กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1086.5 สูงกว่าสองขอบเขต
คงเป็ นเพราะใกล้ช่วงเทศกาลชิงหมิง ฝนใหญ่จึงตกติดต่อกัน นานหลายวัน แต่บรรยากาศและสภาพจิตใจของผู้ฝึ กตนท าเนียบ ของภูเขาไฉอวี้พรรคกิ่งไผ่ในช่วงที่ผ่านมานี้กลับเหมือนแสงตะวัน สาดส่องเจิดจ้า
เพียงแค่เพราะว่าภูเขาไฉอวี้ที่เดิมที่ควรตกเป็ นของภูเขาตะวัน เที่ยง หลังจากที่กวอฮุ่ยเฟิ งเจ้าประมุขเดินทางไปเยือนยอดเขาอี เซี่ยนมารอบหนึ่ง จ่ายเงินฝนธัญพืชไปแค่สามสิบเหรียญก็สามารถ ซื้อกลับมาได้แล้ว
ส่วนกวอฮุ่ยเฟิ งพูดคุยกับจู่หวงเจ้าสานักที่เป็ นเซียนกระบี่ อย่างไร นางไม่ได้เล่าให้ใครฟัง
ผู้ฝึกตนพรรคกิ่งไผ่ยังอาศัยข่าวลือเล็กๆ บางอย่างที่แพร่มาจาก ภูเขาตะวันเที่ยงท าให้รู ้ว่าจู๋หวงถึงกับมาปรากฏตัวที่ตีนเขาของภูเขา บรรพบุรุษ มารอต้อนรับเจ้าประมุขบ้านตนด้วยตัวเอง
ขณะเดียวกันความสัมพันธ ์ระหว่างพรรคกิ่งไผ่กับภูเขาตะวัน เที่ยงก็ยังคงเดิม จะไม่กลายไปเป็ นภูเขาเบื้องล่างของฝ่ ายหลัง เพียงแต่ว่าทุกปี จะยังต้อง “ส่งบรรณาการ” ให้ดังเดิม ยังคงเป็ น ความสัมพันธ ์ที่ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อการปกป้ องคุ้มกัน
วันนี้ป๋ ายหนีที่รับหน้าที่เป็ นขุนนางผู้ดูแลการขุดเจาะของภูเขา ไฉอวี้เพิ่งจะเข้าภูเขามาก็มองเห็นใบหน้าของคนคุ้นเคยนั่งยองอยู่ หน้าถ้าของหลุมขุดเจาะเก่า ทุกวันนี้หากไม่มีสถานะเป็ นจือเค่อก็ไม่ มีทางเข้าไปในหลุมเหมืองเก่าได้
ผู้เฒ่าเดินเร็วๆ ไปหา พอขยับเข้าใกล้หน้าปากถ้าของหลุมเก่าก็ ชะลอฝีเท้าให้ช ้าลงเอ่ยสัพยอกคนหนุ่มผู้นั้นว่า “เจ้าหนูเจ้าเกิดปีจอ หรือไร ข่าวสารถึงได้ว่องไวเพียงนี้?”
ก็ดีเหมือนกัน ช่วยลดทอนความยุ่งยากในการตามหาตัวคนไป ได้มากมาย ทุกวันนี้พรรคกิ่งไผ่ได้ข้ามผ่านด่านยากมาได้แล้ว หาก จะบอกว่าได้รับโชคดีหลังเคราะห์ร ้ายก็ไม่มีปัญหาเลยสักนิด ถ้าอย่าง นั้นเฉินจิ้วจือเค่อฝ่ ายนอกที่ก่อนหน้านี้ไม่นานถูกตนไล่ออกไปเพื่อ หลบเลี่ยงความวุ่นวายก็สามารถกลับคืนสู่ตาแหน่งเดิมได้แล้ว เพียงแต่ว่าท าไมเจ้าส านักจู๋ถึงได้ยินดีปฏิบัติต่อพรรคกิ่งไผ่อย่างมี น้าใจ เป็ นฝ่ ายแสดงความเป็ นมิตรกับนางเช่นนี้ คราวก่อนกวอฮุ่ย เฟิ งที่อยู่ตรงตีนเขาของยอดเขาอีเซี่ยนก็ยังคิดไม่เข้าใจ ภายหลัง กลับมาเปิดการประชุมศาลบรรพจารย์ที่พรรคกิ่งไผ่ นางก็แค่พูดถึง ผลลัพธ ์สุดท้ายที่สองฝ่ ายปรึกษากันออกมา ช่วงนี้ให้ผู้คุมกฎหลิง เซี่ยควบคุมค าพูดค าจาของผู้ฝึกตนบ้านตนให้ดี อย่าได้หลงระเริง ลาพองตน หลีกเลี่ยงไม่ให้เหล่าเซียนกระบี่ที่อายุน้อยอารมณ์พลุ่ง พล่านของภูเขาตะวันเที่ยงบางคนได้ยินเข้าแล้วไม่สบอารมณ์ มาหา เรื่องพวกเขาจนเกิดเรื่องขึ้นมาอีก
เฉินจิ้วสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ใบหน้าเต็มไปด้วยความ สงสัย ถามว่า “ท่านลุงป๋ าย ข่าวอะไรหรือ?”
