กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1083.3 ไม่สู้ไปอ่านหนังสือ
ในใจของเฉิงเจวี้ยนยังคงนึกถึงเรื่องของหมาปุาเดียวดาย เขาไม่อยากพาฉินหร่านไปด่้วย ใครจะรู่้ว่าหมาปุาเดียวดาย เป็นอย่างไร บอกได่้ว่าในใจของเขาคิดว่าหมาปุาเดียวดาย ค่อนข่้างเป็นอันตราย รอเขาสํารวจเรื่องแล่้วค่อยบอก
ถ่้าเป็นคนหน่้าตาดี ต่้องหลีกเลี่ยงวิธีที่ทั้งสองคนจะมา เจอกัน
เขาครุ่นคิดในใจเล็กน่้อยด่้วยใบหน่้าจริงจัง “ใช่ อีกสัก พักฉันก็จะไปพบใครบางคน”
“ใคร” ฉินหร่านวางนมลง ถามออกไป
“คนหน่้าตาขี้เหร่” เฉิงเจวี้ยนกินเสร็จ เขาเอื้อมมือหยิบ กระดาษเช็ดมืออย่างใจเย็น
“อ่้อ” ฉินหร่านพยักหน่้าแล่้วไม่พูดอะไรอีก
เฉิงจินก็กินอาหารเช่้าแสนประณีตของตัวเองเสร็จแล่้ว เช่นกัน เขานําจานไปที่ห่้องครัว หลังจากกลับมาจึงมองเฉิงมู่ “เฉิงมู่ อีกสักพักนายไปส่งคุณหนูฉิน”
ครั้งแรกที่จิน-มู่-สุ่ย-หั่ว-ถู่ตื่นเช่้าขนาดนี้พร่้อมกันและ รวมตัวอย่างพร่้อมเพรียง
ล่้วนแต่อยากไปดูว่าหมาปุาเดียวดายมีอํานาจเพียงใด กับเฉิงเจวี้ยน
หากเป็นเมื่อก่อน ใครจะไปส่งฉินหร่านไม่สําคัญ แต่ ตอนนี้ไม่ใช่
เฉิงมู่เงยหน่้า “ฉัน…”
ตอนที่เฉิงจินบอก เฉิงสุ่ยก็พยักหน่้าด่้วย เขาพูดอย่าง สงบนิ่ง “เฉิงมู่ นายปกปูองคุณหนูฉินให่้ดี ขับรถดีๆ ด่้วย”
เฉิงหั่วตบบ่าเฉิงมู่ ยิ้มเยาะ “เสี่ยวมู่มู่ รบกวนด่้วยนะ”
เฉิงถู่ไม่พูด เพียงยิ้มแห่้งมองเฉิงมู่
แม่้ว่าเฉิงมู่จะอยากรู่้อยากเห็นเรื่องหมาปุาเดียวดาย แต่ เขาก็ไม่แปลกใจกับเรื่องที่คิดไว่้อยู่แล่้ว จึงงับขนมปังเนื้อนุ่ม หอมเข่้าปากคําหนึ่ง “อา” แล่้วส่งเสียง “ได่้”
“ไปกี่โมง” เฉิงเจวี้ยนไม่สนใจลูกน่้องทั้งห่้า แต่มองไปที่ ฉินหร่าน
“แปดโมงครึ่งละกัน ฉันต่้องไปถึงเก่้าโมง” ตอนแรก ฉินหร่านไม่ได่้วางแผนว่าจะมีคนพาไป แต่เธอคาดว่าเฉิง เจวี้ยนคงไม่ให่้เธอขับรถไปเองจึงไม่ได่้พูดอะไร
เฉิงเจวี้ยนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน่้อย
แปดโมงครึ่ง เฉิงมู่ขับรถส่วนตัวของฉินหร่านออกมาจาก ในโรงรถ
“รบกวนด่้วยนะ สหาย” เฉิงหั่วเดินมา ตบบ่าของเฉิงมู่ ผ่านหน่้าต่างรถฝั่งคนขับ “พี่ชายจะนําข่าวกรองล่าสุดมาให่้ นายแน่นอน”
เฉิงมู่ปิดหน่้าต่างรถฝั่งคนขับด่้วยอารมณแจริงใจที่สุดของ พี่น่้องใส่เขา
เฉิงเจวี้ยนยืนอยู่ที่เดิม มองดูรถสีดําที่ค่อยๆ ขับออกไป
ด่้านหลัง อีกสี่คนที่เหลือจากจิน-มู่-สุ่ย-หั่ว-ถู่มองไปทาง รถ เฉิงสุ่ยยิ้ม “คุณหนูฉินก็มีนัดตอนเก่้าโมง นายท่าน เวลา เดียวกับคุณเลย”
เฉิงสุ่ยก็พูดขึ้นด่้วย
ไม่ได่้คิดอะไรมาก
จิน-มู่-สุ่ย-หั่ว-ถู่คนอื่นๆ ไม่ได่้คิดอะไรมาก
ตอนนี้ทุกคนต่างเร่งให่้เฉิงเจวี้ยนไปเร็วๆ
เฉิงเจวี้ยนตอบอย่างเชื่องช่้า ดูไม่ได่้กระตือรือร่้นเป็น พิเศษ “รีบทําไม ไม่มีใครไปไหน”
**
ในขณะเดียวกัน
129
“ลูกพี่ ทําไมคุณมาหาพวกเรา” ธุลีมังกรและจระเข่้ยักษแ นั่งที่อยู่สํานักงานมองฉังหนิง
“มีธุระต่้องบอกพวกคุณ” ฉังหนิงพูดอย่างเคร่งขรึม
เมื่อวานฉินหร่านไม่ได่้ให่้ฉังหนิงดูแลเรื่องนี้ของเธอ ฉัง หนิงรู่้ว่าเธอไม่อยากรบกวน 129
แต่มีหรือที่ฉังหนิงกลัวใครขนาดนั้น?
