กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1086.2 สูงกว่าสองขอบเขต
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนขั้นบันได กินโจ๊กข้าวข้นอย่างเอร็ดอร่อยราว กับว่ามันคืออาหารตุ๋นหม้อใหญ่ ยิ้มพูดเสียงอู้อี้ว่า “แม่นางเซวีย ก่อนหน้านี้เจ้าถามผินเต้าว่ารู ้จักเหนียงเนียงภูเขาหลวนซานที่ยึดมั่น ในคุณธรรมไม่มีล าเอียงหรือไม่ใช่ไหม? ตอนนั้นผินเต้าบอกว่าไม่ รู ้จักนาง แต่กลับรู ้จักถงซานจวิน เจ้าไม่เชื่อ คิดว่าผินเต้าพูดเล่น ข้า ก็เลยเชิญถุงซานจวินจากภูเขากานโจวมาที่นี่ ทั้งพิสูจน์ความ บริสุทธิ์ของตัวเองว่าไม่ได้คุยโวโดยไม่ได้ร่างคาพูด แล้วก็สามารถให้ แม่นางเซวียลดทอนขั้นตอนที่ยุ่งยากมากมายไปได้ ไยต้องเผายันต์ คาฟ้ องไปที่จวนซานจวิน ถงเสินจวินแห่งมหาบรรพตประจิมตัวจริง มาถึงที่นี่แล้ว แม่นางเซวียมีอะไรอยากพูดก็พูดเลย มีทุกข์อะไรอย่าง ร ้องก็ร ้องระบาย มีเหตุผลอะไรจะพูดก็พูดได้หมด”
เซวียหรูอี้อึ้งตะลึงไปก่อน แต่ต่อมาก็ทอดถอนใจ “อู๋ตี ยากจนถึง ขั้นนี้แล้วยังจะเชิญคนนอกมาแสดงละครตบตาเพื่อจะได้หลอกเอา เงินจากข้าอีกหรือ? อู๋ตี หากว่าเจ้าขาดเงินจริงๆ แม้ว่าพวกเราจะ ไม่ใช่เพื่อนรักอะไรกัน แต่ให้ช่วยเหลือกันและกันจะมีอะไรยาก ไย ต้องใช ้วิธีการต่าช ้าเช่นนี้ ไม่ควรเลย”
หากเจ้าอู๋ตีบอกว่ารู ้จักสหายบนภูเขาอยู่หลายคน ต้องไปขอ ท่านปู่ ขอร ้องท่านย่ากว่าจะเชิญเสมียนที่หมวกขุนนางเล็กที่สุดของ
จวนซานจวินภูเขากานโจวออกมาได้ นางเซวียหรูอี้อาจจะยังเชื่ออยู่ บ้าง แต่ก็เป็ นความเชื่อที่กึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
หลอกผีหรือไร
แต่ก็ไม่ได้พูดผิดนะ ก็หลอกผีจริงๆ นั่นแหละ
นางรู ้สึกเสียใจอยู่บ้าง เพิ่งจะไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วันเอง อู๋ตีกลับ ตกอับขนาดนี้แล้วหรือ?
เฉินผิงอันถาม “ในหม้อยังมีโจ๊กข้าวข้นเหลืออีกเยอะ แม่นางเซ วียเอาด้วยสักชามไหม?”
