กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1088.3 เหล้าเก่าในขวดดินเผา
พวกสตรีปากมากมักจะหาสารพัดค าด่ามาด่านาง พวกบุรุษก็ อยากจะนอนกับนาง
ทุกวันมีชีวิตอยู่ท่ามกลางคาซุบซิบนินทาที่ผู้คนเปลี่ยนสารพัด วิธีมาเหยียบย่าดูแคลนนาง
หากไม่เป็ นเพราะนางสามารถเปิดเตาไฟขนาดเล็กท าอาหาร ให้กับหม่าเช่อได้ อีกทั้งหม่าเช่อยังเป็ นวัตถุดิบของคนที่จะเป็ นจ้วง หยวนซึ่งผู้คนให้การยอมรับ ก็ไม่แน่เสมอไปว่านางจะหนีพ้นเงื้อมมือ ของบุรุษสกุลหม่าบางคนมาได้
นางเป็ นแม่ครัวอยู่ในจวนหม่ามานานหลายปีแล้ว ทุกวันจะต้อง พกกรรไกรด้ามหนึ่งไว้ป้ องกันตัวอยู่เสมอ
เมื่อป่ากว้างใหญ่ ไม่ว่านกประเภทใดก็ล้วนมีหมด
ทว่าในหลุมส้วมกลับมีแค่ฉี่แค่อาจมเท่านั้น
เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าหม่าเช่อผู้นั้นคือเมล็ดพันธ ์บัณฑิตที่มีพรสวรรค์ โดดเด่น คนทั่วทั้งราชส านักต่างก็รู ้สึกว่าในอนาคตเขาจะต้องเป็ น นักปราชญ์เป็ นวิญญูชนของส านักศึกษากวานหูได้อย่างแน่นอน
เด็กหนุ่มหม่าเช่อที่วันหน้าจะต้องกลายมาเป็ นขุนนางผู้สูงศักดิ์ แห่งแคว้นอวี้เซวียนได้อย่างแน่นอนเคยหน้าแดงหูแดง หอบหายใจ
หนักหน่วง กอดสตรีเรือนกายอวบอิ่มจากด้านหลังแล้วถูไถนางอยู่ พักหนึ่ง
วันนี้สตรีง่วนทางานอยู่ในห้องครัวอีกครั้ง นึ่งซาลาเปาหลายซึ้ง ไส้มีหลากหลายชนิดยกตัวอย่างเช่นหากเป็ นปลาเจี่ยจะเลือกเอาแต่ เนื้อขอบครีบ ปลากุ้ยเลือกเอาแต่เนื้ออ่อนหลังกระพุ้งแก้มสองข้าง และยังมีเห็ดชนิดหนึ่งที่ขึ้นบนจอมปลวกที่รสชาติยอดเยี่ยมอย่างถึง ที่สุด
แม่ครัวคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องครัวต่างก็พากันขยับหนีออกห่าง หญิงแพศยาที่ชื่อว่าอวี๋ชิ่งผู้นี้
นางยื่นมือไปลูบเส้นผมสีนิลตรงจอนหู หันหน้าไปมองคนชุด เขียวที่นั่งอยู่บนธรณีประตูที่เป็ น…..มือกระบี่?
นางคล้ายจะรู ้สึกสงสัยไม่เข้าใจ ในต าราบอกว่าวิญญูชนควรอยู่ ให้ไกลจากห้องครัวลูกหลานสายต่างๆ ของสกุลหม่าไม่เคยมีใครมา ที่ห้องครัวหรอกนะ แน่นอนว่าพวกเขารู ้สึกว่าที่นี่มีคนเยอะหูตา มากมาย
ห่างจากห้องครัวไปไม่ไกล บนก้อนหินที่อยู่ใต้ซุ้มดอกไม้วาง ดอกกล้วยไม้มีชื่อราคาแพงเอาไว้สิบกว่ากระถาง ล้วนเป็ นนางที่ให้ การดูแลอย่างใส่ใจมาโดยตลอด
ห้องอาหารส่วนตัวของสกุลหม่าอ าเภอหย่งเจียสามารถท าให้ ตระกูลชนชั้นสูงของเมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนยกนิ้วโป้ งให้ได้ พวก
นักกินตัวยง ยากนักที่จะบอกว่าใครดี ปากมักจะติดค าพูดท านองว่า ท าไมผักกาดขาวของพวกเราถึงได้อร่อยกว่าข้างนอก? ก็เพราะเทพ ห้ารสลูกน้องของท่านเทพเจ้าแห่งเตาไฟอยู่แค่ที่เมืองหลวงเท่านั้น แต่พอพวกเขาได้ชิมอาหารของห้องอาหารส่วนตัวจวนหม่าแล้วกลับ ต้องร ้องว่ายอดเยี่ยมกันทุกคน
เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “เดิมนึกว่าเจ้าคือสายที่ถูกกู้ช่าน จัดตัวมาไว้ที่นี่ ตอนนี้ดูท่าจะไม่ใช่เสียแล้ว แซ่ลู่หรือ?”