เขาไม่มีทางเมินเฉยได่้จริงๆ อย่างมากก็แค่ออกจาก 129 เหมือนกับที่เคยออกจากพรรคพวกมาเฟียเมื่อก่อนหน่้า
แม่้ว่าเขาจะไม่รู่้ว่าฉินหร่านต่้องการจะทําอะไร แต่กลัว จริงๆ ว่าเธอจะมีปัญหา
“คุณว่ามา อย่าซีเรียสมากนัก ฉันใจคอไม่ดี” ธุลีมังกร ลูบที่หัวใจของตัวเองแล่้วพูดติดตลก
ฉังหนิงเหลือบมองเขา “เกี่ยวกับเรื่องของหมาปุา เดียวดาย วันนี้เธอจะไปพบใครบาง…”
เขาบอกเรื่องเมื่อวานของฉินหร่านอีกครั้งให่้ทั้งสองคน
“วันนี้พวกเขาพบกันที่หอประชุมใต่้ดิน พวกเราไปกัน ก่อน ฉันจองห่้องรับรองข่้างๆ ไว่้แล่้ว ถ่้าเกิดอะไรขึ้น…” ฉัง หนิงครุ่นคิดสักพัก ก็นึกได่้ว่าถึงจะเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสอง เขา ก็ทําอะไรไม่ได่้ “ประคับประคองสถานการณแเอาไว่้ ถึง
อย่างไรเมืองหลวงก็เป็นฐานทัพของเรา มังกรดุร่้ายขนาดไหน ก็คุมงูประจําถิ่นไม่ได่้หรอก”
เขาพูดเสียงเบา
ธุลีมังกรก่้มหน่้าลง นัยนแตาของเขาส่องแสงประกาย “บ่้าไปแล่้ว บ่้าไปแล่้ว ลูกพี่ฉังหนิง ฉันบอกแล่้วไง ฉันบอก แล่้วว่าเธอไม่ใช่คนธรรมดา!”
ฉังหนิงไม่อยากคุยกับคนโง่ จึงหันไปทางจระเข่้ยักษแ “เรื่องของหมิงไห่ที่คุณจัดการเป็นอย่างไรบ่้าง”
“ติดกับดักแล่้ว”
จระเข่้ยักษแไม่ได่้มองโลกในแง่ดีอย่างธุลีมังกร “คนในรัฐ F ทํางานอย่างหนัก เกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น พวกเราไป ก่อนค่อยคุย ยังพอเจรจาได่้”
**
แปดโมงห่้าสิบ
เฉิงมู่จอดรถที่หอประชุม
เขาตามติดฉินหร่านไม่ห่าง
เอากุญแจรถส่งให่้คนเฝูาประตู คนเฝูาประตูรับเอา กุญแจแล่้วเอารถไปจอด
วันนี้ฉินหร่านยืนอยู่หน่้าหอประชุมสักพัก วันนี้เธอสวม เสื้อสเวตเตอรแสีขาว ด่้านนอกคลุมด่้วยเสื้อคลุมสีดําที่ไม่ถูกใจ ในสายตาของเฉิงเจวี้ยน
เธอดึงหมวกสเวตเตอรแลง ยืนอยู่ประตูทางเข่้าหนึ่งนาที แล่้วมองดูเฉิงมู่ เงียบไปสักพักและไม่ได่้ขับไล่เฉิงมู่ พาเฉิงมู่ เข่้ามาด่้วย
ฉังหนิงจองห่้องรับรองหมายเลข 5 ชั้นบนสุด
เธอเดินเข่้าไปห่้องรับรอง
ตอนที่พนักงานพาพวกเขาเข่้าไปในห่้องรับรอง ในห่้อง รับรองไม่มีคนอยู่
เฉิงมู่อดมองเธอไม่ได่้ รู่้สึกประหลาดใจ ความแม่นยํา ของการคาดการณแกําหนดเวลามาถึงของฉินหร่าน ที่ผ่านมา ล่้วนควบคุมให่้เป็นไปตามจุดหมายได่้อย่างแม่นยํา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าเธอมาถึงก่อนล่วงหน่้า
เฉิงมู่อดแปลกใจไม่ได่้ว่าใครกันที่เธออยากพบในวันนี้
ด่้านล่าง
สี่คนของจิน-มู่-สุ่ย-หั่ว-ถู่ตามหลังเฉิงเจวี้ยน