เซวียหรูอี้ส่ายหน้า นางยังเสียใจไม่หาย
ผู้เฒ่าจ้วงตะเกียบรัวเร็ว ก่อนจะยกชามที่ว่างเปล่าขึ้น “ข้าขออีก ชาม”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ย “ถงซานจวินไปตักเติมเองได้เลย ไม่ ต้องเกรงใจกัน”
ผู้เฒ่าไม่เกรงใจจริงๆ ลุกขึ้นไปตักโจ๊กข้าวข้นเต็มชามมาจากใน ห้องครัว คงเป็ นเพราะตักมาเยอะเกินไป โจ๊กข้าวขันจึงแทบจะล้น ออกมาจากขอบชาม ผู้เฒ่ารีบก้มหน้าสูดดังช ้วบ
มองเห็นภาพนี้ เซวียหรูอี้ก็อดนวดคลึงหว่างคิ้วไม่ได้ หากจะจับคู่ กันมาหลอกเอาเงินเจ้าอู๋ตีกลับตัดใจจ่ายเงินเพิ่มมากอีกหน่อยไม่ได้ เลยหรือ อย่างเช่นจ้างผู้เฒ่าที่ทางานในขณะงิ้วมาก็ยังดี
แสดงละคร
พวกเจ้าสองคนแสดงละครต่อไปสิ
ฝีมือการแสดงย่าแย่ขนาดนี้ หากสามารถหลอกเอาเงินเหรียญ ทองแดงสักเหรียญไปจากกูไหน่ไนได้ ก็ถือว่าเป็ นความสามารถของ พวกเจ้าแล้ว
ภูเขากานโจวแห่งมหาบรรพตประจิมอยู่ใกล้กับศาลลมหิมะ มี ภูเขาทายาทอยู่สองลูกยอดเขาหลักของภูเขาหลวนซานที่เป็ นหนึ่ง ในภูเขาทายาทสูงกว่าภูเขากานโจวหลายเท่าเหนียงเนียงเทพภูเขา ท่านนั้นมีชื่อเสียงเลื่องลืออย่างมาก นางชื่อว่าไหวลู่ ในอาณาเขต ของมหาบรรพตประจิมคาพูดของนางศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ต่างก็พูดกันว่า ขนาดถุงซานจวินที่เป็ นหัวหน้ายังต้องเชื่อฟังนาง ส่วนจวนซานจวิน ที่ดูแลอาณาเขตภูเขาสายน้าซึ่งมีแคว้นอวี้เซวียนเป็ นหนึ่งในนั้นก็คือ ภูเขาลู่เจี่ยว ก่อนหน้านี้เซวียหรูอี้ต้องการไปเผายันต์ที่ศาลบุ๋นบู๊เพื่อ ส่งค าฟ้ องไปยังภูเขาหลวนซาน ไม่ใช่จวนซานจวินของภูเขาลู่เจี่ยว เหตุผลก็เพราะอย่างนี้นางกังวลว่าพวกผู้มีอานาจของแคว้นอวี้เซวียน จะกล้าบงการในเรื่องของเอกสาร เหล่าขุนนางปกป้ องกันเอง ไม่ เพียงแต่ศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองหลวงที่มาเกี่ยวข้องกับคดี ความ ยังจะเกี่ยวพันไปถึงภูเขาลู่เจี่ยวด้วย ทีนี้จะยังฟ้ องร ้องอะไรกัน ได้อีก
คราวก่อนในการประชุมเล็กที่ห้องทรงพระอักษรของเมือง หลวงต้าหลี เทพภูเขาสองท่านของภูเขาทายาทมหาบรรพตประจิม
ไหวลู่แห่งหลวนซาน ฉางเฟิ่งฮั่นของภูเขาลู่เจี่ยวต่างก็ไม่เข้าร่วมการ ประชุมด้วย
ว่ากันว่าเพราะเกียจคร ้านเกินไป ถึงอย่างไรก็เป็ นเหนียงเนียง เทพภูเขาของภูเขาทายาทแล้ว อยู่ในวงการขุนนางภูเขาสายน้าก็ถือ ว่าไม่มีตาแหน่งให้เลื่อนขั้นได้อีกแล้ว คนหนึ่งเย่อหยิ่งทระนงตน เกินไป บวกกับที่ฉางเฟิ่งฮั่นและภูเขาหลวนซานมักจะไม่ลงรอยกัน บ่อยๆ ต่างฝ่ ายต่างชิงชังกัน เป็ นเหตุให้จวนเทพภูเขาสองแห่งนี้ไม่ เคยไปมาหาสู่กัน
เซวียหรูยิ้มองไปยังผู้เฒ่าที่ยิ่งมองก็ยิ่งน่าสงสารคนนั้น ก่อนจะ หันไปมองนักพรตที่ตั้งแผงดูดวงซึ่งมีท่าทางเยือกเย็น นางคิดไปคิด มาก็ยังบอกความรู ้สึกไม่ออก จึงถามว่า “เจอกับเรื่องยากลาบากอะไร หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ยิ้มเรียก “ถงซานจวิน?”
