กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1085.2 เชิญยกจอกขึ้นดื่มเถิด
นักพรตส่ายหน้ายิ้มเงื่อน “ศิษย์พี่ยกตัวอย่างให้ฟังว่า ม่านหนา หนักประหนึ่งขุนเขาสูง สูงเกินกว่าจะปืนป่ายได้ถึง ถ้าอย่างนั้นเขาก็ คือฝุ่ นเม็ดหนึ่งที่อยู่บนเส้นทางตรงตีนเขาคิดจะเดินอ้อมเส้นทางผ่าน ไปยังเป็ นเรื่องเพ้อฝัน”
เฉินชิงหลิวพยักหน้า “เป็ นแบบนี้ถึงจะถูก หาไม่แล้วตบะของ บรรพจารย์สามลัทธิจะไม่กลายเป็ นเครื่องประดับหรือ แต่นี่ก็แสดงให้ เห็นว่าอาจารย์ซานซานจิ๋วโหวมีความคิดเป็ นของตัวเองต่อการ ดาเนินไปของวิถีทางโลกใบนี้ เขาคิดว่าต้องเกิดความแตกต่าง บางอย่างแน่นอน บวกกับที่อาจารย์ฉีและชุยฉานคอยผลักดันคลื่น อยู่อย่างลับๆ ก็ยิ่งทาให้คนนอกรู ้สึกเหมือนมองบุปผาในม่านหมอก”
นักพรตมีสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง “ขอสหายเฉินโปรด ระมัดระวังค าพูดด้วย”
สหายเจ้าตัวคนเดียวไม่มีภาระ แต่ผินเต้ามีอาจารย์ มีศิษย์พี่ศิษย์ น้องนะ
นักพรตแซ่เก๋อพลันถามอย่างสงสัยว่า “ท าไมสหายเฉินถึง เรียกชื่อซิ่วหูตรงๆ แต่กลับเรียกฉีจิ้งชุนด้วยความเคารพว่าอาจารย์ ฉี?”
่
เฉินชิงหลิวยิ้มเอ่ย “คนแรกที่หานักพรตเจี่ยเฉิงเจอก็คืออาจารย์ ฉี เขาเลี้ยง….เหล้าพวกเราหนึ่งมื้อ เอาเป็ นว่าคุยกันถูกคออย่างมาก ตอนอยู่บนโต๊ะสุรา”
เจ้าให้หน้าข้า ข้าก็ให้หน้าเจ้า
นี่เรียกว่ายุทธภพอย่างไรเล่า
แล้วนับประสาอะไรกับที่ฉีจิ้งชุนให้คาประเมินที่สูงมากต่อตน ประเด็นส าคัญคือยังเป็ นค าพูดจากใจจริงของอีกฝ่ายด้วย
ตอนอายุยังน้อยวาดฝันถึงยุทธภพอย่างสุดหัวใจ เพียงแค่เพราะ ในยุทธภพมีมือกระบี่ชุดเขียวที่รู ้แค่ว่าแซ่เฉินอยู่คนหนึ่ง
เฉินชิงหลิวบอกเป็ นนัยแก่นักพรตว่าสามารถเก็บร่ม ‘รังเมฆ” คันนั้นไปได้แล้ว ครั้นจึงหันหน้าไปหาหลิวชื่อเฉิง ถามว่า “มาถึง ภูเขาลั่วพั่วแล้ว ได้ดื่มเหล้ากับสหายจิ่งชิงหรือไม่?”
หลิวชื่อเฉิงมึนงง “เด็กชายชุดเขียวที่ชื่อว่าเฉินหลิงจวิน เจียวน้า ขอบเขตก่อก าเนิดคนนั้นน่ะหรือ?”
เฉินชิงหลิวยื่นมือมากดหัวของลูกศิษย์คนนี้ “หากนับกัน ตามล าดับอาวุโสในยุทธภพแล้ว เขาเรียกเจ้าว่าหลาน เจ้าก็ต้องพยัก หน้าตอบรับ”
่
กู้ช่านโพล่งถามขึ้นมาว่า “อาจารย์ปู่ ตามคากล่าวของพวกท่าน เฉินผิงอันสามารถกลายเป็ นผู้ชนะในท้ายที่สุด เกิดจากโชคชะตา กาหนด หรือเป็ นสิ่งที่เขาไขว่คว้ามาด้วยตัวเอง?”
เฉินชิงหลิวผงกปลายคางไปทางนักพรต นักพรตอย่างพวกเขา ท านายดวงชะตาได้เก่งที่สุด
นักพรตยิ้มเอ่ย “ผู้ที่พยายามด้วยตัวเองมักจะเจอโชคดีมากมาย เสมอ”
กู้ช่านพลันคลี่ยิ้มกว้างสดใส
เฉินชิงหลิวกลับมีเรื่องในใจอีกเรื่องหนึ่ง เพียงแค่เพราะปีนั้นฉีจิ้ง ชุนเป็ นฝ่ ายมาดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับตน เอ่ยประโยคประหลาดที่คล้าย
คาทานายประโยคหนึ่ง
น่าเสียดายที่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิขาว แต่ยัง โชคดีที่ขุนเขาเขียวอยู่เคียงข้างจนผมขาว แม้เงียบขรึมแต่ก็อบอุ่น บทกวีเก่าจืดจางเหมือนสุราเหลืองอ่อน ความกลัดกลุ้มใหม่เข้มข้น ดุจน้าตกหวงเหอ ราวกับยังไม่เคยได้แตะต้อง
เฉินชิงหลิวถามอีก ฉีจิ้งชุนกลับพูดแค่ว่าแค่ตั้งตารอดูไปก็พอ ครั้นจึงยกชามเหล้าดื่มคารวะเขา ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่าถ่อมตนยอม ถอยแก่ใต้หล้า พวกเรายกสุราขึ้นดื่มเถิด
่
คิดไปคิดมา เฉินชิงหลิวคิดเป็ นร ้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ ดังนั้นถึง ได้ไปเยือนนครจักรพรรดิขาวมารอบหนึ่ง ไปถึงก็ถามเจิ้งจวีจงว่า เจ้า คงไม่ได้แซ่เดียวกับข้าหรอกกระมัง?
เจิ้งจวีจงคิดถึงปมของปัญหาได้ทันใด ยิ้มเอ่ยมาว่า ข้าทั้งไม่ใช่ มรรคาจารย์เต๋า แล้วก็ยิ่งไม่มีทางเป็ นเฉินผิงอันที่เดินย้อนกระแส
| กลับมา …… |
นอกนครลมเย็น ในพื้นที่เงียบสงบแห่งหนึ่งที่ภูเขาเขียวน้าใส มี คนต่างแซ่มาสร้างจวนอยู่ที่นี่ วันนี้ก็มีแขกจากต่างถิ่นที่ไม่คุ้นหน้า คุ้นตาคนหนึ่งมาเยือน
คนที่มาเปิ ดประตูคือสาวใช ้อายุน้อยเรือนกายอรชรอ้อนแอ้น บุรุษวัยกลางคนปลดงอบลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าชื่อหลูเยว่ เป็ นคน บ้านเดียวกับพวกเจ้า มาหาศิษย์พี่เว่ยเพื่อราลึกความหลังกัน”
สาวใช ้ที่มีชื่อว่าเถาหยาเอ่ยอย่างตกตะลึง “ศิษย์พี่เว่ย?”