เฉิงเจวี้ยนถอดเสื้อโค่้ต ก่อนเข่้าไปในลิฟตแจึงหันไปทาง ทั้งสี่คน “ไม่ต่้องเข่้าไปกับฉัน”
ทั้งสี่คนที่มาเพื่อหมาปุาเดียวดายโดยเฉพาะ “…”
‘ติ๊ง’
ประตูลิฟตแปิดลง
เฉิงหั่วเกาศีรษะ “เมื่อคืนนายท่านไม่ได่้บอกว่าไม่ให่้พวก เรามารึเปล่า”
ไม่ได่้หัวเสียเสียทีเดียว
เฉิงจินนิ่งไปแล่้วพูดจานิ่ง “พวกเราไม่ควรเพิกเฉย คุณหนูฉิน”
อีกสามคน “…”
ด่้านบน
เฉิงเจวี้ยนตรวจสอบห่้องรับรองหมายเลข 5 มองดูเวลา 8:59
เขามือไพล่หลัง ตามหลังพนักงาน
พนักงานเคาะประตูเบาๆ สองครั้ง มีคนเปิดประตูจาก ด่้านใน
ตอนที่ 594 ทําไมคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเธอ
ตลาดของเมืองหลวงที่เปลี่ยนมาเป็ นตลาดในตัวเมืองยังคง คึกคักจอแจเหมือนเก่าตรอกและถนนที่ในอดีตมีตระกูลชนชั้นสูงตั้ง เรียงรายเป็ นเพื่อนบ้านกัน ส่วนใหญ่ล้วนกลายเป็ นตระกูลของ ชาวบ้านธรรมดาไปหมดแล้ว
ฮ่องเต้หนุ่มและราชครูหญิงที่กอบกู้แคว้นขึ้นมาใหม่ในใบถงทวีป ไม่ได้อยู่ที่นี่นานนักพวกเขาเดินทางออกจากนครใหญ่ยักษ์ที่ในอดีต เคยแซ่หลูแห่งนี้ บางครั้งก็ทะยานลมไปด้วยกันระยะทางหนึ่ง แต่ส่วน ใหญ่มักจะเดินอยู่บนพื้น ระหว่างทางก็ผ่านหมู่บ้านชนบทเสียงหมา เห่าเสียงไก่ขันดังระงม กลิ่นควันไฟจากการปรุงอาหารลอยล่อง ผู้คน กระตือรือร ้นเป็ นมิตร
ระหว่างนั้นเดินทางผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง ป่ าไผ่เขียวต้นไผ่ไม่ แออัดมองแล้วสบายตา ดอกท้อหลายกิ่งยื่นโน้มเข้าหาน้าในลาคลอง เป็ ดฝูงหนึ่งว่ายผ่านผิวน้างามตาที่ดอกท้อบานสะพรั่ง อวี๋ลู่จึงเลือก หาที่นั่งเหมาะๆ ในการตกปลา ทาลายบรรยากาศยิ่งนัก
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงภูเขาแห่งหนึ่ง เมื่อก่อนเป็ นที่ตั้งของ ภูเขาบรรพบุรุษจวนเซียนอันดับหนึ่งของราชวงศ์สกุลหลู แต่ถูก พรรคในท้องถิ่นแห่งหนึ่งของต้าหลียึดครองไปแล้วคือจวนเซียนบน ภูเขาที่เป็ นรองแค่ตาหนักฉางชุนเท่านั้น สกุลซึ่งต้าหลีไม่เคยใจแคบ
่้
แล้งน้าใจต่อขุนนางผู้ประคับประคองมังกรในอดีต เนื่องจากได้ยึด ครองพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแห่งนี้ บวกกับที่ราชสานักต้าหลีให้การ สนับสนุนอย่างเต็มกาลัง ในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงห้าสิบปีจึงเดินทีละก้าว จากพรรคบนภูเขาที่อยู่รั้งท้ายสุดในอันดับสามของแจกันสมบัติทวีป ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นจนกลายมาเป็ นกองกาลังระดับสอง อันที่จริง