เห็นว่าเขาไม่เหมือนแกล้งโง่ ลุงป๋ ายก็ลังเลไปเล็กน้อย ก่อนจะใช ้ เสียงในใจเล่าให้อีกฝ่ ายฟังคร่าวๆ ก็หนีไม่พ้นว่าความสัมพันธ ์ ระหว่างพวกเขากับภูเขาตะวันเที่ยงมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ขึ้น เจ้าประมุขกวอได้อธิบายเรื่องความเข้าใจผิดให้เจ้าสานักจู๋ฟัง อย่างชัดเจนแล้ว ช่วยให้พรรคกิ่งไผ่ได้มีภาพบรรยากาศสงบสุข หลายร ้อยปี ดังนั้นเขาจึงคิดจะให้เฉินจิ้วมารับตาแหน่งเป็ นเตี่ยนเค่อ ฝ่ายนอกต่อ ถามเฉินจิ้วว่ายินดีหรือไม่
คนหนุ่มเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “คนที่ไล่ข้าไปคือท่านลุงป๋ าย วันนี้คน ที่เชิญข้ากลับมายังภูเขาไฉอวี้ก็เป็ นท่านลุงป๋ ายอีก นี่ท่านลุงป๋ ายคิด จะขุดบ่อล่อปลาหรือ?”
ลุงป๋ ายยิ้มเอ่ย “ได้ผลประโยชน์ไปแล้วอย่าทามาตีหน้าชื่ออีกเลย เจ้าพูดมาตามตรงเถอะว่ายินดีจะกลับมาเป็ นจือเค่ออีกหรือไม่ หาก พยักหน้าตกลงก็อย่าได้รีบดีใจเร็วเกินไปนัก เพราะมีงานหนักงาน เหนื่อยรอเจ้าอยู่ แต่ก็จะไม่ให้เจ้าต้องเหนื่อยเปล่า สามารถเพิ่ม เงินเดือนให้ได้”
ผู้เฒ่ามีสีหน้าเมตตาปราณี มองคนหนุ่มที่บนรองเท้าเปรอะเปื้อน ไปด้วยดินโคลนบนภูเขาผู้นี้แล้ว คงเป็ นเพราะใช ้ชีวิตอยู่ข้างนอกได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ หาไม่แล้วเจ้าเด็กนี่ก็คงไม่มีทางบากหน้ากลับมาที่ ภูเขาไฉอวี้ ลองเอาตัวไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน หากตอนที่
ตัวเองยังเป็ นหนุ่มแล้วถูกคนไล่ไปก็คงไม่คิดจะกลับมาปรนนิบัติอีก ฝ่ ายแล้วจริงๆ เป็ นจือเค่อฝ่ ายนอก เงินเดือนทุกเดือนที่ได้รับคือสิบ สองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ พรรคกิ่งไผ่ดูแลเรื่องการกินการอยู่ แทบจะ ไม่มีค่าใช ้จ่ายส่วนต่างอะไร เท่ากับได้เงินมาเปล่าๆ เฉินจิ้วสามารถ ประหยัดเงินเทพเซียนก้อนนี้เอาไว้ แล้วนับประสาอะไรกับที่จือเค่อทา หน้าที่ต้อนรับผู้คน หากเป็ นพวกหัวไวสักหน่อย หักค่าหัวกินส่วน ต่าง ขอแค่ไม่ใจด าเกินไป ด้วยความใจกว้างของท่านลุงป๋ าย รวมไป ถึงความชื่นชอบและเอ็นดูที่ผู้เฒ่ามีต่อเฉินจิ้วแล้วจะต้องยอมหลับตา ข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งอย่างแน่นอน ไม่พูดว่าจะได้ค่าน้าร ้อนน้าชา มากมาย แต่ให้คนหนุ่มได้สะสมเงินแต่งภรรยาตอนอยู่ในพรรคกิ่งไผ่ ถึงอย่างไรก็สามารถท าได้ แต่หากว่าเจ้าเฉินจิ้วใฝ่ สูงทะเยอทะยาน เกินตัว ถูกใจเทพธิดาของจวนเซียนใหญ่บางคน ยกตัวอย่างเช่นซู เจี้ย แห่งภูเขาตะวันเที่ยง ก็ช่วยไม่ได้แล้ว นอนเยอะๆ ฝันมากๆ น่าจะ พอได้อยู่