ถงเหวินช่างอิ่มรับหนึ่งที “นางพูดอะไรก็เชื่อว่าเป็ นอย่างนั้นได้ เลย ไม่จ าเป็ นต้องเรียกฉางเฟิ่งฮั่นให้มาคุมเชิงอยู่ที่นี่ คราวหน้าข้าจะ ไปเยือนภูเขาลู่เจี่ยวด้วยตัวเองสักรอบ ดูเรื่องการไหลเวียนของ โชคชะตาบุ๋นภายในระยะเวลาร ้อยปีที่ผ่านมาของแคว้นอวี้เซวียนสัก หน่อย”
จากนั้นผู้เฒ่าก็เอ่ยเสริมมาประโยคหนึ่งว่า “คราวหน้าสามารถ ใส่เต้าหู้กับไส้หมูให้มากหน่อยได้”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เต้าหู้ไส้เพิ่มได้ แต่ไส้หมูหากใส่เยอะไป รสชาติจะเพี้ยน คราวหน้าก็จะไม่มีความรู ้สึกดีใจไม่คาดฝันที่ได้กิน ไส้หมูแล้ว”
ถงเหวินช่างพยักหน้า “คือเหตุผลข้อนี้”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “เหล่าถงท่านมาเยือนเมืองหลวงแคว้นอวี้ เซวียนครั้งนี้ค่อนข้างคล้ายการปิดบังฐานะออกตรวจการณ์อย่างลับๆ เลย นายท่านใหญ่ผู้เป็ นดั่งแผ่นฟ้ าในอาณาเขตของมหาบรรพต ประจิมอย่างท่านจะปล่อยให้แม่นางเซวียผิดหวังไม่ได้นะ ต้องมีความ ทุ่มเทและกล้าหาญในการร ้องขอความเป็ นธรรมและช่วยเหลือแทน ราษฎรนะ”
ถงเหวินช่างหัวเราะ “ได้เลย”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “แม่นางเซวีย นี่จะเป็ นเหมือนเรื่องเล่าใน นิยายที่บอกว่าผู้ตรวจราชการถือกระบี่อาญาสิทธิ์ปราบปรามคดี ใหญ่ทั้งแปด พอไปถึงสถานที่จริงก็ถูกเจ้ามาดักขวางทางร ้องทุกข์ หรือไม่?”
เซวียหรือวี้หัวเราะร่วน “ถ้าอย่างนั้นทาไมถึงไม่เอาดินมาถมถนน ให้สูงขึ้น ใช ้น้าสะอาดล้างถนน แล้วค่อยตีฆ้องตีกลองแสดงอ านาจ บารมีด้วยเล่า?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ก็บอกแล้วว่าปิ ดบังฐานะออกตรวจการณ์ อย่างลับๆ”
ถงเหวินช่างถาม “แม่นางเซวีย หากข้าจ าไม่ผิด ขุนนางผู้ พิพากษาบุ๋นคนก่อนของที่นี่ ชื่อว่าหงจงอวี้ใช่หรือไม่?”