ตลอดทางมานี้อวี๋ลู่ยังนับว่าดี แต่ถึงอย่างไรเซี่ยเซี่ยก็เป็ นสตรีที่มี ความผูกพันธ ์ต่อชาติบ้านเมืองอย่างลึกซึ้ง ทั้งยังมีอารมณ์อ่อนไหว ยิ่งอวี๋ลู่แสดงออกอย่างเฉยชามากเท่าไร นางก็อดด่าเขาไม่ไหวมาก เท่านั้น นี่คือครั้งแรกที่เซี่ยเซี่ยได้กลับคืนมายังบ้านเกิดหลังจากต้อง กลายเป็ นชาวบ้านลี้ภัยของสกุลหลูที่ย้ายไปอยู่หลงโจวเก่า ได้ กลับมาเห็นภูเขาในอดีตอีกครั้ง เมื่อเทียบกับสงครามใหญ่ที่ม้วน หอบหลายทวีปเข้ามาไว้ภายในแล้ว ได้หวนกลับคืนมายังมาตุภูมิเดิม อีกครั้ง ภูเขาสายน้าในสายตาของพวกเขาทุกวันนี้ก็คล้ายว่าจะเคย ผ่านวันเวลาที่เจริญรุ่งเรืองและเสื่อมถอยซึ่งเป็ นเพียงเรื่องเล็กน้อย เท่านั้น
นักพรตคนใหม่ในภูเขา วันนี้ก้มหน้าลงมอง เจ้าของภูเขาใน อดีต เวลานี้เงยหน้าขึ้นมอง บนสันเขายังคงมีเมฆขาวมากมายดังเดิม
เซี่ยเซี่ยร่าไห้ แม้จะบอกว่าร่าไห้ แต่กลับไม่มีเสียงร ้องคร่าครวญ อย่างรวดร ้าวปานจะขาดใจ นางเพียงแค่นั่งยองอยู่ข้างทาง ยกสอง มือปิดหน้า ไม่ยอมลุกขึ้น
่้
อวี๋ลู่เองก็ไม่ได้พูดปลอบใจนาง เพียงแค่รอให้นางร ้องไห้เสร็จ เงียบๆ ก่อนจะพานางไปหาที่ดื่มเหล้า หลายครั้งที่ออกเดินทางไกลไป เป็ นเพื่อนกัน พวกเขาจึงมีความรู ้ใจกันนานแล้ว
ท่ามกลางฝนกระหน่า ร ้านเหล้าข้างทางแห่งหนึ่ง คนขายเหล้า คือชายชราที่กาลังจีบหลับ มีลูกค้ามาเยือนก็ไม่ค่อยขยันขันแข็ง เท่าใดนัก กลับเป็ นลูกจ้างหนุ่มของร ้านที่ค่อนข้างจะกระตือรือร ้น น่า เสียดายที่มาเจอกับผียากจนสองคน เดาเอาว่าจะใช่สองผัวเมียที่หนี ตามกันมาหรือไม่ หาไม่แล้วดูจากการแต่งกายของพวกเขาก็ไม่ เหมือนชายหญิงที่ดื่มเหล้าดีๆ ไม่ไหว
บุรุษวัยกลางคนเรือนกายสูงเพรียวคนหนึ่งที่สวมชุดตัวยาวสีดา สะอาดสะอ้านปลดงอบไม้ไผ่สานบนศีรษะลง บุรุษที่บนมวยผมปักปิ่น หยกสีม่วงผู้นี้ยืนอยู่ใต้ชายคา สะบัดงอบไม้ไผ่เบาๆ ให้หยาดฝนหล่น กระจาย เขาเลือกโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ แล้วนั่งลง สั่งเหล้าต้มมาครึ่ง จิน แล้วบอกให้ลูกจ้างร ้านทากับแกล้มมาสองจาน บุรุษจิบเหล้าหนึ่ง อึก หันหน้าไปมองทางอวี๋ลู่ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถือว่าเป็ นคู่ที่เหมาะสม กัน”
คนที่ไม่ชอบดื่มเหล้า ดื่มไปดื่มมา สิ่งที่ดื่มก็มีแค่ชื่อและราคา ของสุราเท่านั้น
หากไม่เป็ นเพราะเฉินผิงอันเตือนไว้ก่อน อวี๋ลู่ก็คงเดาสถานะของ อีกฝ่ ายไม่ออก เขายิ้มบางๆ ตอบกลับไปว่า “เซียนกระบี่ป๋ ายตั้งใจมา หาข้าโดยเฉพาะหรือ?”
