กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1083.2 ไม่สู้ไปอ่านหนังสือ
เด็กหนุ่มไม่พูดพร่าทาเพลงก็ย้อนกลับไปทางเดิม เขาวิ่งห้ออยู่ ท่ามกลางสายฝนกระหน่า ฝีเท้าว่องไวเรือนกายปราดเปรียว ทุกครั้ง ที่หายใจ เหนือศีรษะของเด็กหนุ่มก็จะมีไอหมอกขาวขุมหนึ่งผุดลอย ขึ้นมา
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม เพียงไม่นานก็มองเห็นเงาร่างของเด็ก หนุ่มที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วย้อนกลับมาทางเดิม ในมือของหนิงจี๋ กางร่ม ใต้รักแร ้ยังเหน็บร่มกระดาษน้ามันไว้อีกคันหนึ่ง จะเอาไปมอบ ให้ศิษย์พี่จ้าว
ต้องเป็ นความโชคดีถึงเพียงใดถึงได้มาพบเจอกับเหล่าลูกศิษย์ ทั้งหลายในช่วงเวลานั้นและในเวลานี้
หนิงจี๋วิ่งเหยาะๆ มาตลอดทางจนมาถึงข้างกายเฉินผิงอันแล้วก็ ปลุกความกล้าถามว่า “ขอข้าถามคาถามข้อหนึ่งกับอาจารย์ได้ หรือไม่”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “มีอะไรได้ไม่ได้กันเล่า ถามมาได้เลย”
หนิงจี๋ถามอย่างสงสัย “อาจารย์อยากกลายไปเป็ นคนแบบไหน หรือขอรับ?”
เฉินผิงอันยื่นมือมาลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม ให้คาตอบที่ไม่ใช่ ค าตอบว่า “หากถามว่าอาจารย์จะไปที่ไหน แค่ศิษย์เดินไปถึงก็จะรู ้ได้ เอง”
หนิงจี๋รู ้สึกเลื่อมใสยิ่งนัก “ได้จดจาถ้อยคาล้าค่าที่สามารถเอาไป เป็ นข้อเตือนใจอีกประโยคแล้ว อาจารย์มีความรู ้ยิ่งใหญ่จริงเสียด้วย”
เฉินผิงอันตบหัวเด็กหนุ่มเบาๆ เอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุนว่า “วันหน้า ไปพูดคุยเรื่องความรู ้กับเฉาฉิงหล่างให้มากหน่อย พูดคุยเรื่อยเปื่อย กับชุยตงซานให้น้อยหน่อย”
หนิงจี๋เอ่ยเสียงเบา “อันที่จริงศิษย์พี่เล็กมีความรู ้ยิ่งใหญ่มาก เหมือนกันนะ หลักการเหตุผลหลายอย่างที่ปลุกใจให้ข้าตั้งใจศึกษา เล่าเรียนล้วนพูดได้ดีมากเลย”
เฉินผิงอันถามชวนคุย “ยกตัวอย่างเช่น”
หนิงจี๋กล่าว “ยกตัวอย่างเช่นศิษย์พี่เล็กถามข้าว่าคนเรามองเห็น ขนสัตว์ที่บางเฉียบได้แต่กลับมองไม่เห็นฟื นที่ขนอยู่เต็มเกวียน เหมาะสมหรือไม่? ข้าเข้าใจแค่ครึ่งๆ กลางๆ ย่อมไม่กล้าพูดเหลวไหล ศิษย์พี่เล็กก็เลยถามเองตอบเอง ช่วยไขข้อข้องใจให้ข้า เขาเอ่ย ประโยคว่า “ข้าจะมอบวิธีแก้ปัญหาอย่างหนึ่งให้เจ้า” มาก่อน จากนั้น บอกกับข้าว่าต้องทะนุถนอมโอกาสอันล้าค่าที่ได้ใช ้เวลากับอาจารย์ ในทุกวันให้ดี มองให้มาก ฟังให้มาก เรียนรู ้ให้มาก แค่เรียนรู ้ความรู ้
จากในตาราและนอกตาราได้สักสามสี่ส่วนก็มากพอจะเป็ นประโยชน์ ต่อข้าไปตลอดชีวิตแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างอ่อนใจ “แล้วเจ้าก็เชื่อจริงๆ?”