เซวียหรูอี้พยักหน้า “เพิ่งจะถูกผลักไสให้ไปอยู่ที่หลิงโจวใกล้กับ เมืองหลวงส ารองต้าหลี รับหน้าที่เป็ นเทพอภิบาลเมือง ได้เลื่อนขั้น แล้ว”
ถงเหวินช่างอิ่มรับหนึ่งที “จ าได้ว่าไหวลู่แห่งหลวนซานเคยพูดถึง หงจงอวี้อยู่สองครั้ง อยากจะเลื่อนขั้นให้เขามารับหน้าที่เป็ นขุนนาง หลักของกองตรวจสอบภูเขาหลวนซานมาโดยตลอด ดูเหมือนว่าหง จงอวี้มีข้อเสนอเพิ่มเติม บอกว่าจะต้องพาจี้เสี่ยวผินแห่งกองหยินห ยางของศาลเทพอภิบาลเมืองที่เป็ นผู้ช่วยเขามาด้วยถึงจะได้ เพียงแต่ เพราะที่หลวนซานยังไม่มีตาแหน่งที่เหมาะสมให้กับจี้เสี่ยวผิน เรื่องนี้ จึงถูกถ่วงไว้เรื่อยมา ตอนนี้หงจงอวี้อี้เลื่อนขั้นเป็ นท่านเทพอภิบาล เมืองของจังหวัดหนึ่งในต้าหลีแล้ว แล้วก็ยังพาจี้เสี่ยวผินไปรับ ต าแหน่งด้วยกัน อนาคตในวงการขุนนางก็ไม่เลว เทียบกับเข้าไปอยู่ ในหลวนซานดูแลกองตรวจสอบให้ผู้คนอาฆาตแค้นอยู่ตลอดทั้งปีก็ ดีกว่ากันมากนัก”
เซวียหรูอี้ไร ้คาพูดตอบโต้ นี่ก็เหมือนพวกผู้เฒ่าในชนบทที่มานั่ง กันอยู่หน้าหมู่บ้านปากก็วิจารณ์เหตุการณ์ในวงการขุนนางของพวก นายท่านขุนนางหกกรมเก้ามนตรีของราชสานักหนึ่งแคว้นไปด้วย
แต่เรื่องวงในประเภทนี้ หากผู้เฒ่าไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาเองส่งเดช แล้วจะรู้ได้อย่างไร?
เซวียหรูอี้เตือนอย่างหวังดี “ผู้อาวุโส ฟ้ ามืดแล้ว มนุษย์ธรรมดา แต่งเรื่องวงในของวงการขุนนางภูเขาสายน้าขึ้นเองส่งเดช ง่ายที่จะ ก่อให้เกิดปัญหา เทพท่องราตรีทั้งหลายของศาลเทพอภิบาลเมืองใน เมืองหลวงพวกเราไม่ได้กินหญ้ากันหรอกนะ”
“มีเรื่องปิดบัง ฝี ไม่มาเคาะประตูก็ยังกระวนกระวายใจ ในใจไร ้ ความเห็นแก่ตัวก็ไม่ต้องกลัวผีมาเคาะประตู”
ถงเหวินช่างยิ้มเอ่ย “แม่นางเซวีย ในเมื่อเฉิน….นักพรตเฉินเป็ น คนซักถามเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เจ้าก็วางใจได้เลย ภูเขาลู่เจี่ยวและ แคว้นอวี่เซวียนต่างก็จะให้คาตอบที่น่าพอใจแก่เจ้า”
รอกระทั่งผู้เฒ่ากับนักพรตกินโจ๊กข้าวข้นจนหมดแล้ว เซวียหรูอี้ ก็ถอนหายใจ ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรท าอยู่แล้ว นางจึงเป็ น ฝ่ ายรับชามว่างเปล่าสองใบและตะเกียบสองคู่นั้นมา ไปหยิบกระบวย น้าเต้าในห้องครัว วักน้าในอ่างมาล้างชามและตะเกียบให้สะอาด รอ กระทั่งนางสะบัดหยดน้าบนมือออก เดินออกมานอกประตูก็เห็นภาพ เหตุการณ์ตรงขั้นบันได เจ้าตัวดี สมกับเป็ นนายท่านใหญ่ทั้งสองคน จริงๆ ถึงกับเริ่มพ่นควันขโมงกันแล้ว สูบยาสูบหลังมื้ออาหาร มีชีวิต สุขสบายดุจเทพเซียนกันเหลือเกินนะ
ถงเหวินช่างหรี่ตาเอ่ย “ขอถามหน่อยได้ไหม เซียนกระบี่ใหญ่ผู้ อาวุโสเป็ นคนอย่างไร?”
