินหม้อไฟด้วยกันไหม?”
เซี่ยโก่วเพียงแค่นั่งอยู่ริมหน้าผา หันหลังให้กระท่อม ยื่นมือ ออกมาโบก บอกเป็ นนัยว่าพวกเจ้ากินของพวกเจ้ากันไปเถอะ
เหวยไท่เจินเคี้ยวช ้าๆ อย่างละเอียด นางสังเกตเห็นว่าคุณชาย ของตนและผู้อาวุโสคนนั้นต่างก็นั่งยองกันบนม้านั่งยาว
หลี่ไหวถามเสียงอู้อี้ว่า “เฒ่าตาบอด เฉินผิงอันบอกว่าทุกวันนี้ เขาคือขอบเขตก่อกาเนิด เรื่องขอบเขตถดถอยของพวกผู้ฝึ กตน อย่างพวกเจ้า น่ากลัวมากเลยใช่ไหม?”
เฒ่าตาบอดกล่าว “โดยทั่วไปแล้วการที่ขอบเขตถดถอยไม่ใช่ เรื่องน่ากลัว ยกตัวอย่างเช่นขอบเขตบินทะยานถดถอยสองขั้นติดก็ ไม่ถือว่าเป็ นอะไร ก่อกาเนิดถดถอยจนไปถึงถ้าสถิตก็ยังไม่มีอะไร เมื่อเทียบกันแล้วการที่หยกดิบถอยกลับมาที่ก่อกาเนิดจะค่อนข้างน่า กลัวกว่า แต่สาหรับเจ้าเด็กนั่นแล้วก็ไม่ถือเป็ นอะไรได้ บางทีขั้นตอน การเลื่อนเป็ นบินทะยานของเขาต่างหากที่จะน่ากลัวอย่างมาก”
เฒ่าตาบอดเคยเห็นกับตาตัวเองว่าคนหนุ่มที่จะเป็ นคนก็ไม่ใช่ คน เป็ นผีก็ไม่ใช่ผีผู้นั้นตอนอยู่บนหัวก าแพงว่างงานไม่มีอะไรท า ก็ เลยสร ้างโอสถทองแล้วท าให้โอสถทองแหลกสลายเล่นๆ
เหวยไท่เจินยิ่งฟังก็ยิ่งสับสน
หลี่ไหวเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าพูดมาเลยเถอะว่าเฉินผิงอัน จะเลื่อนเป็ นห้าขอบเขตบนได้อีกหรือไม่ แล้วจะเลื่อนได้เมื่อไหร่”
เฒ่าตาบอดเคี้ยวเนื้อชิ้นหนึ่งที่เพิ่งลวกผ่านน้าร ้อนมา พยักหน้า เอ่ยว่า “อร่อยมาก”
หลี่ไหวเห็นว่าถามแล้วไม่ได้คาตอบก็เลยได้แต่คีบเนื้ออีกชิ้น ให้กับเฒ่าตาบอด
เฒ่าตาบอดใช ้เสียงในใจกล่าวว่า “หลี่ไหว ปีนั้นตอนที่อยู่บ้าน เกิด อันที่จริงเจ้ามีโอกาส อีกทั้งโอกาสที่จะอยู่จนถึงท้ายที่สุดยังสูง มาก ส่วนหม่าขู่เสวียน หลิวเสี้ยนหยาง กู้ช่าน ซ่งจี๋ซิน พวกเขากลุ่ม นี้เพียงแค่ค่อนข้างสะดุดตาก็เท่านั้น แต่แท้จริงแล้วโอกาสได้เปรียบ ของพวกเขาไม่ได้มากสักเท่าไร เพราะถึงอย่างไรก็ไม่เคยขยับเข้า ใกล้ระดับสูงของครึ่งหนึ่งนั้นได้ กลับเป็ นพวกคนที่ทุกวันนี้มองดู เหมือนธรรมดา จมหายไปกับฝูงชนอย่างไร ้แวว ยกตัวอย่างเช่น ลูกหลานสกุลหลูที่เกือบจะฆ่าหลิวเสี้ยนหยางตาย บุรุษคนที่สองที่ไป เจอชายใจหญิงผู้นั้นบนภูเขา และยังมีสาวใช ้นักการของถนนฝูลู่ ตรอกเถาแย่ที่สถานะต่าต้อย ปีนั้นพวกเขาต่างก็มีโอกาสกันไม่น้อย”