่้
เซี่ยเซี่ยตื่นเต้นอย่างมาก
ถึงอย่างไรอีกฝ่ ายก็อาจจะเป็ นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคน หนึ่ง หากไม่เป็ นเพราะยังมีฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้อยู่ ผู้ ฝึกกระบี่ป๋ ายฉางก็จะกลายเป็ นบุคคลอันดับหนึ่งบนภูเขาของอุตรกุรุ ทวีปอย่างสมชื่อแล้ว
ป๋ ายฉางยิ้มบางๆ “ลูกหลานสกุลหลขึ้นชื่อว่าแต่ละรุ่นด้อยลง เรื่อยๆ กระทั่งมีรัชทายาทหลูจี้”
“น่าเสียดายที่มังกรที่แท้จริงตัวนี้หลบซ่อนตัว ยังไม่ทันเป็ นโล้ เป็ นพายก็ตายไปก่อนวัยอันควร สุดท้ายก็กลายเป็ นแค่เรื่องตลกเรื่อง หนึ่ง หากข้าจาไม่ผิด ตอนนั้นเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งออกเดินทางไกลไป ขอศึกษาต่อ เฉินผิงอันอายุสิบสี่ เพิ่งจะเรียนวิชาหมัด แต่ตอนนั้นอวี๋ ลู่กลับเป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกแล้ว เลื่อนเป็ นขอบเขตร่างทองอยู่ใน ห้องหนังสือของส านักศึกษาชานหยาต้าสุย สามสิบปีน้าไหลไปทาง ตะวันออก สามสิบปีน้าไหลไปทางตะวันตกคากล่าวนี้ช่างกล่าวได้ดี จริงๆ ตอนนี้พอมามองอีกที อวี๋ลู่เป็ นขอบเขตเดินทางไกล เฉินผิงอัน กลับได้เห็นทัศนียภาพบนวิถีวรยุทธในชั้นคืนความจริงของขอบเขต ปลายทางแล้ว คนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตายจริงๆ”
“เจ้าคิดว่าอย่างไร หลูจี้?”
่้
อวี๋ลู่ยิ้มเอ่ย “หลูจี้กลายมาเป็ นอวี๋ลู่ หลูเยว่ก็กลายมาเป็ นป่ าย ฉางเหมือนกันไม่ใช่หรือไม่ถูกสิ หากข้าจาไม่ผิดล่ะก็ ระหว่างนี้ดู เหมือนจะยังมีหลูฉิงฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นของสกุลหลูอยู่ด้วย”
ป๋ ายฉางยกชามเหล้าขึ้น ยิ้มเอ่ย “ชุดขาวมอบสุรา เจ้าจะรับไว้ หรือไม่?”
อวี๋ลู่ยิ้มกล่าว “ได้รับถ่านท่ามกลางหิมะ ไฉนจะไม่รับไว้เล่า”
ป๋ ายฉางถาม “เจ้าไม่กังวลว่าเฉินผิงอันจะเกิดยอกแสลงใจ ความสัมพันธ ์ควันธูปที่สะสมมาได้อย่างไม่ง่ายจะจืดจางลง เป็ นเหตุ ให้สองฝ่ ายยิ่งเดินก็ยิ่งห่างกันไปไกลกลายเป็ นว่าได้ไม่คุ้มเสียหรอก หรือ?”
อวี่ลูกล่าว “พี่น้องแท้ๆ ยังต้องคิดบัญชีกันอย่างชัดเจน เซียน กระบี่ป๋ ายไม่จ าเป็ นต้องกังวลในเรื่องนี้”
ป๋ ายฉางหยิบกล่องผ้าแพรใบหนึ่งออกมา เอ่ยว่า “ข้ารับลูกศิษย์ ผู้สืบทอดมาแค่คนเดียว ชื่อว่าสวีเซวียน เขาสามารถไปรับหน้าที่เป็ น ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเชื้อพระวงศ์ที่ใบถงทวีปของพวกเจ้า ส่วน ยาที่อยู่ในกล่องใบนี้ ล้าค่าหายาก ถือเป็ นของขวัญพบหน้าของข้า เจ้าสามารถกินเองได้ แต่จะไม่สามารถเป็ นฮ่องเต้ต่อไปได้แล้ว แน่นอนว่ายังสามารถน าไปมอบให้กับคนอื่น ผู้ฝึกตนสองขอบเขต อย่างก่อกาเนิดและบินทะยานไม่เหมาะจะกินยานี้เพราะง่ายที่จะเป็ น การสิ้นเปลืองของดี ยานี้ได้มาจากซากปรักเตาหลอมยาแห่งหนึ่งบน
