กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1085.6 เชิญยกจอกขึ้นดื่มเถิด
ภายหลังชายใจหญิงก็สามารถลงจากเตียงมาเดินได้แล้ว แต่ยัง ต้องพักรักษาตัว บางครั้งบุรุษก็ออกไปข้างนอก ล้วนเป็ นวันที่เหมือน จะมีฝนตกแต่ไม่ตก ไปเจอกับพวกช่างในเตาเผาระหว่างทาง เวลาที่ ชายใจหญิงพูดคุยกับคนอื่นก็มักจะกรีดนิ้วหรือไม่ก็ลูบผมตรงจอนหู ตามความเคยชิน คนใกล้ตัวอย่างมากสุดก็แค่ยิ้มเอ่ยว่าสุนัขไม่ เปลี่ยนนิสัยกินอาจม เอ่ยสัพยอกต่อหน้าสองสามประโยค เมื่อก่อน ชายใจหญิงไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ทว่าตอนนี้กลับมีสีหน้าหม่นหมอง ยามที่ซูฮั่นเดินอยู่บนเส้นทางเพียงลาพัง หากไม่ตบบ้องหูตัวเองก็ มักจะแอบยื่นมือซ ้ายออกมากามือขวาเอาไว้แน่น ก็ไม่รู ้ว่าคิดอะไรอยู่
ตอนที่สามารถเรียกได้ว่าเขากับเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงคุยเล่นกัน ได้อย่างแท้จริง มีแค่ครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ชายใจหญิงบ่นจู้จี้ ไปสิบประโยคแล้ว เด็กหนุ่มถึงจะพูดโต้กลับมาประโยคเดียว
อีกทั้งตั้งแต่ต้นจนจบ เด็กหนุ่มก็แค่เอ่ยประโยคที่พอจะถือว่าเป็ น คาพูดดีๆ ที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจประโยคเดียวเท่านั้น บอกว่า กระดาษที่ชายใจหญิงตัดออกมา สวยมาก
สุดท้ายชายใจหญิงที่ดูคล้ายจะอารมณ์ไม่เลวจึงถามเด็กหนุ่มว่า ทาไมครั้งแรกที่เจอตนบนภูเขา ถึงไม่ได้บอกให้พวกช่างเหยารู ้?
คาตอบของเด็กหนุ่มร่างผอมแห้งตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง เจ้าขี้ ขลาด ถูกจับกลับไปตีตาย ต่อให้เจ้ากลายเป็ นผีร ้ายก็ไม่มีทางกล้า ไปแก้แค้นคนอื่นแน่ มีแต่จะมาหาข้า
ชายใจหญิงหัวเราะอย่างมีความสุข รอกระทั่งหยุดเสียงหัวเราะได้ อย่างไม่ง่ายก็ร ้องเรียกก่อนหนึ่งคา เรียกชื่อของเด็กหนุ่ม แล้วถาม คาถามว่า นี่ถือว่าคนทาดีไม่ได้ดีตอบแทนหรือไม่?
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบกลับ
ทว่าวันนั้นเอง ชายใจหญิงกลับใช ้กรรไกรแทงคอตัวเอง ม้วนผ้า ห่มปิดทับร่างตัวเองเอาไว้ คล้ายว่าอยากจะหลบอยู่ข้างใน ไม่อยาก ให้ใครเห็นสภาพการตายที่อัปลักษณ์ของเขา สรุปก็คือตายไปอย่าง เงียบๆ เช่นนั้น
วันที่ซูฮั่นตาย แสงแดดแผดจ้าส่องสว่างไปทั่วทุกมุมบนพื้นดิน ท้องฟ้ าครามหมื่นลี้ไร ้เมฆขาว
อันที่จริงเฉินผิงอันในเวลานั้นก็ไม่ได้รู ้สึกเสียใจสักเท่าไร เพียง แค่ว่าตอนที่เฝ้ าศพให้กับชายใจหญิงพร ้อมกับหลิวเสี้ยนหยาง เด็ก หนุ่มแค่คิดแล้วก็ไม่เข้าใจสองเรื่องเท่านั้น ในเมื่อชายใจหญิงกลัวเจ็บ ขนาดนั้น ไฉนถึงไม่กลัวตาย คนที่ขี้ขลาดถึงเพียงนั้น ทาไมถึงลงมือ ได้ กล้าเอากรรไกรแทงคอตัวเองเป็ นรูใหญ่? ชายใจหญิงตายเพราะ ค าพูดค าเดียว ทว่าประโยคที่ช่างในเตาเผาเอ่ยตอนอยู่ในห้องนั้น เป็ นเพียงแค่คาพูดคุยที่ปกติทั่วไป เบาหวิวยิ่งกว่าปุยฝ้ าย ตามหลัก
แล้วชีวิตนี้ที่ผ่านมาชายใจหญิงก็น่าจะได้ยินมาจนหูชาแล้ว ท าไมจู่ๆ เขาถึงรับไม่ได้ขึ้นมา?
