กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1083.1 ไม่สู้ไปอ่านหนังสือ
ณ จุดที่เป็ นหนึ่งในภาพสะท้อนของจิตใจทั้งหลาย
“เฉินผิงอัน” ที่เป็ นจิตมารด่าจนเหนื่อยแล้วก็ถอนหายใจหนักๆ สิ่งที่เรือนกายของมนุษย์ธรรมดาไร ้ซึ่งขอบเขตมองเห็นในสายตา กลับเห็นฟ้ าดินสี่ทิศได้ในเวลาเดียวกัน
ทิศหนึ่งคือปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่นาพาสิบศิษย์เอกและ บัณฑิตแห่งยุคบรรพกาลสามพันปี ซึ่งเป็ นเจ็ดสิบสองปราชญ์ของ ศาลบุ๋นออกทัศนาจรท่องไปในโลกมนุษย์ด้วยขบวนเดินทางที่ ยิ่งใหญ่อลังการ
ทิศหนึ่งเหมือนจะเป็ นแท่นประกอบพิธีกรรมบางแห่งของดินแดน พุทธะสุขาวดี มังกรคชสารแห่งลัทธิพุทธ หลวงจีนสมณศักดิ์สูง อรหันต์ร่างทอง ทับซ ้อนกันเป็ นชั้นๆ ไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย กลายเป็ นกายธรรมอันยิ่งใหญ่โอฬารของพระโพธิสัตว์สี่องค์ รวมไป ถึงพระพุทธเจ้าที่ยืนตระหง่านค้าฟ้ าดินอยู่ในจุดที่สูงยิ่งกว่า
ทิศหนึ่งคือมรรคาจารย์เต๋าที่ถือประคองป๋ ายอวี้จิงไว้ในฝ่ ามือ ใน ห้านครสิบสองหอเรือนมีเหล่านักพรตและเซียนจวินนับไม่ถ้วน ประหนึ่งกระเรียนรวมฝูง หลิงกวานหลายร ้อยตนยืนตระหง่านอยู่ที่ ปลายฟ้ าคราม โอบล้อมปกป้ องป๋ ายอวี้จิ่ง
ทิศหนึ่งคือตัว “เฉินผิงอัน” เอง ใบหน้าประดับยิ้มน้อยๆ เรือน กายสูงจนแยกไม่ออกว่าเป็ นร่างจริงหรือกายธรรม สองนิ้วประกบกัน ตั้งอยู่เบื้องหน้า หลุบตาลงมองจิตมารที่เล็กจ้อยเหมือนมดตัวน้อย
นาทีถัดมาขนาดกลับพลิกสลับกัน จิตมารสูงใหญ่เหมือนขุนเขา ทั้งหมดในโลกทับซ ้อนเข้าด้วยกัน เรือนกายใหญ่โตราวดวงดาว ทัศนียภาพของสี่ทิศเบื้องหน้าพลันเล็กจ้อยราวฝุ่ นผง กลายมาเป็ น จิตมารเฉินผิงอันที่หลุบตามองลงมาจากที่สูง
เฉินผิงอันที่ประกบสองนิ้วสวมชุดเขียวซึ่งเป็ นภาพลวงตานั้นเงย หน้าขึ้น ยิ้มบางๆ เอ่ยสองค าดังเหมือนเสียงฟ้ าค าราม ปากอมกฎ สวรรค์ ค าพูดออกจากปากคาถาอาคมตามติด“อธรรม”
เสียงสะท้อนดังก้องอยู่ในฟ้ าดิน ราวกับได้เอ่ยค าว่า ‘อธรรม” ติดต่อกันไม่หยุดนับร ้อยล้านครั้ง
จิตมารตนนี้แหลกสลายคาที่กลายเป็ นเถ้าธุลี กระจายหายไปใน “ซากปรักสนามรบ” ที่ตั้งอยู่ใจกลางของเขาวงกต หลอมรวมเข้าไป ในโครงกระดูกขาวโพลนที่มีมากมายนับไม่ถ้วน
กองกันเป็ นภูเขา กลายเป็ นเนินแห่งหัวกะโหลก ภาพฉากในฝัน มีทั้งหมดแค่แปดสิบฉาก ทว่า “เฉินผิงอันคนเดียวกัน” กลับอาจจะ ต้องเดินผ่านฉากฝันนั้นร ้อยพันครั้ง หรืออาจถึงหนึ่งหมื่นครั้ง