่้
ภูเขาจิงซานของเซียนจวินแซ่เก๋อ ฉายาไหวหนัน เขาอยู่ไม่เป็ นที่ เป็ นทาง ไร ้ความปรารถนาแล้วก็ไม่มีสิ่งใดที่ต้องการ ชอบรักษาศีล ท่องไปตามห้านคร ไปกลับระหว่างโลกมืดกับโลกสว่าง คาดว่าขาด อีกแค่ครึ่งก้าวก็ไม่ต้องอยู่ในห้าธาตุได้แล้ว เขาถือเป็ นหนึ่งในศิษย์พี่ ของข้า น่าเสียดายที่ไม่เคยเจอหน้ากัน มีดต้องหลอมร ้อยหลอม โอสถต้องอบร ้อยครั้ง ข้ารู ้แค่ว่าศิษย์พี่เก๋อที่ได้รับความสาคัญจาก อาจารย์อย่างมากผู้นี้เชี่ยวชาญการหลอมยาวิเศษที่ช่วยชุบชีวิตคน ตายให้ฟื้นกลับคืนและตารับโอสถวิเศษที่ช่วยดึงวิญญาณกลับคืน มากที่สุด ชีวิตนี้ศิษย์พี่เก๋อไม่เคยรับลูกศิษย์ แล้วก็ไม่เคยสร ้างคมวา ทะแต่งต ารา เป็ นเหตุให้พวกเราไม่เคยรู ้วิธีการสร ้างและหล่อหลอม ของเขา พวกชอบสอดรู ้สอดเห็นของโลกยุคหลังก็ได้แต่รู ้คร่าวๆ เท่านั้น ที่ข้ารู ้ว่ายานี้ชื่อว่า ‘ตารับที่สี่” หรืออีกชื่อก็คือ “เซียนร ้อย วัน” ก็เพราะมีผู้วิเศษคนหนึ่งบอกให้รู ้”
อวี๋ลู่รับกล่องผ้าแพรมาอย่างไม่ลังเล ถามไปประโยคหนึ่งว่า “ท่านกับเฉินผิงอันผูกปมแค้นกันได้อย่างไร?”
ป๋ ายฉางมองไปยังม่านฝนขมุกขมัวนอกประตู คลี่ยิ้มอย่างสง่า งาม “ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไร ้เจตนา ถึงอย่างไรเขาก็ทาลายแผนการที่ไม่ เล็กของข้า หาไม่แล้ววันนี้อย่างน้อยข้าก็น่าจะได้เป็ นขอบเขตบิน ทะยานขั้นสูงสุด แล้วก็สามารถวางแผนสาหรับเส้นทางการเป็ น ขอบเขตสิบสี่ไว้ได้แต่เนิ่นๆ แล้ว”
อวี๋ลู่กล่าว “พูดอย่างนี้ก็แสดงว่าเป็ นความแค้นที่ไม่เล็กเลย”
่้
ป๋ ายฉางยิ้มบางๆ “อันที่จริงยังดี ถึงอย่างไรก็เป็ นคนบ้านเดียวกัน บนเส้นทางเล็กไส้แกะก็แค่ต้องแสดงวิชาอภินิหารของตัวเองออกมา เท่านั้น แพ้หรือชนะก็ไม่ถึงขั้นที่ต้องรู ้สึกอัดอั้นตันใจมากเกินไป”
อวี๋ลู่ถาม “แต่ก็ต้องมีการถามกระบี่ครั้งหนึ่งอย่างแน่นอนใช่ ไหม?”
ป๋ ายฉางยกชามเหล้ากระดกดื่มจนหมด น้าเสียงที่พูดแฝงไว้ด้วย ความอ่อนใจ “ได้แต่เป็ นการถามกระบี่ของขอบเขตเดียวกันที่ เปิดเผยตรงไปตรงมา”
ช่วยไม่ได้ เฉินผิงอันผู้นั้นโชคดีมากจริงๆ ทุกวันนี้มีสถานะ มากมายเหลือเกิน
ชุยตงซานกับเจียงซ่างเจินแบ่งงานกันอย่างชัดเจน ในพื้นที่ อิทธิพลสองแห่งที่ตัดขาดจากโลกภายนอกซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่มงคล รากบัว พวกเขาแยกกันจับตามองคนละที่ ดูว่าริมขอบของค่ายกลมี ช่องโหว่อะไรหรือไม่ จะตามหาปลาที่หลุดรอดหว่างแห่ไปเจอหรือไม่ ผลคือโจวอันดับหนึ่งโชคไม่เลว เขาเจอทางลัด “ประตูข้าง” ที่ค่ายกล ใหญ่ถูกอ าพรางไว้เป็ นอย่างดีได้จริง วิธีการที่ใช ้ยอดเยี่ยม ทั้งยังเป็ น ยอดฝีมือที่ใจกล้า เพียงแต่ไม่รู ้ว่าปลาใหญ่ทีซ่อนตัวอย่างลึกล้าตัวนี้ ทุกวันนี้อยู่ข้างในหรืออยู่ข้างนอก เจียงช่างเงินจึงให้จิตหยางกาย นอกกายเฝ้ าตอรอกระต่ายอยู่ที่เดิม ส่วนจิตหยินออกจากช่องโพรง เดินทางไกล ท าการลาดตระเวนสถานที่ต่างๆ อย่างว่องไวต่อเนื่อง ถึง อย่างไรอาณาเขตก็ไม่กว้างใหญ่นัก เขาจึงใช้วิธีการที่โง่ที่สุด นั่นคือ