เฉินผิงอันกลั้นขา “พูดมาก พูดจาตลกขบขัน เป็ นมิตรน่า ใกล้ชิด”
ถงเหวินช่างกล่าว “ไม่กล้าเชื่อเลย”
เฉินผิงอันเอ่ย “ก็ต้องดูว่าสนิทกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส หรือไม่”
ถงเหวินช่างพยักหน้า แล้วถามคาถามที่ไม่ถูกกาลเทศะอย่างยิ่ง “หากวันนี้เจ้าไม่ได้เรียกข้ามา คิดจะจัดการเรื่องน่าอายในบ้านเรื่องนี้ ก็ต้องให้จ้าวเหยากรมอาญาเป็ นผู้ดูแลที่ว่าการแห่งใหม่ที่ก่อตั้ง ขึ้นมา แล้วให้เขาไปเยือนอาณาเขตของขุนเขาตะวันตกอย่างลับๆ รอบหนึ่งใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าว “แรกเริ่มมีความคิดเช่นนี้อยู่ เพียงแต่ว่าที่ข้ามี ธุระส่วนตัวต้องท าอีกเล็กน้อย สองเรื่องนี้ไม่อาจเอามาปนกันได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจให้พี่ใหญ่ถงเป็ นคนจัดการ ในเมื่อต่างก็เป็ นการ แก้ไขปัญหาที่ประวัติศาสตร ์ทิ้งเอาไว้ ไม่ว่าใครจะเป็ นคนคลี่คลายก็ ล้วนไม่สาคัญ พอดีกับที่ช่วงนี้จ้าวเหยาพบเบาะแสเส้นหนึ่งที่เมือง หลวงต้าหลี พี่ใหญ่ถง ข้าเองก็ต้องบอกกับท่านไว้ก่อนว่า อีกไม่กี่วัน ข้าจะไปร าลึกความหลังกับคนร่วมบ้านเกิดในอ าเภอใกล้เคียง แต่ เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตนัก”
ถงเหวินช่างพยักหน้า “เชิญเจ้าตามสบาย ข้าผู้แซ่ถงแก่แล้วหู ตาพร่ามัว แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้แทงแผ่นฟ้ าทะลุเป็ นรู สุดท้ายคนที่เก็บกวาดเรื่องเละเทะก็ยังต้องเป็ นราชครูต้าหลีอยู่ดี”
เฉินผิงอันพลันยิ้มเอ่ย “อย่างพวกเรานี่ถือว่าเป็ นขุนนางที่ ปกป้ องกันเองหรือไม่?”
ถงเหวินช่างยิ้มกว้าง “คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก มีแค้นต้องชาระ มี บุญคุณต้องตอบแทน ข้าเองก็เคยเป็ นหนุ่มมาก่อน เทวรูปดินปั้นที่ กินควันธูปก็ยังมีไฟโทสะได้เลยไม่ใช่หรือ”
เนื่องจากทั้งสองฝ่ ายไม่ได้ปิดบังถ้อยคาที่พูดคุยกัน เซวียหรูอี้ฟัง ด้วยความอกสั่นขวัญผวา ถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านผู้อาวุโสคือ ถุงซานจวินจริงๆ หรือ?”
ถงเหวินช่างพยักหน้า
เซวียหรูอี้หันหน้าไปมองนักพรตอู๋ตี ฝ่ ายหลังพยักหน้าบอกเป็ น นัยให้รู ้ว่าเป็ นความจริง
เซวียหรูอี้ขยับสายตาออกไปอีกครั้ง เอ่ยเสียงสั่นว่า “ถงซานจวิน ถ้าอย่างนั้นเขาคือ?”