อย่าลืมล่ะว่าเฒ่าตาบอดเป็ นคนควักลูกตาสองข้างของตัวเอง ออกไปเอง
หลี่ไหวหัวเราะ เอ่ยอย่างไม่ยี่หระว่า “เส้นทางที่ตัวเองเดิน หัน หน้ามองย้อนกลับไปล้วนมีแต่เรื่องที่งดงาม ในเมื่อเป็ นเช่นนี้ ยังมี อะไรที่ต้องให้ไม่รู ้จักพออีกล่ะ? ข้ารู ้สึกว่าตอนนี้ดีมากแล้ว ให้ข้าเดิน ย้อนกลับไปอีกครั้ง ข้าก็จะพยายามเดินให้ได้ไกล กลัวว่าจะเดินผิด ไปแม้แต่ก้าวเดียว”
ดี ไม่เสียแรงที่เป็ นลูกศิษย์เปิดภูเขาและลูกศิษย์ปิดประตูของข้า! ไม่เหมือนกับใครบางคน ไอ้หมอนั่นคงต้องรออีกหลายพันปีให้หลัง
ขอบเขตถึงจะไม่ต่าอีกต่อไปกระมัง หากไม่ยินยอมก็เปลี่ยนหาวิธีอื่น มาเปลืองแรงเปลืองใจไปกับสิ่งที่ไร ้ประโยชน์ ยอมเดินผ่านแม่น้ายาว แห่งกาลเวลาซ้าอีกหลายร ้อยรอบอย่างไม่เสียดาย แต่กระนั้นก็ยังคง ไม่อาจเอาชนะเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนของตรอกหนีผิงได้อยู่ดี ที่ เหลืออีกประมาณสามสิบกว่าครั้งล้วนเป็ นเขาที่สังหารเฉินผิงอันให้ ตายดับไปได้นานแล้ว แต่ผลกลับกลายเป็ นว่ายังคงเอาชนะใครอีก คนไม่ได้อยู่ดี แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีสถานการณ์อีกมากมายที่ คนมีใจเล่นงานคนไร ้เจตนา แต่กระนั้นกลับยังคงเป็ นเขาที่ถูกเด็ก หนุ่มตรอกหนีผิงที่มีความระมัดระวังรอบคอบติดตัวมาตั้งแต่เกิด ย้อนกลับมาฆ่าตาย
การที่รู ้เรื่องวงในพวกนี้ไม่ใช่เพราะเฒ่าตาบอดเป็ นขอบเขตสิบสี่ แล้ว เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ก็จริง แต่ก็เกี่ยวไม่มากนัก
เคยมีแมวป่าตัวหนึ่งไปนั่งยองอยู่บนม้านั่งของเรือนด้านหลังร ้าน ยา เนื่องจากหยางเหล่าโถวมีเมตตา ท าให้มันสามารถมองเห็น เพดานที่เปิดอ้าประหนึ่งกระถางธูปขนาดใหญ่
ในกระถางธูปเปิดอ้าที่น้าทั้งสี่ทิศไหลมารวมกันอยู่ในโถงเดียว ก็ คือธูปที่กาลังเผาไหม้ซึ่งถูกปักไว้แน่นขนัด
เฒ่าตาบอดพยักหน้า “ลูกศิษย์คนดี กินหม้อไฟหมดแล้ว ข้าจะ ถ่ายทอดเวทกระบี่และวิชาหมัดชั้นสูงให้เจ้าสี่ห้าบท ไม่ต้องตั้งใจเรียน เจ้าแค่ฟังแล้วจ าก็จะสามารถฝึกส าเร็จได้แล้ว…”
“หยุดเลยนะ! หากยังพูดคุยแบบนี้อีก ข้าก็จะไม่เห็นแก่ ความสัมพันธ ์ของอาจารย์และศิษย์แล้ว เฒ่าตาบอดเจ้าลงจากโต๊ะไป นั่งกินที่พื้นเลย!”