่้
พุ่งไปทั่วอย่างสะเปะสะปะเหมือนแมลงวันไร ้หัว ส่วนร่างจริงก็ลอยตัว อยู่กลางอากาศหลุบตาลงมองพื้นดิน ยามที่ต้องเอาตาราออกมาใช ้ เจ็บใจที่มีน้อยเกินไป วิถีทางแห่งการอนุมานคานวณเป็ นเรื่องที่เจียง ช่างเจินไม่ถนัดมากที่สุด แล้วก็ไม่ยินดีจะทุ่มเทความคิดไปศึกษา มากที่สุด
ร่างแยกที่เป็ นผู้พิศมรรคาของเฉินผิงอันออกมาจากศาลลานฉี่ฮ วาบนภูเขาเตี๋ยเย่อย่างเงียบเชียบ ไปหาผู้เฒ่าที่มีฉายาว่าเถาเจ่อ ก่อน ขอให้อีกฝ่ ายช่วยเหลือด้วยการตรวจสอบ “ชาติก่อน” ของ หยวนหวงและอูเจียง ผลคือต่างก็ไม่มีปัญหาอะไร ผู้ฝึกยุทธหนุ่มทั้ง สองเป็ นคนที่เกิดและเติบโตมาในพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันที่อยู่ในพื้นที่มงคลแห่งนี้ก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกับลู่เฉิน ที่เฝ้ าพิทักษ์ป๋ ายอวี้จิงอยู่ในใต้หล้ามืดสลัว คอยตรวจสอบดูแลสรรพ ชีวิตและผู้ฝึกบ าเพ็ญตนในใต้หล้า ขอแค่มีความอดทนมากพอ คิด จะหาตัวคนสักคนออกมาก็เป็ นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก แน่นอนว่า เงื่อนไขก็คืออีกฝ่ ายไม่มีวิธีการเลิศล้าค้าฟ้ าที่สามารถปิดบังเจตนา รมสวรรค์ได้ หลังจากแน่ใจแล้วว่าชาติก าเนิดของหยวนหวงและอู เจียงต่างก็ขาวสะอาด เฉินผิงอันจึงไปหาผู้ฝึ กตนหญิงที่เคยเรียก เชือกมัดเซียนออกมาในอารามต้ามู่ แล้วก็จริงดังคาด บรรพจารย์ หญิงที่ก่อสานักตั้งพรรคแล้วผู้นี้ ระหว่างที่นางหวนกลับจวนเซียน กลับเหมือนจักจั่นที่ลอกคราบอยู่ในรถม้า แรกเริ่มพวกลูกศิษย์เข้าใจ ผิดคิดว่าเซียนจุนเจ้าประมุขปิดด่านจริงๆ รอกระทั่งรถม้าไปถึงหน้า
่้
ประตูภูเขาก็ยังไม่เห็นวี่แววว่านางจะออกจากด่าน ลูกศิษย์ในพรรค จึงได้แต่เฝ้ ารถม้าคันนั้นเอาไว้ เฉินผิงอันหดย่อพื้นที่หลายครั้ง มาถึง ในพรรคที่นอกจากนางแล้วก็มีผู้หลอมลมปราณเพียงคนเดียวแห่งนี้ เปิ ดผ้าม่านรถม้าออกดู ใบหน้าของหญิงสาวที่สละร่างไปโดย อัตโนมัติเหมือนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ช่างเป็ นจักจั่นทองลอกคราบที่ยอด เยี่ยมเหลือเกิน สามสิบหกกลยุทธ เผ่นหนีคือวิธีการที่ยอดเยี่ยมที่สุด
