กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1084.4 หิมะตกหนัก
หากไม่เป็ นเช่นนี้ ด้วยลักษณะนิสัยการกระทาที่ผ่านๆ มาของ เฉินผิงอัน ป่ านนี้ก็คงให้เสี่ยวโม่หรือไม่ก็เจียงซ่างเจิน รวมถึงชุยตง ซานร่วมแรงกันนาร่มกลับมาที่ใบถงทวีปแล้วเพราะถึงอย่างไรการ เคลื่อนย้ายพื้นที่มงคลทั้งแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกวันนี้ยังเป็ นฟ้ า ดินที่มีห้ามหาบรรพตน้อยใหญ่และมหามรรคาที่สมบูรณ์แบบเส้น หนึ่งแล้ว นี่คือการกระทาที่เปลืองแรงยิ่งกว่าการย้ายภูเขาใน ความหมายทั่วของตระกูลเซียนเสียอีก นอกจากนี้ระหว่างที่เดิน ทางไกลอยู่ข้างนอก ร่มกระดาษน้ามันที่ถูกกาหนดมาแล้วว่าจะไม่ อาจใช ้วิธีการใดๆ ของตระกูลเขียนน าไปวางไว้ในช่องโพรงแห่งชะตา ชีวิตได้เล่มนี้ หากเกิด “คลื่นลมกระเด้งกระดอน” ใดๆ ขึ้นมา ไม่พูด ถึงความเสียหาย พูดถึงแค่การถูกเขย่าแรงๆ ไม่กี่ที เกรงว่าส าหรับ สรรพชีวิตในพื้นที่มงคลแล้วก็คงจะเป็ นภัยธรรมชาติที่ยากจะคาดเดา ได้ว่าผลลัพธ ์ที่ตามมาจะเล็กหรือใหญ่
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงต้องระวังแล้วระวังอีก รอบคอบแล้วรอบคอบ อีก
รอกระทั่งเสี่ยวโม่กลับจากใต้หล้ามืดสลัวมายังภูเขาลั่วพั่ว เซี่ยโก่วก็น่าจะออกจากภูเขาใหญ่แสนลึกลับมายังใต้หล้าไพศาล แล้วเช่นกัน พอดีที่พวกเขาก็จะมีโอกาสได้อยู่กันเพียงล าพัง
ส่วนเสียวโม่จะรักษาความบริสุทธิ์ของร่างกายไว้ได้หรือไม่ เซี่ย โก่วจะท าให้ข้าวสาร กลายเป็ นข้าวสุกได้หรือไม่ หึหึ ก็ให้พวกเขา อาศัยความสามารถของตัวเองกันเอาเองเถอะ
หลิวสวิ้นสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของบ่อน้าที่อยู่ในลานบ้าน ก็รีบเร่งรุดมาถึง หากไม่มีใครมาเลย ทาให้เขาต้องเฝ้ าอยู่ที่นี่อย่าง เบื่อหน่ายปีแล้วปีเล่าก็กลายเป็ นว่าพอมากันทีก็กรูกันมาราวผึ้งแตก รัง พวกเจ้านัดกันมาหรืออย่างไร?