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ท่านลุงป๋ าย ข้ากลับมาที่ภูเขาไฉอวี้ครั้งนี้ก็ เพราะตั้งใจมาเสวยสุขไหนลองบอกมาก่อนสิว่าเป็ นงานยากล าบาก แบบใด? ข้าต้องฟังก่อนแล้วค่อยตัดสินใจไม่ใช่ว่ามีจุดจบเป็ นการพา ตัวไปติดกับดักหรอกนะ”
ท่านลุงป๋ ายยิ้มเอ่ย “งานการขุดเจาะของภูเขาไฉอวี้ที่เดิมทีถูก พักไว้ ตอนนี้เริ่มกลับมาทากันได้อีกครั้งแล้ว แต่เจ้าประมุขกวอกับผู้ คุมกฏหลิงต่างก็รู ้สึกว่าหากใช ้วิธีอย่างเมื่อก่อนดูจะพึ่งพาไม่ค่อย
ได้มากนัก เจ้าหนูเจ้าเป็ นคนหัวไว ข้อเสนอหลายอย่างที่เจ้าเสนอมา กับข้า ข้าเอาไปพูดในศาลบรรพจารย์แล้ว คิดไม่ถึงว่าสมาชิกส่วน ใหญ่ของศาลบรรพจารย์ต่างก็รู ้สึกว่าไม่เลว ดังนั้นข้าจึงช่วยของาน มาให้เจ้า ให้เจ้าช่วยดูแลบัญชี เป็ นอย่างไร?”
เซียนกระบี่ที่เป็ นเจ้าสานักคนหนึ่งรับปากด้วยตัวเองย่อมเชื่อถือ ได้ยิ่งกว่าคาสาบานแห่งภูเขาสายน้าอย่างการเผายันต์ยื่นส่งคาร ้อง อะไรทั้งนั้น นี่หมายความว่าอย่างน้อยภายในเวลาสามร ้อยห้าร ้อยปี หรือถึงขั้นนานยิ่งกว่านั้น ขอแค่จู๋หวงยังเป็ นเจ้าส านักของภูเขาตะวัน เที่ยงวันหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นพรรคกิ่งไผ่ที่โงนเงนอยู่ท่ามกลางสายลมก็ ไม่มีภัยภายในและภายนอกอะไรให้ต้องกังวลอีกแล้ว
ก็เหมือนอย่างการประชุมในศาลบรรพจารย์คราวก่อน ป๋ ายหนีที่ ในอดีตเพียงแค่รับฟังอย่างเดียวไม่เคยเสนอความคิดอะไร ได้เป็ น ฝ่ ายเปิดปากถามอย่างที่หาได้ยากว่าจะสามารถรับเตี่ยนเค่อเฉินจิ้ว เป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตนได้หรือไม่
วางท่าชัดเจนว่าต้องการจะอบรมปลูกฝังอีกฝ่ ายให้ดีๆ ต้องการ ยกต าแหน่งขุนนางผู้ดูแลการขุดเจาะซึ่งเป็ น “บรรดาศักดิ์ที่สืบทอด รุ่นต่อรุ่น” ให้กับคนหนุ่มแซ่เฉินผู้นั้นแล้ว