ท่านปู่เว่ยที่ไม่เคยรับลูกศิษย์แล้วก็ไม่เคยพูดถึงการสืบทอดของ ตัวเอง มีศิษย์น้องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? นางไม่กล้าเปิ ดประตูส่งเดช หลายปี มานี้นครลมเย็นสงสัยมาโดยตลอดว่าพวกเขาเป็ นพวก เดียวกับคนที่วางแผนขโมยแคว้นหูไป หากเป็ นคนชั่วล่ะ? ท่านปู่ เว่ย ปิด ประตูไม่ต้อนรับแขกมานานหลายปีแล้ว
่
บุรุษวัยกลางคนที่เรียกตัวเองว่าหลูเยว่เปลี่ยนคาพูดเสียใหม่ “ข้า มาหาเว่ยเปิ่นหยวนนักพรตป่ายหยาง ข้าออกมาจากเมืองเล็กเร็วกว่า พวกเจ้า ทุกวันนี้ฝึกตนอยู่ในอุตรกุรุทวีปอยู่บนภูเขาเล็กแห่งหนึ่งที่ ควันธูปธรรมดา ตอนนี้มีลูกศิษย์อยู่แค่สองคนเท่านั้น เถาหยาเจ้า ช่วยไปรายงานหน่อย หากเว่ยเปิ่นหยวนไม่รู ้จักหลูเยว่อะไร ข้าก็จะ กลับไปเดี๋ยวนี้ นี่หมายความว่ายังไม่ถึงเวลา คราวหน้าค่อยมาเยี่ยม เยือนใหม่”
เถาหยาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะบอกให้หลูเซียนซือท่านนี้รอสักครู่ แล้วนางก็ไปรายงานข่าวให้กับท่านปู่เว่ยที่ง่วนหลอมยาอยู่ตลอดทั้งปี เว่ยเปิ่นหยวนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะหน้าเตาหลอมยาลืมตาขึ้น ตอนที่เด็กสาวเดินมาถึงหน้าประตู ผู้เฒ่าก็ลุกขึ้นยืนแล้ว เขาถอน หายใจเบาๆ ไม่ช ้าก็เร็วต้องมาหาถึงที่อยู่แล้ว ก็แค่ว่ามาไวกว่าที่ คาดการณ์ไว้หลายปีเท่านั้นในเมื่อป๋ ายฉางมาแล้ว หากยังหลบเลี่ยง ไม่ยอมพบหน้าก็อาจตกเป็ นที่ต้องสงสัยว่าไม่เห็นแก่มิตรภาพใน วันวานจริงๆ
เว่ยเปิ่นหยวนมีฉายาว่า “ป่ ายหยาง” จริงๆ เพียงแต่ว่าฉายานี้ ไม่ได้ใช ้มานานหลายปีแล้ว เมื่อหลายปีก่อนเพิ่งจะ “บังเอิญ” นึกขึ้น ได้ ปีนั้นผู้เฒ่าออกจากถ้าสวรรค์หลีจูที่เป็ นบ้านเกิดมาอย่างเงียบ เชียบ ข้างกายพามาแค่เถาหยาที่ผู้เฒ่ามองเป็ นผู้เยาว์ในบ้านของ ตัวเองมาโดยตลอด ใช ้ที่ดินแลกที่ดินกับสกุลสวี่นครลมเย็น เลือก สร ้างกระท่อมฝึกบ าเพ็ญตนอยู่ในสถานที่ที่เป็ นกิจการบรรพบุรุษของ
่
สกุลซวี่แห่งนี้ นี่เป็ นเพราะเว่ยเปิ่นหยวนทาตามคาสั่งจากจดหมาย ทางบ้านฉบับหนึ่งในอดีต บอกให้เขาพาเถาหยามาที่นี่ รอคอย วาสนาที่จะมาถึง ดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับแคว้นหู และเรื่อง จริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเนื้อหาที่อยู่ใน “จดหมายทางบ้าน” ฉบับนั้น ไม่ได้โกหก เถาหยาได้รับโชควาสนาสองอย่างในแคว้นหูจริงๆ นั่น คือเข็มขัดแพรต่วนหลากสีเส้นหนึ่งที่เป็ นฝ่ ายยอมรับนายด้วยตัวเอง และยังมีกิ่งท้อแห้งเหี่ยวกิ่งหนึ่งที่ผ้าแพรชักนาให้เจ้านายไปเก็บได้ จากในภูเขาลึก
คนที่ส่งจดหมายมาให้ก็คือ ‘ชิงจวิน” ที่เคยมีชื่อเสียงเลื่องลือไป ทั่วใต้หล้าในยุคบรรพกาล แต่ว่าชื่อที่ลงท้ายในจดหมายกลับเป็ นชื่อ ‘จวิ้นชิง” ตอนนั้นเว่ยเปิ่นหยวนไม่รู ้ตัวตนที่แท้จริงของคนส่งจดหมาย คนนี้ เข้าใจผิดคิดว่าเป็ นบุคคลรุ่นบรรพบุรุษบางคนที่ออกจากบ้าน เกิดไปเมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นการที่ชาตินี้เว่ยเปิ่นหยวนสามารถเดิน ไปบนเส้นทางการฝึกตนได้ก็ต้องยกคุณความชอบให้กับจดหมาย ทางบ้านฉบับหนึ่งที่ “บรรพจารย์จวิ้นชิง” ส่งไปยังตรอกเถาเย่ตอนที่ เขาอายุยังน้อย
หลังจากที่เว่ยเปิ่นหยวนฟื้นคืนความทรงจามาได้ เขาถึงได้รู ้ถึง ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองและอีกฝ่าย
ชิงจวินแห่งภูเขาฟางจู้เคยได้รับคาเชื้อเชิญจากหลี่เซิ่ง ที่ว่าการ ตั้งอยู่ที่ภูเขาฟางจู้ซึ่งมีฐานะสูงส่ง เจินเหรินพสุธาท่านนี้มีหน้าที่ดูแล ถ้าสวรรค์พื้นที่มงคลบนพื้นดินและทะเบียนของเซียนดินทั้งหมด
่
ชิงจวินเองก็เป็ นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์ซานซาน จิ๋วโหว เขาเคยทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ที่ภูเขาฉีตุน
เพื่อให้เป็ นค่าตอบแทนที่ร่วมมือกับอาจารย์ร่ายค่ายกลให้กับถ้า สวรรค์และซุ้มป้ ายหอสยบกระบี่ ชิงจวินรับค่าตอบแทนที่จะมีหรือไม่มี ก็ได้มาให้พอเป็ นพิธีเท่านั้น นั่นก็คือเอาปลาหลีตัวหนึ่งมาจากถ้า สวรรค์หลีจู หรือก็คือหลี่จิ่นเทพวารีแม่น้าชงต้นในทุกวันนี้
เว่ยเปิ่นหยวนออกมาต้อนรับป๋ ายฉางหรือควรจะเรียกว่าหลูเยว่ แห่งถนนฝูลู่ในอดีต ภายหลังคือหลูฉิงฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นราชวงศ์ สกุลหลู ทุกวันนี้คือเซียนกระบี่ผู้เป็ นบุคคลอันดับหนึ่งของอุตรกุรุ ทวีปด้วยตัวเอง
นักพรตเฒ่ามีสีหน้าซับซ ้อน ก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋า
ป๋ ายฉางยิ้มบางๆ “คารวะศิษย์พี่หวัง”
คนจริงไม่เปิดเผยตัวตน เปิดเผยตัวตนไม่ใช่คนจริง
ทั้งสองต่างก็เป็ นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของอาจารย์ ซานซานจิ๋วโหว และทั้งสองฝ่ายต่างก็เคยอยู่ในเมืองเล็กถ้าสวรรค์หลี จู แต่คนที่รู ้เรื่องนี้ จนถึงทุกวันนี้กลับมีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น
