กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1086.3 สูงกว่าสองขอบเขต
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่เหมือนจอมยุทธพเนจรยากจนชมความ ครึกครื้นจากงิ้วบนเวทีในงานวัดไปแล้ว จดจ ารูปร่างของอุปกรณ์ ประกอบฉากและวิธีการใช ้งานของข้าวของพวกนั้นได้แล้ว ทั้งยัง จดจาท่วงท่า การขับร ้อง และบทพูดที่แตกต่างกันของตัวละคร ประเภทต่างๆ ในงิ้ว เด็กหนุ่มคิดว่าอาจจะยังต้องดูงิ้วโรงใหญ่อีกสัก หลายๆ รอบถึงจะได้
รองเท้าสานคู่หนึ่งเหยียบลงบนถนน เดินเล่นไปจนถึงนอก พระราชวังของเมืองหลวงประตูใหญ่สีชาดสูงมาก หมุดหน้าประตูที่ เรียงแนวตั้งเก้าหมุดแนวนอนเก้าหมุด ที่เคาะประตูหัวสัตว์มองดูน่า เกรงขาม มีความหมายว่าดวงดาวคอยเฝ้ ายามอยู่หน้าประตู ตลอดเวลา ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ยังไม่ได้เข้าไปดู ตาหนักจินหลวนที่ผู้คนเรียกขานกันนอกวังหลวงมีล าคลองอยู่เส้น หนึ่งซึ่งอันที่จริงถือว่าเป็ นสถานที่ที่ดีในการตกปลา
ในอาณาเขตของแคว้นชิงซิ่ง พรรคจินแชวที่เป็ นผู้นาจวนเซียน บนภูเขาของแคว้น ช่วงนี้ตลอดทั้งจวนเซียนที่ดเดิมทีมีกลิ่นอาย เซียนล่องลอย เหล่าผู้ฝึ กตนตั้งใจฝึ กตนกันอย่างสงบ กลับมี บรรยากาศปิติยินดีชื่นมื่นยิ่งกว่างานฉลองปีใหม่ของล่างภูเขา
เพราะว่ามีเรื่องดีเกิดขึ้นติดต่อกันหลายครั้งจริงๆ
ศึกที่ภูเขาเหอฮวาน สามารถรวบจัดการพวกภูตผีชั่วร ้ายที่ตัด แบ่งดินแดนไปตั้งตัวอย่างอิสระได้ ทาให้มลพิษสกปรกในพื้นที่รัศมี พันลี้สะอาดสะอ้านสดชื่น
อีกอย่างก็คือบรรพจารย์หญิงผู้บุกเบิกภูเขาของพรรคจินแชวที่ หลังจากเวลาผ่านมานานหลายปี นางที่เคยถูกอาจารย์ตัดชื่อออก จากทาเนียบ ขับไล่ออกจากภูเขา ในที่สุดก็ได้ฟื้นคืนสถานะบน ท าเนียบของอารามหลิงเฟยราชวงศ์ป๋ ายซวงเก่า ได้นับบรรพบุรุษ กลับเข้าตระกูลอีกครั้ง
แม้กระทั่งลูกศิษย์ของสายต่างๆ ที่มียอดเขาชิงจิ้ง ยอดเขาฉุยชิง ของอารามจินเซียน เป็ นหนึ่งในนั้น เจ้าประมุขอย่างเฉิงเฉียนและผู้ คุมกฏสิงจื่อเปิดการประชุม ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น ผู้ฝึกตนทาเนียบของ พรรคจินแชวจะได้เข้ามาอยู่ในท าเนียบหยกทองของสายอารามหลิง เฟยพร ้อมกันทั้งหมด ต้องรู ้ว่าอารามเต๋าที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็ นตาหนักห ลิงเฟย เจ้าต าหนักอย่างเฉาหรงคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าลัทธิลู่ แห่งป๋ ายอวี้จิง นี่ก็หมายความว่าพรรคจินแชวที่ “ตกเป็ น” ภูเขาเบื้อง ล่างของตาหนักหลิงเฟยก็กลายเป็ นว่าหาที่พึ่งใหญ่เทียมฟ้ าสองแห่ง ซึ่งภูเขาอีกลูกสูงกว่าอีกลูกได้เจอในคราวเดียว