ลุกขึ้นยืนแล้ว เฉินผิงอันก็เดินเข้ามาในห้องครัว หยิบกระเทียม เปลือกม่วงสองสามหัวจากบนเตาไฟขึ้นมา บี้จนเปลือกแตก กาไว้ใน มือ แล้วจึงตักบะหมี่ปลาน้าใสชามหนึ่งให้ตัวเอง ยิ้มเอ่ยว่า “กินบะหมี่ ไม่กินกับกระเทียม เมื่อเทียบกับฆ่าคนไม่เห็นเลือดแล้ว ถึงอย่างไรก็ ยังขาดความหมายอยู่บ้างเล็กน้อย”
อวี๋ชิ่งเพียงแค่เหม่อมองแขกไม่ได้รับเชิญที่ทาตัวประหลาดคน นั้น ส่วนสตรีคนอื่นๆ ในห้องครัวคงเป็ นเพราะถูกพลังอานาจของคน ผู้นี้ทาให้ตื่นตะลึงกันไปอย่างสิ้นเชิงจึงไม่มีใครกล้าส่งเสียง
เฉินผิงอันเอนกายพิงเตาไฟ ก่อนจะขยับตะเกียบ เขายิ้มเอ่ยว่า “สกุลหม่าตรอกซิ่งฮวาติดหนี้ตระกูลข้าก้อนหนึ่ง ไม่มาก แค่เงินแปด เฉียนเท่านั้น ไม่ถึงหนึ่งตาลึง แต่ตอนนั้นกลับไม่ถือว่าเป็ นเงิน เล็กน้อยสาหรับที่บ้านเกิดข้าแล้ว เมื่อก่อนข้าปลุกความกล้าทาหน้า หนาไปทวงเงินถึงบ้านสองครั้ง ก็ยังไม่ได้มา เวลาผ่านตรอกซิ่งฮวา จานวนครั้งที่ไม่ได้เคาะประตูกลับมีมากยิ่งกว่า กินบะหมี่ชามนี้ไปแล้ว
หนี้ก้อนนี้ก็ถือว่าหายกันแล้ว หม่าขู่เสวียนนับว่ายังมีใจ ถึงได้เชิญ เจ้าออกจากภูเขามาปกป้ องสกุลหม่าอยู่ที่จวนแห่งนี้ได้”
สตรีโตเต็มวัยผินตัวเบี่ยงข้าง ยอบกายคารวะอย่างแช่มช ้อย ยิ้ม พูดด้วยรอยยิ้มนุ่มนวลเย้ายวน “ท่านก็คือเจ้าขุนเขาเฉินสินะ?”
เฉินผิงอันวางชามและตะเกียบลง ส่งเสียงเรอดัง “รสชาติเวลามา ทวงหนี้ถึงบ้านคนอื่นนี่ไม่เลวเลยจริงๆ กินดื่มอิ่มหนา ถ้าอย่างนั้นก็ เริ่มงานได้แล้ว”
อวี๋ชิ่งคลี่ยิ้มหวาน “หรือว่าลูกศิษย์ของเหวินเซิ่งจะเปิ ดฉาก สังหารคนอย่างพร่าเพื่อกลางวันแสกๆ เช่นนี้?”