แม้จะติดขัดที่ภาระหน้าที่ ถูกสถานะของตัวเองจากัดเอาไว้ทาให้ ไม่อาจออกไปนอกเมืองหลวงได้แม้แต่ชั่วขณะเดียว แต่ถึงอย่างไร หลิวสวิ้นก็เป็ นเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตก่อกาเนิดคนหนึ่งแล้ว ข่าวสารของเขาจึงนับว่าพอจะว่องไว อาศัยรายงานจากที่ว่าการและ รายงานขุนเขาสายน้าที่หาซื้อมาทาให้รู ้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก ภายนอกอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงจาเด็กหนุ่มชุดขาวได้ทันที คือชุยตง ซานเจ้าสานักคนแรกของสานักกระบี่ชิงผิง ลูกศิษย์เอกของอิ่นกวาน หนุ่มแห่งกาแพงเมืองปราณกระบี่
หลิวสวิ้นไม่กล้าประมาทเลินเล่อ บอกกล่าวตัวตนของตัวเองต่อ แขกที่ไม่ได้รับเชิญทั้งสองท่านอีกครั้ง
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ฉิงหล่าง เจ้าไปทักทายเหยาจิ้นจือที่วังหลวง ก่อน อธิบายว่าท าไมถึงได้มีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้น หากฮ่องเต้ยินดีเก็บ กวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ก็ให้มาลองเสี่ยงดวงที่นี่ดู ให้นางเรียกพวกผู้ ถวายงานระดับล่างจานวนหนึ่งมา สกุลเหยาต้าเฉวียนขาดคนที่ต่อสู้
ได้ คนกลุ่มนี้ก็เป็ นพวกในกระเป๋ าขาดเงิน นี่เรียกว่าคู่สร ้างคู่สม น่าจะเข้ากันได้ดี”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หลังจากสอบถามเส้นทาง จากหลิวสวิ้นแล้วก็เดินวนผ่านเสาแกะสลักรั้วหยกพวกนั้นออกไป จากเรือน ไปปรึกษาเรื่องนี้กับเหยาจิ้นจือ
ในใจหลิวสวิ้นตกตะลึงเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะยังเป็ นบัณฑิตที่ จริงจังคนหนึ่ง
ทางฝั่งของบ่อน้าพื้นที่มงคล คนที่ช่วยภูเขาลั่วพั่วมา “น าทาง ปกป้ องมรรคา” ยังมีผู้ฝึกลมปราณอีกกลุ่มหนึ่งของพื้นที่มงคลที่ได้ รับคาเชิญให้มาเป็ นผู้ช่วยที่นี่ ขุนหว่านแย่นนั้นมาร่วมวงความ ครึกครื้น นางงอนิ้ว ปลอกนิ้วที่สวมอยู่ส่องประกายวาบวับ ในฐานะผู้ ฝึกตนของท้องถิ่น นี่ยังเป็ นครั้งแรกที่ซุนหว่านแย่นได้เห็นผู้หลอม ลมปราณมากมายขนาดนี้ นางถอนหายใจเบาๆ ที่แท้ข้างนอกผู้ หลอมลมปราณก็ไม่มีค่าถึงเพียงนี้
หลัวฟู่ เม่ยลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเพ่ยเชียงแห่งแคว้นหูรับหน้าที่ น าพาผู้ฝึกตนหญิงของแคว้นหูที่ประหนึ่งสกุณารวมกลุ่มออกมาสูด อากาศข้างนอกอย่างที่หาได้ยาก บวกกับที่เฉินอิ่นกวานแห่งภูเขาลั่ว พั่วออกคาสั่งด้วยตัวเอง พวกนางจึงไม่กล้าเพิกเฉยละเลยแม้แต่น้อย ผู้ฝึกตนหญิงเผ่าจิ้งจอกแต่ละคนที่แต่งตัวงามประณีติประหนึ่งขุนนาง หญิงผู้ทาหน้าที่จดบันทึกอยู่ในวัง คอยบันทึกจานวนคน ชื่อฉายา
ภูมิลาเนา สานักและทาเนียบขุนเขาสายน้าของทุกคนไว้อย่าง ละเอียด
เรื่องที่ประหลาดเพียงหนึ่งเดียวก็คือเพ่ยเซียงเจ้าแห่งแคว้นหูออก กฎข้อหนึ่งให้กับพวกนาง บอกว่านอกจากพวกนางจะต้องจับพู่กัน เขียนบันทึกด้วยตัวเองแล้ว ผู้หลอมลมปราณของใบถงทวีปพวกนั้น ก็ต้องเรียงแถวกันมานั่งลง ให้พวกเขาอธิบายกับปากแล้วก็ต้องยก พู่กันเขียนด้วยตัวเองด้วย
เมื่อเป็ นเช่นนี้ทางฝั่งของแคว้นหูก็จะมีเอกสารเก็บไว้สองฉบับ
นี่ไม่ใช่การถอดกางเกงผายลมหรอกหรือ?
