กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1083.4 ไม่สู้ไปอ่านหนังสือ
เฉินผิงอันยังคงไม่ได้ใช ้เสียงในใจพูดคุย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ามา ขอพบถึงที่แล้ว สหายก็อย่ามัวหลบซ่อนตัวอยู่เลย ถึงอย่างไรขอร ้อง ไปก็ไร ้ประโยชน์ ในเมื่อเป็ นนักรบพลีชีพ ถ้าอย่างนั้นก็กระโจนเข้าสู่ ความตายอย่างกล้าหาญเถอะ”
แม่เล้าที่ใบหน้าประโคมเครื่องประทินโฉมหนาเตอะ แต่กระนั้นก็ ยังมีเสน่ห์หลงเหลืออึ้งตะลึง ใคร่ครวญจนพอจะเข้าใจอะไรได้บ้างแล้ว คงไม่ใช่ว่าเพื่อนร่วมอาชีพไปจ้างคนมาก่อกวนหรอกนะ ลูกเล่น แปลกใหม่เสียจริง ต่าช ้านัก! นางพลันกรีดร ้องเสียงแหลม “ไอ้คน ระยาจากที่ไหนกัน บังอาจมาก่อเรื่องที่นี่ ไม่รู ้หรือว่านายท่านจ้าวผู้ เป็ นขุนนางผู้ตรวจตราประจ าเมืองคือลูกค้าประจ าของพวกเรา?”
ชาวบ้านลี้ภัยห้าแสนกว่าคนซึ่งเป็ นจานวนคนครึ่งหนึ่งของใบถง ทวีปในอดีต ทุกวันนี้ได้กระจายกันอยู่ตามนครใหญ่เจ็ดแปดแห่ง ส่วนผู้ฝึกลมปราณส่วนใหญ่ ตอนนั้นถูกผู้ฝึกตนสกุลเจียงถ้าเมฆา ขับไล่ให้ไปอยู่ในพื้นที่อีกแห่งหนึ่งเหมือนไล่เปิดขึ้นคอน หากจะบอก ว่าที่แห่งนี้มีผู้ฝึกยุทธเป็ นใหญ่ ใครหมัดแข็งคนนั้นก็มีเหตุผล ที่แห่ง นั้นก็คือเซียนซือที่มีอิสระเสรี อันที่จริงยังคงใช ้ฝี มือในการอธิบาย เหตุผล เพียงแค่เพราะทั้งสองฝ่ ายต่างก็รู ้กันดีอยู่แก่ใจว่าวันนี้ไม่ เหมือนวันวาน ถึงอย่างไรก็ตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ต้องพลัดที่นาคาที่
อยู่ต้องพึ่งพิงอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่น ดังนั้นจึงไม่ถึงกับทาอะไรเกิน กว่าเหตุกันมากนัก
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เป็ นเจ้าสินะ บอกตามตรง ฝีมือการแสดงของ สหายธรรมดาอย่างมาก หลายปีมานี้เอาแต่พิมพ์ตาราขายหนังสือ ไม่ได้ไปซ ้อมงิ้วสักเท่าไรสินะ?”
แม่เล้าที่มีรูปร่างเหมือนหญิงวัยกลางคนสะอึกอึ้ง จ้องเขม็งไป ยังอิ่นกวานหนุ่มที่แปลกหน้าอย่างถึงที่สุดผู้นั้น นางถอนหายใจแผ่ว เบา “ใต้เท้าอิ่นกวานช่างสมค าเล่าลือเสียจริง”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “นี่ก็คือรูปโฉมที่แท้จริงของเจ้าหรือ?”
นางถามอย่างประหลาดใจ “ข้าระวังมากพอแล้ว ถามหน่อยได้ หรือไม่ว่าเจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “บังเอิญผ่านทางมา ยังไม่ทันได้ดื่มเหล้าเคล้า นารีก็อยากแวะเข้ามาดูก่อน”
เหมือนนางจะยอมรับชะตากรรม ถึงกับไม่มีความคิดที่จะหลบหนี เอ่ยเสียงสั่นว่า “สุดท้ายขอถามอิ่นกวานอีกสักเรื่อง ทาอย่างไรถึงจะมี ชีวิตรอด?”
