กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1085.1 เชิญยกจอกขึ้นดื่มเถิด
ฝนจากฟ้ าตกหนักติดต่อกันสามวันหยุดพักหนึ่งวัน ภูเขา สายน้าและผืนแผ่นดินในโลกมนุษย์ก็คล้ายยกจอกดื่มสุราเข้าไป
บนภูเขาที่ชื่อเดิมคือ “ป๋ ายเยว่” ชื่อในทุกวันนี้คือภูเขาฉือวิ่น กู้ช่านมาหยุดพักอยู่ที่นี่ ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปให้ให้กับหลิ่วชื่อเฉิงที่ ชอบโอ้อวดตัวเอง บอกว่ามีเรื่องจะปรึกษา ให้มาพบกันที่นี่
หลิ่วชื่อเฉิงที่ได้รับความเมตตาโดยไม่คาดฝัน พอได้รับจดหมาย แล้วก็รีบออกจากโรงเตี้ยมตระกูลเซียนของฉู่โจวมาทันที ออก เดินทางโดยไม่ได้หยุดพัก ก่อนจะออกเดินทางเจ้าหอหลิ่วยังตั้งใจเอา ชุดคลุมเต๋สีชมพูกลับมาสวมใหม่อีกครั้ง เป็ นอาจารย์อาของคนอื่น ถึงอย่างไรก็ต้องให้การสนับสนุนศิษย์หลานของตัวเองสักหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกคนนอกมองว่ายากจนแร ้นแค้นเกินไปจนกู้ช่าน ขายหน้า คิดไม่ถึง่าพอไปถึงสถานที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่มีชื่อว่าภูเขาฉือวิ๋ นแห่งนั้น นอกจากกู้ช่านแล้วก็มีแค่สาวใช ้คนที่เขาไปหลอกเอามา จากใต้หล้าเปลี่ยวร ้างที่ยืนอยู่ริมหน้าผากึ่งกลางภูเขาด้วยกัน หลิ่ว ชื่อเฉิงมึนงงอยู่บ้าง เขาพลิ้วกายลงมาจากก้อนเมฆ แล้วก็ไม่กล้าบ่น อะไร เพียงแค่อดไม่ไหวถามว่า “กู้ช่าน อยู่ที่นี่เบื่อแล้วก็เลยเรียก อาจารย์อามาดื่มเหล้าด้วยหรือ?”
กู้ช่านกล่าว “มีคนระบุชื่อบอกว่าอยากพบท่าน”
หลิ่วชื่อเฉิงหลุดหัวเราะพรืด “มาดช่างใหญ่โตยิ่งนัก ระบุชื่อ อยากพบข้าหรือ?”
กู้ช่านพลันกุมมือคารวะไปทางนอกหน้าผา เอ่ยเสียงทุ้มหนัก จริงจังว่า “กู้ชานคารวะอาจารย์ปู่”
หลิ่วชื่อเฉิงหมุนตัวกลับ แล้วก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้า รีบลงไป นั่งคุกเข่าก้มหัวกราบทาตามพิธีใหญ่ “ลูกศิษย์คารวะท่านอาจารย์”
ครู่หนึ่งต่อมาก็ได้ยินผู้ฝึกตนหญิงแห่งเปลี่ยวร ้างหัวเราะคิก หลิ่ว ชื่อเฉิงที่คุกเข่าอยู่กับพื้นถึงตระหนักได้ว่าตัวเองถูกเจ้าลูกกระต่าย กู้ช่านหลอกเอาเสียแล้ว เขาลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นเคือง สะบัดชุดคลุม เต๋า เศษฝุ่ นไม่น้อยถูกสะบัดออกมา ทว่ากลับไม่เห็นสีหน้าโกรธเคือง จากหลิ่วชื่อเฉิง
และเวลานี้เอง ด้านหลังก็มีเสียงตุ้บๆ ดังขึ้นมา หลิ่วชื่อเฉิงเข้าใจ ผิดคิดว่าเป็ นฝี มือกู้ช่านอีกครั้ง จึงเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุนว่า “แค่ พอสมควรก็พอแล้วนะ ต่อให้ข้าจะนิสัยดีแค่ไหนก็มีขีดจ ากัด เหมือนกัน”
จากนั้นหลิ่วชื่อเฉินก็โดนถีบหนึ่งที ทั้งยังโดนด่าด้วย น้าเสียง ของคนพูดคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด “น่าอับอายขายหน้านัก ยังมีหน้าวิ่ง ไปที่ภูเขาลั่วพั่วอีกหรือ? แต่งตัวขูดฉาดแบบนี้ทุกวัน ท าไมเจ้าไม่ แกะสลักตัวอักษรสีทองใหญ่ๆ ไว้บนหน้าผากไปด้วยเลยล่ะว่า “ศิษย์ พี่ของข้าคือเจิ้งจวีจง?”