หลัวฟู่ เม่ยคอยจับตามองชายหญิงทั้งเด็กและแก่ที่มีหน้าตา บุคลิกแตกต่างกันไป คล้ายกับขุนนางผู้ตรวจตราคนหนึ่ง
นอกจากเฉานี่มือกระบี่ที่เพิ่งเลื่อนเป็ นขอบเขตร่างทอง ก็ยังมีผู้ ฝึกยุทธหนุ่มที่พรสวรรค์ไม่เลวอีกสองคนอย่างหยวนหวงและอูเจียง พวกเขาต่างก็เตรียมจะไปเปิดหูเปิดตาที่โลกภายนอกแล้ว
หยวนหวงเองก็นั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มสาวงาม ช่วยเขียนเอกสาร ผ่านด่านให้ อูเจียงใช ้สองมือกอดดาบ นั่งอยู่หลังโต๊ะ มองดูเหมือนไม่ มีอะไรให้ท า แต่แท้จริงกลับมองอย่างเพลิดเพลินเป็ นบุญตายิ่งนัก
และยังมีเฮ้อฉีโจวปรมาจารย์หญิงแห่งเจี้ยงโจวแคว้นซงไล่ รวม ไปถึงผู้ฝึกยุทธเฒ่าที่ว่ากันว่าอาจารย์ของเขาคือหลิวจงคนลับมีด ผู้ เฒ่าที่อายุเกือบหกสิบปีคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก ก่อนหน้านี้ก็ได้รับ
เทียบเชิญจากเกาจวินแห่งพรรคหูซาน แต่กลับไม่ได้เข้าร่วมการ ประชุมที่อารามต้ามู่ นอกจากจะเป็ นการประลองขัดเกลาฝีมือระหว่าง ยอดฝีมือด้วยกันหรือการรบราฆ่าฟันกันแล้ว ผู้เฒ่าไม่เคยสินใจการ ทะเลาะโต้เถียงที่ขยับแต่ริมฝีปาก หรือไม่ก็การช่วงชิงอานาจช่วงชิง ผลประโยชน์พวกนี้แม้แต่น้อย ครั้งนี้ผู้เฒ่าได้รับข่าว ไม่พูดพร่าท า เพลงก็เร่งรุดมาที่นี่ทันที เขาอยากจะออกจากฟ้ าดินแห่งนี้ไปเยี่ยมหา ท่านอาจารย์ผู้อาวุโสบ้างแล้ว
จิตใจของผู้ฝึกบ าเพ็ญตนคือฟ้ าดิน
เรื่องแปลกประหลาดทั้งหลายต่างหากที่ไม่แปลกและไม่ประหลาด
บนยอดเขาที่มีร ้อยบุปผาสีสันสดใสงามตาและไผ่เขียวขจีนับ หมื่นต้น นักร่าสุราชุดเขียวใช ้นิ้วเคาะชามขาวเบาๆ เกิดเป็ นเสียงดัง กังวานติ้งๆ “ว่าอย่างไร?”
จิตมารชุดขาวยิ้มเอ่ย “นี่มันคาถามอะไรกัน ข้าจะพูดอะไรได้? มี อะไรที่ข้าพูดได้บ้างล่ะ?”
ผู้ฝึกตนกับจิตมาร ต่างฝ่ายต่างเป็ นศัตรูกัน น้าหั่นกันเอง
นักพรตที่กาจัดจิตมารได้อย่างสะอาดเอี่ยมก็เหมือนการ ตรวจทานต ารา ตรวจทานตาราก็เหมือนปัดกวาดใบไม้ร่วงบนพื้น แห่งหัวใจ กวาดไปแล้วก็หวนกลับมาใหม่ ไม้ใบร่วงพลิ้วไสวฝุ่ นตลบ ยิ่งปัดยิ่งมี
“ถ้าอย่างนั้นก็มาปรึกษากันหน่อย ไม่สู้ต่างคนต่างถอยคนละ ก้าว เจ้าและข้าอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง?”