“แม่นางเซวีย นี่คือคาถามอะไรของเจ้า เดาก็เดาออกแล้ว ในใต้ หล้าแห่งนี้ ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขามีใครที่สามารถพูดอ้อมๆ ว่าตัวเอง กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสของกาแพงเมืองปราณกระบี่…สนิทกัน มากได้อีกเล่า แจกันสมบัติทวีปของพวกเรามีคนสักกี่คนที่สามารถ
เรียกใช ้งานรองเจ้ากรมอาญาต้าหลีได้ตามใจ สามารถท าให้ถงเหวิ นช่างวิ่งตุปัดตุเป๋ มาขอดื่มโจ๊กข้าวข้นชามหนึ่งที่แคว้นอวี้เซวียน หรือจะบอกว่าอันที่จริงในใจของแม่นางมีค าตอบอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่ กล้าเชื่อ เลยต้องให้ข้าที่เป็ นคนนอกเป็ นคนพูดถึงจะยอมเชื่อ?”
ถงเหวินช่างใช ้กระบอกยาสูบชี้ไปยังคนบนเส้นทางเดียวกันที่อยู่ ข้างกาย ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านผู้นี้คือราชครูคนใหม่ของต้าหลี เฉินผิงอัน แห่งภูเขาลั่วพั่ว”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ต้องแก้ไขสักหน่อย คือโจ๊กข้าวข้นสองชาม ต่างหาก”
“หนึ่งชามหรือสองชาม เก็บเงินหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่เก็บ”
“แม่นางเซวีย รบกวนเจ้าช่วยตักโจ๊กข้าวข้นให้ข้าอีกชาม โจ๊ก ข้าวข้นที่อิ่นกวานคนสุดท้ายของกาแพงเมืองปราณกระบี่ต้มเองกับ มือ ไม่ใช่ว่าแค่อยากกินก็จะกินกันได้ง่ายๆ หรอกนะ”
เซวียหรูอี้เดินไปทางห้องครัวอย่างมึนๆ งงๆ ในหัวเหมือนมีแต่ แป้ งเปียก
ถงเหวินช่างถามอย่างสงสัย “ทาไมจู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนใจ ให้ข้าเป็ น คนเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเจ้าแทนล่ะ?”
อยากจะช่วยทวงความเป็ นธรรมให้กับเซวียหรูอี้ ด้วยสถานะของ เฉินผิงอันในทุกวันนี้แค่บอกกล่าวกับภูเขากานโจวสักค าก็พอ ไม่มี ความจาเป็ นต้องให้ตนมาเยือนเมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันกล่าว “คือเรื่องที่จู่ๆ ก็คิดจนเข้าใจหลังจากที่ปิดด่าน แล้วออกจากด่านอีกครั้งในครานี้”
ถงเหวินช่างกล่าว “ล้างหูรอฟังแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “สามวันตกปลาสองวันตากแห ได้ปลามาคือ ความหวัง วันเวลาคือความหวัง แหตกปลาก็คือความหวังเหมือนกัน”
ถงเหวินช่างยิ้มเอ่ย “เป็ นคาพูดแปลกใหม่”
เฉินผิงอันถาม “พี่ใหญ่ถงสัมผัสถึงความผิดปกติของฟ้ าดินใน เรือนแห่งนี้ไม่ได้เลยหรือ?”
ถงเหวินช่างพยักหน้า “พอเจ้าถามแบบนี้ข้าถึงได้มั่นใจว่าเซวีย หรูอี้คือตัวปลอม”
“ดูท่าแรงไฟจะยังไม่พอ มิอาจหลอกเสินจวินของมหาบรรพต ท่านหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยิ้มเอ่ย “แต่โจ๊กข้าวขันคือของจริงนะ อีกทั้งสิ่งที่ จะได้เห็นและได้ยินต่อจากนี้ก็คือคนจริงเรื่องจริงแล้ว”
ถงเหวินช่างกล่าว “ตั้งตารอดู”
เมื่อเฉินผิงอันเดินไปทางห้องครัว เซวียหรูอี้ถึงได้เคาะประตูแล้ว เดินเข้ามา ยังคงเอ่ยประโยคเดิมว่า นักพรตอู๋ ขอแสดงความยินดี ด้วยที่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่