หนิงจี๋ถามอย่างสงสัย “เชื่อสิ ทาไมจะไม่เชื่อล่ะ ข้ามีหรือจะกล้า ไม่เชื่อ พูดถึงแค่คราวก่อนที่มองอาจารย์ยุให้นายท่านเทพลาคลอง ดื่มสุรา ตอนหลังข้ายิ่งขบคิดก็ยิ่งรู ้สึกว่ามีความรู้”
เฉินผิงอันหัวเราะร่วน “ช่างยกตัวอย่างได้ดีจริงๆ”
หนิงจี๋อยากจะคุยกับอาจารย์ให้มากๆ หน่อย จึงถามอีกว่า “นอกจากเรื่องที่ไกลตัวแล้ว ช่วงนี้อาจารย์กาลังศึกษาความรู ้เรื่อง อะไรอยู่หรือขอรับ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ก าลังคิดถึงการเล่นหมากล้อม อีกฝ่ ายวางเม็ด หมากลงบนกระดานอย่างน้อยที่สุดแค่ไม่กี่ตัวก็สามารถตัดสินแพ้ ชนะได้แล้ว นอกจากนี้ก็ใคร่ครวญถึงนิสัยใจคอของมนุษย์ทุกคนว่า มีต้นก าเนิดเดียวกัน แต่แยกกันไปคนละสายหรือไม่”
หนิงจี๋ร ้องว้าว รู ้สึกตื่นตะลึงยิ่งนัก นี่คือสิ่งที่เขาเรียนรู ้ไม่ได้เลย
เดินอยู่บนเส้นทางสายเล็กริมธารน้า เดินผ่านต้นไม้โบราณ ใบไม้สีเขียวมรกตทับซ้อนหนาชั้น เสียงลมเสียงฝนตกกระทบลงบน ยอดไม้ น้าในลาธารสายเดียวกัน ภูเขาลูกใดก็รั้งไว้ไม่อยู่ เวลาปกติ แค่ไหลริกๆ แทนเสียงร ้องคร่าครวญของคน ยามที่ฝนตกกระหน่าก็
เหมือนเสียงตะโกนที่ดังขึ้น อาจารย์และลูกศิษย์เดินกางร่มไปด้วยกัน ช ้าๆ พอขยับเข้าใกล้โรงเรียนหนิงจี๋ก็พลันเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “อาจารย์”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ท าไม พลันบังเกิดแรงบันดาลใจเลยคิด จะแต่งกลอนสักบทหรือ?”
เดิมทีเด็กหนุ่มอยากจะถามอาจารย์ว่าท าไมถึงยินดีมาสอน หนังสืออยู่ในชนบทแห่งนี้แต่พอถูกอาจารย์ขัดจังหวะก็ไม่อยากถาม แล้ว
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “สายเหวินเซิ่งของพวกเราต้อง มีจ้วงหยวนสักคนได้แล้ว”
หนิงจี๋พลันส่ายหน้าเป็ นกลองป๋ องแป๋ ง “ไม่กล้าคิด ไม่กล้าคิด”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “คิดได้ คิดได้”
ห่างจากโรงเรียนมาอีกประมาณหนึ่งเค่อ เฉินผิงอันเก็บร่มยืนอยู่ ใต้ชายคา สายลมสายฝนกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ฟ้ าดินหม่นสลัว มองไกลๆ ไปเห็นนาฬิกาแดดที่สลักอยู่บนก้อนหินซึ่งตั้งอยู่ริมลาน ตากธัญพืช
ควรจะต้องไปเจอจิตมารที่แท้จริงตนนั้นได้แล้ว