เมืองเล็กในอดีต คนที่ชอบเล่นหมากล้อมมีจานวนอยู่ไม่น้อย ตระกูลคนมีเงินของถนนฝูลู่และตรอกเถาเย่ หลายคนต่างก็ชอบเล่น หมากล้อมผ่อนคลายอารมณ์ แต่คนที่เรียกได้ว่าเป็ นยอดฝี มือบน กระดานหมากได้อย่างแท้จริง บางทีอาจมีอยู่แค่สามคนเท่านั้น
่
นอกจากเจ้าประมุขสกุลหลี่ของถนนฝูลู่แล้วก็คือเว่ยเปิ่นหยวนแห่ง ตรอกเถาเย่ เจ้าประมุขสกุลเว่ยที่คนในเมืองเล็กมองเป็ น “เจ้าของ ที่ดินรายใหญ่ ผู้เฒ่าทั้งสองคนมีนิสัยคล้ายคลึงกัน ความสัมพันธ ์ก็ สนิทสนมกันอย่างมาก และยังมีสถานะอีกชั้นหนึ่งที่ถูกปิดบังเอาไว้ พวกเขาต่างก็เป็ นผู้ที่ประสบความสาเร็จในการฝึ กตน อยู่ในถ้า สวรรค์หลีจูที่เหมาะแก่การฝึ กตนอย่างยิ่งในอดีตต่างก็ฝึ กได้เป็ น เซียนดินโอสถทองกันทั้งคู่
ส่วนยอดฝีมือคนที่สาม แน่นอนว่าต้องเป็ นคนเฝ้ าประตูเจิ้งต้า เฟิงแล้ว
ตอนที่เฉินผิงอันส่งจดหมายหารายได้ก็เคยเอาจดหมายทางบ้าน สองฉบับไปส่งให้กับตระกูลเว่ยที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมเลี้ยวของตรอกเถา เย่ ผู้เฒ่ายังเคยชวนให้เด็กหนุ่มเข้าไปพักดื่มน้าในบ้าน เพียงแต่เด็ก หนุ่มปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม เว่ยเปิ่นหยวนยังเคยเตือนเฉินผิง อันว่าหากมีเวลาว่างก็ให้ไปนั่งอยู่ใต้ต้นไหว เหตุผลก็คือเก็บใบไหว และกิ่งไหวไป สามารถเอากลับบ้านไปป้ องกันพวกมดแมลงตะขาบได้ เด็กหนุ่มจดจ าไว้ในใจเงียบๆ โค้งตัวขอบคุณผู้เฒ่าอยู่ที่เชิงบันได
ที่บ้านเกิดแห่งนั้น เว่ยเปิ่นหยวนมักจะดึงตัวหลี่ซีเซิ่งให้มาเล่น หมากล้อมด้วยกันบ่อยๆ เคยมอบต าราหมากล้อมให้อีกฝ่ ายหลาย เล่ม ทั้งยังพร่าพูดถึงหลักการเล่นหมากล้อมซ้าไปซ้ามาอยู่หลาย ประโยค
่
หลี่ซีเซิ่งและท่านปู่ ของหลี่เป่ าผิง ในอดีตต่างก็ชอบศึกษาเรื่อง ยันต์ รอกระทั่งถ้าสวรรค์หลีจูปริแตกหล่นร่วงลงพื้น การสยบการาบ บนมหามรรคาที่มีต่อผู้ฝึกลมปราณหายไป ดังนั้นผู้เฒ่าจึงได้เลื่อน เป็ นขอบเขตก่อก าเนิดได้อย่างรวดเร็ว
และเว่ยเปิ่นหยวนเองนั้นก็ชอบหลอมโอสถ ทว่ากลับมิอาจฝ่ า ทะลุคอขวดขอบเขตโอสถทองไปได้เสียที เขาจึงมาหลอมยาต่ออีก ครั้งในสถานที่ที่เป็ นดั่งแดนสุขาวดีนอกโลกแห่งนี้ ยี่สิบกว่าปีผ่านไป เหมือนวันเดียว ผู้เฒ่าไม่รีบร ้อนแม้แต่น้อย
ภายหลังหลี่เป่าผิงก็เดินทางมาถึงที่นี่ แวะมาเยี่ยมเยียนเขา นาง นายันต์สองแผ่นที่พี่ใหญ่หลี่ซีเซิ่งมอบให้มามอบให้กับท่านปู่เว่ย แบ่ง ออกเป็ นยันต์สร ้างโอสถและยันต์ก้อนดินล้วนเป็ นกระดาษยันต์สี เขียวของลัทธิเต๋า อย่างแรกแก่นของยันต์เหมือนพื้นที่มงคล มีแสง เรืองรองสีทองไหลเวียนวน อย่างหลังคล้ายกับแท่นพิธีดอกบัวที่มีไอ หมอกลอยอบอวล นี่คือของขวัญตอบแทนกลับคืนขอบคุณที่ผู้เฒ่า คอยช่วยปกป้ องมรรคาให้ เว่ยเปิ่นหยวนสามารถส่งมอบต่อให้กับ “เถาหยา’ ที่ชาติกาเนิดไม่ธรรมดา ช่วยให้นางสร ้างโอสถทองได้ ราบรื่น นับแต่นั้นได้เป็ นห้าขอบเขตบน หนทางเบื้องหน้าราบเรียบไร ้ ขวากหนาม
ป๋ ายฉางเหลือบมองเถาหยาที่ยังคงถูกปิดหูปิดตา “ศิษย์พี่เว่ย น่า เสียดายนัก”
หนึ่งประโยคสองความหมาย
่
ทั้งพูดถึงเถาหยาที่พลาดโชควาสนาในเมืองเล็ก ไม่ได้โดดเด่น ขึ้นมาในกลุ่มคนรุ่นเยาว์ กลายเป็ นผู้ชนะที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากการจัดการของผู้เฒ่าในเรือนหลังของร ้านยาตระกูลหยาง ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของเมืองเล็กที่ผ่าน “การทดสอบใหญ่รอบหก สิบปี” เผ่าปีศาจต้องได้ครอบครองพื้นที่แห่งหนึ่งอย่างแน่นอน อย่าง เถาหยา สตรีที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ก็คือคนที่ความหวังมากที่สุด
แล้วก็พูดถึงเรื่องที่เถาหยาไม่ได้เข้าไปอยู่ในแคว้นหู เท่ากับเดิน ผ่านหน้าประตูบ้านแล้วแต่ไม่ได้เข้าไป ไม่อาจฟื้นคืนความทรงจา ของเมื่อชาติก่อนแล้วสืบทอดซากปรักชิงชิวที่ปริแตกต่อ ก่อนจะ อาศัยสิ่งนี้มากลายเป็ นเจ้าแห่งจิ้งจอกในใต้หล้าอย่างถูกต้องชอบ ธรรมได้
นักพรตเฒ่ามีสีหน้าผึ่งผายสง่างาม ลูบหนวดยิ้มเอ่ย “ไม่มีอะไร ให้น่าเสียดาย ก็หนีไม่พ้นว่าคนมีใจแพ้ให้กับคนมีใจ ก็ยังไม่ใช่ว่า น้าดีไม่ไหลเข้านาคนอื่นอยู่ดีหรอกหรือ”
เถาหยาฟังด้วยความมึนง แต่คากล่าวที่ว่า “คนมีใจ” นี้ ก่อน หน้าวันนี้นางเคยได้ยินมาแค่ครั้งเดียว แต่กลับจดจาได้อย่างลึกซึ้ง
จาได้ว่าครั้งนั้นท่านปู่เว่ยบอกว่านางก็เหมือนกับเด็กหนุ่มที่มาส่ง จดหมาย ต่างก็เป็ นคนมีใจ
เว่ยเปิ่นหยวนยิ้มเอ่ย “โชควาสนาบนโลกมีเล็กใหญ่ กาลังดีถึง จะดีที่สุด แม่หนูเถาหยามีชีวิตอย่างวันนี้ได้ก็เพียงพอแล้ว วันหน้า
่
ผลสาเร็จบนมหามรรคาจะสูงหรือต่าก็แค่ต้องเดินกันไปก้าวหนึ่งดูไป ก้าวหนึ่งเท่านั้น”
ในสามพันถ้อยคาของมรรคาจารย์เต๋ามีคากล่าวที่ว่า “ผู้ที่มี คุณธรรมลึกล้าก็เหมือนดั่งทารกที่เพิ่งถือกาเนิด” ส่วนหย่าเซิ่งก็มีคา กล่าวที่คล้ายคลึงกัน บอกว่า “ผู้ที่ยังคงรักษาหัวใจบริสุทธิ์ดั่งทารกไว้
ได้นั่นแล คือผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง
ป๋ ายฉางถามว่า “ศิษย์พี่ฟื้นคืนความทรงจาได้อย่างไร?”