หลิ่วชื่อเฉิงหมุนตัวกลับไปก็เห็นผู้เฒ่าร่างผอมเพรียวที่มีบุคลิก น่าเกรงขาม ริมฝีปากของหลิ่วชื่อเฉิงขยับขมุบขมิบ กรอบตาแดงก่า ลงไปนอนหมอบอยู่กับพื้นต่ออีกครั้ง พูดด้วยน้าเสียงสะอื้นว่า “อาจารย์!”
คนผู้หนึ่งที่สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว ก็คือเฉินชิงหลิวที่อยู่ว่างไม่
มีอะไรท า
ข้างกายมีนักพรตเปลือยเท้าที่ใบหน้ามอมแมมผมเผ้ายุ่งเหยิง ติดตามมาด้วย บนร่างไม่มีของสิ่งใด มีเพียงร่มคันเดียวที่สะพายไว้ เฉียงๆ
สหายเก่าแก่สองคนที่รู ้จักกันมานานแล้ว ก่อนหน้านั้นได้นัดมา เจอกันที่นี่
เฉินชิงหลิวตวัดปลายเท้าขึ้นก่อนจะวางลงอีกครั้ง “ลุกขึ้นมา เถอะ เรื่องของการเคารพครูบาอาจารย์กับขอบเขตและตบะ หาก พวกเจ้าสองศิษย์พี่ศิษย์น้องเฉลี่ยกันได้ก็คงจะดี”
หลิ่วชื่อเฉิงลุกขึ้นยืน เบี่ยงหน้าไปเช็ดน้าตาอีกทาง อารมณ์ ความรู ้สึกยากจะเก็บกลั้นหากจะคิดกันขึ้นมาจริงๆ นับตั้งแต่ที่เขาถูก เทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์สยบก าราบไว้ที่แจกันสมบัติทวีป เมื่อพันปีก่อน หลังหลุดพ้นมาได้แล้ว ซึ่งไม่นับรวมกับวันนี้ เขาก็เพิ่ง ได้เจอหน้าอาจารย์ ส่วนทาไมศิษย์พี่เจิ้งถึงไม่ช่วยเขา ศิษย์พี่ต้องมี เหตุผลของตัวเองแน่นอนทาไมทั้งๆ ที่อาจารย์เองก็อยู่ที่แจกันสมบัติ
ทวีป แต่กลับไม่ยินดีใช ้กระบี่ฟันเปิดพันธนาการ คิดดูแล้วอาจารย์ เองก็น่าจะมีความลาบากใจ หลิ่วชื่อเฉิงไม่มีความพอใจเลยแม้แต่นิด เดียว
เฉินชิงหลิวแนะนาหลิ่วชื่อเฉิงให้นักพรตข้างกายรู ้จักด้วย น้าเสียงที่แฝงไว้ด้วยแววเหน็บแนม “สหายจื่อชิง คนผู้นี้คือหลิ่วเต้า ฉุนศิษย์เอกผู้เป็ นที่ภาคภูมิใจของข้า เจ้านครหลิ่วแห่งนครจักรพรรดิ ขาว ทุกวันนี้ดูเหมือนจะเปลี่ยนชื่อเป็ นหลิ่วชื่อเฉิงแล้ว ก็คือเจ้าหอ หลิ่วที่ “คนอื่นหัวเราะเยาะว่าข้าโง่เขลา ข้าหัวเราะเยาะที่คนอื่นไม่มี ศิษย์พี่” ผู้นั้นนั่นแหละ”
นักพรตเนื้อตัวสกปรกยิ้มเอ่ย “เรื่องราวมีมากมายนับไม่ถ้วน ได้ ยินชื่อเสียงเลื่องลือมานานแล้ว”
ไม่ใช่ผู้ฝึ กกระบี่ มีแค่ขอบเขตหยกดิบก็กล้าทาตัวกร่างอยู่ใน ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้