เฉินผิงอันยกฝ่ ามือข้างหนึ่งขึ้นโบกเบาๆ เลือดเนื้อพลันหลอม ละลาย ฝ่ ามือเหลือให้เห็นเพียงกระดูกขาว เลือดเนื้อที่ถูกสลัด ออกมารวมตัวกันเป็ นก้อนอยู่กลางอากาศ “เอาไปชะ”
นางอ้าปากค้าง อิ่นกวานหนุ่มผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือไร? ตนตั้งใจ วางแผนมานานหลายปีขนาดนี้ก็ไม่ใช่เพื่อหวังจะได้เส้นผมหรือไม่ก็ เลือดเนื้อของอีกฝ่ ายหรือไร หรือต่อให้เลือกไปถอยล าดับรอง แค่ได้ เห็นหน้าอีกฝ่ ายก็พอแล้ว เพียงแต่ว่าผลลัพธ ์จะถูกลดทอนไปมาก เนื่องจากปริมาณการถ่ายโอนจะไม่มากพอ ไม่แน่เสมอไปว่าจะ สามารถท าร ้ายรากฐานมหามรรคาของเฉินผิงอันได้ หรือหากไม่ได้ จริงๆ ก็คงจะต้อง “ใส่ร ้ายป้ ายสี” ผู้ฝึกตนหญิงแคว้นหูที่ออกมาฝึก ประสบการณ์ข้างนอก
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เจ้าเป็ นนักวาดขนคิ้วควบกับคนเย็บ ผ้ากระมัง บางทีอาจจะยังเป็ นนักเขียนนิยายที่เชี่ยวชาญเรื่อง เกล็ดพงศาวดาร บวกกับเป็ นขุนนางผู้ทาหน้าที่บวงสรวงซึ่งหาได้ ยากของเปลี่ยวร ้างด้วย? มีทักษะเยอะไม่ทับตัวตาย อีกทั้งยังสามารถ เอามาหลอมรวมในเตาเดียวกันได้ ตามหลักแล้วสหายอยู่ที่ใต้หล้า เปลี่ยวร ้างก็ไม่น่าจะถึงขั้นใช ้ชีวิตไม่รอด ไฉนต้องมาอยู่งัดข้อกับข้า ที่นี่ด้วย”
นางยืนสองนิ้วออกมา ปลดใบหน้าหนังมนุษย์ออกไปก่อนสาม ชั้นเหมือนเปลื้องเสื้อผ้า ตอนแรกก็กลายไปเป็ นใต้เท้าผู้ตรวจการ ประจาเมือง จากนั้นก็เป็ นบัณฑิตวัยกลางคนลักษณะสุภาพอ่อนโยน สุดท้ายถึงเป็ นรูปโฉมที่แท้จริง ยังคงเป็ นสตรีเหมือนเดิม แต่ใบหน้า อ่อนเยาว์กว่าเดิม สีหน้าซีดขาว ริมฝีปากแดงสด ตรงล าคอมีรอย แผลเป็ นที่สะดุดตาอย่างยิ่ง ปราณกระบี่เป็ นเส้นๆ ไหลเอ่อออกมาท า
ให้รูปโฉมของนางที่เดิมทีเรียกได้ว่างดงามกลับบิดเบี้ยวไม่หยุด นาง ถามว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานยังจ าข้าได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันชุดขาวส่ายหน้า “จ าไม่ได้จริงๆ”
เขาจ าไม่ได้ ก็คือจ าไม่ได้จริงๆ
เห็นว่านางไม่งับเหยื่อ เขาจึงเก็บเลือดเนื้อปลอมที่เป็ นเหมือน โคลนเละๆ รวมกันเป็ นกองก้อนนั้นกลับมาที่ฝ่ามืออีกครั้ง
เจียงซ่างเจินเก็บจิตหยางและจิตหยินกลับคืน ไปนั่งอยู่ที่ราว ระเบียงของชั้นสอง อันที่จริงเขาไม่ได้แวะมาเยือนหอโคมเขียวนาน มากแล้ว
นางพลันเดือดดาลอย่างหนัก ยื่นมือไปกดบาดแผลตรงลาคอ ท่าทางคล้ายคนเสียสติ “หนิงเหยา เป็ นนังแพศยาลูกหญิงโสเภณีห นิงเหยาที่มอบบาดแผลนี้ให้ข้า เป็ นนางที่ฟาดฟันกระบี่บนสนามรบ ส่งเดช ทาให้ข้าสูญเสียโอกาสที่จะเลื่อนเป็ นห้าขอบเขตบนไป…”
เจียงซ่างเจินรู ้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ อดเหลือบมองเจ้าขุนเขา ไม่ได้ ประหลาดนัก ไม่คิดจะขัดขวางไม่ให้สตรีผู้นี้ด่าบ้างหรือ? แต่ดู ท่าตนคงไม่ต้องเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาแล้วกระมัง?