“ก็ได้ ฟ้ าดินกว้างใหญ่ การกินอิ่มนั้นใหญ่ที่สุด” “เฒ่าตาบอด ข้าเอาเหล้ามาด้วย พวกเรามาดื่มกันสักสองอีกดี
ไหม?” “แบบนี้ก็ดีเลยน่ะสิ” |
เฒ่าตาบอดจิบเหล้าหนึ่งคาแล้วหันหน้าไปมองข้างนอก ประมาณการณ์ว่าน่าจะมีฝนใหญ่ตกกระหน่าซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมา ก่อนในรอบหมื่นปีกระมัง
จาได้ว่าห่างจากตาแหน่งที่ป๋ ายจิ่งเด็กสาวสวมหมวกขนเดียวยืน อยู่ไม่ไกล เคยมีบัณฑิตตกอับคนหนึ่งที่มาจากใต้หล้าไพศาลมายืน อยู่ตรงนั้น แล้วพึมพากับตัวเองเหมือนคนโง่
“อายุน้อยเลือดลมพลุ่งพล่าน ประกายเฉียบคมมิอาจขัดขวาง อ่านตารามาจนถ้วนทั่วสิ่งใดผ่านตาล้วนไม่เคยลืม สาบานว่าจะเอ่ย ในสิ่งที่บัณฑิตและนักกวีนับแต่โบราณตราบจนปัจจุบันไม่อาจเอ่ยได้ จะไม่ยอมมอบพื้นที่ให้กับคนรุ่นหลัง
“จะถามเทพถามผีไปไย นับแต่วันนี้ไป เรื่องราวในโลกมนุษย์ ถามจากข้าคนเดียวก็พอ
“ตัดสินใจแล้วว่าจะเป็ นคนที่คิดอ่านรอบคอบ ลงมือทาอะไร ละเอียดไตร่ตรองในทุกด้าน ก็ให้ชื่อว่าโจวมี่แล้วกัน
ช่องทางกุยซวีสี่แห่ง เทียนมู่ ฉิงจี้ เสินเซียง รื่อจุ้ย และศาลบุ๋นยัง สร ้างท่าเรือตระกูลเซียนขึ้นมาอีกสามแห่งได้แก่ ปิ่งจู๋ โจ่วหม่า ตี้ม่าย
เมื่อเทียบกันแล้ว ท่าเรือสามแห่งตั้งอยู่ทางเหนือสุดของเปลี่ยว ร ้างซึ่งใกล้กับกาแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนช่องทางกุยซวีสี่แห่งที่ เชื่อมโยงสองใต้หล้าอย่างไพศาลและเปลี่ยวร ้างเข้าด้วยกัน ต าแหน่ง กลับอยู่ในพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร ้างซึ่งขยับไปทางใต้มากกว่า
กุยซวีเสินเซียงมีฝูลู่อวี๋เสวียน เผยเปยราชครูแห่งราชวงศ์ต้าตวน ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้และป๋ ายฉางคอยประจ าการณ์อยู่ ที่นี่ เนื่องจากป้ ายฉางต้องปิดด่านจึงย้อนกลับไปที่อุตรกุรุทวีปแล้ว
บวกกับมีอวี๋เสวียนที่ผสานมรรคากับธารดวงดาวนั่งบัญชา การณ์อยู่นอกฟ้ า ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงทยอยกันมีกองกาลังด้าน การสู้รบระดับสูงของไพศาลมาเพิ่ม หนึ่งในนั้นก็มีเว่ยจิ้นแห่งศาลลม หิมะ ยังมีนักพรตหวังอูที่ชื่อเสียงไม่โดดเด่น ฉายาว่า “เจิ้งสิง” อีกคน เขาเองก็เหมือนกับพวกเทียนจวินเฉาหรงแห่งแจกันสมบัติทวีปและ เซียนกระบี่สวีเซี่ยแห่งเกราะทองทวีป ต่างก็เป็ นคนที่โดดเด่นขึ้นมา หลังสงคราม อาศัยเวทกระบี่ที่เป็ นของแท้แน่นอนและมรรคกถาที่ ชวนตะลึงพรึงเพริด พูดถึงแค่เซียนกระบี่อายุน้อยสวีเซี่ยก็มีฉายาว่า “สวีจวิน” นี่ไม่ต่างจากการเพิ่มคาว่า “จื่อ” ต่อท้ายแซ่สกุลแล้ว