ตามกฎบนภูเขา นับแต่นี้ไปพรรคจินแชวจะสามารถกราบเจ้า ลัทธิลู่เฉินแห่งป๋ ายอวี้จิงเป็ นบรรพบุรุษได้อย่างผึ่งผาย และเทียนจวิน เฉาหรงแห่งต าหนักหลิงเฟยก็จะกลายเป็ นผู้น าของพวกเขา
สุขภาพร่างกายของฮ่องเต้แคว้นชิงซิ่งไม่ค่อยจะดี จึงให้รัช ทายาทและเจ้ากรมพิธีการขึ้นเขามาร่วมอวยพรด้วยตัวเอง
หลายปีมานี้ฮ่องเต้สกุลหลิ่วถูกบนภูเขาเยาะเย้ยว่าเป็ นฮ่องเต้ กระดานเปล่า (เปรียบเปรยถึงฮ่องเต้ที่เป็ นเพียงหุ่นเชิด ครองบัลลังก ์ แต่ไร ้สิทธิ์สั่งการ) มาโดยตลอด เพื่อให้รัชทายาทองค์ปัจจุบันซึ่งเป็ น บุตรอนุภรรยาหาใช่ทายาทสายตรงได้หยัดยืนอย่างมั่นคง ก็เรียกได้ ว่าฮ่องเต้ผู้เฒ่าทุ่มเทความพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วจริงๆ
บนภูเขาและล่างภูเขาของราชสานักแคว้นชิงซิ่งในทุกวันนี้ต่างก็ มีข่าวหนึ่งแพร่ออกไปบอกว่าในอาณาเขตของภูเขาเหอฮวานที่เต็ม ไปด้วยมลพิษสกปรกแห่งนั้น รัชทายาทนาทัพขึ้นเขาไปด้วยตัวเอง แล้วก็เจอหยกลัญจกรสามชิ้นที่หายสาบสูญไปนาน ได้ของที่หายไป กลับคืนมาอีกครั้ง ชิ้นหนึ่งในนั้นก็มีหยกลัญจกรโอรสสรรค์รูปมังกร ขดล้อมตัวสีทองที่ฮ่องเต้เอาไว้ใช ้สาหรับแต่งตั้งรัชทายาทโดยเฉพาะ รวมอยู่ด้วย เมื่อเป็ นเช่นนี้ ในที่สุดก็สามารถรวบรวมสิบสองสมบัติ แห่งโอสรสสวรรค์ของสกุลหลิ่วแคว้นชิงซิ่งได้ครบถ้วนแล้ว
พวกชาวบ้านต่างก็พูดกันว่านี่เป็ นบัญชาจากสวรรค์ รัชทายาท ที่มีสติปัญญาอันกล้าหาญวางแผนยาวไกล เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ ใน อนาคตจะต้องเป็ นจักรพรรดิผู้ปรีชาที่สวรรค์ลิขิตมาแล้วอย่าง แน่นอน
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนหนึ่งที่อยู่ในโรงเตี้ยมตระกูลเซียนของ เมืองหลวงได้ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังสกุลจางเขตเทียนเฉา คนที่รับ
จดหมายคือหงหยางโปแห่งหอชิงฝู คนส่งจดหมายคือเฉินแห่งร ้านผ้า ห่อบุญท่าเรือหนิวเจี่ยว
เพียงไม่นานจางฉงเจ้าประมุขผู้เฒ่าก็เขียนจดหมายตอบกลับ ด้วยตัวเอง บอกให้อาจารย์เฉินรอสักครู่ พวกเขาจะเดินทางไปเยือน เมืองหลวงแคว้นชิงซิ่งทันที
และวันนั้นจางฉงก็พาจางไฉ่ฉินและหงหยางโปมาถึงที่โรงเตี้ยมอ ย่างว่องไว แล้วยังพาจางอวี่เจี่ยวที่มีคาเรียกขานอย่างไพเราะว่าเซียน กระบี่เด็กหนุ่มมาด้วย
ผลคือจางอวี่เจี่ยวได้เห็น “เฉินเหริน” เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสาน ตอนนั้นทั้งสองฝ่ ายเคยเจอหน้ากันตั้งแต่ตอนอยู่บนยอดเขาโพโม่ใน อาณาเขตของภูเขาเหอฮวานแล้ว
คนผู้นี้ก็คือ…เซียนกระบี่เฉินที่ได้แกะสลักตัวอักษรบนหัวกาแพง เมืองอย่างนั้นหรือ?!