เฉินผิงอันจึงได้แต่พาตัวเองที่มีความเป็ นเทพบริสุทธิ์ออกมาจาก เนินกะโหลกในหัวใจชั่วคราว เฉินผิงอันชุดขาวที่ดวงตาทั้งคู่เป็ นสี ทองนั่งยองอยู่ในห้องโดยสารรถม้า ยื่นมือไปตบใบหน้าขาวนวลของ สตรี ด่าข าๆ ว่าหน้าไม่อายจริงๆ เป็ นบุรุษตัวโตๆ แต่ดันปลอมกาย เป็ นสตรี เจ้าก็ช่างคิดออกมาได้ แสดงให้เห็นฝีมือด้านยันต์ร่างแยก อย่างเจ้านี่เรียกว่าพ่อมดน้อยเจอพ่อมดใหญ่….หากร่างจริงของเฉิน ผิงอันที่ช่วยสอนหนังสือให้กับเด็กนักเรียนประถมในโรงเรียนก็อยู่ที่นี่ ด้วยคงเลี่ยงที่จะมอบเท้าเป็ นรางวัลให้อีกฝ่ ายไม่ได้ เฉินผิงอันชุดขาว ที่นานๆ ทีจะได้ออกมาข้างนอกปากบ่นไม่หยุด แต่ก็ยังต้องทาเรื่อง เป็ นการเป็ นงาน ยื่นนิ้วข้างหนึ่งไปดันไว้ตรงหว่างคิ้วของคราบร่าง สตรีที่เป็ น “ศพนั่ง” แล้วกระตุกเบาๆ ก็มีเส้นด้ายสีทองอ่อนจางเลื้อย ขยุกขยิกเส้นหนึ่งถูกเขาดึงออกมา เส้นสีทองล่องลอยไม่หยุดนิ่งราว กับว่าสามารถปลิวหายไปตามสายลมได้ทุกเมื่อ อีกทั้งแสงสีทองยัง ถอดสีเร็วมากเปลี่ยนจากสีทองไปเป็ นสีเงินด้วยความเร็วที่ตาเนื้อ
่้
สามารถมองเห็น เฉินผิงอันโบกมือเป็ นวงกว้าง ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่ง ว่า “เจ้าไปได้”
เส้นแลงเปล่งแสงวูบหนึ่งครั้งแล้วพลันจากไปไกล
เฉินผิงอันชุดขาวพุ่งตัวออกมาจากห้องโดยสารตามไปด้วย ทะยานลมไปอย่างว่องไวชายแขนเสื้อสะบัดไปตามลม เรือนกายพลิ้ว ไหวล่องลอย ไล่ตามเส้นสีทองซึ่งพุ่งไปยังพื้นที่ที่เจียงซ่างเจินรับ หน้าที่สารวจลาดตระเวน
ผู้หลอมลมปราณที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวในพรรคแห่งนั้นขอบเขต ไม่สูง แต่ความสามารถในการสังเกตการณ์กลับไม่แย่ ไม่เพียงแต่ ไม่ได้ไล่ตามแขกไม่ได้รับเชิญซึ่งกระทาการล้าเส้นทั้งยังมีโทษบุกรุก ผู้นั้นไป กลับกันยังนอนหมอบอยู่กับพื้นไม่ยอมลุกขึ้นมา ร ้องตะโกน เสียงดังติดๆ กันว่าเซียนจวินผู้อยู่เบื้องบน แต่สิ่งที่คิดในใจก็คือขอ อย่าให้มีจุดจบถูกใครมาตัดรากถอนโคนเลย ลูกศิษย์ในพรรคส่วน หนึ่งที่ยืนงงอยู่ข้างๆ ก็พากันคุกเข่าหมอบลงพื้นตามเขาไปด้วย
เส้นด้ายที่เริ่มจะโปร่งแสงเส้นนั้นพุ่งทะลุประตูข้างของค่ายกลไป เจียงซ่างเจินอึ้งตะลึง ตาพร่าลายไปครู่หนึ่งก็เห็นว่าเจ้าขุนเขาเฉิน สวนไหล่ผ่านตัวเองไป เขายิ้มเอ่ยว่า “โจวอันดับหนึ่ง ตอนนี้คือเวลา ของการสร ้างคุณความชอบแล้ว ใบหลิวหนึ่งใบติดตามข้ามาสังหาร เซียนดิน….”
่้
เส้นด้ายสลายหายไปนอกหอโคมเขียวแห่งหนึ่ง ก็ไม่ถือว่าทุกสิ่ง ที่ทามาสูญเปล่าอะไร
เฉินผิงอันชุดขาวพลิ้วกายลงพื้น สะบัดชายแขนเสื้อ เดินก้าว ยาวๆ เข้าไปในหอโคมเขียวที่มีกลิ่นอายเครื่องประทินโฉมเข้มข้น ยิ้มเอ่ยด้วยภาษากลางของเปลี่ยวร ้างที่สาเนียงถูกต้องชัดเจนว่า “ที่ แท้ก็ซ่อนตัวอยู่ที่นี่นี่เอง สง่างาม สง่างามเหลือเกิน สหายรู ้จักเลือก สถานที่จริงๆ”
เฉินผิงอันเดินไปถึงใจกลางของห้องโถงใหญ่ กวาดตามองไป รอบด้าน ทั้งบนและล่างมีแต่สตรีเคลื่อนไหวอ่อนช ้อยพูดคุยกัน เจื้อยแจ้ว และยังมีแม่เล้ากับแมงดาเฒ่าที่กาลังง่วนทางาน การค้าเนื้อ หนังก็ถือเป็ นการหาเลี้ยงชีพอย่างหนึ่ง หาเงินโดยใช ้แรงกายเข้าแลก ไม่น่าอาย