เจ้าประมุขกวอฮุ่ยเฟิ งก็มีความประทับใจที่ไม่เลวต่อคนหนุ่มที่ มักจะไปตกปลาที่ริมลาคลองเป็ นประจาผู้นั้น ผู้คุมกฎหลิงเซี่ยก็ตั้งใจ ไปพลิกเปิดเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับเฉินจิ้วมาโดยเฉพาะ พบว่าจือเค่อ ฝ่ายนอกผู้นี้มีชื่อเสียงไม่เลวอยู่ในพรรคบ้านตัวเอง ถ้าอย่างนั้นนางก็
ไม่มีความจาเป็ นที่จะต้องงัดข้อกับเจ้าประมุขเพราะเรื่องเล็กน้อย เท่านี้ เป็ นเหตุให้เรื่องที่เฉินจิ้วจะกลายเป็ นลูกศิษย์ผู้ถวายงานของ ศาลบรรพจารย์ได้กลายเป็ นเรื่องที่จริงแท้แน่นอนแล้ว
ส่วนตัวป๋ ายหนีเอง หลังจากเขามีความคิดนี้แล้วก็ยิ่งสบายใจ ผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิม มีความรู ้สึกว่าในอนาคตตัวเองจะเลี้ยง เป็ ดเลี้ยงห่านสักฝูง ปลูกผักสักแปลง ไปตกปลาที่ริมลาคลอง ทอดสายตามองไปนอกพันภูเขา อ่านต าราอย่างเพลิดเพลิน
คนหนุ่มไม่ควรไร ้ความทะเยอทะยาน แต่จะปล่อยให้มีมากเกินไป ไม่ได้ ไม่สะดวกจะฉายประกายคมกริบมากเกินไป ต้องใช ้เรื่องราว ทางโลกและผู้คนช่วยขัดเกลาเหลี่ยมมุมบ้าง
ดังนั้นผู้เฒ่าจึงไม่ได้บอกความคิดที่แท้จริงของตัวเองให้เฉินจิ้ว ฟังว่า
วันใดตนถอยออกไปก็จะให้เฉินจิ้วขึ้นมาแทนที่ ในศาลบรรพ จารย์ของพรรคกิ่งไผ่จะมีเก้าอี้สาหรับเขา
กลายมาเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตนก่อน แล้วค่อยอดทนขัด เกลาประสบการณ์อีกสักสี่ห้าปีก็ถือโอกาสรับตาแหน่งขุนนางผู้ดูแล การขุดเหมืองคนถัดไป ผู้เฒ่าล้วนปูทางไว้ให้กับคนหนุ่มหมดแล้ว
“ท่านลุงป๋ าย เอ่ยความในใจสักคา นี่ไม่เท่าไรเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันนวดคลึงใบหน้า “จะเป็ นการเอาคนมีฝีมือมาใช ้ในงาน เล็กน้อยหรือไม่?”
ป๋ ายหนีหัวเราะอย่างขันๆ ปนฉุน ตบลงบนไหล่ของคนหนุ่ม “ดีๆๆ ขอบเขตของเฉินจือเค่อสูง พูดจาวางโต ปณิธานยิ่งใหญ่ยาว ไกล เป็ นการเอาคนมีฝีมือมาใช ้ในงานเล็กน้อยจริงๆ!”
เฉินผิงอันกล่าว “ท่านลุงป๋ าย ข้ารู ้ถึงความหวังดีของท่าน แต่ที่ ข้ามาในครั้งนี้ก็เพื่อมาบอกลาท่าน คราวก่อนเป็ นเพราะกังวลว่าท่าน ลุงป๋ ายจะเป็ นห่วงก็เลยจงใจจากไปอย่างรีบร ้อน”
ป๋ ายหนีถามอย่างสงสัย “เจ้าเด็กหน้าเหม็นมีที่พานักเร็วขนาดนี้ เลยหรือ? คงไม่ใช่ภูเขาตะวันเที่ยงหรอกกระมัง? ท าไม เพียงแค่ดื่ม เหล้าไปมื้อหนึ่ง ก็ปื นป่ ายสู่กิ่งสูงของเซียนกระบี่เซี่ยโหวแห่งยอด เขาสุ่ยหลงได้แล้วหรือ?”