เว่ยเปิ่นหยวนยิ้มบางๆ “หลอมยาอยู่ในภูเขาไม่ได้ทาเรื่องอื่น หลอมไปหลอมมาก็จ าได้เอง”
ป๋ ายฉางหลุดหัวเราะพรืด ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่มาจากสายเดียวกัน ได้มาพบเจอกัน ไฉนถึงยังทาตัวห่างเหินกันแบบนี้อยู่อีกเล่า
เว่ยเปิ่ นหยวนเจ้าประมุขสกุลเว่ย คือ “อัตตาเล็ก” “ตัวข้าที่ แท้จริง” คือเจินเหรินผู้บรรลุมรรคายุคบรรพกาลที่มีชื่อจริงว่าหวังห มิน ฉายาป่ ายหยาง
เหมือนกับนักพรตตาบอดเจี่ยเฉิง สารถีป๋ ายหมาง บัณฑิต เฉินจั๋วหลิว คนสามคนล้วนเป็ น “อัตตาเล็ก” ของเฉินชิงหลิวคน พิฆาตมังกร
แต่หวังหมินกับเฉินชิงหลิวก็มีความแตกต่างกันบางอย่าง อัตตา เล็กของนักพรตกลับอาจจะเป็ นอัตตาใหญ่ ร่างจริงของตัวข้าที่ แท้จริงกลับอาจจะเป็ นอัตตาเล็ก
่
ในฐานะหนึ่งในลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของอาจารย์ซาน ซานจิ๋วโหว นักพรตหวังหมิน เล่าลือกันว่าเกาเจินผู้บรรลุมรรคาที่ ชอบถือศีลห้าท่องไปตามห้านครผู้นี้เคยได้รับคาสั่งจากอาจารย์ให้ ออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียน
เพียงแต่ว่าการถกมรรคากับโจวจื่อ เขาเป็ นฝ่ ายพ่ายแพ้ หวังห มินที่ตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ยึดติดอยู่แค่กับหยินหยางและห้าธาตุ พ่าย แพ้อย่างยับเยิน ทั้งร่างกายและจิตแห่งมรรคาของคนผู้นี้ล้วนจมลึก อยู่ในปลักโคลน มิอาจถอนตัวได้
การถกมรรคาบนยอดเขามองดูเหมือนเป็ นมายาล่องลอย แต่ แท้จริงแล้วระดับความอันตรายกลับเหนือกว่าการประลองวิชาเข่นฆ่า เอาชีวิตระหว่างผู้ฝึกตนใหญ่เสียอีก
ราคาที่ต้องจ่ายจากการพ่ายแพ้ในการถกมรรคาครั้งนั้นก็คือ นักพรตหวังหมินจ าต้องอยู่ในถ้าสวรรค์หลีจูไปทุกชาติทุกภพ ถูก จากัดให้อยู่แค่ในพื้นที่แคบๆ เท่านั้น
เว่ยเปิ่นหยวนถอนหายใจ “อันที่จริงก็ไม่ถือว่าการเดินทางครั้งนี้ เสียเปล่า ท่ามกลางธุลีแดงคละคลุ้ง ฝึกฝนบ่มเพาะแสวงหาความจริง ดาดิ่งสู่จิตวิญญาณอันลึกซึ้ง บ่มเพาะใจให้ว่างเปล่าปราศจากตัวตน ยึดมั่นในความเรียบง่าย มิเอนเอียงไปทางใด นอกจากเดินตามเต๋า อย่างแท้จริง”
่
ป๋ ายฉางยิ้มเอ่ย “หลอมยาวาดยันต์ยังคงสู้ฝึ กกระบี่ไม่ได้จริงๆ เสียด้วย”
เว่ยเปิ่นหยวนถลึงตากล่าว “พูดจากับศิษย์พี่แบบนี้ได้ยังไงกัน”
ป๋ ายฉางเอ่ย “ล้วนไม่ได้รับการบันทึกชื่อกันทั้งคู่”
เว่ยเปิ่นหยวนถาม “เสียใจภายหลังหรือไม่ที่ปี นั้นออกไปจาก บ้านเกิด?”
ป๋ ายฉางส่ายหน้า “สตรีกลัวแต่งงานกับบุรุษผิดคน บุรุษกลัวว่า จะท าอาชีพผิด หากไม่ต้องนั่งโต๊ะเดิมพันได้ก็อย่านั่งลงเลย”
เว่ยเปิ่นหยวนพยักหน้า พาป๋ ายฉางเข้าไปในห้องหนังสือด้วยกัน บนโต๊ะหนังสือที่กว้างขวางผิดปกติกองเต็มไปด้วยแผ่นไม้ไผ่ยาวเป็ น เส้นๆ คล้ายกับงูยาวสีเขียวตัวหนึ่งที่ขดตัวอยู่
ป๋ ายฉางเหลือบตามอง เพียงไม่นานก็สัมผัสได้ถึงความลี้ลับที่ ซ่อนอยู่ รูปร่างของแผ่นไม้ไผ่เหมือนกันแทบไม่มีผิดเพี้ยน แต่ตัว เลขที่แกะสลักไว้จนเต็มกลับไม่เหมือนกัน มีตั้งแต่หนึ่งถึงเก้าร ้อยกว่า
่
บทที่ 1085.3 เชิญยกจอกขึ้นดื่มเถิด
ป๋ ายฉางถาม “ทาไมถึงไม่จัดเรียงเป็ นลาดับตั้งแต่แรก?”