เฉินชิงหลิวยิ้มบางๆ แนะนาตัวนักพรตสกปรกที่อยู่ข้างกายว่า “ท่านผู้นี้คือสหายจิ่อชิง แซ่เดิมคือเก๋อ เรียกตัวเองว่านักพรตซาน ป่ายเฉียน อีกฉายาคือ “ไหวหนัน” คือผู้สูงส่งที่หลุดพ้นทางโลกอย่าง แท้จริง มักจะไปมาอยู่ในภูเขาที่มีชื่อเสียง ไม่อยู่เป็ นที่เป็ นทาง ไม่ใช่ ผู้สันโดษครึ่งๆ กลางๆ ที่ชอบสร ้างภาพให้คนชื่นชม ในอดีตเขามี พื้นที่ประกอบพิธีกรรมอยู่หลายแห่งที่มีชื่อเสียงค่อนข้างมาก อย่างเช่นว่าตาหนักอวี่หลง หรืออย่างที่ไม่ดังเท่าไรก็มียอดเขาเหวินปี่ แห่งซวีเจียง อีกแห่งหนึ่ง ภายหลังได้ถูกบัณฑิตยึดครองไปแล้ว แย่ง
ชิงกลับคืนมาไม่ได้ มีความสัมพันธ ์ที่ไม่เลวกับข้า สามารถถือว่าเป็ น …..?”
นักพรตเปลือยเท้าสะพายร่มรับคาต่อ “สหายครึ่งตัว”
กู้ช่านเหลือบมองไปที่ไหล่ของนักพรตคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้ เจตนา
หลิ่วชื่อเฉิงกลับมึนงงไม่เข้าใจ
เป็ นขอบเขตหยกดิบเหมือนกัน แต่กลับรู ้ได้ทันทีว่าใครสูงใคร ต่า
กู้ช่านคารวะตามขนบลัทธิเต๋า “กู้ช่านแห่งนครจักรพรรดิขาว คารวะเก๋อเซียนจวิน”
หลิ่วชื่อเฉิงขยับไปยืนอยู่ข้างกายอาจารย์ ไม่รู ้ว่าควรจะเปิดปาก อย่างไรจึงจะเหมาะสม รอกระทั่งกู้ช่านเอ่ยเช่นนี้ เขาถึงได้ทาตาม
นักพรตแซ่เก๋อฉายาจื่อชิงมองไปทางกู้ช่าน พยักหน้าเอ่ย ชมเชยว่า “บัณฑิตควรต้องเป็ นเช่นนี้จึงจะฝึกบาเพ็ญตนบรรลุมรรคา ได้”
เฉินชิงหลิวเหลือบมองผู้ฝึกตนหญิงแห่งเปลี่ยวร ้างคนนั้น ผู้เฒ่า ขมวดคิ้วเบาๆ นางก็รีบออกห่างไปทันทีอย่างรู ้กาลเทศะ ไม่กล้าพูด อะไรแม้แต่ค าเดียว
ขอบเขตสิบสี่ก็คือขอบเขตสิบสี่
ต่อให้มรรคกถาขอบเขตสิบสี่จะมีสูงต่า วิธีการก็มีข้อดีข้อเสีย ต่างกันไป แต่นั่นก็เป็ นแค่เรื่องระหว่างขอบเขตสิบสี่ด้วยกันเท่านั้น
ผู้พิฆาตมังกรที่ใช ้เวทกระบี่สยบการาบเผ่าพันธุ์น้าในใต้หล้า ตรงหน้าผู้นี้ได้หายตัวไปนานถึงสามพันปี ครั้งแรกที่ปรากฏตัวอย่าง เป็ นทางการก็ได้ทิ้งประโยคหนึ่งเอาไว้ว่า “ฆ่าใครก็คือฆ่าเหมือนกัน” ไม่มีใครรู ้สึกว่านั่นคือประโยคเลื่อนลอย คุยโตโอ้อวดที่ไม่ต้องคิดเป็ น จริงเป็ นจังอะไร
เฉินชิงหลิวยิ้มเอ่ย “สหายจื่อชิง พวกเราไม่ได้เจอกันนานมาก แล้ว หากไม่เป็ นเพราะมีคนบอกว่าเจ้าปรากฏตัวในขุนเขากลาง ข้าก็ ไม่รู ้ด้วยซ้าว่าเจ้ามาเที่ยวเล่นอยู่ที่แจกันสมบัติทวีป”
นักพรตยิ้มเอ่ย “เพียงแค่เพราะอาจารย์มีคาสั่งว่าให้ข้ากับพบกับ ศิษย์น้องเว่ย”
เฉินชิงหลิวยิ้มเอ่ย “เว่ยเปิ่นหยวนแห่งตรอกเถาเย่ เจ้านักพรต จมูกโคหน้าเหม็นผู้นี้จาเรื่องในอดีตได้แล้วหรือ?”