พริบตานั้นผู้ฝึกตนหญิงแห่งเปลี่ยวร ้างที่เป็ นขอบเขตก่อกาเนิด ผู้นี้ก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดที่ลี้ลับมหัศจรรย์ แห่งหนึ่ง
ไม่มีกลิ่นอายความเยียบเย็นน่าสะพรึงกลัวอะไร ไม่มีวี่แววว่าจะมี การซุ่มสังหารอยู่รอบทิศ กลับกันยังเหมือนอยู่ในป่าหยกทองที่ปราณ วิญญาณเปี่ยมล้นเข้มข้นจนเหมือนสายน้า
เมื่อนางร่ายวิชาหลบหนีหลากหลายชนิด ผลกลับพบว่าต่อให้ พยายามทะยานลมอย่างเต็มกาลัง ภูเขาที่มองดูเหมือนไม่ใหญ่กลับ ขยายขนาดขึ้น เป็ นเหตุให้นางไม่อาจออกไปจากอาณาเขตของ ภูเขาลูกนี้ได้ ราวกับว่าภูเขาลูกนี้กับนางมีการเชื่อมโยงที่สอดคล้อง ต้องกันอย่างสมบูรณ์ นางใช ้ทุกวิธีการที่มี เรียกเอาวัตถุแห่งชะตา ชีวิตกองใหญ่และวิชาอภินิหารมากมายออกมา ทุกครั้งที่ทาลาย ภูเขาลูกนั้นให้แตกสลายได้แล้ว นาทีถัดมามันกลับกลับคืนมาเป็ น ดังเดิมอีกครั้ง นี่ทาให้จิตแห่งมรรคาของนางเกือบจะแหลกสลาย หนึ่ง คนกับหนึ่งภูเขาผลาญพลังกันอยู่เช่นนี้ นางถึงขั้นไม่รู ้เลยว่าเวลา ผ่านไปกี่วันหรือกี่เดือนแล้ว? สุดท้ายนางก็ได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะ ใช ้เรี่ยวแรงฝ่ าทาลายค่ายกล นางเริ่มเดินขึ้นเขา ดูเหมือนว่าสี่ ฤดูกาลในภูเขาล้วนเป็ นวสันตฤดู บนเส้นทางภูเขามีดอกล่าเหมย และดอกสุ่ยเซียน ดอกท้อและดอกไห่ถัง ร ้อยบุปผาทยอยกันเบ่งบาน มีเจ๋อเซียนหนุ่มคนหนึ่งที่กาลังต้มเหล้าอย่างขะมักเขม้นในช่วงเวลา ที่บุปผากาลังผลิบานนี้
บนยอดเขา เจ้าบ้านชุดขาวที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่ง มรรคานั่งอยู่ข้างโต๊ะตัวหนึ่ง ผายฝ่ ามือข้างหนึ่งออกมา ชี้ไปยังสุรา
ถ้วยหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จาไว้นะ นี่เรียกว่าเหล้าข้าว ฟ่าง”
นางยืนอยู่ที่เดิม
เขายังคงยิ้มเอ่ยต่อว่า “นี่เรียกว่าเหล้าข้าวฟ่ าง จาได้ไหม? แม่ นางต้องจ าไม่ได้แน่เลยไม่เป็ นไร ข้าสามารถพูดซ้าอีกรอบได้”