ลองจ้องมองให้ชัดอีกครั้ง ในที่สุดป๋ ายฉางก็แน่ใจได้ว่าตัวเลข บนแผ่นไม้ไผ่นั้นสลับสับเปลี่ยนกัน ไม่มีกฎระเบียบใดๆ ให้กล่าวถึง
เว่ยเปิ่นหยวนลูบหนวด พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นี่คือปัญหายาก ข้อหนึ่งที่ศิษย์พี่ชิงจวินมอบไว้ให้กับข้า มีค าเตือนแค่อย่างเดียว ศิษย์ พี่ถามว่าทาไมบางครั้งข้าถึงรู ้สึกว่าคล้ายจะคุ้นชินกับทัศนียภาพ บางอย่าง”
ป๋ ายฉางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จ้องนิ่งไปที่แผ่นไม้ไผ่ที่วางเรียงกัน แน่นขนัดบนโต๊ะแล้วเอ่ยเนิบช ้าว่า “ความหมายของศิษย์พี่ชิงจวินก็ คือการไหลรินไปของแม่น้าแห่งกาลเวลาไม่ได้เป็ นไปในทิศทางเดียว ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็ นการไหลไปตามกระแสหรือไหลทวนกระแส อะไร? สมมติว่าแผ่นไม้ไผ่ทุกแผ่นล้วนเป็ นข้าบางคนในช่วงเวลาที่ แตกต่างกัน คนโดยทั่วไปจะรู ้สึกว่าข้าในวันนี้สืบทอดมาจากข้าของ เมื่อวาน ข้าในวันพรุ่งนี้ก็คือการรับช่วงต่อของข้าในวันนี้ ผู้ที่ฝึ ก บ าเพ็ญตน ขอแค่ความกล้ามีมากสักหน่อยก็แค่สมมติว่าชีวิตคือการ ทวนกระแสขึ้นบน คือการพลิกเปิดหน้าหนังสือย้อนกลับ แต่หากอิง ตามคาอธิบายของศิษย์พี่ชิงจวิน เส้นทางในชีวิตคนกลับไร้ระเบียบ อย่างสิ้นเชิง ข้าของเมื่อวานอาจเป็ นเพื่อนบ้านกับข้าของวันมะรืน
่
ข้าในวันมะรืนอาจจะเป็ นเพื่อนบ้านกับข้าในวันใดวันหนึ่งของเมื่อปี ก่อน? เรื่องอย่างการรู ้ล่วงหน้าก็สามารถอธิบายได้แล้ว คาว่าสิ่งของ มีต้นและปลาย เรื่องราวมีจุดเริ่มต้นและจุดจบ รู ้ว่าสิ่งใดมาก่อนสิ่งใด มาหลังก็คือการขยับเข้าใกล้มรรคาอย่างที่อริยะกล่าวถึงก็จะมีหลัก ให้ยึดเกาะแล้ว แต่เมื่อเป็ นเช่นนี้ก็จะมีคาถามสองข้อที่ต้องคลี่คลาย ให้ได้ ข้อแรก ชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้า รวมเป็ นกลุ่มก้อนในเวลา เดียวกันแล้วก็สลายแยกจากกันสวรรค์เป็ นตัวลิขิตว่ามหามรรคา แปรปรวนจริงๆ หรือ? นอกจากนี้ก็คือความทรงจาของพวกเรา…”
เว่ยเปิ่นหยวนรีบตัดบทค าพูดของป๋ ายฉางทันใด เขาทอดถอน ใจเอ่ยว่า “วิถีกระบี่คือเส้นทางลัดจริงๆ”
อู๋ยวนคือนายอ าเภอคนแรกในประวัติศาสตร ์ของอ าเภอไหวหวง คือขุนนางที่จริงแท้แน่นอนอันดับที่สองนอกจากขุนนางผู้ตรวจการ งานเตาเผา ฟู่ อวี้ที่เป็ นลูกหลานตระกูลขุนนางซึ่งเป็ นหนึ่งในขุนนาง ผู้ช่วยของที่ว่าการอาเภอ ก็เคยต้องไปชนตออยู่หลายครั้งที่ถนนฝูลู่ และตรอกเถาเย่เป็ นเพื่อนนายอาเภออู๋ ได้รับความอัดอั้นตันใจถึงขีด สุด
พูดถึงแค่เอกสารราชการลับที่กรมพิธีการของราชสานักเคยส่ง มาให้แก่ที่ว่าการอาเภอ เรียกร ้องอู๋ยวนว่าขณะที่ยังอยู่ในตาแหน่ง จะต้องสร ้างหอเหวินชางขึ้นมาในภูเขาเครื่องกระเบื้องให้จงได้ จากนั้นเปลี่ยนแปลงสุสานเทพเซียนให้กลายเป็ นศาลบู๊ ภูเขาเครื่อง กระเบื้องเป็ นของสกุลหลิวถนนฝูลู่ ส่วนสุสานเทพเซียนแห่งนั้น
่
ตระกูลเว่ยก็ได้ครอบครองที่ดินมากที่สุด ผลคืออู๋ยวนต่างก็ทาสอง เรื่องนี้ไม่สาเร็จ และนี่ก็คือเหตุผลที่ภายหลังอู๋ยวนต้องจากไปอย่าง หม่นหมอง เหตุผลสามารถมีได้มากมาย สี่แซ่สิบตระกูลเกาะกลุ่ม สามัคคีผลักไสคนนอกมากเกินไป มังกรแข็งแกร่งกดหัวงูเจ้าถิ่นไม่ ลง ฯลฯ แต่ต้าหลีเลื่อมใสในเรื่องของทฤษฎีคุณความชอบและลาภ ยศ ทาไม่สาเร็จก็คือทาไม่สาเร็จ ดูแค่ที่ผลลัพธ ์เท่านั้นเป็ นเหตุให้ การประเมินขุนนางครั้งใหญ่ครานั้น คาประเมินที่กรมขุนนางมีต่ออู๋ย วนถึงได้ต่าเตี้ยเรี่ยดินอย่างมาก
ฟู่ อวี้ก็เคยพูดทวงความเป็ นธรรมแทนนายอาเภออู่ว่าทาไมธรณี ประตูของที่นี่ถึงได้สูงกว่าตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร ์ของเมืองหลวง
ภายหลังยังคงเป็ นหยวนเจิ้งติ้งที่ทุกวันยุ่งหัวหมุนราวกับลูกข่าง และยังมีเฉาเกิงซินขุนนางผู้ตรวจการที่บอกว่าตัวเองมานะหมั่นเพียร ในการขานชื่อ ไม่เคยตะกละในการดื่ม ลูกหลานของแซ่สกุลเสาค้า ยันแคว้นสองคนร่วมมือกันถึงได้งัดสี่แช่สิบตระกูลที่เหมือนแผ่น กระดานเหล็กให้แยกออกจากกันได้ ช่วยเปิดสถานการณ์ที่แท้จริง ให้กับทางราชส านัก พวกเขาต่างก็เป็ นคนวัยเดียวกันสองคนที่มี จุดเริ่มต้นในวงการขุนนางจากหลงโจวเก่า ทุกวันนี้ไม่ว่าจะพูดถึง ชื่อเสียงในวงการขุนนาง ต่างก็สูสีกัน พูดถึงอนาคตอันยาวไกล ต่าง ก็ถือว่าเลื่อนตาแหน่งสูงได้อย่างราบรื่น