นักพรตพยักหน้า “หลักๆ แล้วต้องยกคุณความชอบให้กับยันต์ สองแผ่นนั้นที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้กับศิษย์น้องเว่ย”
เฉินชิงหลิวเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “จะโทษ คนอื่นไม่ได้ จะโทษก็ต้องโทษที่ความเย่อหยิ่งของเขาสูงยิ่งกว่าแผ่น ฟ้ า ทะเลาะกับใครไม่ทะเลาะ ดันไปงัดข้อกับโจวจื่อ โดยเฉพาะเนื้อหา ในการถกมรรคาที่เป็ นห้าธาตุเสียด้วย”
นักพรตได้แต่ยิ้มเงื่อนไม่พูดอะไร ศิษย์น้องเว่ยผู้นี้มีพรสวรรค์สูง มาก จะหยิ่งทระนงก็เป็ นเรื่องปกติ แล้วนับประสาอะไรกับที่ศิษย์น้อง เว่ยก็เป็ นแค่ลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของอาจารย์ ไม่เคยเดิน เข้าห้องกลายเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอด ดังนั้นจึงอยากจะพิสูจน์ตัวเองให้ อาจารย์เห็นยิ่งกว่าใครทั้งนั้น
เฉินชิงหลิวหัวเราะฮ่าๆ “ตอนที่ข้าเข้าไปในเมืองเล็กปีนั้น เว่ย เปิ่นหยวนได้ออกไปจากตรอกเถาเย่แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าก็คงจะไป เยือนถึงบ้านแล้วขอความรู ้จากเขาสักหน่อย ถามเขาว่าปี นั้นคิด อย่างไรกันแน่ ทาไมถึงได้หัวแข็งปานนั้น”
นักพรตกระแอมหนึ่งที เตือนให้รู ้ว่าลูกศิษย์และลูกศิษย์ของลูก ศิษย์เจ้าก็อยู่ตรงนี้ด้วยนะ อย่าได้ปากไร ้หูรูดขนาดนี้
เฉินชิงหลิวยิ้มบางๆ “คนหนึ่งก็โง่เง่ารู ้แต่จะเคารพอาจารย์เคารพ ผู้อาวุโส ไม่มีข้อดีอย่างอื่น อีกคนหนึ่งแหกกฏฝ่ าฝืนจารีต ไม่ช ้าก็ เร็วย่อมต้องหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน มีอะไรให้ข้าต้องเส แสร ้งกันเล่า”
ใบหน้าของหลิ่วชื่อเฉิงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
กู้ช่านมีสีหน้าปกติเป็ นธรรมชาติ
นักพรตลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าสหายเฉินสนิท สนมกับภูเขาลั่วพั่วเป็ นพิเศษเลยหรือ?”