เฉินผิงอันที่ดวงตาทั้งคู่เป็ นสีทองบริสุทธิ์นั่งอยู่บนยอดเขาเนิน กระดูก ส่ายหน้า ดูท่าคงจะไม่พอใจกับผลสาเร็จในตอนนี้สักเท่าไร
ความคืบหน้าช ้าเกินไป พึมพ ากับตัวเองว่า “ดูท่าพวกเราคงต้อง เปลี่ยนมาใช ้เส้นสายที่อยู่ด้านล่างสุดถึงจะได้แล้วล่ะ”
สร ้าง “เขาวงกต” ชั้นที่หกขึ้นมากับมือตัวเอง ภาพเหตุการณ์ใน จิตใจเรียกได้ว่าซับซ ้อนยิ่ง อีกทั้งเมื่อเวลาผันผ่าน สิ่งที่ยันต์ร่างแยก ทั้งเก้าได้พบเห็นและได้ยินจะยิ่งซับซ ้อนหลากหลาย คนที่เป็ นขุนนาง ผู้ตรวจสอบตาราอยู่ในเรือนไม้ไผ่จะต้องคอยเสริมเนื้อหาของตารา เล่มนี้อย่างต่อเนื่อง คนนอกที่ตอนนี้ “เป็ นรูปเป็ นร่าง” แล้วมีมากถึง สามแสนกว่าคน คนที่พอจะมีเค้าโครง ช่วงนี้ก็เพิ่มมาอีกถึงสองพัน กว่าคน
สังหารโจรในใจก็คือการฆ่าตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ฆ่าไปฆ่ามา ทุกคนล้วนเป็ น “เฉินผิงอัน” หลากบุคลิกหลากที่มา รวมไปถึงตัวเอง ที่เดินวนเวียนมิอาจออกไปจากเขาวงกตแห่งนี้ได้
คนชุดเขียวพลันเผยกายออกมาจากความว่างเปล่า สองมือหด อยู่ในชายแขนเสื้อ เฉินผิงอันตัวจริงที่จาแลงมาจากดวงจิตดวงหนึ่งผู้ นี้หรี่ตากล่าว “จะหยุดแค่ตรงนี้แล้วหรือ?”
เผชิญหน้ากับคอขวดขอบเขตก่อก าเนิด เผชิญหน้ากับจิตมาร ผู้ฝึกบ าเพ็ญตนไม่มีค าว่า “คนมีพรสวรรค์” ใดๆ ให้เอ่ยถึง
มีเพียงคนมีพรสวรรค์ท่ามกลางคนมีพรสวรรค์อย่างหนิงเหยา ฝู ลู่อวี๋เสวียนเท่านั้นที่ต่อให้เผชิญหน้ากับจิตมารโดยตรงก็ยังสามารถ เดินข้ามผ่านไปได้อย่างสบายๆ
เฉินผิงอันก็ได้แต่…ใช ้ความมานะชดเชยข้อด้อยของตัวเองแล้ว
ตอนนั้นอวี๋เสวียนที่อยู่บนยอดเขาคิดว่านี่เป็ นถ้อยคาล้อเล่นของ สหายเฉิน
หากเจินเหรินผู้เฒ่าได้มาเห็นซากปรักสนามรบที่มีแต่โครง กระดูกกลาดเกลื่อนอยู่ทุกที่แห่งนี้กับตาตัวเอง บางทีอาจจะทอดถอน ใจเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่าสหายเฉินไม่ได้พูดโกหก ปฏิบัติต่อคนอื่น ด้วยความจริงใจ
เฉินผิงอันชุดขาวที่มีดวงตาสีทองเอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “แค่ พอสมควรก็พอแล้ว กฎเดิม หยุดแค่พอสมควร ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมา ฝึกหมัดอยู่ที่นี่ก็ฝึกหมัดได้หลายพันหลายหมื่นหมัดแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ มาฝึ กเวทกระบี่ อนุมานวิถีแห่งกระบี่อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้นานแค่หมื่นปี เท่านั้น แม้กระทั่งวิธีการสารพัดอย่างซึ่งมียันต์เป็ นหนึ่งในนั้นก็เรียนรู ้ มาพอสมควรแล้วเหมือนกัน เมื่อครู่ในหัวของจิตมารตนนี้ถือว่าเป็ น ส่วนน้อยที่ดีที่สุดในบรรดาพวกเราหลายหมื่นคนแล้ว คิดไปได้แล้ว ว่าขอบเขตของเขาวงกตก็คือขอบเขตของค าพูดและความคิด น่า เสียดายนัก”