นอกจากจางอวี่เจี่ยวจะเวียนหัวตาลายแล้ว ยิ่งรู ้สึกไม่รู ้จะเอาหน้า ไปไว้ที่ไหน ก่อนหน้านี้ระหว่างที่ลงมาจากยอดเขาโพโม่ ตนไม่รู ้ฟ้ า สูงแผ่นดินต่า ยังพูดคุยถึงอิ่นกวานหนุ่มกับจินหลั่วสหายที่ร่วมทาง มาด้วยกัน
เซียนกระบี่เด็กหนุ่มหรือจะคิดจินตนาการได้ว่า บนเส้นทางภูเขา ที่ห่างจากด้านหลังตัวเองไปเพียงไม่กี่ก้าวจะมีเจ้าตัวที่พวกเขากาลัง พูดถึงเดินตามมา
เฉินผิงอันยิ้มอธิบายว่า “ออกจากบ้านมาครั้งนี้แค่มาผ่อนคลาย อารมณ์เท่านั้น ก็เลยเปลี่ยนรูปโฉมและสถานะเสียใหม่”
จางไฉ่ฉินเข้าใจได้ทันที มิน่าเล่าศึกที่ภูเขาเหอฮวานที่เสียงฟ้ า ร ้องดังแต่ฝนกลับตกเบาก่อนหน้านี้ นับแต่ต้นจนจบถึงได้มีแต่ความ ลี้ลับที่ยากจะอธิบายได้แผ่ออกมาอยู่ตลอด
เฉินผิงอันถามเข้าประเด็นโดยตรง “เจ้าประมุขผู้เฒ่าจาง แม่นาง ไฉ่ฉิน ในความเห็นของพวกเจ้า รัชทายาทหลิ่วอวี้ของแคว้นชิงซิ่ง เป็ นคนอย่างไร?”
จางไฉ่ฉินสองจิตสองใจ บรรยากาศในห้องจึงเปลี่ยนมาเป็ น เคร่งเครียดในทันที
หยางหงโปจึงได้แต่เปิ ดปากพูดคลี่คลายสถานการณ์ว่า “รัช ทายาทหลิ่วอวี้มีทั้งความรู ้และความสามารถ อีกทั้งยังอยากทาเรื่องที่ จับต้องได้จริงให้กับแคว้นชิงซิ่งด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เป็ นแบบนี้จริงๆ หรือ?”
หยางหงโปสะอึกอึ้งไปทันใด ไม่รู ้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
ถึงอย่างไรผู้ที่เชื้อเชิญให้อิ่นกวานหนุ่มออกจากภูเขามาเข้าร่วม พิธีสวมกวานของหลิ่วอวี้ก็เป็ นเขากับคุณหนูที่ช่วยกันเชิญอีกฝ่ าย มา แต่เจ้าขุนเขาเฉินกลับมาเยือนแคว้นชิงซิ่งและภูเขาเหอฮวาน ก่อนล่วงหน้า บอกว่ามาเที่ยวเล่น ใครเล่าจะเชื่อ?
หากภาพลักษณ์ของรัชทายาทหลิ่วอวี้ในใจเจ้าขุนเขาเฉินไม่ดี ถ้าอย่างนั้นวันนี้เจ้าขุนเขาเฉินก็คงต้องการจะซักไซ ้เอาผิดสกุลจาง เขตเทียนเฉาแล้ว อีกทั้งการกระทาเช่นนี้ก็สมเหตุสมผลดี เพราะถึง อย่างไรหลังจากหวนกลับมายังบ้านเกิด ครั้งแรกที่เข้าร่วมงานพิธี หากหลิ่วอวี้เป็ นพวกดีแต่เปลือกจริงๆ จะเข้าท่าหรือ?