เฉินชิงหลิวอืมรับหนึ่งที “ครึ่งหนึ่งเพราะฉีจิ้งชุนขัดขวางการแว้ง กลับมาโจมตีของวิถีแห่งฟ้ าทั้งหมดเอาไว้ ข้าติดค้างน้าใจของเขา ต้องแสดงท่าทีบ้าง อีกครึ่งหนึ่งเพราะมีสหายรักที่ถูกชะตากันคนหนึ่ง อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว หากดื่มเหล้าแล้วไม่ไปหาเขา สุราก็ไร ้รสชาติอย่าง สิ้นเชิง”
นักพรตพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็ นอย่างนี้นี่เอง”
ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณทั่วไป ศึกพิฆาตมังกรได้ปิดฉากลง นานแล้ว
ทว่าในสายตาของนักพรตแซ่เก๋อผู้นี้ ตอนนั้นเฉินชิงหลิวกลับ สังหารไปแค่เกินครึ่งเท่านั้น
รอกระทั่งหวังจูปรากฏตัว นางค่อยๆ รวบรวมลมปราณของมังกร ที่แท้จริงในใต้หล้ามาไว้บนร่างตัวเอง หากไม่มีฉีจิ้งชุนที่แบกรับผล กรรมทั้งหมดเอาไว้ ภาพเหตุการณ์ที่เดิมทีต้องปรากฏก็คือ โชคชะตาแว้งกลับ คล้ายกับการมอบกระบี่กลับคืนสู่เฉินชิงหลิวไกลๆ ครั้งหนึ่ง มิอาจหลบเลี่ยงหลีกหนีได้ ไม่ได้พูดว่าเฉินชิงหลิวจะรับไว้ ไม่อยู่ แต่จะค่อนข้างยุ่งยากไม่ได้สบายเหมือนอย่างในตอนนี้ที่แค่ มองดูดายอยู่เฉยๆ รอคอยให้มังกรแท้จริงตัวที่สองนอกจากหวังจู ปรากฏตัวอยู่เงียบๆ
เฉินชิงหลิวยกรองเท้าข้างหนึ่งขึ้น เหยียลงบนก้อนหินริมหน้าผา เช็ดคราบดินที่อยู่ใต้ฝ่ าเท้าออกเบาๆ หรี่ตาเอ่ยว่า “ศึกพิฆาตมังกร
ยิ่งสังหารยิ่งยาก ความหวานขมของโลกใบนี้มิอาจบอกกล่าวแก่คน อื่นได้”
คากล่าวนี้ไม่ผิดเลย หรือว่าปีนั้นที่ทาให้เฉินชิงงหลิวจาต้องหยุด กระบี่ หยุดพักครู่หนึ่งเพราะด่านสุดท้าย กระบี่ยาวในมือที่ฟาดฟัน ออกไป ไม่ใช่แค่มังกรที่แท้จริงตัวเดียวเท่านั้นแต่เป็ นโชคชะตาของ เจียวหลงตลอดทั้งใต้หล้า ดังนั้นนี่ถึงได้มีการเก็บตกของดีของผู้ฝึก ลมปราณที่ราวกับบ้าคลั่งกลุ่มนั้น ทุกครั้งที่เจอกับวัตถุยักษ์หล่นร่วง ลงมา ล้วนมีโอกาสมาเคียงคู่ด้วย นี่คือกฏบนภูเขาข้อหนึ่งที่มีมา ตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้ว แล้วก็เพราะเหตุนี้ถึงได้มีถ้าสวรรค์หลีจูใน ภายหลัง จากนั้นก็ค่อยๆ ทยอยมีสี่แช่สิบตระกูลของเมืองเล็ก มี ประชากรทั้งสิ้นหกร ้อยกว่าครัวเรือน เตาเผามังกรสามสิบกว่าแห่ง กลุ่มเทือกเขาทางทิศตะวันตกทอดยาว หยางเหล่าโถวจึงมีการ ทดสอบกระดานหมากล้อมที่ควันธูปล้อมวน บุปผาผลิบานท่ามกลาง ม่านหมอกครานั้น….
นักพรตทอดถอนใจ “เดินทางหนึ่งร ้อยลี้ เก้าสิบลี้เพิ่งจะถือว่าไป ถึงครึ่งทาง”
กู้ช่านกล่าว “ไล่นกกระจอกออกจากพุ่มไม้ ไล่ปลาออกจาก แหล่งน้าลึก”
นักพรตร ้องเอ๊ะหนึ่งที ยิ้มถามว่า “คากล่าวนี้ยังเอามาใช ้แบบนี้ ได้ด้วยหรือ?”