น่าเสียดายที่ร่างแยกทั้งเก้าคอยมองคนมองเรื่องราวอ่านตาราอยู่ ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างแยกของผู้ฝึกลมปราณที่ความคิด ผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่ควบคุมจิตใจที่เป็ นดั่งวานรเตลิดดั่งม้า พยศที่คาพูดและการกระทาเป็ นดั่งการ “บุกเบิกฟ้ าดิน
เป็ นเหตุให้ “เฉินผิงอัน” ทุกคนที่อยู่ในปัจจุบันล้วนไม่อาจแตะไป โดนขอบเขตได้
ความเร็วในการไหลหายไปของเวลาที่นี่สามารถมองข้ามไปได้ เลย ดังนั้นกรงขังเขาวงกตที่ไม่มีทางออกแห่งนี้ ขอแค่มีวันหนึ่งที่เฉิน ผิงอันทาลายจิตมารเลื่อนเป็ นห้าขอบเขตบนได้ ก็จะกลายเป็ น….
ขอบเขตไร ้ที่สิ้นสุด
ความน่าเสียดายอีกอย่างก็คือในฟ้ าดินของภาพสะท้อนแห่ง จิตใจนี้ เวทกระบี่ วิชาหมัดและวิชาอภินิหารทุกอย่างของยันต์ที่เฉิน ผิงอันบรรลุมาได้ ล้วนเป็ นดั่งหอเรือนกลางอากาศ เป็ นดั่งบุปผาใน คันฉ่องจันทราในสายน้า ขอบเขตของผู้ฝึกตนและของผู้ฝึกยุทธที่ ได้มาจากสิ่งเหล่านี้ล้วนต้องคืนกลับไปสู่ความว่างเปล่า ถึงขั้นที่ว่า แม้กระทั่งสภาพจิตใจอันลี้ลับมหัศจรรย์และสภาพจิตใจของผู้ฝึกยุทธ บางอย่างก็ยังน าไปด้วยไม่ได้ แต่น่าเสียดายก็ส่วนน่าเสียดาย ใช่ว่า จะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้า คาว่าน่า เสียดายของเฉินผิงอันชุดขาวก็แค่หมายถึงการลดทอนครั้งใหญ่ อย่างหนึ่ง ก็แค่รังเกียจว่าการหว่านไถและผลเก็บเกี่ยวไม่ได้มาก เท่าที่ควรเท่านั้น พูดถึงแค่การตรวจสอบชดเชยช่องโหว่ของกระบวน ท่าหมัดบางอย่าง การฝึกฝนซ้าแล้วซ้าเล่าจนเข้าขั้นชานาญ หรือ ยกตัวอย่างเช่นสายของการวาดยันต์ ยันต์หลายสิบชนิดที่เมื่อก่อน เฉินผิงอันพูดได้แค่ว่าวาดได้ พอจะวาดได้ส าเร็จ ก็ล้วนถือว่าบรรลุ หลอมรวมสู่ความสมบูรณ์ขั้นสูงสุดแล้ว ถึงขั้นที่ว่ายังคิดค้นยันต์
ใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยจินตนาการได้อีกสิบกว่าชนิด ขอแค่ในอนาคต เฉินผิงอันเก็บร่างแยกทั้งหมดกลับไปแล้วเริ่มลงมือวาดยันต์ที่ถูก อนุมานออกมาพวกนี้อย่าง “แท้จริง” ต่อให้จะมีแค่ยันต์ชนิดเดียวที่ สามารถเอามาใช ้ได้จริง แต่สุดท้ายเฉินผิงอันกลับวาดได้ส าเร็จ ก็ ล้วนถือเป็ นก าไร
เฉินผิงอันชุดเขียวถาม “ไม่สามารถเดินข้ามขอบเขตหยกดิบ และขอบเขตเซียนเหรินไปได้หรือ?”