เฉินผิงอันยื่นมือมาตบเตาไฟ ฝ่ ามือก็มีแสงสีทองส่องประกายวิบ วับ เส้นสีทองจานวนนับไม่ถ้วนแผ่ขยายลามออกไป ตรงดิ่งไปที่หน้า ประตู ก่อนที่เขาจะหันหน้ามายิ้มเอ่ย “หวังว่าคราวหน้าที่พวกเราเจอ กัน เจ้าจะยังพูดแบบนี้ได้อยู่อีก”
อวี๋ชิ่งหรี่ตาลง สองนิ้วของนางคีบยันต์สีทองแผ่นหนึ่ง กวาดตา มองไปรอบด้านก็เห็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมโดยรอบ เหมือนนางได้เข้าไปอยู่ในจวนเซียนแห่งหนึ่ง
ท่ามกลางการมองเห็นของนางมีขุนเขาเขียวยิ่งใหญ่โอฬารที่ ตั้งอยู่อย่างเดียวดายตรงตีนเขามีลาคลองยาวน้าใส สิ่งปลูกสร ้างใน ภูเขาเรียงรายลดหลั่นกันมา แน่นถี่แต่กลับงามประณีติ นกกระเรียน เซียนบินวนอยู่กลางอากาศ
อวี๋ชิ่งก้มหน้าลงมองก็เห็นเป็ นเพดานทรงโค้งประหลาดที่ไม่ได้ ลอยอยู่กลางอากาศแต่กลับแนบติดพื้นดิน?
เห็นเพียงว่าตาแหน่งใจกลางของเพดานทรงโค้งนี้แกะสลักเป็ น รูปดอกบัวสีทองดอกหนึ่ง ด้านนอกมีมังกรสีเหลืองสองตัวที่คาบหาง กันและกันโอบล้อม ขยับห่างออกไปอีกหน่อยก็คือสิบหกนางฟ้ า ลวดลายซ ้อนกันเป็ นวงๆ ขยับออกไปข้างนอกอย่างต่อเนื่องสุดท้าย คือตัวอักษรเก่าแก่โบราณที่นางอ่านไม่ออก ตามหลักแล้วด้วย ขอบเขตและวิชาความรู ้ของนางต้องไม่กริ่งเกรงค่ายกลที่เป็ นภาพ มายาของฟ้ าดินประเภทนี้มากที่สุด แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่านางกลับไม่ รู ้สึกเลยว่าที่แห่งนี้คือค่ายกล แต่เป็ นเหมือนดินแดนลี้ลับมหัศจรรย์ที่ ด ารงอยู่จริงเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็ นความมีเหตุผลหรือการอนุมาน โดยใช ้ตรรกะก็ล้วนบอกกับนางว่านี่คือค่ายกล ทว่าความรู ้สึกและ ลางสังหรณ์กลับบอกนางว่านี่คือดินแดนมายา
นางกลั้นหายใจ ไม่กล้าสูดลมหายใจอยู่ที่นี่อีกต่อไป เผายันต์ลับ ที่ใช ้กาหนดเวลาแผ่นนั้น สะบัดชายแขนเสื้อแล้วโยนเวทคาถาบท หนึ่งออกไปยังพื้นที่ว่างเปล่าห่างไปไกล ทันใดนั้นฝุ่ นผงก็ตลบ คละคลุ้ง นางขมวดคิ้วน้อยๆ ฟ้ าดินแห่งนี้นอกจากจะมีปราณ วิญญาณเปี่ยมล้นแล้วก็เหมือนว่าจะไม่มีความผิดปกติอย่างอื่นอีก อวี๋ชิ่งทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบดินส่วนหนึ่งขึ้นมา บดขยี้จนกลายเป็ น ผุยผง นางเพ่งสายตามองดู ดินพวกนี้เป็ นของจริง นี่ทาให้อวี่ชิ่งรู ้สึก สับสนหนักเข้าไปอีก หรือว่าเป็ นวิชาจักรวาลในชายแขนเสื้อ ตะวัน