หลังจากนั้นเขาก็พูดคาว่า “เหล้าข้าวฟ่ าง ซ้าไปซ้ามา ส่วนผู้ฝึก ตนหญิงคนนั้นก็ต้องฟังประโยคที่เป็ น “บทเริ่มต้น” นั้นซ้าไปซ้ามา
นางคนนี้รู ้แค่ว่าทุกครั้งล้วนเป็ นคนชุดขาวที่แนะนาชื่อเหล้าให้ นางรู ้จัก แต่นางอีกคนหนึ่งที่คล้ายถูกดึงจิตวิญญาณออกไป จิตแห่ง มรรคาที่เดิมทีก่อนจะเดินขึ้นเขาก็สายไหวจะพังมิพังแหล่อยู่แล้วก็มิ อาจประคับประคองตัวได้อีกต่อไป เพราะนางจาได้อย่างชัดเจนว่าอิ่น กวานหนุ่มผู้นั้นพูดคาว่า “นี่คือเหล้าข้าวฟ่ าง” ซ้าไปหลายร ้อยรอบ แล้ว! ทว่าท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็น นางสัมผัสได้ว่าตัวเอง อีกคนหนึ่งคล้ายจะหลงลืมคาว่า “เหล้าข้าวฟ่าง” นี้ไปอย่างสิ้นเชิง!
ในที่สุดเฉินผิงอันชุดขาวก็ยอมเปลี่ยนคาพูด “ระหว่างที่เดินมา เจ้าเห็นดอกล่าเหมย (ดอกเหมยสีเหลือง) ดอกสุ่ยเซียน (ดอก เทพธิดาน้า ดอกเป็ นสีขาวเกสรสีเหลือง) ดอกท้อ ลอกไห่ถัง (ดอกไม้ ตระกูลแอปเปิ้ลมีหลายสี สีแดง สีขาว สีชมพู) ดอกเยว่จี้ (ดอก กุหลาบจีน ชนิดหนึ่ง) ดอกโบตั๋น….”
ทุกครั้งที่เฉินผิงอันพูดชื่อดอกไม้ นางที่อยู่นอกจิตวิญญาณก็ หลงลืมชื่อดอกไม้พวกนั้นไปอย่างหมดจด ราวกับว่าชีวิตนี้นางไม่ เคยได้ยินแล้วก็ไม่เคยเห็นดอกไม้พวกนี้มาก่อน
“ดอกไม้”
เมื่อเฉินผิงอันพูดตัวอักษรนี้ออกมาตามลาดับ
ก็ดูเหมือนว่าในประสบการณ์ของชีวิตที่ผ่านมาของนางไม่เหลือ ของสิ่งนี้อยู่อีก
“ขอบเขตก่อกาเนิด “ใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง” “ผู้หลอมลมปราณ”
เมื่อเฉินผิงอันเอ่ยสามคานี้ออกมา นางก็ลืมพวกมันตามไปด้วย
คือเวทกระบี่? คือวิชาอภินิหาร?!
เฉินผิงอันผู้นี้ คือ…ตัวประหลาดที่จะเป็ นคนก็ไม่ใช่คน เป็ นเซียน ก็ไม่ใช่เซียน เป็ นเทพก็ไม่ใช่เทพ เป็ นผีก็ไม่ใช่ผี!
ไม่จ าเป็ นต้องให้อีกฝ่ ายกายดับมรรคาสลาย จิตวิญญาณย่อย ยับ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้า เขาจงใจเก็บรักษาความสมบูรณ์แบบ ของอีกฝ่ ายเอาไว้ เพียงแค่เล่นงานในด้านจิตใจของผู้ฝึกบ าเพ็ญตน เท่านั้น?