ไม่ว่าจะอย่างไร ภายหลังรอกระทั่งเฉินผิงอันได้เจอกับมือกระบี่ สวมงอบคนนั้น หลักการเหตุผลข้อหนึ่งที่อีกฝ่ ายพูดมาง่ายๆ บอกว่า ไม่ควรพูดถึงคนอื่นลับหลังในทางที่ไม่ดี เด็กหนุ่มก็ได้จดจ าไว้ในใจ
เงียบๆ แล้ว
ไม่เพียงแค่เพราะเฉินผิงอันเข้าใจหลักการเหตุผลอยู่แค่ไม่กี่ข้อ ถึงได้ทาให้เขารู ้จักเห็นค่าหลักการเหตุผลที่ได้มามากเป็ นพิเศษ แต่ เป็ นเพราะเขารู ้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าบางครั้งคาพูดแค่ประโยคเดียวก็ สามารถฆ่าคนให้ตายได้จริงๆ
กลุ่มภูเขาทางทิศตะวันออกคือเทือกเขาที่ทอดยาวหลายสิบสาย มีสูงมีต่า มีใหญ่มีเล็ก ทว่าชื่อภูเขาที่มีอักษรน้าเป็ นตัวประกอบกลับมี น้อยจนนับนิ้วได้ หากเป็ นภูเขาที่อยู่ใกล้กับเมืองเล็กก็ยิ่งมีแค่เนินเขา ที่เล็กที่สุดแห่งนั้นเท่านั้น ในเอกสารที่เก็บเข้าคลังของที่ว่าการ ผู้ตรวจการงานเตาเผามีบันทึกเอาไว้ ชื่อว่าภูเขาอี๋ซาน (มีอักษรน้า เป็ นตัวประกอบ) แน่นอนว่ากรมพิธีการของราชส านักต้าหลียังมีอีก ชื่อที่ค่อนข้างจะคลุมเครือ ภูเขาเจินจู อื๋ซาน ในชื่อภูเขามีน้า อีกทั้ง ยังมีอักษรจินจากประโยคว่าคิดเล็กคิดน้อย ท าให้ซูฮั่นรู ้สึกชอบมาก อีกทั้งเขายังเป็ นคนขี้ขลาด กลัวผีเป็ นที่สุด ดังนั้นตอนที่เขายังมีชีวิต อยู่จึงคิดไว้เรียบร ้อยแล้วว่าหากตัวเองตายไปจะฝังอยู่ที่ไหน จึงไป “ลงหลักปักฐาน” อยู่ที่นั่น ได้อยู่ใกล้เมืองเล็กมากหน่อย ภูเขาลูกเล็ก
รกร ้าง พืชหญ้าขึ้นรกชัฏ แม้กระทั่งต้นไม้ที่เหมาะจะตัดมาท าเป็ นฟืน ก็ยังมีอยู่แค่ไม่กี่ต้น ดังนั้นจึงแทบไม่มีชาวบ้านของเมืองเล็กขึ้นมาบน ภูเขาลูกนี้หลังจากเขาตายไปจะได้ไม่ต้องโดนด่า หลุมศพเล็กๆ หลุม หนึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพงหญ้าไม่ขวางหูขวางตาใคร เป็ นแบบนี้ ย่อมดีที่สุดแล้ว
คนเรากินจากดินมาทั้งชีวิต ดินก็กินคนกลับคืน
ลงดินเพื่อความสงบสุข
ซูฮั่นจึงถูกฝังอยู่ที่นี่
สุดท้ายภูเขาเจินจูก็ถูกเฉินผิงอันซื้อมา จ่ายเงินเหรียญทองแดง แก่นทองไปแค่เหรียญเดียวเท่านั้น
ตอนนั้นเฉินผิงอันเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากว่าทาไมถึงต้องเป็ น เงินอิ๋งชุนหนึ่งในเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามชนิด
นี่ก็คือวาสนา คือบุญสัมพันธ ์ที่เริ่มต้นด้วยดีและจบลงด้วยดี
เฉินผิงอันที่ไม่กลัวผีมากที่สุด กับชายใจหญิงที่ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ กลัวเฉินผิงอันมากที่สุด
ภายหลังซูเตี้ยน แม่นางที่มีชื่อเล่นว่าแยนจือกับสือหลิงซานแห่ง ตรอกเถาเย่ก็ได้กลายมาเป็ นลูกศิษย์ของหยางเหล่าโถว เวลาปกติ มักจะช่วยงานอยู่ในร ้านยา
นางก็คือหลานสาวของซูฮั่น
กลายเป็ นอาจารย์และลูกศิษย์กันแล้ว มีครั้งหนึ่งหลังจากสอน หมัดเสร็จ ผู้เฒ่านั่งพ่นควันอยู่ในเรือนด้านหลัง ได้พูดคุยเรื่องที่ไม่ เกี่ยวกับการเรียนวรยุทธอย่างที่หาได้ยาก
ผู้เฒ่าถาม “เรียนหมัดแล้ว อยากแก้แค้นหรือไม่?” ซูเตี้ยนพยักหน้า
ต้องการใช ้หนี้คืนให้กับท่านอาของเจ้า?”
ซูเตี้ยนยังคงพยักหน้า “นอกจากใช ้หนี้และตอบแทนบุญคุณล่ะ? “ท่านอาและข้าต่างก็รู ้สึกว่าเขาคือคนดีที่แท้จริง
ซูฮั่นท่านอาของเจ้า คาว่าฮั่นเข้าใจได้ง่าย ก็คือวันที่ฝนไม่ตก เด็กนักเรียนประถมทีเพิ่งเรียนหนังสือแค่ไม่กี่คาก็ยังรู ้ความหมาย ไร ้ ฝนแดดจ้าแห้งแล้งก็คือฮั่น
จากนั้นผู้เฒ่าใช ้กระบอกยาสูบเขียนตัวอักษรลงไปกลางอากาศ ซูเตี้ยนที่ไม่เคยเล่าเรียนมาก่อนย่อมอ่านไม่ออก แต่เด็กสาวพอจะ เดาค าตอบได้
“แต่คาว่า “ซู” คานี้ กลับมีความหมายเยอะมาก ในสมัยโบราณ อักษรค าว่า “ซู” ถือเป็ นอักษรภาพ ความหมายคือใช ้กิ่งไม้หรือไม่ก็ หญ้าร ้อยแก้มปลาเพื่อให้ถือง่าย อีกทั้งรูปร่างของตัวอักษรตัวนี้ยัง เหมือนหนวดปลาที่ห้อยลงมา
ในนี้ได้ซ่อนความหมายไว้สองชั้น เพียงแค่แซ่สกุลก็ได้บอก กล่าวให้รู ้ถึงสภาพการณ์และ…ชาติกาเนิดของซูฮั่นแล้ว
ปลาไร ้น้าตัวหนึ่งที่ถูกร ้อยแก้มลอยอยู่กลางอากาศ ขึ้นไปบนฟ้ า ไม่ถึง สัมผัสกับดินก็ไม่ได้ นี่ก็คือการรับโทษทัณฑ์เผชิญกับความ ยากล าบาก เทพพิรุณถูกเนรเทศให้มาเกลือกกลั้วอยู่ท่ามกลางธุลี ประหนึ่งหนวดมังกรฝนที่ห้อยตกลงสู่พื้น นี่ก็คือที่มา
“แซ่เป็ นแช่ที่ไม่เลว น่าเสียดายที่ตั้งชื่อผิด บทว่าด้วยการศึกของ จิ๋วไฉเฒ่าบางคนเคยมีประโยคว่า “ผู้ที่หันเข้าหาคมดาบย่อมต้อง ตาย” หมายถึงว่าตัวอักษรซูมีความหมายว่า “หันเข้าหา”