จันทราในกาน้าของพวกผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาทั้งหลาย? อีกทั้ง หากอิงตามบันทึกลับของตระกูลบางอย่าง ผู้ฝึกตนบนยอดเขาบาง คนก็สามารถพกถ้าสวรรค์และพื้นที่มงคลติดตัวไปได้ด้วย
อวี๋ชิ่งเรียกเจดีย์สมบัติที่มีหลังคาทับซ ้อนกันหลายชั้นขนาดจิ๋ว ชิ้นหนึ่งออกมา โยนไปกลางอากาศเบาๆ ปกป้ องพื้นที่รอบด้านที่ ตัวเองยืนอยู่ แล้วถึงได้ทะยานลมลอยตัวขึ้นช ้าๆ พยายามที่จะหลุบ ตาลงมองพื้นที่ลับแห่งนี้จากในมุมสูง เมื่อเรือนกายทะยานขึ้นสูง อวี๋ ชิ่งเห็นสะพานโค้งหยกขาวที่อยู่เบื้องหน้าอย่างชัดเจน บนราวสะพาน มีสัตว์หลากหลายประเภทนั่งอยู่ ด้านใต้สะพานยังแกะสลักเป็ นรูป ป้ าเชี่ยที่มีเกล็ดมังกร นอนหมอบมองน้า
ในที่สุดอวี๋ชิ่งก็สังเกตเห็น “คนตัวเป็ นๆ คนหนึ่งแล้ว คือหญิงสาว ที่สวมชุดขนนกสีเขียวมรกต ไม่ได้อยู่ในภูเขา แต่นางก าลังเดินเลียบ ริมน้าไปตามสายน้าใสที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ฝีเท้าของนางไม่เร็ว อวี๋ ชิ่งลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังทะยานลมไปหาสตรีที่สวมชุดสีเขียวคนนั้น พลิ้วกายลงบนฝั่งตรงข้าม เห็นได้ชัดว่าสตรีคนนั้นก็มองเห็นอวี๋ชิ่ง แล้ว แต่กลับแค่เลิกเปลือกตาขึ้นมองแล้วก็เดินไปตามริมน้าต่ออีก ครั้ง เพียงไม่นานอวี๋ชิ่งก็สังเกตเห็นเบาะแส ทุกก้าวที่สตรีประหลาด คนนี้ก้าวเดิน ทิวทัศน์เล็กละเอียดข้างกายนางที่หากมองปราดๆ แทบ จะสังเกตไม่เห็นจะเปลี่ยนจากลายเส้นขาวดาเป็ นสีสัน นอกจากนี้ อาจจะยังมีการเพิ่มหยดน้าค้างสองสามหยดให้กับหญ้าที่อยู่ข้างทาง ให้ปลาหลีสีขาวหิมะตัวหนึ่งที่กระโดดพ้นมาจากผิวน้ากลายเป็ นสี
ทองอร่าม นี่นางกาลัง…ตรวจสอบชดเชยช่องโหว่ ช่วยเพิ่มเติมสีสัน ให้กับม้วนภาพแห่งฟ้ าดินอย่างนั้นหรือ?
อวี่ชิ่งก้มหน้าลงมองยันต์ในมือ จริงดังคาด ความเร็วในการไหล หายไปของเวลาที่แท้จริงเพิ่งจะผ่านไปแค่ประมาณชั่วลัดนิ้วมือ เท่านั้น แต่อวี๋ชิ่งที่คิดคานวณอยู่ในใจเงียบๆ กลับรู ้สึกว่าเวลาผ่านไป เกือบหนึ่งเค่อแล้ว นี่ทาให้อารมณ์ของอวี๋ชิ่งยิ่งหนักอึ้ง สตรีที่อยู่บน ฝั่งตรงข้ามหันหน้ามา ดวงหน้างดงามขาวนวลไร ้ต าหนิ แต่กลับมี ดวงตาว่างเปล่าเหมือนบ่อน้าโบราณไร ้คลื่นกระเพื่อม เมื่อนางจ้อง เป๋ งมายังอวี๋ชิ่งที่ “มีชีวิตชีวาอย่างถึงที่สุด สีหน้าของสตรีก็ซับซ ้อน สุดขีด มีทั้งความเย้ยหยัน เวทนา อิจฉาและเคียดแค้น….
อวี๋ชิ่งข่มกลั้นความรู ้สึกประหลาดในใจลงไป เปิดปากถามว่า “ไม่ทราบว่าสหายมีชื่อว่าอะไรหรือ?”