เฉินผิงอันชุดขาวหัวเราะเยาะ “หากฝันไป แน่นอนว่าต้องท าได้” เงียบงันกันไปนาน ฟ้ าดินมีแต่ความเงียบสงัด เขาถาม “กู้ช่านมองออกถึงความผิดปกติของพวกเราได้จริงๆ
หรือ?”
เขาตอบ “มองออก แต่เขามั่นใจในตัวข้า” “ข้ารู ้สึกว่าพวกเราน่ากลัวมาก” “ดังนั้นจึงไม่อาจให้คนนอกรู ้ได้” “ข้ารู ้สึกว่าเจ้าน่ากลัวยิ่งกว่า”
ทุกเรื่องราว “เจ้า” ไม่ยินดีจะย้อนนึกถึงอดีตที่เคยเกิดขึ้น พวก มันก็จะกลายเป็ น “การลืมเลือน กลายมาเป็ นลูกกรงและคุกที่ยิ่ง กักขัง “ข้า” ที่มีความเป็ นเทพได้แน่นหนามากขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อย่ามาหาเรื่องข้า อย่าได้หวังว่าจะมีการแบ่ง เขาแบ่งเรา แล้วพยายามที่จะเปลี่ยนจากแขกกลายมาเป็ นเจ้าบ้าน ขอแค่มีความคิดนี้ สุดท้ายจุดจบจะเป็ นเช่นไร พวกเราล้วนรู ้ชัดเจน ดี”
เขายิ้มมองไปยังจุดหนึ่ง นั่นคือกุญแจดอกสุดท้ายของเขาวงกต ภาพเหตุการณ์ก็คือตรอกหนีผิงของบ้านเกิด เด็กน้อยสะพายตะกร ้า ไม้ไผ่คนหนึ่งกับตัวเองหลังจากเติบใหญ่แล้ว
หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กเดินหันหลังให้กัน ต่างคนต่างเดินไปยังสุด ปลายทางของตรอกเล็กคนละด้าน
ทางฝั่งของเด็กน้อย นอกตรอกคือความมืดสลัว บางทีอาจเป็ น เพราะผ่านช่วงสายัณห์ไปแล้ว ฟ้ าจึงเริ่มจะมืดแล้ว หรือไม่ฟ้ าก็ใกล้จะ สว่างแล้ว
ทางฝั่งของเฉินผิงอันสามารถมองเห็นว่าทัศนียภาพนอกตรอก บางครั้งก็มีสายฟ้ าแลบแปลบปลาบ ฝนตกกระหน่ารุนแรง เส้นทาง เปียกเปรอะดินโคลน บางครั้งก็มีลมหิมะพัดโชยหิมะทับถมเป็ นสีขาว นวลตา แล้วก็มีค่าคืนที่แสงจันทร ์สว่าง บ้างก็เป็ นยามกลางวันแดดจ้า
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ฟังเจ้า หยุดเมื่อพอสมควร”
ในอาณาเขตของถ้าสวรรค์หลีจูเก่าที่ก่อนหน้านี้มีมังกรเพลิง จานวนนับไม่ถ้วนเลื้อยว่ายวน การที่ภาพเหตุการณ์ผิดปกตินี้ถูก
“หลิวเสี้ยนหยางออกเสียงเอ่ยทาลาย” ก็เพราะเฉินผิงอันคิดว่าไม่ควร หยุดอยู่แค่ขอบเขตหยกดิบ
และเส้นทางที่เปลวเพลิงสีทองซึ่งอลังการยิ่งใหญ่พวกนั้นพุ่งผ่าน ก็คือร่องรอยที่เฉินผิงอันเคยเหยียบย่างไปถึง
เขาโล่งใจเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก จึงอ้าปากหาว “ถ้า อย่างนั้นก็หยุดอยู่แค่หยกดิบนะ?”