แต่เจ้าประมุขจางฉงกลับมีนิสัยตรงไปตรงมา ยิ้มพูดอย่างผึ่งผาย ว่า “จะบอกว่าหลิ่วอจี้มีปณิธานยิ่งใหญ่แต่ความสามารถไม่ เอื้ออานวยก็ออกจะไม่น่าฟังเกินไปหน่อย ข้าเคยเจอเด็กคนนี้อยู่ หลายครั้ง เป็ นคนจิตใจดี แต่หากจะบอกว่ารัชทายาทที่เก็บตัวเงียบ คนนี้ห่วงใยประชาชนอีกทั้งยังเข้าใจจิตใจมนุษย์ได้ดีมากมายอะไร ข้ากลับชมไม่ออก เมื่อเทียบกับฮ่องเต้หลิ่วเหอแล้วก็ด้อยกว่ามากนัก ส่วนข้อเสียของหลิ่วอวี้ ข้าเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามีอะไรบ้าง แต่ สามารถรับประกันเรื่องหนึ่งได้ว่า หากเทียบกับลูกหลานเชื้อพระวงศ์ ของแคว้นเล็กคนอื่นๆ แล้ว ต่อให้เอารัชทายาทหลิ่วอวี้ไปวางไว้ใน หลายแคว้นรอบด้าน ตัวเขาเองก็ถือว่าดีมากแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ถามว่า “ความหมายของเจ้าประมุขผู้เฒ่าจาง ก็คือหลิ่วอวี้ถือเป็ นหยกดิบก้อนหนึ่ง ยังคู่ควรที่จะขัดเกลาอย่างนั้น หรือ?”
จางฉงพยักหน้า “เจ้าขุนเขาเฉิน ข้าหมายความว่าประมาณนี้ แหละ”
อย่าเห็นว่าเจ้าประมุขผู้เฒ่าบ้านตนมีสีหน้าเป็ นธรรมชาติ ตอบ ค าถามได้อย่างคล่องแคล่ว อันที่จริงในใจลนลานยิ่งนัก
จางไฉ่ฉินและหงหยางโปมองสบตากัน ต่างก็สัมผัสได้ถึงความ อึดอัดบีบคั้นของอีกฝ่าย
ในใจหยางหงโปยิ่งตึงเครียด ไม่รู ้ว่าเหตุใด “เด็กหนุ่ม” ที่อยู่ ตรงหน้าผู้นี้ พอเปลี่ยนรูปโฉมก็เหมือนว่าบุคลิกจะเปลี่ยนแปลงไป ด้วย
เฉินผิงอันเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ข้าเดินเล่น ไปหลายที่ในเมืองหลวง หากรู ้แต่แรกว่าจะเป็ นเช่นนี้ คราวก่อนข้าก็ คงไม่มีทางตอบตกลงเรื่องการเข้าร่วมงานพิธีล่างภูเขาเด็ดขาด”
จางไฉ่ฉินมีสีหน้ากระอักกระอ่วน ถามหยั่งเชิงว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ ปฏิเสธงานพิธีครั้งนี้ไปดีหรือไม่?”
เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว เอ่ยอย่างอ่อนใจว่า “เจ้าคิดว่าทา แบบนี้เหมาะสมหรือ?”
คงเป็ นเพราะเป็ นลูกวัวเกิดใหม่ที่ไม่กลัวเสือ กลับเป็ นจางอวี่เจี่ยว ที่ปลุกความกล้าถามขึ้นมาว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน บอกสาเหตุได้หรือไม่ ว่าทาไมถึงไม่เห็นดีในตัวหลิ่วอวี้?”