ความบันเทิงของพวกเด็กๆ ในเมืองเล็กก็เหมือนอยู่ท่ามกลางร่ม เงาเย็นของต้นไหวโบราณซึ่งเหมือนร่มคันใหญ่ที่กางออก ฟังพวกผู้
่
เฒ่าเล่าเรื่องต่างๆ รอให้พวกผู้อาวุโสดึงตะกร ้าไม้ไผ่ที่บรรจุแตงโม เอาขึ้นมาจากบ่อโซ่เหล็ก วิ่งไปตลอดทางจนกระทั่งผ่านสะพานหิน โค้งข้ามลาธาร พวกเด็กๆ เห็นกระบี่เล่มเก่าที่เกรอะไปด้วยสนิมมาจน ชินตาจึงไม่รู ้สึกประหลาดใจอีกต่อไป ตกปลาที่หินหลังวัวดาซึ่งเต็ม ไปด้วยหลุมด้วยบ่อ หรือไม่ก็ถอดกางเกงในวันที่อากาศร ้อนแผดเผา เปลือยก้นกระโดดลงไปในบ่อน้า ไปคัดเลือกเคษกระเบื้องที่ภูเขา เครื่องกระเบื้อง เวลาที่เท้าเหยียบลงไปจะเกิดเสียงดังกรอบแกรบ ตัวอักษรและรูปภาพที่หลงเหลืออยู่บนเศษกระเบื้องเหมือนกับกาลัง พูดคุยหรือไม่ก็ร ้องงิ้ว เล่นไล่จับไปตามถนนและตรอกต่างๆ ไปเล่น ว่าวไปจับจิ้งหรีดที่สุสานเทพเซียน พออถึงหน้าหนาวก็ปั้นตุ๊กตาหิมะ เล่นขว้างหิมะ เล่นการละเล่นอย่างเช่นแต่งใครเป็ นภรรยา ใคร แต่งงาน ใช ้มือหามเป็ นเกี้ยว ทุกครั้งที่มีควันจากการหุงหาอาหาร ลอยขึ้นมา เสียงของพวกผู้ใหญ่จากบ้านหลังต่างๆ ที่มายืนอยู่หน้า ประตูตะโกนเรียกลูกหลานให้มากินข้าวก็จะดังขึ้นๆ ลงๆ
พอพวกเด็กๆ โตขึ้นมาอีกหน่อย เปลี่ยนจากเด็กน้อยกลายเป็ น เด็กหนุ่มเด็กสาว เด็กหนุ่มที่มีเรี่ยวแรง บ้างก็ไปทางานในนากับพวก บิดา แต่ส่วนใหญ่คือไปเป็ นลูกศิษย์ที่เตาเผามังกรนอกเมืองเล็ก จากนั้นก็กลายไปเป็ นช่างเผาเครื่องกระเบื้อง คนที่มีพรสวรรค์มีฝีมือ ดีทนไปเรื่อยๆ ก็พอมีหวังที่จะได้เป็ นอาจารย์ผู้คุมไฟของเตาเผา มังกรแห่งหนึ่ง เงินเดือนจะเพิ่มขึ้นเป็ นเท่าตัว เจ้าของเตาเผาอาจจะ ยังต้องคอยมองสีหน้าของพวกเขา ในเมืองเล็ก นี่ก็ถือว่ามีอนาคต
่
อย่างมากแล้ว พอถึงประมาณวัยกลางคนก็รับลูกศิษย์รอกระทั่งรับลูก ศิษย์ แล้วรับลูกศิษย์อีก ก็น่าจะกลายเป็ นคนแก่ไปแล้ว
ส่วนพวกเด็กสาวที่หิ้วตะกร ้าไม้ไผ่ไปเก็บผักป่าที่ริมน้า พวกนาง จะถอดรองเท้าปักลาย เท้าสองข้างที่ขาวนวลจะเหยียบย่าอยู่บนดิน อ่อนนุ่มระหว่างคันนา ทิ้งรอยเท้าตื้นๆ ยาวเป็ นทางเอาไว้ จากนั้นมี วันใดวันหนึ่งออกเรือน พวกนางมีลูกเป็ นของตัวเอง บางทีอาจไป เรียนหนังสือที่โรงเรียนอยู่หลายปี ตอนที่อายุน้อยก็ไปช่วยงานในไร่ นา ไปปล่อยวัว ต้อนเป็ ด หรือไม่ก็ไปเผาเครื่องกระเบื้องที่เตาเผา มังกรซึ่งเล่าลือกันว่าเอาไปให้ตาเฒ่าฮ่องเต้ใช ้งาน
ปีนั้นภายนอกเมืองเล็กมีโชควาสนาที่ใหญ่ที่สุดอยู่ห้าอย่าง มี ความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีห้าธาตุที่โจวจื่อแห่งสานักหยินหยาง แผ่นดินกลางริเริ่มขึ้นมาอย่างแนบแน่น
เกาเซวียนองค์ชายสกุลเกาอี้หยางต้าสุยได้รับปลาหลีสีทองที่ซุก ซ่อนปณิธานแห่งมรรคาตัวหนึ่งเอาไว้ บวกกับได้ข้องราชามังกรมา เพิ่มอีกหนึ่งใบ ได้มาจากหลี่เอ้อ ซึ่งเป็ นสัญลักษณ์ของศึกสงคราม
จ้าวเหยาแห่งถนนฝูลู่ เด็กรับใช ้ข้างกายของฉีจิ้งชุนอาจารย์ สอนหนังสือในโรงเรียนเมื่อครั้งอดีต ของตกแต่งในห้องหนังสือคือที่ ทับกระดาษไม้แกะสลักเป็ นรูปมังกรชิ้นหนึ่งเป็ นของที่สืบทอดมาจาก บรรพบุรุษซึ่งยังไม่ถูกแต้มนัยน์ตา
่
หนีชิวน้อยในอ่างเก็บน้าที่กู้ซ่านแห่งตรอกหนีผิงเลี้ยงเอาไว้ เฉิน ผิงอันตกมาได้จากร่องคูน้าของคันนาแล้วมอบต่อให้กับเจ้าขี้มูกยึด น้อย
กาไลข้อมือมังกรเพลิงของหร่วนซิ่ว นางได้มาจากในห้องตีเหล็ก ของร ้านริมล าธารบ้านตัวเอง เด็กสาวชุดเขียวที่มัดผมหางม้า ทุกครั้ง ที่นางเหวี่ยงแขนทุบลงไป สะเก็ดไฟในห้องสว่างพร่างพราว สาด กระจายเต็มห้อง งดงามจับตาประหนึ่งภาพของดวงดาว สุดท้ายมา รวมตัวกันกลายเป็ นก าไลสีแดงสดรูปมังกรคาบหาง ล้อมวนอยู่บน ข้อมือของเด็กสาวประหนึ่ง “ธรรมชาติสรรสร ้าง