และเว่ยจิ้นยังได้รับตารากระบี่ไปจากมือของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้ อาวุโส คนที่เรียบเรียงตาราเล่มนี้ก็คือจงหยวน
ทว่าต่อให้เป็ นเช่นนี้ เว่ยจิ้นก็ต้องใช ้เวลาอีกหลายปี หวนกลับไป ยังหัวก าแพงเมืองอีกครั้งถึงจะสืบทอดปณิธานกระบี่สี่เส้นของจง หยวนได้ ซึ่งก็คือวิถีกระบี่ที่ในตาราบันทึกเส้นสายไว้อย่างชัดเจน แต่
กลับทาให้เว่ยจิ้นคิดเป็ นร ้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ
สร ้างกระท่อมอย่างเรียบง่ายหลังหนึ่งขึ้นมาชั่วคราว ฟูจิ้นเซียน กระบี่ที่เป็ นลูกศิษย์ใหญ่ของเจิ้งจวีจงมาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง เชิญ ให้เว่ยจิ้นไปรับตาแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสานักเบื้องล่าง นครจักรพรรดิขาว
แน่นอนว่าเว่ยจิ้นปฏิเสธเรื่องนี้ไปอย่างชัดเจน
แม้ว่าจะอยู่ในการคาดการณ์อยู่แล้ว แต่ฟู่ จิ้นก็ยังอดเสียดาย ไม่ได้ เขายกชามขาวขึ้นเงยหน้ากระดกดื่มเหล้าจนหมดเงียบๆ
ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเพิ่งจะโน้มน้าวอู๋ซูผู้ฝึ กยุทธขอบเขต ปลายทางของใบถงทวีปให้มาเป็ นเค่อชิงอันดับหนึ่งได้
ฟู่ จิ้นเป็ นโรครักความสมบูรณ์แบบ เขาจึงคิดที่จะรวบรวมผู้ฝึก ลมปราณของร ้อยสานักมาไว้ที่สานักในเวลาเดียวกัน
เว่ยจิ้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดื่มเหล้าก็ดื่มเหล้า อย่าได้ขว้างถ้วย นี่ คือถ้วยกระเบื้องขาวที่ข้าเผาออกมากับมือตัวเองได้อย่างไม่ง่ายเลย นะ”
ฟู่จิ้นยิ้มเอ่ย “คงได้แต่ไปหาผู้ฝึกกระบี่ที่เป็ นตัวเลือกแทนแล้ว”
เว่ยจิ้นถาม “เซียนกระบี่สวีจวินหรือ?”
ฟู่ จิ้นพยักหน้า “เพราะเจ้าและข้า และยังมีสวีเซี่ย ต่างก็อ่อนเยาว์ กันมาก ไม่ได้พูดถึงแค่อายุที่ไม่มากเท่านั้น”
เว่ยจิ้นยิ้มเอ่ย “สามารถเข้าใจได้”
ฟู่ จิ้นถามคาถามหนึ่งที่ประหลาดมาก “เว่ยจิ้น หากในใจของเจ้า มีรายชื่อของคนที่เป็ นศัตรูในจินตนาการอยู่แผ่นหนึ่ง คนที่เจ้าไม่ อยากจะเป็ นศัตรูด้วยมากที่สุด มีใครบ้าง?”
เว่ยจิ้นส่ายหน้า กล่าวอย่างอ่อนใจ “ไม่มีเรื่องแบบนี้”
ฟู่ จิ้นยังคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ “ไหนลองว่ามาสิ ถือเป็ นกับแกล้ม แกล้มเหล้าก็แล้วกัน”
เว่ยจิ้นพูด “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็พูดมาก่อน?”
“ในใจข้ามีแค่อาจารย์คนเดียวเท่านั้น ต่อให้ตีตัวเองจนตายก็ยัง ไม่กล้าเป็ นศัตรูกับเขา”
ฟู่ จิ้นยกชามเหล้าขึ้นกระดกดื่มหมดในรวดเดียว แล้วเอ่ยว่า “หนึ่งแลกหนึ่ง ตอนนี้ถึงคราวเจ้าแล้ว