“พยายามให้เป็ นคอขวดขอบเขตหยกดิบก็แล้วกัน ขยันตั้งใจฝึก ตนถึงเพียงนี้ จิตแห่งมรรคาถูกสวรรค์ขัดเกลา ผลคือได้แต่ท าลาย คอขวดขอบเขตก่อก าเนิดก็ดูเหมือนว่าจะฟังไม่ค่อยขึ้นสักเท่าไร”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็สร ้างตัวเองขึ้นมาอีกสี่ห้าคน คนหนึ่งในนั้นให้เป็ นอิ่นกวานคนสุดท้ายที่ทรยศกาแพงเมืองปราณ กระบี่ แล้วไปนัดเจอกับพวกเฝ่ ยหรานและเซียวสวิ้น แล้วก็เริ่ม เรื่องราวของในเปลี่ยวร ้าง”
เขาพูดหน้าม่อย “คนอื่นๆ ที่เหลือ ข้าคิดเอาไว้แล้ว คนที่ หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนผู้นี้ต้องให้ยกทัพกลับมาแว้งโจมตี ไพศาลด้วยหรือไม่ล่ะ ถ้าต้องการ นี่ก็จะกลายเป็ นต าราเล่มหนาเล่ม หนึ่งเลยนะ!”
เฉินผิงอันเอ่ย “ขอแค่เจ้าอารมณ์ดีก็พอ ใช่แล้ว เพิ่มไปอีกคน ด้วย เมื่อครู่นี้วิธีไขความฝันของตัวเองคนนั้นค่อนข้างน่าสนใจ ถ้า อย่างนั้นก็เพิ่มความฝันทับซ ้อนอีกสักเจ็ดแปดฝันก็แล้วกัน จ าไว้ว่า
จงใจทิ้งกุญแจไว้บนพื้นให้เขาล่วงหน้าหลายๆ ดอกก็แล้วกัน หาก พลาดไปเจ้าก็ลองดูว่าควรจะท าอย่างไร สรุปก็คือต้องให้เขาคิดให้ ออก ส่วนทางออกสุดท้ายในเขาวงกตที่เขาคิดไว้ ให้ภาพฉาก…เป็ น อย่างนี้ก็แล้วกัน ในฝันมีผีเสื้อโบยบิน จิตแห่งมรรคาใสกระจ่างตัวเบา หวิว ส่วนชื่อของเขาก็ให้ตั้งเป็ นโจวเจิ้ง ตวนจวง….ฟังแล้วขอไปที เกินไปหน่อยโจวจวง? ชื่อเหมือนจะธรรมดาเกินไป ถ้าอย่างนั้นก็ชื่อ จวงโจวแล้วกัน จวงโจวต้องได้เห็นจวงจื่อที่อยู่ในร่างของผีเสื้อแล้วร่า ไห้ รู ้สึกสิ้นหวังไม่มีหนทางไปต่อ ถึงได้รู ้ว่าที่แท้ก็ยังคงอยู่ในฝัน”
เขากาหมัดถูมือ ทาท่ากระเหี้ยนกระหือรือ “ความคิดนี้ไม่เลว ค่อนข้างจะแปลกใหม่ใช ้ได้ๆ!”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “หนังสือเล่มที่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นอวี้เซ วียน เจ้าลองขัดเกลาในเรื่องของรายละเอียดอีกสักหน่อย ฉากจบ ของพวกเขาหากวางไว้ในอีกเจ็ดแปดร ้อยปีให้หลังก็ดูเหมือนว่าแต่ละ บทจะยังสั้นเกินไป”
เขากลอกตามองบน “ต้องให้เจ้าบอกด้วยหรือ?!”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ขอแค่เจ้าพูดคาว่า “เจ้า” ก็แสดงว่ายังต้องให้ ข้าบอก”