เฉินผิงอันกล่าว “ทั่วทั้งตาหนักบูรพา คานบนไม่ตรงคานล่างก็ เอียง นอกจากชิงจี้หลางของสานักกิจการองค์รัชทายาทที่ชื่อว่าเริ่น เซียงฉี่ที่ถือว่าพอจะเข้าใจการจัดงานงานเบ็ดเตล็ดทั่วไปอยู่บ้างแล้ว
ขุนนางของตาหนักบูรพาเจ็ดคนที่ข้าเจอ ระดับชั้นขุนนางต่างกันอยู่ ในที่ว่าการต่างกัน ล้วนเป็ นพวกที่เสแสร ้งทาดีเพื่อสร ้างชื่อเสียง จอมปลอมกันทั้งนั้น นับตั้งแต่ขุนนางผู้ช่วย ผู้ประสานงานของสานัก กิจการองค์รัชทายาท ไปจนถึงขุนนางผู้ช่วยของส านักขุนฟางฝ่ าย ซ ้าย ขุนนางฝ่ ายวินัยของของส านักขุนฟางฝ่ ายขวา ขุนนางผู้ถวาย การศึกษากองต ารา ขุนนางอาลักษณ์ ข้าล้วนไปเจอมาหมดแล้ว”
จางอวี่เจี่ยวตกตะลึงอย่างหนัก ในใจรู ้สึกอัศจรรย์ยิ่งนัก ที่แท้เฉิน อิ่นกวานก็ไป “เดินเล่น” มารอบหนึ่งจริงๆ เสียด้วย
ในบรรดาขุนนางตาแหน่งต่างๆ หกอาจารย์ผู้สั่งสอนรัชทายาท แห่งต าหนักบูรพามีระดับขั้นตาแหน่งขุนนางสูงที่สุด ส่วนตาแหน่ง อื่นๆ ล้วนเป็ นยศที่เลื่อนลอย เป็ นยศอันทรงเกียรติที่ทางราชสานัก มอบให้กับขุนนางเฒ่าบางส่วนเท่านั้น อันที่จริงไม่ได้มีความ เกี่ยวข้องใดๆ กับการอบรมสั่งสอนในตาหนักบูรพาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นคนที่ควบคุมดูแลอย่างแท้จริงจึงยังเป็ นคนที่มียศในสานัก กิจการองค์รัชทายาท บวกกับที่ว่าการขุนฟางซ ้ายขวาสองแห่งและ กองตารา ที่ว่าการตาหนักบูรพาทั้งหมดสี่แห่งนี้ถูกตั้งขึ้นก็เพื่อ สะดวกต่อการส่งเอกสารให้แก่กันและกัน เพื่อที่จะเอาเอกสารใดๆ ก็ ตามส่งไปยังที่ว่าการของสานักกิจการองค์รัชทายาทในเวลาเดียวกัน ส านักกิจการองค์รัชทายาทไม่ได้อยู่ในวัง แต่ถูกสร ้างอยู่บนล าคลอ งอวี้หลงที่ตั้งอยู่ระหว่างวังหลวงกับนครเขตนอก เพราะอาณาเขต ของเมืองหลวงแคว้นชิงซิ่งไม่กว้างใหญ่ ที่ว่าการจึงไม่ถือว่าอยู่
“ห่างไกล” จากฮ่องเต้เท่าใดนัก ในกองต ารามีต าแหน่งขุนนางผู้ ถวายการศึกษาแก่รัชทายาทซึ่งเป็ นตาแหน่งขุนนางหลักอยู่สองคน ระดับขั้นของตาแหน่งไม่สูง ต่ากว่าขั้นห้าชั้นโท หลักๆ แล้วมีหน้าที่ รับผิดชอบในการเรียบเรียง ตรวจทาน จัดพิมพ์และเก็บรวบรวมต ารา ของต าหนักบูรพา แม้หมวกขุนนางจะไม่ใหญ่แต่กลับเป็ นอาชีพดี งามที่ทุกคนน้าลายสออยากครอบครอง คาโบราณในหมู่ชาวบ้าน พูดกันว่าคนเฝ้ าประตูจวนอัครเสนาบดีมีต าแหน่งขุนนางระดับสาม แล้วนับประสาอะไรกับขุนนางในต าหนักบูรพาของรัชทายาท คน เก่าแก่ของจวน? อีกทั้งตาแหน่งขุนนางที่สูงส่งทรงเกียรติพวกนี้ยัง สามารถมองเป็ นบันไดในการเลื่อนไปสู่การเป็ นขุนนางของสานัก ราชบัณฑิตฮั่นหลินได้อีกด้วย เฉินผิงอันเอ่ยเสริมมาหนึ่งประโยคว่า “อีกทั้งขุนนางจานวนมาก ที่อยู่ในนั้น พวกเขาต่างก็รู ้สึกว่ารัชทายาทหลิ่วอวี้เป็ นคนโง่ที่หลอก ได้ง่ายมาก”