จิตมารชุดขาวได้ยินแล้วก็ถอนหายใจหนักๆ สองมือสอดกันไว้ ในชายแขนเสื้อ เงยหน้ามองฟ้ า “เจ้าและข้าต่างก็รู ้ดีว่าเฉินผิงอัน ไม่ใช่อู๋ซ่วงเจี้ยง จะกาจัดจิตมารทิ้งได้อย่างไร”
“ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องยาก กลัวก็แต่คนมีใจ วิธีการที่ต้องทาเพราะ อับจนหนทาง ถึงอย่างไรก็ต้องคิดออกมาได้”
“ข้าคิดไม่ออก ราคาที่ต้องจ่ายคืออะไร?”
“เจ้าคิดไม่ออกก็ไม่เป็ นไร ขอแค่เจ้ายอมรับในวิธีการบางอย่าง ได้จากใจจริงก็พอ ส่วนราคาที่ต้องจ่ายน่ะหรือ ก็คือเจ้าจะได้รับอิสระ ในระดับที่แน่นอน คล้ายกับจิตหยินของผู้ฝึกตน”
“ฟังแล้วไม่มีความจริงใจใดๆ เลยนะ”
“อันที่จริงกลับจริงใจอย่างมากเลยล่ะ”
จิตมารชุดขาวยิ้มบางๆ “พูดหนึ่งพันกล่าวหนึ่งหมื่น ไยพวกเรา ต้องหลอกตัวเองและหลอกคนอื่นด้วยเล่า อันที่จริงข้าเชื่อในวิธีการ นั้นของพวกเจ้า แต่หากเปลี่ยนมาเป็ นจิตมารอย่างอื่นที่ไม่ใช่ข้าก็คง จะรู ้สึกว่าไม่เลว คาดว่าก็น่าจะผลักเรือตามน้าพยักหน้าตอบตกลงไป แล้ว น่าเสียดายนัก”
นักร่าสุราชุดเขียวทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ข้าในอดีตของ พวกเราช่างดื้อดึงจริงๆ ก็จริงนะ หากไม่มีเจ้าก็ไม่มีทางมีพวกเรา พวกเราก็ไม่มีทางเดินมาถึงจุดที่สูงได้อย่างทุกวันนี้”
จิตมารที่แท้จริงของเฉินผิงอันเองก็คือตัวของเฉินผิงอันในอดีต
หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือเด็กน้อยที่ชอบปฏิเสธตัวเองคนนั้น
และเวลานี้เอง บนภูเขาก็มีดวงจิตอีกดวงหนึ่งของเฉินผิงอันโผล่ มา หากว่ากันในบางความหมายแล้ว เขาต่างหากถึงจะเป็ นร่างจริง ถอนเวทอ าพรางตาออก สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสด มือทั้งคู่ถือกระบี่ ใช ้กระบี่ยันพื้น
เฉินผิงอันนั่งลงบนพื้น วางกระบี่ยาวพาดหัวเข่า เขาที่ทั้งใบหน้า และเรือนกายล้วนพร่าเลือนหันมามองพวกเขา หนึ่งคือตัวเองในอดีต อีกหนึ่งคือตัวเองที่บริสุทธิ์ เขายิ้มโบกมือทักทายพวกเขา
คนชุดเขียวที่มีดวงตาสีทองบริสุทธิ์คู่หนึ่งเดินมาอยู่ข้างกายเฉิน ผิงอันก่อน นั่งยองลงบนพื้น ยื่นมือไปขยุ้มดินขึ้นมาหนึ่งกามือ กา เอาไว้นฝ่ามือแล้วถูเบาๆ
ส่วนผู้ไร ้มลทินชุดขาวที่ราวกับว่าฝุ่นผงสักเม็ดก็มิอาจแปดเปื้อน กลับลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยังลุกขึ้นยืนจากข้างโต๊ะ เดินมาทางนั้น เดิน ไปเดินมาก็กลายมาเป็ นเด็กหนุ่ม ก่อนจะกลายมาเป็ นเด็กน้อย
ไม่จาเป็ นต้องมีคาพูดใดๆ เฉินผิงอันตัวจริงที่เป็ นตัวแทนของ ความเป็ นมนุษย์อันซับซ ้อนกับเฉินผิงอันที่มีความเป็ นเทพ ทั้งสอง