กู้ช่านคารวะตามขนบลัทธิเต๋อีกครั้ง “เป็ นผู้เยาว์ที่ทาตัวขาย หน้าต่อหน้าทุกท่านแล้ว”
เฉินชิงหลิวถาม “หลายปีที่ผ่านมานี้ ป่ ายฉงไม่ได้มาหาศิษย์พี่ อย่างเจ้า แล้วคิดจะขอเวทกระบี่บรรพกาลที่สูญเสียการสืบทอดไป จากอาจารย์ซานซานจิ๋วโหวบ้างหรือ?”
นักพรตส่ายหน้า “ศิษย์น้องหลูเองก็หยิ่งทระนงพอๆ กับศิษย์น้อง หวัง ในเมื่ออาจารย์ไม่เป็ นฝ่ ายไปพบพวกเขาก่อน พวกเขาก็ไม่มี ทางเป็ นฝ่ ายไปหาอาจารย์”
นักพรตเคยเจอภูเขาจิงซานอุตรกุรุทวีปให้เป็ นรูเพื่อทาการ หลอมยา ชาวบ้านในพื้นที่สร ้างเทวรูปขึ้นมาจุดธูปบูชาไม่ขาดสาย บนไหล่ของเทวรูปมีคางคกหยกขาวที่แกะสลักอย่างงดงามตัวหนึ่ง วางอยู่
เฉินชิงหลิวอธิบายให้กู้ช่านฟัง “อดีตของเว่ยเปิ่นหยวน แซ่หวัง นามหมิน คือนักพรตคนหนึ่ง เขากับสหายจื่อชิงและหลูเยว่ รวมไปถึง ชิงจวินแห่งภูเขาฟางรู ้ที่เคยกุมอานาจใหญ่ต่างก็เป็ นลูกศิษย์ของ อาจารย์ซานซานจิ๋วโหว แต่ก็มีคนที่ได้บันทึกชื่อและคนที่ไม่ได้ บันทึกชื่อ หวังหมิน ข้าเดาว่าเขากับอาจารย์ของเขาเข้าไปในถ้า สวรรค์หลีจูไล่เลี่ยกัน วิธีกักมังกรก็น่าจะเป็ นความคิดของอาจารย์ เขา แต่คนที่ลงมือจัดวางค่ายกลอย่างแท้จริงยังคงเป็ นหวังหวิน เพื่อให้เป็ นค่าตอบแทนก็คือสุสานเทพเซียนแห่งนั้น หาไม่แล้วข้าก็ คิดหาเหตุผลอย่างอื่นไม่ออกอีกว่าทาไมคนนอกคนหนึ่งถึงสามารถ
ได้ครอบครองสุสานเทพเขียนส่วนใหญ่ไปได้จากนั้นก็ทะเลาะกับโจ วจื่อ แต่ก็แพ้ ถึงได้มีเจ้าประมุขผู้เฒ่าสกุลเว่ยในทุกวันนี้?”
นักพรตแซ่เก๋อถอนหายใจ “นอกจากลาดับที่ผิด อย่างอื่นก็ล้วน ถูกต้องหมด ศิษย์น้องหวังถูกมรรคากับโจวจื่อแล้วแพ้ไปก่อน ปีนั้น ถึงได้ไปลุยน้าขุ่นที่ถ้าสวรรค์หลีจู หลังจากช่วยอาจารย์จัดวางค่าย กลแล้วถึงได้สละร่างจากไปด้วยตัวเอง จุติกลับมาเกิดใหม่ในถ้า สวรรค์หลีจูครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งนานวันสติปัญญายิ่งเลอะเลือน ศิษย์ น้องหวังได้แต่ฝื นประคับประคองจิตวิญญาณแห่งเมล็ดพันธ ์เต๋าที่ แท้จริงส่วนหนึ่งเอาไว้ไม่ให้ดับสูญ สายไหวประหนึ่งแสงเทียน ท่ามกลางสายลม ดุจเปลวไฟในกรง”
เฉินชิงหลิวยิ้มถาม “ตามกฎที่ชิงถงเทียนจวินตั้งไว้ สามพันปีที่ ผ่านมา มหามรรคาในเมืองเล็กด าเนินไปด้วยตัวเองอย่างมีระเบียบ แต่นี่ได้ซุกซ่อนขั้นตอนของการดึงออก ขับไล่และก าจัดเมล็ดพันธ์ เซียนอยู่หรือไม่? เมื่อวัตถุอย่างเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตปรากฏขึ้น ก็ เพื่อคัดผู้ฝึ กลมปราณทุกคนออก คาว่าตัวอ่อนด้านการฝึ กตนคือ การคัดสิ่งที่ดีกาจัดสิ่งที่เลว เพื่อที่จะถอยหลีกทางให้กับหนึ่งนั้น แล้ว สร ้างตาหนักเทพขึ้นมาใหม่? เมื่อเซียนถอยออกก็จะสามารถ อัญเชิญเทพกลับคืนสู่ต าแหน่งได้?”