จะสามารถหวนกลับไปสู่ขอบเขตหยกดิบและแตะไปถึงคอขวด ได้หรือไม่ ยังต้องดูว่าจิตมารที่ทาตัวลับๆ ล่อๆ ทั้งยังอาพรางตนได้ อย่างดีเยี่ยมตนนี้คิดอย่างไรกันแน่
จิตมารทั้งหลายที่ถูกตัดแบ่งและรื้อถอนออกมา เนื่องจาก รากฐานมีความเป็ นมนุษย์ส่วนหนึ่งของเฉินผิงอันอยู่ จึงไม่ได้บริสุทธิ์ มากนัก เหมือนสองทัพที่ประจัญบานกัน จิตมารที่เป็ นแม่ทัพหลัก ตัว มันเองหลบซ่อนอยู่ในมุมมืด คอยบงการพลทหารใต้บังคับบัญชานับ แสนนับล้านให้โจมตีเมืองหน้าด่าน จงใจแสร ้งทาเป็ นอ่อนแอ ทั้งยังมี ใจอยากจะหยั่งเชิง สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว มันกับเฉินผิงอันที่มีความ เป็ นเทพบริสุทธิ์ซึ่งยืนอยู่เหนือยอดเนินกระดูกขาวผู้นั้นคือสองขั้วที่ ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถือเป็ นการคุมเชิงกันอยู่ไกลๆ จิตใจคนที่ ซับซ ้อนกับความเป็ นเทพที่บริสุทธิ์กาลังทาการชักคะเย่อกันอยู่
ในความเป็ นจริงแล้ว เฉินผิงอันเคยมีจินตนาการบรรเจิดเกี่ยวกับ การ “เชิญท่านลงโอ่ง ครั้งหนึ่ง ก็คือก่อนที่บรรพจารย์สามลัทธิจะ สลายมรรคา อาศัยวิธีการเดียวกับการสร ้างเนินหัวกะโหลกในฟ้ าดิน เล็กร่างกายมนุษย์ของตัวเองมาสร ้างสะพานแห่งความเป็ นอมตะที่ เป็ นมายาเลื่อนลอย เต็มไปด้วยโครงกระดูกขาวโพลนเส้นหนึ่งขึ้นมา อาศัยนิมิตมาปูเส้นทางขึ้นสวรรค์ เพื่อให้เทวบุตรมารที่มีอิสระเสรีอยู่ ฟ้ านอกฟ้ า สามารถมองเป็ นขอบเขตสิบห้าได้ของใต้หล้ามืดสลัว สัมผัสได้ถึงการเข่นฆ่าของใต้หล้าไพศาลในครั้งนี้ แล้วเป็ นฝ่ ายเข้า มาใน “สนามรบโบราณ” ที่เฉินผิงอันได้ครอบครองทั้งฟ้ าอานวยดิน อวยพรและคนสามัคคีด้วยตัวเอง จากนั้นก็ให้บรรพจารย์ของสาม ลัทธิมาทาการรวบแหกาจัดให้สิ้นซากซึ่งเป็ นการเหนื่อยครั้งเดียว สบายไปตลอดชาติ นี่ก็คือความหมายของประโยคที่เฉินผิงอันบอก
กับซิ่วไฉเฒ่าผู้เป็ นอาจารย์บนยอดเขาจี้เซ่อว่า ตัวเขาเองย่อมมีวิธี “รับรองสาหรับกรณีที่เลวร ้ายที่สุด” ขณะเดียวกันเฉินผิงอันที่เสี่ยง อันตรายในการทาเรื่องนี้ก็จะมีโอกาสเดินขึ้นฟ้ าในก้าวเดียวด้วย เช่นกัน
ผู้เฒ่าในเรือนด้านหลังของร ้านยาตระกูลหยางได้ทิ้งจดหมายไว้ ฉบับหนึ่ง ถามเฉินผิงอันประโยคหนึ่งซึ่งมีความหมายลึกล้ายาวไกล ว่า กินอิ่มแล้วหรือยัง?