งูสี่ขาในลานบ้านของซ่งจี๋ซินและสาวใช ้จื้อกุยถือว่าเป็ นฝ่ ายมา ยอมรับซ่งจี๋ซินเป็ นนายที่ตรอกหนีผิงด้วยตัวเอง มันหวาดกลัวหวังจู มาตั้งแต่กาเนิด ไม่กล้าเข้าใกล้เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานที่อยู่บ้าน ติดกัน เพียงแค่เพราะหวังจูจาแลงร่างมาจากมังกรที่แท้จริงตัวสุดท้าย บนโลก และเฉินผิงอันก็ยังเป็ นคนที่มีพันธะสัญญาลับกับนาง มัน ย่อมไม่กล้าก่อเรื่อง ภายหลังตอนที่อยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน เจียวน้าถาน เซวี่ยที่เติบใหญ่มาจาก “หนีชิวน้อย” หวาดกลัวเฉินผิงอัน ตอนนั้น เด็กสาวไม่กล้าอาศัยขอบเขตมาเกิดใจสังหารต่อเฉินผิงอัน เหตุผล นั้นมีอยู่สามข้อ อันดับแรกคือในบางความหมาย เฉินผิงอันต่างหาก จึงจะเป็ นเจ้านายคนแรกของนาง เพียงแต่ไม่ทันได้ “ลงหลักปักฐาน” อยู่ที่บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิง ไม่ได้มีพิธีการที่เหมือนสองฝ่ าย ลงนามต่อกันอย่างเป็ นทางการ เพียงไม่นานก็ถูกมอบให้กับกู้ซ่าน
่
เหตุผลที่สองก็คือนางรู ้ดีถึงตาแหน่งของเฉินผิงอันที่อยู่ในใจของกู้ ซ่านผู้เป็ นเจ้านาย แต่ที่สาคัญที่สุดก็คือเฉินผิงอันได้ลงนามสัญญา เท่าเทียมกันกับหวังจูมังกรที่แท้จริง ท้าทายเฉินผิงอันก็คือท้าทาย หวังจู ในความมืดมิดที่มองไม่เห็น ถานเซวี่ยที่เป็ นเผ่าพันธ ์ของมังกร ที่แท้จริงย่อมไม่กล้าล่วงเกินเบื้องสูง
และปีนั้นการที่เฉินผิงอันซึ่งชะตาชีวิตบางเบาดุจกระดาษ มิอาจ รั้งโชคดีเอาไว้ได้อยู่สามารถตก “หนีชิว” ตัวนี้ได้ก็มีความเกี่ยวข้อง กับชาดประทินโฉมตลับที่ถูกซ่อนไว้ในตรอกเล็กนอกบ้านบรรพบุรุษ อาศัยสิ่งนี้มาทาให้มหามรรคาของเขาใกล้ชิดกับสายน้า
ทอง ไม้ น้า ไฟ ดิน เป็ นทั้งห้าธาตุที่ช่วยกันผลักดันให้ก่อเกิด แล้วก็เป็ นทั้งห้าธาตุที่ขัดกันเอง ทั้งช่วยประคับประคองและสยบ ก าราบกันและกัน
ทว่าตอนที่พวกเขาได้รับโชควาสนาห้าอย่างที่ใหญ่ที่สุดซึ่งแสดง ให้เห็นภายนอกนี้ คนทั้งห้าก็เท่ากับว่าได้สูญเสียโอกาสในการเป็ น ครึ่งของหนึ่งนั้นไปอย่างสิ้นเชิง
หนทางแห่งฟ้ าหมุนเวียนเป็ นวัฏจักร มิเอนเอียงหาผู้ใด ไม่มีทาง ให้ใครได้เปรียบแล้วยังได้ผลประโยชน์ทั้งหมดไปครอบครอง
นี่ก็คือหนึ่งในกฏที่อยู่ชั้นล่างสุดที่หยางเหล่าโถวแห่งร ้านยาเป็ น ผู้กาหนด นอกจากนี้คนรุ่นเยาว์ของเมืองเล็กแทบทุกคนต่างก็มีควัน ธูปที่ขึ้นลงและวิธีการในการคานวณชัยชนะ
่
ยกตัวอย่างเช่นหูเฟิ ง ท่านปู่ ของเขาก็คือไช่เต้าหวงที่เปิดร ้าน ขายของงานมงคล คือเจ้าของร ้านหมั้นหมายแห่งภูเขาชัวเหอ เคย เป็ นผู้ดูแลวาสนาชะตารักของใต้หล้า
เพราะไช่เต้าหวงคือหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดารงอยู่บนโลก ดังนั้น เขาอาจจะเป็ นบุคคลแรกสุด หรือเป็ นหนึ่งในบุคคลที่สัมผัสได้ถึง
แผนการของชิงถงเทียนจวินได้เร็วที่สุด
ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ล้าเส้น ไม่ละเมิดกฏต่อหนึ่งในสิบสองสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง ไช่เต้าหวงจะพยายามให้หูเฟิ งได้ชิงลงมือก่อน วางแผนเพื่อความมั่นคงของลูกหลานในอนาคต
ตอนที่หลานชายยังเล็ก ไช่เต้าหวงก็เริ่มกาชับหูเฟิงซ้าไปซ้ามา ว่าไม่อนุญาตให้หูเฟิงเก็บทรัพย์สินที่ตกอยู่บนพื้น หากเจอกับเรื่อง อะไรก็ห้ามขอร ้องคนอื่น หากจาต้องขอร ้องคนอื่นจริงๆ น้าใจที่ติด ค้างไว้ก็จาเป็ นต้องชดใช ้คืนให้ได้เร็วที่สุด ทางที่ดีที่สุดก็ควรจะใช ้คืน ให้มากกว่าตอนที่ยืมเอามา แต่สามารถขอ ‘เงินมงคล’ มาให้มาก หน่อยได้ ยกตัวอย่างเช่นหากเจอขบวนแต่งงานกลางทางก็สามารถ ไปขวางทางขอซองแดงมาได้ แต่อย่าลืมพูดค ามงคลหลายๆ ประโยค ให้ปฏิบัติดีต่อผู้อื่น ผูกบุญสัมพันธ ์เป็ นวงกว้าง หากเพื่อนบ้าน ใกล้เคียงมีงานอวมงคลก็ให้ไปช่วยเหลือ หากต้องมีคนเฝ้ าโถง วิญญาณ ผู้เฒ่าก็จะให้หูเพิ่งไปเฝ้ าอยู่ในโถงวิญญาณหนึ่งคืน ต้องมี ความจริงใจ ห้ามง่วงนอน จ าเป็ นต้องรอให้ฟ้ าสว่างก่อนถึงจะกลับ บ้านได้ ห้ามละทิ้งไปกลางคันเด็ดขาด หาไม่แล้วสู้ก็เหมือนไม่สู้ อย่า
่
เข้าไปในโถงวิญญาณตั้งแต่แรกเลยจะดีกว่า วันหนึ่งของทุกปี ผู้เฒ่า ก็จะต้องพาหูเฟิ งไปโขกหัวกราบไหว้ที่สุสานเทพเซียน ฟ้ าผ่าก็ไม่ สะเทือน ไม่ว่าจะฝนตกหรือลมแรงก็มิอาจขัดขวาง