ปลาตัวหนึ่งพ้นจากน้าขึ้นฝั่ง แต่กลับไม่ได้ถูกฆ่าตายอย่าง แท้จริง ขอแค่กลับลงน้าก็จะรอดชีวิตได้ ดังนั้นคาว่าซูจึงยังหมายถึง คนที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่ นี่เกี่ยวพันไปถึงหลักความคิดล่า ถอยของลัทธิพุทธด้วย หากจะบอกว่าหันกลับคือฝั่ง แล้วถ้าหัน กลับไปอีกครั้งล่ะ? นี่ไม่ได้หมายความว่าปลาอยู่ในน้าแล้ว แต่ยังคร่า ครวญไม่รู ้จักพอหรอกหรือ? ดังนั้นท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่ เห็นถึงได้คล้ายจะมีบัญชาจากสวรรค์ ท าให้ซูฮั่นเลือกเตาเผาเป่าซีที่ เหยาเหล่าโถวเป็ นผู้ดูแลจากเตาเผามังกรหลายสิบแห่ง
หน้าที่เทพคือโปรยฝน เทพพิรุณกลับจุดไฟ เทพพิรุณหญิง กลับมีกายเป็ นชายซูฮั่น
เผชิญกับความยากลาบากขมขื่น สุดท้ายจึงได้หลุดพ้น ถ่อเรือ ข้ามฝั่งไปด้วยตัวเองไม่แสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ผู้ที่มานะพากเพียรด้วยตัวเอง สวรรค์ย่อมช่วยเหลือ
ตอนที่ซูเตี้ยนเรียนวิชาหมัดอยู่บนยาซานใต้หล้ามืดสลัว บังเอิญ เหลือบไปเห็นบทรวมกวีเล่มหนึ่ง ด้านบนนั้นบันทึกบทกวีขอฝนของ
ภูเขาอี๋ซานไว้พอดี
แม้หิมะจะทับถมสูงถึงหนึ่งฉื่อ ก็ไม่อาจช่วยบรรเทาภัยแล้งในฤดู ใบไม้ผลิและฤดูร ้อนเสียงคร่าครวญหวนไห้ดังระงม สวรรค์หาได้สดับ ฟัง เสียงร ้องราทาเพลงดังตลอดค่าคืนกระทั่งมังกรออกศึก….สายน้า ไหลเวียนในฟ้ าดินไปตามกฎเกณฑ์ ปีแล้วปีเล่าไม่คลาดเคลื่อนเอียง
เอน….
ซูเตี้ยนหลั่งน้าตานองเต็มใบหน้าโดยไม่รู ้ตัว นางเงยหน้ามอง ม่านฝนนอกหน้าต่างพึมพาเบาๆ ว่า สวรรค์นี่หนอ
แมวดาตัวนี้มาเป็ นแขกที่ร ้านยาตระกูลหยางอีกครั้ง มันกระโดด ลงจากสันหลังคาพลิ้วกายลงบนม้านั่งยาวเบาๆ เมื่อครู่ตอนที่อยู่ใน ตรอกแห่งหนึ่ง หูเฟิงได้คราบจักจั่นชิ้นนั้นไปครอง
เด็กหนุ่มที่เดินเวียนไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ ผู้นั้น นับแต่เด็ก มาก็ชอบไปแหวกๆ เขี่ยๆ เก็บเศษเครื่องกระเบื้องที่ภูเขาเครื่อง กระเบื้องกับต่งสุยจิ่ง บางครั้งก็ได้ของดีมาเหมือนเก็บทองก้อนจาก ในกองอาจมได้
คนที่เจ้าเลือก คือเจ้าลูกกระต่ายน้อยสวมกางเกงเปิดกันที่เที่ยวอี ฉี่ไปทั่วผู้นั้นหรือ?