หากจะต้องกินให้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็กินส่วนที่ใหญ่ที่สุด! อาศัย ก าลังภายนอกมาพยายามย่อยเทวบุตรมารขอบเขตสิบห้าตนหนึ่ง โดยตรง! กินได้มากเท่าไรก็เท่านั้น หากตอนนี้ยังกินไม่หมดก็เหลือ ค้างไว้ก่อน
โจวมี่ที่เดินขึ้นสวรรค์จากไปได้สาเร็จได้ยึดครองซากปรักของ สรวงสวรรค์เก่า นี่ก็คือของขวัญที่วิถีแห่งฟ้ ามอบให้ และโจวมี่ก็เริ่ม อาศัยสิ่งนี้มาใช ้ขอบเขตสิบห้าทาการแสวงหาขอบเขตสิบหก
ด้วยนิสัยการกระทาของผู้เฒ่า เฉินผิงอันมีฐานะเป็ น “ครึ่งของ หนึ่ง” อีกส่วนหนึ่งที่เฉลี่ยเอาจากโจวมี่ คิดดูแล้วในโลกมนุษย์ก็น่าจะ ต้องมี “ของขวัญ” อีกชิ้นหนึ่งที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร เหมือนการปลูก ในฤดูใบไม้ผลิเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงในผืนนาที่กาลังรอคอยให้ เฉินผิงอันไปเก็บเกี่ยว ประเด็นสาคัญคือต้องดูว่าเฉินผิงอันกล้าคิด หรือไม่ แล้วจะท าได้หรือไม่
ต่อให้เชิญเทพมาง่าย ส่งเทพกลับไปยาก แม้กระทั่งบรรพจารย์ สามลัทธิก็ยังไม่อาจถอนรากถอนโคนภัยแฝงจากเทวบุตรมารได้ แต่ อย่าลืมล่ะว่าเฉินผิงอันยังเหลือดวงจิตอีกดวงหนึ่งที่ฝึกกระบี่อยู่นอก ฟ้ า กาลังหลุบตามองต่ามาจากที่สูง
มีผู้ครองกระบี่อยู่เคียงข้าง
คือการรับรองความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่งของเฉินผิงอัน
เพียงแต่ว่าดูจากตอนนี้แล้ว การคานวณครั้งนี้ของเฉินผิงอัน น่าจะไม่ได้ผลแล้ว เทวบุตรมารตนนั้นไม่งับเหยื่อ บางทีมันอาจจะรู ้สึก ว่าเหยื่อล่อเล็กเกินไป หรือบางทีอาจเป็ นเพราะมีมรรคาจารย์เต๋อยู่ มันจึงไม่กล้าทาอะไรบุ่มบ่าม หรือก็มีความเป็ นไปได้ที่ชั่งน้าหนัก ผลได้ผลเสียมาล่วงหน้าแล้ว มองทะลุความคิดของมดตัวน้อย ขอบเขตก่อก าเนิดอย่างเฉินผิงอันมาได้แต่ไกล ไม่ใช่ขอบเขตสิบสี่ก็ คู่ควรจะมางัดข้อ นั่งทัดเทียมกับมันด้วยหรือ?
พูดง่ายๆ ก็คือการวางแผนเป็ นขั้นเป็ นตอนที่เค้นเอาทุกไหวพริบ สติปัญญาทั้งหมดที่มีออกมา เมื่อปรากฏในสายตาของมันกลับ เหมือนเด็กเล่นสนุก เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งที่โคลงหัวท่องหลักธรรม อันยิ่งใหญ่สามพันคาของมรรคาจารย์เต๋า
เฉินผิงอันหัวเราะเยาะตัวเอง ไม่ว่าจะอย่างไรตนก็พยายามสุด ความสามารถและได้ลองท าดูแล้ว
เดินทางผ่านเส้นทางที่ไกลมาก พอเจอคนมามากมาย เฉินผิง อันลืมไปแล้วว่าเป็ นใครที่พูดไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่า ความละอายใจมา จากการที่ตนเคยทาบางอย่างผิดไป ความเสียดายมาจากที่ปีนั้นตน ไม่ได้ท าอะไรเลย