จิตใจที่เกิดความสิ้นหวังดวงนั้น นางรู ้ชัดเจนดีวาขอแค่เฉินผิง อันยินดี คิดจะลบเลือนตนทิ้งไป ถมทะเลสาบแห่งหัวใจให้ราบเรียบ
จากนั้น ตน ในบางความหมายก็จะกลายไปเป็ นกระดาษขาวแผ่น หนึ่ง ไม่ว่าเป็ นผิงอันจะเขียนตัวอักษรตัวใดลงไป นางก็คือนางคนนั้น
“ใครเป็ นคนสอนเจ้า?”
“ธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้งรับมือกับจิตมารมานานก็ จ าต้องเรียนรู ้การใช ้ศาสตร ์นี้มารักษาเอาตัวรอด”
“ทาไมถึงเก็บสติปัญญาส่วนนี้ของจาเอาไว้?”
“ฝึกปรือฝีมือ ต้องให้เจ้ากับเจ้ามาพิสูจน์กันเอง”
ภายหลังเฉินผิงอันก็สลับลาดับก่อนหลัง เอาเนื้อหาคาว่า “ผู้ หลอมลมปราณ” “ใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง” พูดไล่จากหลังมาหน้า จนกระทั่งถึงประโยคที่ว่า “นี่เรียกว่าเหล้าข้าวฟ่ าง คืนกลับให้นางไป ทีละอย่าง
นางได้แต่อยู่เฉยรอความตายเท่านั้นแล้ว ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ ต่อสู้อีกต่อไป
เพิ่งรู ้ว่าที่แท้การฝึกตนก็สามารถ…ฝึกอย่างผิดหลักทานองคลอง ธรรมเช่นนี้ได้มรรคาสามารถฝึ กกันได้เช่นนี้ สามารถฝึ กมรรคา เช่นนี้ได้
เพียงแต่ไม่รู ้ว่าเหตุใด สองฝ่ ายต่างก็เงียบงันไร ้ค าพูดกันไปนาน รอกระทั่งนางที่จิตวิญญาณสมบูรณ์ เรือนกายครบถ้วนเงยหน้ามอง ไป กลับเห็นอิ่นกวานชุดขาวที่ใบหน้านองไปด้วยน้าตา
นางหัวสมองว่างเปล่าไปก่อน จากนั้นความคิดบางอย่างก็ผุดวูบ ขึ้นมา หลุดปากเอ่ยไปว่า “เจ้าก็คือจิตมารของเฉินผิงอัน?!”
คนชุดขาวเช็ดน้าตา มุมปากยกโค้ง คล้ายร ้องไห้คล้ายหัวเราะ “ใครว่าไม่ใช่กันล่ะ”
กระทั่งถึงบัดนี้ นางถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าตาแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่คือ โครงกระดูกขาวโพลนที่กลายมาเป็ นภูเขา เบื้องล่างล้วนมีแต่ซาก โครงกระดูก
บุรุษสวมชุดเขียวปักปิ่นหยกคนหนึ่งเผยกายจากความว่างเปล่า ดวงตาเป็ นสีทอง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในที่สุดก็หาเจ้าเจอเสียที จิตมาร คนหมักเหล้า เทพนักดื่มสุรา ลาดับขั้นสลับสับเปลี่ยนกันหรือไม่?”