เขาทาท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป อันที่จริงเฉินผิงอันจงใจพูดแบบนี้ เขารู ้ดี เฉินผิงอันเองก็รู ้ว่าเขารู ้ ทั้งสองฝ่ ายต่างรู ้ รู ้กันดีอยู่แก่ใจ ต่อ ให้ระหว่างนี้จะมีตัวเองจานวนนับไม่ถ้วนที่ทับซ ้อนกัน ความคิดนับ
ร ้อยนับพันนับหมื่นเกิดขึ้นซ้าแล้วซ้าเล่าไม่จบสิ้น ปฏิเสธแล้วค่อย ยอมรับ…คาตอบล้วนอยู่ที่ตัวเอง
สุดท้ายเฉินผิงอันมองผลลัพธ ์ของตัวเองแวบหนึ่ง ไม่มีความรู ้สึก พึงพอใจแม้แต่น้อยกลับกันยังมีแต่เรื่องกังวลใจ นี่เป็ นเพราะถูก ขอบเขตที่ต่าเกินไปและเงินที่ไม่มากพอถ่วงรั้งเอาไว้
เห็นเพียงว่าหลังจากที่สิ่งกีดขวางแต่ละชั้นถูกทาลายลงไปแล้ว ในภาพสะท้อนจิตใจของตัวเอง ตรงกลางฟ้ าดินก็คล้ายจะมีต้นไม้ โบราณสูงเสียดฟ้ าที่ใบหนาดกต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ น่าจะมองเป็ น ต้นไม้แห่งมรรคาต้นหนึ่งได้
กิ่งที่แยกจากลาต้นซึ่งอยู่ค่อนข้างต่า ตั้งชื่อให้ว่า “ภูเขา” ก็ได้ แตกกิ่งก้านออกไปอีกมากมายซึ่งเรียกได้ว่าขุนเขา ยอดเขา สันเขา เป็ นต้น จากนั้นแต่ละกิ่งก็แตกกิ่งก้านที่เล็กยิ่งกว่าออกไป สุดท้าย ภาพที่ปรากฏอยู่ด้านนอกสุดของต้นไม้ก็คือภูเขามีชื่อและยอดเขา สันเขาไร ้ชื่อทั้งหมดของหลายใต้หล้าที่เฉินผิงอันเคยเห็น เคยเดิน ทางผ่าน เคยได้ยินมาก่อน
หรือยกตัวอย่างเช่นคน เป็ นกิ่งก้านที่แบ่งออกไปสองกิ่ง คือผู้ฝึก บ าเพ็ญตนกับมนุษย์ธรรมดา ฝ่ ายแรกแบ่งออกเป็ นร่างมนุษย์ เป็ นผี เป็ นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ารวมทั้งสิ้นสามกิ่ง ด้านบนใบไม้ที่อยู่ ใกล้กับปลายกิ่งมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่นบนกิ่งของร่างมนุษย์ที่เป็ นผู้ ฝึกลมปราณก็มีเมธีร ้อยสานัก จากนั้นดอกผลที่แตกออกมาบนทุกๆ กิ่งก้านก็คือบุคคลที่มีภาพลักษณ์แตกต่างกันซึ่งบ้างก็มีชีวิตอยู่จริง
บ้างก็เกิดจากการจินตนาการของเฉินผิงอันเอง ส่วนมนุษย์ธรรมดา ล่างภูเขาซึ่งถือว่าอยู่กันคนละประเภทกับผู้ฝึ กลมปราณก็ได้ ครอบคลุมไปถึงสถานะและหน้าที่การงานทั้งหมดที่เคยปรากฏใน ประวัติศาสตร ์สุดท้าย ใบไม้” ทุกใบหรือใบไม้หลายใบที่เกาะกลุ่มอยู่ ใกล้กัน ต่างก็กลายเป็ นรูปโฉมของบุคคลในอาชีพนี้