แต่ผู้เฒ่ากลับไม่รู ้ว่า ตอนที่หูเฟิงได้รับคราบร่างจักจั่นแล้วเก็บ มันไว้เป็ นของตัวเองนับตั้งแต่นาทีนั้นเป็ นต้นมา หูเฟิ งก็ได้ถอย
ออกไปจากโต๊ะเดิมพันแล้ว
ก่อนหน้านั้นควันธูปของหูเฟิงก็ถือว่าสูงพอแล้ว ติดสามอันดับ แรก หากสามารถขยับเคลื่อนหน้าไปตามลาดับขั้นตอนได้ต่อ ก็มี โอกาสสูงมากที่หูเฟิงจะเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุด
จูลู่แห่งตระกูลสกุลหลี่ถนนฝูลู่ อันที่จริงก็เป็ นคนที่มีความ ได้เปรียบจากการลงมือก่อนแต่ในนาทีหนึ่งกลับแพ้การเดิมพัน ให้แก่หลี่เป่าเจินไปหมดแล้ว
เถาหยาสาวใช ้แห่งสกุลเว่ยตรอกเถาเย่ การเดิมพันของนางกลับ เคลื่อนขึ้นสู่ที่สูงอย่างมั่นคงตลอด ลูกหลานสกุลหลูบางคน ตอนที่ เกือบจะฆ่าหลิวเสี้ยนหยางตายอยู่ในตรอกเล็กที่ไม่คุ้นเคย ควันธูป กลับพุ่งขึ้นสูงมาก
เปลวไฟของเตาเผาในเตาเผามังกรสามสิบหกแห่ง ภูเขาเครื่อง กระเบื้องหนึ่งแห่ง ต้นท้อสองข้างทางของตรอกเถาเย่ ล าคลองหลงซ วีกับแม่น้าเถี่ยฝู
่
ส่วนซุ้มป้ ายที่ชาวบ้านเรียกว่าซุ้มก้ามปู แท้จริงแล้วคือหนึ่งใน เก้าหอพิทักษ์เมืองแห่งใต้หล้าไพศาล คือหอสยบกระบี่ที่แท้จริง
เทือกเขาคดเคี้ยว สุดท้ายก่อตัวเป็ นรูปมังกรขดตัว เรือนกายมิ อาจขยายออกได้
ตรอกฉีหลง ด้านบนสุดของขั้นบันไดมีสระน้าขนาดเล็กสองสระ ที่อยู่ห่างกันไม่ไกลนัก ถูกคนเฒ่าคนแก่ในเมืองเล็กเรียกว่าดวงตา มังกร ตามคากล่าวนี้ ขั้นบันไดหนึ่งร ้อยยี่สิบสองขั้นของตรอกฉีหลง ก็คือช่วงของลาคอมังกร ส่วนถนนที่อยู่ข้างสระน้าก็ถูกชาวบ้านเรียก เป็ นยอดเตาไฟ
เตาเผาเป่ าซีหนึ่งในเตาเผามังกรมากมายนอกเมืองเล็ก ช่างใน เตาเผาแซ่เหยา ไม่ทราบนาม แล้วก็ไม่มีญาติพี่น้องอยู่ในเมืองเล็ก ผู้ เฒ่าเป็ นคนคร่าครึ ไม่ชอบแย้มยิ้มพูดคุยควบคุมลูกศิษย์อย่าง เข้มงวด หลิวเสี้ยนหยางที่เข้ามาอยู่ในเตาเผามังกรภายหลังกลับ กลายเป็ นลูกศิษย์ของเขาได้เร็วกว่าเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงที่ไปอยู่ เตาเผาก่อน อีกทั้งจนถึงท้ายที่สุดเฉินผิงอันก็ไม่เคยเข้าตาผู้เฒ่า เหยา เป็ นแค่ลูกศิษย์ แต่ไม่ใช่ลูกศิษย์เข้าห้อง
“ช่างเหยา” (เหยาซือฝู) “เหย้าซือฝอ
บุรพแจกันสมบัติทวีป ตถาคตแห่งบุรพาพุทธเกษตร
การสร ้างเทวรูป ไม่ว่าจะเป็ นดินเหนียวปั้นหรือสร ้างจากเหล็ก หลอม ไม่ว่าจะมีการแปะทองลงสีหรือไม่ การเปิดหน้านั้นสาคัญมาก
่
นอกจากนี้แล้วยังมีข้อพิถีพิถันในเรื่องวัตถุอย่างเงินทอง คัมภีร ์ที่ต้อง ใส่ไว้ในเทวรูป หรือไม่ก็จารึกนามผู้ถวาย
มีเด็กกาพร ้าตรอกหนีผิงคนหนึ่งที่มักจะไปที่สุสานเทพเซียนเป็ น ประจ า ไปโขกหัวให้กับพระโพธิสัตว์สามองค์ไม่หยุด เด็กคนนี้สะพาย ตะกร ้าไม้ไผ่ที่บรรจุสมุนไพรบนภูเขารองเท้าสานคู่เล็กที่ถักขึ้นเอง อย่างหยาบๆ ซึ่งถูกเสียดสีจนพังไปคู่แล้วคู่เล่า เด็กน้อยที่ปีนั้นทุกวัน จะต้องถูกคนมองด้วยสายตาดูแคลน ถูกคาพูดซุบซิบนินทาทิ่มแทง จิตใจ รู ้สึกเพียงว่าพระโพธิสัตว์พบเจอได้ง่าย สมุนไพรบนภูเขาพบ เจอได้ยาก
หลายปีผ่านไป ทุกอย่างเป็ นดั่งน้าลดหินผุด มีภิกษุวัยกลางคน คนหนึ่งที่เหยียบย่างมายังที่แห่งนี้เป็ นครั้งแรก เคยเห็นอาณาเขตของ สุสานเทพเซียนที่เหมือนเปลี่ยนโฉมใหม่หมดจด ร ้องภาษาธรรม ประโยคหนึ่งว่าปฏิบัติตามปณิธานไม่หยุดพัก
ทุกวันนี้บนโต๊ะหนังสือของชั้นหนึ่งบนเรือนไม้ไผ่ยอดเขาจี๋หลิง ภูเขาลั่วพั่ว วางกระบอกใส่พู่กันที่ทาจากวัตถุดิบแตกต่างกัน มีทั้ง เครื่องกระเบื้องและไม้ ด้านในเสียบที่คั่นหนังสือท าจากไม้ไผ่ บนแผ่น ไม้ไผ่ทุกแผ่นแกะสลักตัวอักษรที่ไพเราะซึ่งเจ้าของเจอมาหรือไม่ก็ได้ ยินมาระหว่างการเดินทาง เนื้อหาที่เจ้าของยอมรับจากจริงใจพวกนี้มี ทั้งหลักการเหตุผลที่เรียบง่าย มีทั้งบทกวีที่ไม่ฉูดฉาด มีทั้งคาพูด โบราณที่เคยได้ยินได้ฟังมา
่
หีบหนังสือใบเล็กที่ชุยเฉิงทิ้งไว้ให้กับหน่วนซู่ ด้านในบรรจุตารา ลัทธิพุทธ แล้วก็เป็ นสาเหตุที่ว่าทาไมผู้เฒ่าถึงได้พาถ่านดาน้อยท่อง ไปในพื้นที่มงคลดอกบัวด้วยกัน และสุดท้ายเลือกจะพักเท้าอยู่ที่วัดซิ นเซียงที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เพียงแค่เพราะในวัยไม้ ใกล้ฝั่ง ผู้เฒ่าได้หันหน้าเข้าสู่ทางธรรมด้วยความจริงใจ