หยางเหล่าโถวส่ายหน้า พอคิดถึงหลี่ไหว บนใบหน้าแห้งเหี่ยว เต็มไปด้วยริ้วรอยของผู้เฒ่าก็มีรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก
หลี่ไหวคือข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว นับตั้งแต่เริ่มต้นผู้เฒ่าก็ ไม่ได้ดึงเขาขึ้นไปบนโต๊ะเดิมพัน ถึงขั้นที่ว่าแม้กระทั่งเครื่องกระเบื้อง แห่งชะตาชีวิตของหลี่ไหวก็ยังเป็ นผู้เฒ่าที่ไหว้วานให้คนอื่นซื้อ มาแล้วมอบกลับคืนให้เด็กน้อยไปแล้ว
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าการดารงอยู่ของหลี่ไหวไม่สาคัญ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้าในระดับใหญ่แล้วหลี่ไหวถือว่าเป็ นคน จัดการแทนสวรรค์ รับหน้าที่ “แต่งตั้งตาแหน่งเทพ” คล้ายกับการ แต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งอย่างเป็ นทางการของยุคปัจจุบัน มีเด็กคนนี้ เป็ นผู้แจกจ่ายโชควาสนา ขณะเดียวกันหลี่ไหวก็สามารถวางตัวอยู่ นอกเหนือเรื่องราวได้
เมื่อเด็กหญิงสวมชุดผ้าฝ้ ายบุนวมสีแดงที่วิ่งออกไปจากโรงเรียน อย่างว่องไวราวกับสายลมนาทางให้ท่านอาหลี่ไปหาหลี่ไหว
นี่ทาให้หลี่ไหวที่สวมกางเกงเปิดก้นรู ้สึกดีต่อเพื่อนร่วมห้องนิสัย ประหลาดผู้นี้ขึ้นมาทันใด และในวินาทีนั้น ก้านธูปที่เป็ นของหลี่เป่า ผิงในเรือนด้านหลังร ้านยาก็พลันลอยขึ้นสูงกว่าเดิมไปเยอะมาก
ในตรอกหนีผิงมีคนสองคนที่ทั้งสถานะและขอบเขตล้วนแตกต่าง กันมาก ทั้งสองต่างก็คารวะกันและกัน
ภายหลังเมื่อเหตุเปลี่ยนแปลงใหญ่เทียมฟ้ าบนสะพานแบบคาน แห่งนั้นผ่านไป ก็เคยมีการถามตอบที่คนนอกไม่อาจล่วงรู ้เกิดขึ้น
“อาจารย์ฉี ทาเช่นนี้ สาหรับเขาแล้วจะเป็ นเรื่องดีจริงๆ หรือ?”