ฝนใหญ่หยุดตกชั่วคราว ท้องฟ้ าปลอดโปร่งเป็ นสีฟ้ าคราม เพียงแต่ว่าดูจากท่าทางแล้วฝนน่าจะยังตกอยู่เหมือนเดิม ทางฝั่งของ โรงเรียน มีอาจารย์สอนหนังสือคนหนึ่งนั่งยองริมน้าชักกางเกงเปื้อน ฉี่ด้วยท่าทางคล่องแคล่วคุ้นชิน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว ข้างกันมีเด็กน้อยเปลือยกันยืนอยู่ ไม่ว่าอย่างไรเด็กน้อยก็ไม่ยอม สวมกางเกงตัวนี้กลับบ้านอาจารย์ต้องพร่าพูดอยู่นานเขาถึงจะยอม วิ่งกลับไปที่บ้านแล้วเดินอาดๆ กลับมาที่ริมลาธารพบว่าอาจารย์ไม่ อยู่ที่นั่นแล้วก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด ยังดีที่อาจารย์ไม่ได้เอา กางเกงของเขาไปตากไว้บนราวไม้ไผ่ในลานตากธัญพืช เสียงอ่าน ตาราดังกังวานอยู่โรงเรียน เพื่อนๆ กาลังท่องตารา อาจารย์ยืนอยู่ ตรงหน้าประตู เด็กน้อยโล่งอก วิ่งไปอยู่ข้างกายอาจารย์ เอ่ยฟ้ อง
เสียงเบา บอกว่าดูเหมือนว่าอาเหมยก็อยากออกจากโรงเรียนแล้ว เหมือนกัน เพราะพ่อแม่ของนางรังเกียจที่อาจารย์ท่านสอนหนังสือไร ้ คุณธรรม เรียนวิชาประถมจากอาจารย์ วันหน้าไม่มีทางได้ดิบได้ดี ปากยังไม่มีหนวดเครา ทาอะไรเชื่อถือไม่ได้นี่นะ (เปรียบเปรยถึงคนที่ อ่อนประสบการณ์) เป็ นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้วยังโสดอยู่อีก จะมี ความสามารถอะไรได้ มิน่าเล่าเวลาปกติเดินอยู่บนทางสายตามักจะ ไม่อยู่นิ่ง ชอบจ้องมองพวกแม่นางน้อยและหญิงสาวทั้งหลาย ดังนั้น ถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า หากอยากเรียนรู ้ให้ได้ของที่จับต้องได้จริงก็ ต้องไปเรียนที่โรงเรียนของอาจารย์ผู้เฒ่าที่หมู่บ้านอู๋ซีถึงจะได้ จะโลภ มากคิดว่าที่นี่ราคาถูกจนเป็ นการทาลายอนาคตของลูกตัวเอง สั่ง สอนผิดจะทาให้ลูกหลานของคนอื่นต้องเสียคนไม่ได้….อาจารย์หนุ่ม ฟังเด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วก็ขมวดคิ้วมุ่นกลัดกลุ้มอย่างอดไม่ได้ รวมๆ กันแล้วก็มีเด็กอยู่แค่ไม่กี่คน นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วันก็มีเด็กลาออกไป สามคนแล้ว หากยังลาออกอีกก็ไม่เข้าท่าแล้ว เด็กน้อยพูดความใน ใจจากใจจริงตัวเองก่อน แล้วค่อยถามค าถามทิ่มแทงใจว่า อาจารย์ ท่านวางใจเถอะ ข้าจะยืนอยู่ข้างท่านแน่นอน อาจารย์ท่านบอกข้ามา ตามตรง ท่านเคยเรียนมากี่ปี เคยอ่านตารามากี่เล่มหรือ? เฉินผิงอัน ลูบหัวของเด็กน้อย ยิ้มเอ่ยว่า อาจารย์ไม่เคยเรียนที่โรงเรียนแม้แต่วัน เดียว แต่กลับอ่านต ารามาเยอะมาก…เด็กน้อยถอนหายใจ ตบข้อมือ ของอาจารย์ อาจารย์ ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ หากยังพูดต่อไป แม้แต่ข้าก็ อยากลาออกแล้ว เมื่อก่อนข้ายังคิดอยากจะสอบเป็ นซิ่วไฉอยู่นะ อาจารย์ ท่านคืนเงินมาเถอะ พวกเราสองคนไปซื้อถังหูลู่กินกันดีว่า
ซิ่วไฉไม่ซิ่วไฉ วันหน้าค่อยว่ากัน เฉินผิงอันเขกมะเหงกลงบนหัวเด็ก น้อยเบาๆ ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ไปอ่านหนังสื