ความนัยในประโยคนี้ก็คือหลิ่วอวี้ถูกขุนนางตาหนักบูรพาบ้าน ตัวเองกลุ่มนี้มองเป็ นคนโง่ สกุลจางเขตเทียนเฉาอย่างพวกเจ้าช่วย เป็ นสื่อกลางสานสะพานความสัมพันธ ์ให้แคว้นชิงซิ่งกับภูเขาลั่วพั่ว ก็ยิ่งเป็ นคนโง่เข้าไปใหญ่ และข้าเฉินผิงอันที่เป็ นเจ้าขุนเขาของภูเขา ลั่วพั่วก็ได้กลายเป็ นคนที่โง่ที่สุดอย่างที่มองไม่เห็น
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไม่ถือสาที่จะต้องปักบุปผาลงบนผ้าแพร ให้แก่ใคร แต่ถือสาหากการปรากฏตัวของตัวเองจะยิ่งเป็ นการทาผิด
ซ้าซากในเรื่องบางเรื่อง ถึงขั้นที่ว่าอาจเสียความเป็ นไปได้ในการ แก้ไขความผิดพลาดไป”
จางอวี่เจี่ยวคล้ายจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
จางฉงถามอย่างประหลาดใจว่า “อาจารย์เฉิน ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ พวกเราควรท าอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ทาอะไรแล้วยกเลิกกลางคันไม่ใช่นิสัยของข้า ในเมื่อล้วนเป็ นแขกที่มาขอพักอาศัย ถ้าอย่างนั้นก็ร่วมมือกับสกุล จางเขตเทียนเฉาช่วยปัดกวาดท าความสะอาดครัวเรือน”
จางฉงรู ้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก กุมหมัดเอ่ยขอบคุณ “เป็ นเกียรติอย่างถึงที่สุด”
ช่วงนี้ราชสานักของแคว้นชิงซิ่งค่อนข้างจะครึกครื้นจริงๆ อันดับ แรกก็เป็ นผู้ช่วยฝ่ ายซ ้ายขุนนางหลักของกองชุนฟางฝ่ ายซ ้ายของ สานักกิจการองค์รัชทายาทที่ยื่นฎีกาแนะนาให้ราชสานักหยุดการใช ้ “คนที่อยู่นอกระบบขุนนางหลวง” มาเสริมตาแหน่งขุนนางบางอย่างที่ มีเกียรติแต่ไร ้อานาจ กรมขุนนางใช่ว่าจะไม่มีความเห็นต่างต่อเรื่องนี้ ถึงขั้นที่ว่าแม้กระทั่งผู้ช่วยฝ่ ายขวาที่เป็ นขุนนางสูงของสานักกิจการ องค์รัชทายาทก็ยังออกมาคัดค้าน ยืนกรานว่าระดับขั้นขุนนางดีเลว ไม่มีความเกี่ยวข้องกับชาติกาเนิดสูงหรือต่า นอกจากนี้ก็คือรอง เจ้ากรมโยธาที่ขอให้เลื่อนขั้นกรมโยธาที่มีภาระกิจหนักหน่วงวุ่นวาย ให้กลายเป็ นที่ว่าการ “ฝ่ ายหน้า” ของหกกรม ด้วยเหตุนี้ยังถึงกับ