บัณฑิตที่จอนผมสองข้างมีสีดอกเลาแซมประปรายเงียบงันไม่ เอ่ยค าใด ในใจรู้สึกละอายใจ
เขาเคยมอบตราประทับชิ้นหนึ่งที่แกะสลักด้วยตัวเองให้กับศิษย์ น้องเล็กที่เขารับลูกศิษย์มาแทนอาจารย์ เป็ นค าว่าเฉินสืออี
เด็กสาวชุดเขียวนั่งกินขนมอยู่ริมหินผาสีดามองเด็กหนุ่มสวม รองเท้าสานที่เพิ่งเคยเจอกันเป็ นครั้งแรก
เรื่องกินเป็ นเรื่องใหญ่ของมนุษย์ เด็กสาวน้าลายสอเหมือนได้ เห็นอาหารที่เลิศรสที่สุดในฟ้ าดิน นางจึงอดมองหลายทีไม่ได้
เพราะนางคือผู้ฝึกตน เป็ นเหตุให้นางเป็ นคนที่เห็นเด็กหนุ่มก่อน ต่อมาถึงจะเป็ นเด็กหนุ่มที่สายตาดีมาก ดีเกินกว่าคนปกติทั่วไปที่ มองเห็นนาง
สุดท้ายเด็กหนุ่มได้ออกเดินทางไกลครั้งแล้วครั้งเล่า เด็กสาวใน อดีตก็ได้ขึ้นสวรรค์จากไปในท้ายที่สุด
สานักกระบี่หลงเฉวียนย้ายออกไปพื้นที่จึงว่างเปล่า ก่อให้เกิด เป็ นทะเลสาบหวนเจี้ยนขึ้นมา
เคยมีครั้งหนึ่งที่เด็กหนุ่มออกจากบ้านเกิดแล้วได้หวนกลับมาอีก ครั้ง เขาได้นาของขวัญชิ้นหนึ่งมามอบให้กับแม่นางหร่วนที่ช่วยดูแล บ้านให้
นั่นคือครั้งแรกที่เฉินผิงอันออกเดินทางไกล เขาไม่ได้ไปเสีย เที่ยว เพราะตอนที่กลับมาข้างกายก็มีเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูและ เด็กชายชุดเขียวมาเพิ่ม
ระบบสืบทอดอันดีงามที่ต้อง “เก็บคนกลับบ้าน ยามออกไปนอก บ้านของเจ้าขุนเขาก็น่าจะเริ่มมาตั้งแต่ตอนนั้นกระมัง?
ภายหลังครั้งแรกที่ไปเยือนกาแพงเมืองปราณกระบี่แล้วกลับมา จากใบถงทวีป ข้างกายก็มีถ่านดาน้อยคนหนึ่งติดตามมาด้วย
เดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีป พาภูตน้าใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ แม่นางน้อยชุดดาที่ยืนอยู่ในตะกร ้าไม้ไผ่กลับมาด้วยกัน
ตอนอยู่กาแพงเมืองปราณกระบี่ ครั้งที่ “ตื่นจากฝัน” ในถ้าแห่ง โชควาสนาบนทะเลข้างกายก็มีตัวอ่อนเซียนกระบี่มาเพิ่มเก้าคน
ของขวัญชิ้นนั้นคือของที่ไม่มีราคาค่างวดอะไร เป็ นแค่กระบอก ไม้ไผ่เขียวใบหนึ่งที่แกะสลักตัวอักษรเล็กๆ ไว้หนึ่งแถว
เป็ นคาห้าคาที่เขียนอย่างเป็ นระเบียบเรียบร ้อย “ขุนเขาสายน้า ได้กลับมาบรรจบพบกันใหม่”
ปีนั้นหลังจากที่หร่วนซิ่วรับของขวัญชิ้นนี้มา นางดีใจมาก ถึงขั้น ที่ว่านางไม่ได้ปกปิดความดีใจนั้นเอาไว้ แม้กระทั่งเด็กชายชุดเขียว และเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็ยังมองเห็นกันได้อย่างชัดเจน
หลังจากที่เมืองเล็กเปิดประตู ไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรื่องถูก สกัดคงคาเจินจวินเล่นงาน จิตแห่งมรรคาไม่มั่นคง ลงมือสะบั้น สะพานแห่งความเป็ นอมตะของเด็กหนุ่มตรอกหนีผิง
เฉินผิงอันกาเศษกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งไว้ในมือซ ้าย แล้วจู่ๆ ก็ลงมือสังหารไช่จินเจี่ยนในตรอกเล็กแห่งหนึ่งอย่างฉับพลัน
เขาคือคนแรกในบรรดากลุ่มคนรุ่นเยาว์ของเมืองเล็ก ก่อนหน้า หม่าขู่เสวียนที่ลงมือสังหารผู้ฝึกลมปราณบนภูเขากับมือตัวเอง
นาทีนั้นในลานกว้างใต้หลังคาที่เปิดอ้าของเรือนหลังร ้านยา ธูป ก้านหนึ่งที่เดิมที่กาลังจะเผาไหม้หมดสิ้น พริบตานั้นควันก็พวยพุ่งลุก โชน ลอยอบอวลไปทั่ว ระเบิดพลังอานาจรุนแรง
บุรุษที่จูงลาสวมงอบบอกว่าตัวเองคือมือกระบี่คนนั้น ปีนั้นเขาคุ้ม กันกลุ่มเด็กๆ ไปส่งที่ต้าสุยเพื่อขอศึกษาต่อ ระหว่างทางเคยเอ่ย สัพยอกหลินโส่วอีด้วยประโยคที่ไร ้เจตนา
บอกว่าให้หลินโส่วอีกับเฉินผิงอันเปลี่ยนชื่อกันดู ตอนนั้นหลิน เจิ้งเฉิงบิดาของหลินโส่วอีคือหุนเจ่อ และความหมายในชั้นที่ลึกที่สุด ของผู้ที่เป็ นหุนเจ่อ แน่นอนว่าคือการเฝ้ าประตู
เฝ้ าประตูก็ย่อมต้องเฝ้ าดูแลของที่อยู่ด้านในด้วย ยกตัวอย่างเช่น ว่า…ปกป้ องหนึ่งนั้น (โส่วอี) ให้หนึ่งนั้น สงบสุขปลอดภัย
บนเส้นทางของการไปขอศึกษาต่อ หลี่ไหวที่เก่งแต่ในโปงผ้าห่ม มากที่สุดเคยตัดสินใจแล้วว่าวันหน้าจะมอบของที่สาคัญที่สุด ให้กับเฉินผิงอัน
ในโรงเตี้ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่แคว้นหวงถึง หลินโส่วอีพูด ขอโทษเฉินผิงอันอย่างที่ไม่เคยทามาก่อน
แต่สิ่งที่ทาให้หลินโส่วอียอมรับในตัวเฉินผิงอันอย่างแท้จริง กลับ เป็ นประโยคต่อมาของเฉินผิงอันที่บอกว่า “ข้าจะทวงเงินกลับคืนมา!”
ในอดีตนานยิ่งกว่านั้น แผงขายถังหูลู่ในตรอกซิ่งฮวา ชาย ฉกรรจ์มองเด็กน้อยริมทางที่วิ่งหนีไป โจวจื่อพยักหน้าเบาๆ
ครั้งแรกที่ไปอยู่กาแพงเมืองปราณกระบี่ เดินนิ่งฝึกหมัดอยู่บนหัว ก าแพงเมือง บางทีอาจเป็ นครั้งแรกในชีวิตที่เฉินผิงอันมีความคิด หนักแน่นเด็ดเดี่ยว ยอมรับในตัวเองโดยที่ไม่สงสัยในตัวเองอีกแม้แต่ น้อย
นึกถึงตอนอยู่บนสะพานโค้งสีทอง พี่หญิงเทพเซียนบอกว่านาง ไม่ได้ยอมรับตน แต่เพียงแค่เพราะเชื่อมั่นในตัวอาจารย์ฉี ถึงได้ยินดี
เชื่อใจตน นางถึงได้เดิมพันกับความหวังที่เป็ นเพียงหนึ่งในหมื่นส่วน นั้น
เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานเดินอยู่บนหัวก าแพงเมืองสูงตระหง่าน ไม่เพียงแต่ไม่รู ้สึกทอดอาลัย กลับกันยังพึมพ ากับตัวเองในใจว่า “เมื่อมีหนึ่งนี้ ข้าคือหนึ่งนี้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!
เสียงในหัวใจดังราวเสียงรัวกลอง
ฟ้ าดินได้มอบเสียงฟ้ าคารามที่ดังกังวานทรงอานาจมากที่สุด ให้แก่ผู้ที่เงียบงันมานาน