ส่วนกิ่งเล็กบางที่มองดูแล้วไม่สะดุดตาที่สุด ยกตัวอย่างเช่นกิ่ง ของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็ได้ยึดขยายออกไปเป็ น “หมวดหมู่” ของ เครื่องประทินโฉมสตรี ซึ่งก็ขอยย่อยออกเป็ นอีกหลายร ้อยชนิด ซึ่ง ส่วนปลายสุดของ “ใบไม้” ทุกใบที่รวมกันแล้วมีหลายพันใบ ต่างก็มี ของประเภทหนึ่งที่ตั้งใจคัดเน้นมาซึ่งมีชีวิตชีวาสมจริงห้อยอยู่
ดูเหมือนว่าหมื่นสรรพสิ่งในโลกมนุษย์ต่างก็ถูกนามาแบ่งแยก ประเภทอยู่ที่นี่ อยู่บนต้นไม้แห่งมรรคาที่ทุกผลทุกแขนงล้วนเติบโต ขึ้นไปในจุดสูง แล้วก็ค่อยๆ มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ก่อนจะมุ่งสู่ความ สมบูรณ์ ประเภทยิ่งหลากหลายมากขึ้น และรายละเอียดก็ยิ่งยิบย่อย มากขึ้น
นี่ก็คือ “พันโลกธาตุขนาดเล็ก” ชั้นที่สี่ในการปิดด่านของเฉิน ผิงอัน คือความหมายที่แท้จริง
กินเงินเหรียญทองแดงแก่นทองมากขึ้นเรื่อยๆ สร ้างแม่น้าแห่ง กาลเวลาที่ท้องน้ายิ่งลึกพื้นผิวน้ายิ่งกว้างขวาง ถึงอย่างไรก็ จาเป็ นต้องนา “สิ่งของที่จับต้องได้จริง” มาเสริมเติมเต็มให้สมบูรณ์ มากขึ้น
สุดท้ายเขาแค่ถามเสียงเบาว่า “การเลือกใช ้ค าสร ้างประโยค ยัง เทียบไม่ได้กับการขัดเกลาคาเพียงคาเดียวให้ลึกซึ้ง ขนาดจริงใจ เช่นนี้แล้วก็ยังไม่อาจทาลายความว่างเปล่าและความไม่มีได้ ขอ อย่าได้ไปเป็ นหลวงจีนเลยนะ”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรีด แล้วสายตาก็พลันอ่อนโยนลง “หนึ่ง คาพูดหนึ่งการกระทาล้วนอยู่ที่การจุดธูปในศาล การไหว้พระที่มุ่ง ตรงไปยังจิตแท้ดั้งเดิมก็คือการกราบไหว้ตัวเองไยต้องโกนหัวละทิ้ง ทางโลกเข้าสู่ทางธรรมด้วยเล่า”
คนชุดขาวมองคนชุดเขียวแล้วก็เบ้ปากอย่างอดไม่อยู่ ความคิด ลึกล้าแบบนี้ก็ยังเป็ น แค่เศษสวะคนหนึ่งอยู่ดีไม่ใช่หรือ อายุอยู่ในวัย ไม่สับสนแล้ว เจ้าเคยจับมือสักกี่ครั้ง เคยจูบปากสักกี่หนกัน?
เฉินผิงอันยกเท้าจะถีบ เขาก็ทิ้งตัวนอนหงายลงกับพื้นแกล้งตาย ไปทันที
เฉินผิงอันเงียบไปพักใหญ่ ก่อนพึมพ าว่า “ล าบากแล้ว”
เขาเงยหน้ามองสิ่งกีดขวางที่ไม่รู ้ว่าเป็ นฟ้ าหรือเป็ นดินส่วนนั้น ยิ้มบางๆ เอยว่า “หาได้ยากที่จะชมตัวเองเช่นนี้ เป็ นการบุกเบิกโฉม หน้าใหม่อย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันยิ้มรับ “คนที่มีความสามารถก็ต้องลาบากกว่าคนอื่น ต่างคนต่างมานะหมั่นเพียร”