ฝ่ ายต่างก็เว้นที่ว่างให้กับเด็กน้อยที่ขี้กลัวซึ่งก าลังใช ้สายตาสงสัย หวาดเกรงและคาดหวังมองโลกใบนี้ ให้เด็กน้อยนั่งอยู่ตรงกลาง พวก เขาคล้ายกาลังปกป้ องเด็กน้อยที่ยังไม่เติบใหญ่อย่างไรเสียง
เด็กน้อยนั่งลงบนพื้น ด้านหลังมีตะกร ้าไม้ไผ่เพิ่มมา ในตะกร ้าไม้ ไผ่มีแค่สมุนไพรบางๆ ชั้นหนึ่ง เด็กน้อยกอดเข่า ไม่รู ้ว่ากาลังคิดอะไร
อยู่
เฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดเปิดปากพูดด้วยน้าเสียง แหบพร่า “เพราะรู ้ว่าพอเติบใหญ่แล้วจะล าบากมากกว่าเดิม ถึงได้ไม่ ยินดีจะเติบใหญ่ ไม่อยากกลายมาเป็ นข้าอย่างในตอนนี้หรือ?”
เฉินผิงอันที่สวมชุดเขียวปักปิ่นหยกหัวเราะดังหึ แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ที่แท้ปี นั้นพวกเราก็คือแมลงขี้เกียจตัวน้อยที่ทนรับความ ลาบากไม่ได้เลยนี่นา ผ่านไปนานหลายปี จนเกือบจะลืมไปแล้ว นะเนี่ย”
เฉินผิงอันที่ยื่นมือไปกดฝักกระบี่พึมพาว่า “จะทาอย่างไรได้ล่ะ ถึงอย่างไรก็กลับไปตอนก่อนห้าขวบไม่ได้แล้ว”
เด็กน้อยฟังมาถึงตรงนี้ ในที่สุดก็เปิดปากพูดอย่างขลาดๆ ว่า “ได้สิ แค่เดินกลับไปก็ได้แล้ว จะได้เห็นท่านพ่อท่านแม่ ได้เห็นพวก เขาอย่างชัดเจน ไม่ต้องจดจ าใบหน้าของพวกเขาไม่ได้อีกต่อไป แล้ว ยังจะได้ยินอย่างชัดเจนด้วยว่าพวกเขาพูดอะไร”
พูดมาถึงนี้ บนเท้าสองข้างของเด็กน้อยก็สวมรองเท้าสานคู่หนึ่ง ที่สอดคล้องกับอายุของเขาเอง คือของเก่าเพียงชิ้นเดียวของเด็ก กาพร ้าตรอกหนีผิงที่ไม่ได้เอาไปแลกของกินจากคนวัยเดียวกัน บาง ทีอาจเป็ นเพราะตัดใจไม่ได้ บางทีอาจเป็ นเพราะคนอื่นไม่ต้องการไม่ ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร สุดท้ายรองเท้าคู่นี้ก็ยังถูกเก็บไว้ในบ้านบรรพ
บุรุษ
เด็กน้อยเอ่ยอย่างน้อยใจว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่มีวิธีให้กลับไป เจ้าก็ แค่ตัดใจจากทุกอย่างที่เจ้าได้ครอบครองเวลานี้ไม่ได้ แม้แต่พ่อแม่ เจ้าก็ไม่ต้องการแล้ว ข้าไม่อยากกลายไปเป็ น คนแบบเจ้า”
เฉินผิงอันชุดเขียวที่มีความเป็ นเทพใช ้มือขวาปลดหยกเขียวที่ อยู่บนมวยผมลงมา เป่าลมลงไปบนตัวอักษรที่แกะสลักเบาๆ ส่วนมือ ซ ้ายยื่นไปลูบหัวของเด็กน้อย เอ่ยอย่างเสียใจว่า “เจ้าโง่น้อย นั่นมัน ของปลอม ทุกอย่างล้วนเป็ นเพียงภาพลวงตา ที่แท้ข้าในอดีตก็ไม่ได้ เข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็ นอย่างดี ไม่ได้รู ้จักที่จะให้อภัยคนอื่นถึงเพียง นั้น แต่ก็เหมือนจะไม่ถูกนะ เป็ นเพราะชอบงัดข้อกับตัวเองที่สุดหรือ?”