เฉินผิงอันอดไม่ไหวยิ้มเอ่ย “ต่อให้ข้ากล้าไป ทางฝั่งของภูเขา ตะวันเที่ยงก็ไม่กล้ารับเอาไว้หรอก”
ป๋ ายหนีคิดดูแล้วก็ไม่คิดจะวางมาดของผู้อาวุโสใส่อีกฝ่ ายด้วย การเจ้ากี้เจ้าการบอกคนหนุ่มว่าควรท าเช่นไร เพียงแค่เอ่ยว่า “ถ้า อย่างนั้นข้าก็ไม่ถามมากแล้ว คนหนุ่มอย่างพวกเจ้าย่อมต้องมี ความคิดเป็ นของตัวเอง ออกไปบุกตะลุยอยู่ข้างนอกบ้างก็ดี เหมือนกันเอาเป็ นว่าหากร่ารวยอยู่ข้างนอก ข้าก็ดีใจแทนเจ้า แต่ หากมีชีวิตที่ธรรมดาก็อย่าได้มัวเล่นตัวเด็ดขาด กลับมาที่ภูเขาไฉอวี้ เถอะ ทางฝั่งของลุงป๋ ายจะต้องมีอาหารให้เจ้าได้กินอย่างมั่นคง แน่ นอน พรรคกิ่งไผ่ไม่ใช่พรรคใหญ่อะไร แต่ถึงอย่างไร
ขนบธรรมเนียมก็ดี ไม่ได้มีการปัดแข้งปัดขาและเรื่องสกปรก มากมายขนาดนั้น”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี ยื่นมือสองข้างออกมาจากชายแขนเสื้อ กุม หมัดเขย่าอยู่สองสามที “หลานขอขอบคุณท่านลุงป๋ ายมา ณ ที่นี้”
ป๋ ายหนียิ้มเอ่ย “น่าเสียดายที่เจ้าประมุขกวอยังเคยชมเจ้าในการ ประชุมของศาลบรรพจารย์”
คนหนุ่มถูมือเอ่ยอย่างตกตะลึง “คงไม่ใช่ว่า…?”
ป๋ ายหนีด่าข าๆ “เจ้าประมุขกวอคือเซียนดินโอสถทอง จะเห็นเจ้า อยู่ในสายตาได้หรือ? หรือว่าเจ้าท้องไส้ไม่ค่อยดี วันๆ คิดแต่อยากจะ กินข้าวนิ่ม?” (เปรียบเปรยถึงผู้ชายที่ให้ผู้หญิงเลี้ยงดู)
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่านลุงป๋ าย บอกตามตรงนะ ข้ามีภรรยา แล้ว อยู่ในสถานที่ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็ นบ้านเกิดแห่งที่สองของข้า ความสัมพันธ ์ของข้ากับนางดีมาก นางมีดีมากมาย ชาติก าเนิดดี นิสัยดี คุณสมบัติในการฝึกตนดี แต่อยู่ในบ้านล้วนเป็ นข้าที่เป็ นใหญ่ เหอะ ยิ่งพอออกไปอยู่ข้างนอก ศักดิ์ศรีหน้าตาของข้า นั่นเรียกว่า สุดๆ เลยล่ะ แล้วก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าข้ากินข้าวนิ่ม อยู่ข้างนอกจะดื่ม เหล้าอย่างไรก็ตามแต่ใจ อยากจะกลับบ้านตอนไหนก็ตอนนั้น รับรอง ว่าต้องมีน้าแกงสร่างเมาไว้รอให้ข้าไปดื่มอยู่เสมอ….”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “เลิกคุยโวเรื่องทานองนี้เถอะ หากบุรุษสามารถ พูดจาแข็งกร ้าวเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ได้ ต้องไม่มีทางเก่งแต่ปากแน่นอน
ข้าว่าเจ้าหนูเจ้าดื่มเหล้าอยู่กับสหายข้างนอกแล้วกลับไปถึงบ้านดึก ก็คงถูกกันไว้ไม่ให้เข้าบ้านบ่อยครั้งแน่ๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างตกตะลึง “ท่านลุงป๋ ายใช ้ได้เลยนี่นา เคยมี ประสบการณ์มาก่อนหรือ?”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ไม่เคยกินเนื้อหมูจะยังไม่เคยเห็นหมูวิ่งอีกหรือ?”