ตอนที่เฉินชิงหลิวพูดคาว่าชิงออกมา นักพรตเปลือยเท้าก็กาง ร่มที่สะพายไว้ด้านหลังออกเพื่อบดบังความลับสวรรค์ป้ องกันกาแพง มีหูประตูมีตา
ดังนั้นหลิ่วชื่อเฉิงที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดจึงไม่ได้ยินเลยว่า อาจารย์พูดว่าอะไร ตามหลักแล้วกู้ช่านก็ต้องไม่ได้ยินเหมือนกัน แต่ เฉินชิงหลิวกลับจงใจประกบสองนิ้วกรีดไปเบาๆ ใช ้ปราณกระบี่ฟัน ให้เปิดเส้นเส้นหนึ่ง จงใจเปิดเผยความลับสวรรค์ เพื่อที่จะให้คนใน สถานการณ์อย่างกู้ช่านได้ยินอย่างชัดเจน
นักพรตแซ่เก๋อสีหน้าเคร่งเครียด ใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “ความจริง ข้อนี้ยังคงเป็ นผลลัพธ ์ที่ศิษย์พี่ชิงจวินเพิ่งจะอนุมานออกมาได้เมื่อ ไม่กี่ปีก่อน”
เฉินชิงหลิวยิ้มประหลาด “ไม้กลายเป็ นเรือไปแล้ว อนุมานอีกจะมี ประโยชน์อะไร? ความจริงที่ถูกกาหนดมาแล้ววางอยู่ตรงหน้า ยัง จะต้องสิ้นเปลืองคุณความชอบและปราณแห่งมรรคาไปอย่าง สิ้นเปลืองทาไม มีความหมายตรงไหน?”
นักพรตแซ่เก๋อถอนหายใจยาวเหยียด “นักพรตแสวงหาความ จริง เกิดจากธรรมชาติผลักดัน”
เฉินชิงหลิวหัวเราะฮ่าๆ “ไม่รู ้ว่าคนฉลาดกี่มากน้อยที่พอถึงเวลา ก็กลายเป็ นว่าเหนื่อยเปล่า ไม่เสียแรงที่เป็ นตงหวังกง ไม่เสียแรงที่เป็ น บรรพบุรุษของเซียนดินฝ่ ายชาย”
เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินชิงหลิวก็เผยสีหน้าเสียใจปลงอนิจจังอย่างหา ได้ยาก เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่เสียแรงที่เป็ นชิงถงเทียนจวินที่เป็ นเผ่า มนุษย์คนแรกที่ได้กลายเป็ นเทพ วางแผนอย่างพากเพียรมุ่งมั่นเพียง
ลาพังหมื่นปี การกระทานี้คู่ควรแก่การแช่ซ ้อง คู่ควรแก่การ สรรเสริญ”
เฉินชิงหลิวเก็บอารมณ์กลับมาแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “การดาเนินไป ของกฎระเบียบอย่างเป็ นรูปธรรม ข้าล่ะสงสัยใคร่รู ้นัก ท าให้ข้า ประหลาดใจเหลือเกิน ศิษย์พี่ชิงจวินของเจ้ามีเค้าลางบ้างไหม ได้
อนุมานพร ้อมกันหรือเปล่า?”