ทะเลาะกับขุนนางกรมกลาโหมอย่างรุนแรงอยู่ในท้องพระโรง และงาน พิธีสวมกวานของรัชทายาทก็กลายมาเป็ นความส าคัญใน ความส าคัญของขุนนางกรมพิธีการแคว้นชิงซิ่ง ส าหรับการทะเลาะ โต้เถียงหน้าดาหน้าแดงที่เหล่าลูกพี่ใหญ่ตาแหน่งขุนนางขั้นสองขั้น สามของแต่ละกรมต่างก็พากันลงสนามหลายครั้งนั้น พวกคนของ กรมพิธีการกลับท าเพียงว่า พวกเจ้าอยากจะทะเลาะก็ทะเลาะของ พวกเจ้าไป กรมพิธีการของพวกข้าก็แค่จัดงานพิธีครั้งนี้ให้ออกมาดี ก็จะกลายเป็ นคุณความชอบครั้งใหญ่แล้ว
ฮ่องเต้สกุลหลิ่วแคว้นชิงซิ่งอายุมากแล้วจริงๆ จึงจ าต้อง พิจารณาว่าควรจะท าอย่างไรถึงจะให้รัชทายาทได้สืบทอดบัลลังก ์ต่อ อย่างราบรื่น ก่อนหน้านี้เพื่อทาให้งานพิธีครั้งนี้ดูมีน้าหนักมากขึ้น มี ขุนนางและชนชั้นสูงกี่มากน้อยที่พากันออกจากเมืองหลวง ตัดใจ ยอมท าหน้าหนา จ่ายเงินเชื้อเชิญให้คนมาเข้าร่วมงานพิธีทั้งในทาง ลับและทางแจ้ง และความวุ่นวายที่แคว้นชิงซิ่งแหกกฎเชิญให้ผู้ฝึก ตนของทวีปอื่นมาเข้าร่วมงานพิธีครั้งนี้ก็ได้หยุดลงอย่างรวดเร็ว เพียงแค่เพราะมีบุคคลยิ่งใหญ่ที่สถานะยังคงถูกเมฆหมอกบดบังจะมา เยือนแคว้นชิงซิ่ง
ยิ่งเล่ากันไปปากต่อปากก็ยิ่งเกินกว่าเหตุ แรกเริ่มก็พูดกันว่าเป็ น เทพเขียนผู้เฒ่าก่อกาเนิดที่มีคุณธรรมสูงส่งคนหนึ่ง ภายหลังกลาย มาเป็ นเจินจวินท่านหนึ่งของศาลบรรพจารย์ส านักโองการเทพ ต่อจากนั้นก็เป็ นผู้เฒ่าศาลบรรพชนคนหนึ่งของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน
สุดท้ายก็ยิ่งเกินกว่าเหตุอย่างไร ้ขอบเขตสิ้นสุดแล้ว เล่าลือกันอย่าง เป็ นจริงเป็ นจังฟังแล้วน่าเชื่อถือ ว่ากันว่าคนที่สกุลหลิ่วเชิญตัวมาได้ ก็คือเฉาหย่งหลินหลีป๋ อหนึ่งในสองกงโหวของลาน้าใหญ่แห่งแจกัน สมบัติทวีปท่านนั้น!
ทาไมแคว้นชิงชิ่งของพวกเจ้าถึงไม่บอกไปเลยล่ะว่าตัวเองเชิญ เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่วมาได้?
ก่อนที่เฉินผิงอันจะเรียกคนของสกุลจางเขตเทียนเฉาให้เดินทาง มา
ในสถานที่ที่ขุนนางผู้ถวายการศึกษาแก่รัชทายาทคนหนึ่งแอบ เลี้ยงสาวงามเอาไว้ม่านราตรีหนาหนัก สายฝนตกกระทบลงบนใบ กล้วย
ขุนนางผู้นี้อยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ เป็ นช่วงวัยที่มีพละกาลังเต็ม เปี่ยม เขาพลิกตัวลงจากหลังม้าพร ้อมเสียงหายใจหอบหนัก คล้ายจะ ยังไม่รู ้สึกสาแก่ใจจึงยื่นมือไปนวดคลึงก้อนขาวนวลของสาวงามที่ นอนอยู่ข้างกาย เหม่อลอยคิดถึงเรื่องที่อยู่ในใจ