เฉินผิงอันยกนิ้วโป้ งให้ผู้เฒ่า
“เฉินจิ้ว บังเอิญยิ่งนัก เจ้าเองก็แซ่เฉินเหมือนกัน หากคิดจะกิน ข้าวนิ่มเลียนแบบผู้อื่นก็ให้เลียนแบบคนผู้นั้น เขาก็คือเฉินอิ่นกวาน แห่งภูเขาลั่วพั่ว สามารถเป็ นคู่รักของหนิงเหยาได้ เขาก็คือบุคคล อันดับหนึ่งในใต้หล้าที่ได้กินข้าวนิ่ม”
“ใช่สิๆ เจ้าเฉินผิงอันผู้นี้ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย โตขนาดนี้แล้วยัง เป็ นชายโสดอยู่ได้เศษสวะแท้ๆ”
และเวลานี้เอง ผู้เฒ่าก็พบว่าร่างของคนหนุ่มแข็งเกร็ง หันหน้า กลับไปอย่างแข็งที่อจากนั้นก็คลี่ยิ้ม ส่วนรอยยิ้มนั้นจะสดใสหรือเป็ น รอยยิ้มประจบ กลับบอกได้ยากแล้ว
ป๋ ายหนีมองตามสายตาของเฉินจิ้วไปก็เห็นสตรีผู้หนึ่งที่มีท่วงท่า องอาจ เรือนกายสูงเพรียว สะพายกล่องกระบี่ไว้ด้านหลัง นางจ้อง มองคนหนุ่มอยู่อย่างนั้น
หนิงเหยากุมหมัดคารวะผู้เฒ่า “ข้าชื่อหนิงเหยา ก็คือคนที่ถูกกิน ข้าวนิ่มผู้นั้น” ป๋ ายหนีอึ้งตะลึง กุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางพูด ล้อเล่นแล้ว” เฉินผิงอันกระโดดตัวขึ้น เดินเร็วๆ ไปหาหนิงเหยา ใช ้เสียงในใจ ถามว่า “มาได้อย่างไร?”
ถึงกับสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อยว่าหนิงเหยามาถึงเมื่อไหร่ เฉินผิง อันยังถูกปิดหูปิดตาเขาที่รู ้สึกตัวทีหลังสูดลมหายใจดังเฮือก เรื่อง ของเจ้าประมุขกวอ….ท่านลุงป๋ ายท าร ้ายข้าเสียแล้ว!
หนิงเหยาใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเคยเตือน ว่า ในอนาคตก่อนจะถึงวันที่สวรรค์หลั่งน้าตา ต้องหลบฝน รอกระทั่ง ฝนหยุดพักค่อยออกจากด่าน อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรท าก็เลยแวะมาหา”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “ข้าเป็ นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว เป็ นเซียน กระบี่ใหญ่แล้ว”
หากอยู่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน คนหนึ่งถูกเรียกขานว่าเซียนกระบี่ใหญ่ ไม่ใช่คาด่าอะไรแล้ว
หนิงเหยาพยักหน้า “ดูออกแล้ว” เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “มาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หนิงเหยากระตุกมุมปาก เอ่ยว่า “วางใจเถอะ เป็ นหลังจากที่พวก เจ้าพูดถึงเจ้าประมุขกวอและประโยคที่ว่าคงไม่ใช่ว่า…”
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ “ท่านลุงป๋ ายเป็ นชายแก่ขึ้นคานแล้ว เหมือนกับพวกคนที่ร ้านเหล้าของกาแพงเมืองปราณกระบี่ ชอบพูด ไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีเรื่องก็หาเรื่องมาคุย อันที่จริงเวลาปกติพวกเรา ไม่ได้คุยกันแบบนี้หรอก”
หนิงเหยายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คุยเล่นผายลมบนโต๊ะสุราเป็ นแบบใด ข้าล้วนรู ้ชัดเจนดี”
เพียงแต่ว่าเหล้าล่ะ โต๊ะล่ะ เฉินผิงอันพลันมีสีหน้าซับซ ้อนขึ้นมาทันใด ถามว่า “เจ้าคงจะ ไม่?”
บนเส้นทางการฝึ กตน หนิงเหยาที่แทบไม่เคยจะปิดด่านอย่าง จริงจังมาก่อน น้าหนักในการปิดด่านอย่างแท้จริงของนาง เฉินผิงอัน เคยอยู่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ย่อมเคยประสบพบเจอกับตัวเองมา ก่อน
หนิงเหยาท าสีหน้ามีเลศนัย “สูงกว่าเจ้าสองขอบเขต” เป็ นขอบเขตสิบสี่แล้ว
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		