เด็กน้อยเหม่อมองไปยังทัศนียภาพนอกภูเขาที่อยู่เบื้องหน้า สาย ลมสายฝนกว้างไกลที่เจ้าได้ครอบครองเวลานี้ไม่ได้ แม้แต่พ่อแม่เจ้า ก็ไม่ต้องการแล้ว ข้าไม่อยากกลายไปเป็ นคนแบบเจ้า”
เฉินผิงอันชุดเขียวที่มีความเป็ นเทพใช ้มือขวาปลดหยกเขียวที่ อยู่บนมวยผมลงมา เป่ าลมลงไปบนตัวอักษรที่แกะสลักเบาๆ ส่วนมือ ซ ้ายยื่นไปลูบหัวของเด็กน้อย เอ่ยอย่างเสียใจว่า “เจ้าโง่น้อย นั่นมัน
ของปลอม ทุกอย่างล้วนเป็ นเพียงภาพลวงตา ที่แท้ข้าในอดีตก็ไม่ได้ เข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็ นอย่างดี ไม่ได้รู ้จักที่จะให้อภัยคนอื่นถึงเพียง นั้น แต่ก็เหมือนจะไม่ถูกนะ เป็ นเพราะชอบงัดข้อกับตัวเองที่สุดหรือ?”
เด็กน้อยเหม่อมองไปยังทัศนียภาพนอกภูเขาที่อยู่เบื้องหน้า สาย ลมสายฝนกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มีแต่ความมืดดาที่ยื่นมือออกไปก็
มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า
เฉินผิงอันตัวจริงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาออกจากบนฝักกระบี่ แล้ว เคาะลงบนหัวใจเบาๆ เหมือนเคาะประตู
เด็กน้อยที่ดวงหน้าอ่อนเยาว์เงี่ยหูตั้งใจฟัง
ที่แท้พวกเขาก็อยู่บนภูเขากลับหัวในฟ้ าดินภาพสะท้อนจิตใจ มองจากยอดเขาลงไปก็คือโครงกระดูกขาวโพลนกองทับถมกัน
เด็กน้อยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้าตาลุกขึ้นยืน สะพายตะกร ้า ไม้ไผ่ใบนั้น เช็ดน้าตา กาเชือกที่อยู่เบื้องหน้าแน่น หันหน้าไปมอง เจ้าคนที่จะเป็ นคนก็ไม่ใช่ เป็ นผีก็ไม่เชิง น้าเสียของเด็กน้อยแฝงไว้ ด้วยการถอนสะอื้น ยิ้มกว้างคล้ายจะปลุกกาลังใจให้ตัวเอง “ข้าไม่ กลัวผีหรอกนะ”
เฉินผิงอันที่มีความเป็ นเทพบิดหมุนข้อมือ ยื่นส่งถังหูลู่ไม้หนึ่ง ไปใหเด็กน้อย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อันเล็กอร่อยกว่า”
เด็กน้อยลังเลเล็กน้อย ลุกขึ้นสะพายตะกร ้าไม้ไผ่ เขย่งปลายเท้า ตบหัวเขาเบาๆ คล้ายก าลังขอโทษเขา แล้วก็เหมือนจะก าลังปลอบใจ เขา แต่ก็เหมือนการบอกลาอย่างไร ้เสียง
ขณะเดียวกันนั้น โครงกระดูกขาวโพลนของ ‘เฉินผิงอัน” ที่มีมากมายนับล้านคน
พากันร่วงหล่นลงมาเหมือนหิมะใหญ่ที่ตกหนัก
เด็กน้อยสวมรองเท้าสานคู่เล็กที่อบอุ่น สะพายตะกร ้าไม้ไผ่ใบ้ ใหญ่หนักอึ้ง เดินเข้าไปท่ามกลางหิมะ