เฉินผิงอันขยับสายตามองเคลื่อนไปด้านบน สายฝนกระหน่าถี่
ดุจผืนม่าน เหนือผืนฟ้ า |
แผ่นฟ้ าว่างเปล่า
ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานขั้นสมบูรณ์แบบบางคนก็จะมีโอกาส ได้มากขึ้น
สี่ฤดูกาลล้วนยอดเยี่ยม ความสัมพันธ ์กับผู้คนงดงาม เหมันต์ น้าแข็งวสันต์ธารน้า ต้นหญ้าป่าถือก าเนิดด้วยตัวเอง
ต้นหญ้าป่าย่อมหยั่งรากลึกด้วยตัวเอง
หนิงจี๋ที่ยืนอยู่ตรงห้องครัวตะโกนเรียกเบาๆ “อาจารย์ กินอาหาร เช ้าได้แล้วขอรับ”
เฉินผิงอันเก็บความคิดกลับมา เดินไปที่ห้องครัว อาหารเช ้ามื้อ หนึ่งคือผักดองกินคู่กับโจ๊ก และยังมีไข่ไก่ต้มใบชาอีกสองฟอง คนทั้ง สามต่างก็มีชาติก าเนิดยากจน แต่ละคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ซู่เซี่ย หนิงจี๋ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเป็ นคน แบบนี้ได้”
จ้าวซู่เซี่ยหยุดตะเกียบ หนิงจี๋เงยหน้าถาม “คนแบบไหน?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ยกตัวอย่างเช่นหลิวจิ่งหลงแห่งสานักกระบี่ไท่ ฮุย หรือบัณฑิตอย่างพวกเวินอวี้เจ้าขุนเขาสานักศึกษาเทียนมู่ที่ คู่ควรกับค าว่าผู้รอบรู้ มองไกลๆ เคร่งขรึม อยู่ใกล้กลับอบอุ่น อ่อนโยน”
ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่ว เนื่องจากฝนตกหนักเกินไป นักพรต เซียนเว่ยจึงไม่นั่งเฝ้ าอยู่หน้าประตูภูเขาแล้ว ไปแทะเมล็ดแตง กับเจิ้งต้าเฟิงและเฉินหลิงจวินแทน ยกม้านั่งยาวมานั่งชมสายฝนอยู่
ใต้ชายคาด้วยกัน
คุยเล่นกันไปเรื่อยเปื่อย เท้าเหยียบเปลือกแตงโมเลื่อนไถลไปถึง ตรงไหนก็ตรงนั้น เจิ้งต้าเฟิงคุยไปถึงคากล่าวที่ว่า “จิตวิญญาณเปี่ยม ล้นลมปราณสมบูรณ์ บอกว่าสัตว์ป่ าดุร้ายในภูเขาจะไม่ท าร้ายเด็ก เล็ก ก็เหมือนกับที่มังกรคชสารของลัทธิพุทธสามารถขับไล่หรือไม่ก็ การาบสัตว์ร ้ายได้อย่างง่ายดาย ศาลแห่งหนึ่งบนภูเขามีกลิ่นอายแห่ง มรรคา คนคนหนึ่งก็มีกลิ่นอายของมนุษย์และจิตวิญญาณเป็ นของ ตัวเอง นักพรตเซียนเว่ยได้ยินเรื่องนี้ก็ท าท่าครุ่นคิด เด็กชายชุดเขียว มีความคิดตื้นเขิน รู ้สึกแค่ว่าพี่น้องต้าเฟิงพอจะมีความรู้อยู่บ้าง
คนจิ๋วควันธูปของศาลเทพอภิบาลเมืองที่มาขานชื่อที่นี่ขึ้นชื่อว่า ต่อให้ฝนตกแดดออกก็มิอาจขัดขวาง ฟ้ าผ่าก็ไม่สะเทือน ไม่เจอ นักพรตเขียนเว่ยที่ประตูภูเขาก็ซึ่งูดาที่เป็ นพาหนะตัวใหม่ไปที่เรือน หลังนั้น เห็นคนสามคนที่ไม่ทาอะไรเป็ นการเป็ นงาน เด็กชายชุดสี ชาดก็เจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก เพียงแค่เพราะนายท่านจิ่งชิงคือคนสนิท ของเจ้าขุนเขาเฉิน ถึงอย่างไรมันก็ถือว่าเป็ นคนนอกของภูเขาลั่วพั่ว ครึ่งตัวจึงไม่สะดวกจะพูดอะไร ไปที่ห้องหนังสือของนักพรตเซียนเว่ ยอย่างคุ้นทาง แปะโป้ งเขียนชื่อด้วยตัวเองแล้ว มันก็บอกให้งูดาตัว นั้นรออยู่ที่หน้าประตู ส่วนตัวเองข้ามภูเขาไปพบผู้พิทักษ์โจว ก่อน หน้านี้ไม่นานเจ้าขุนเขาเฉินไปเยือนศาลเทพอภิบาลเมืองในตัวเมือง ตามคาสัญญาจริงๆ และเจ้าตอไม้ที่มที่อเกาผิงก็คล้ายจะฉลาดขึ้นมา ได้บ้างแล้ว ถึงกับไม่วางท่าแม้แต่น้อย เป็ นฝ่ ายขอดื่มเหล้ากับเจ้า ขุนเขาเฉินด้วยตัวเอง พูดคุยเรื่องในตาราพิชัยสงคราม พูดจาสุภาพ ไพเราะ ก็หนีไม่พ้นคาพูดเกี่ยวกับเรื่องของการจัดวางกองกาลัง การ วางแผนการรบ เด็กชายชุดสีชาดฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็รู ้สึกทั้งดีใจ ทั้งกลัดกลุ้ม มัวไปทาอะไรอยู่นะ หากว่าเจ้าเกาผิงมีท่าทีอย่างในวันนี้ อยู่ในวงการขุนนาง เกรงว่าทุกวันนี้ก็คงจะเป็ นเทพอภิบาลเมืองของ เมืองหลวงต้าหลีได้แล้วกระมัง
ที่เมืองหลวงต้าหลีมีหลิวเจียก่อกาเนิดเฒ่าที่ทาหน้าที่เฝ้ าตรอก เล็กนอกหอเหรินอวี๋นอี้อวิ๋น เขายื่นหนังสือลาออกกับกรมอาญา
ปลดประจ าการจากต าแหน่งคนเฝ้ าประตู ผู้เฒ่าบอกว่าจะลองไปดูที่ ทวีปอื่นดูบ้าง
ไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย ผู้เฒ่ารู ้ว่านับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันมาเยือน ตรอกเล็กแห่งนี้ คนต่างถิ่นทุกคนที่มาปรากฏตัวที่นี่ตามหลังเขา ไม่ ว่าจะรู ้จักหรือไม่รู ้จัก บุคคลที่ถูกเขาขวางให้อยู่นอกประตู ล้วนเป็ น ยอดฝีมือที่ตัวเอง ไม่เคยพบเจอมาก่อน ถ้าอย่างนั้นคาพูดหยอกล้อ ของราชครูชุยฉานในปีนั้นก็ถือเป็ นการรักษาสัญญาแล้ว หลิวเจีย คิดว่าจะไปเยือนอุตรกุรุทวีปดูก่อน เพียงแต่ว่าก่อนจะนั่งเรือข้ามทวีป เดินทางออกไปจากแจกันสมบัติทวีป ผู้เฒ่าได้ไปเยือนอาณาเขตฉู่ โจวมาก่อนรอบหนึ่ง ลงเรือที่ท่าเรือหนิวเจี่ยว เดินเท้าไปถึงหน้าประตู ภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว ฝนเม็ดใหญ่ตกกระหน่า ผู้เฒ่าที่กางร่มแค่มอง ซุ้มป้ ายหน้าประตูภูเขาครู่เดียวก็จากมาแล้ว แม้จะไม่ได้ไปเยือนถึง หน้าประตู แต่ก็พึงพอใจมากแล้ว
อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยเดินทางขึ้นเหนือไปด้วยกัน สุดท้ายมาถึงอาณา เขตของราชวงศ์สกุลหลูเก่า อดีตเมืองหลวงของมาตุภูมิเดิม ทุกวันนี้ ตั้งอยู่ที่เจาโจวของต้าหลี
ควรจะจัดการกับเมืองหลวงของแคว้นที่ล่มสลายอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งวังหลวงกรมโยธาของต้าหลีคือมือฉมังในเรื่องนี้ เรียกได้ว่ามีประสบการณ์โชกโชนอย่างยิ่ง