สตรีเปิดปากพูดด้วยน้าเสียงแหบพร่า “เจ้าสามารถเรียกข้าว่าสวี่ เจียวเชี่ย ชื่อจริงเผ่าปีศาจคือเซียวสิง มาจากเปลี่ยวร ้าง ดวงจิตดวง หนึ่งถูกกักขังไว้ที่นี่มานานหนึ่งหมื่นสองพัน “ชั่วลัดนิ้วมือ” แล้ว”
อวี๋ชิ่งยิ่งคลางแคลงไม่เข้าใจ จากการคานวณของอีกฝ่ายก็น่าจะ แค่หนึ่งวันหนึ่งคืนหรือสิบสองชั่วยามเท่านั้น
สตรีที่บอกว่าตัวเองชื่อสวี่เจียวเชี่ยพลันใบหน้าบิดเบี้ยว คล้าย กับเดาความคิดของอีกฝ่ายออก สิบนิ้วของนางขยุ้มข้างแก้มสองข้าง
ของตัวเอง “เพิ่งจะหนึ่งวันหนึ่งคืน เพิ่งจะอย่างนั้นหรือ?! สี่ล้านแปด แสน “ชั่วขณะ” สี่ล้านแปดแสน!”
แต่นางก็เก็บสีหน้าวิปลาสมาได้ในทันที ชี้ไปยังยันต์ที่อยู่ในมือ ของอวี๋ชิ่ง พูดด้วยสีหน้าสาแก่ใจดั่งคนที่จมอยู่ในความปิติยินดีอย่าง ล้นเหลือ ยื่นมือมาปิดปาก เสียงหัวเราะน่าขนลุกแผ่วต่าดังลอดร่อง นิ้วออกมา “สนุกคนเดียวไม่สู้สนุกกันหลายๆ คน ตอนนี้มีเจ้าอยู่เป็ น เพื่อนข้าก็ไม่ทรมานขนาดนั้นอีกแล้ว สังเกตเห็นหรือไม่ ความเร็วใน การไหลหายไปของแม่น้าแห่งกาลเวลายิ่งช ้าลงเรื่อยๆ แล้ว แต่ ความคิดของเจ้ากลับเร็วมากขึ้น อยู่ที่นี่ ทั้งเจ้าและข้าคือผู้ที่มิอาจ หลับใหล น่าเวทนาอย่างถึงที่สุด”
ในฟ้ าดินเล็กที่เต็มไปด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์โบราณ หม่าขู่เสวียน กล่าว “ดูท่าอวี๋สืออู้จะพูดผิดไป เจ้าไม่ใช่ขอบเขตก่อกาเนิดที่มีความ เป็ นไปได้แปดส่วนอะไรแล้ว แต่เจ้าคือขอบเขตหยกดิบ นี่เป็ นเรื่องที่ เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไม่กี่วันนี้เองหรือ?”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกราะทองจากกรมสายฟ้ ายุคบรรพกาลหนึ่งร ้อยกว่า ตนที่ถูกหม่าขู่เสวียนใช้ยันต์ร่วมกับคาถา “อัญเชิญเทพ’ เชิญตัวมา คล้ายกับว่าได้ถูกวิถีแห่งฟ้ าที่ยิ่งใหญ่ไพศาลสยบก าราบเอาไว้ ได้แต่ อยู่นิ่งเฉย ไม่กล้าขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
ลาพังแค่ภาพลวงตาของผู้ถือกระบี่เหล่านั้น หนึ่งกระบี่ปาดขวาง มา แสงกระบี่สองประกายเจิดจ้าคล้ายกับจะผ่าฟ้ าดินออกจากกัน แม่
ทัพเทพร่างทองจานวนมากถึงครึ่งหนึ่งก็ถูกฟันเอวขาดเป็ นสองท่อง ร่างทองแตกสลายล้มครืน กลายเป็ นเศษแสงสีทองจ านวนนับไม่ถ้วน
เทพอัคคียกมือขึ้น ฟ้ าดินก็เหมือนกลายมาเป็ นเตาหลอม แสง เพลิงหลอมละลาย ไม่รู ้อันไหนถ่านหยินอันไหนถ่านหยาง ล้วนถูก เผาไหม้อยู่ในนี้จนหมดสิ้น
เพียงชั่วพริบตา ฟ้ าดินก็กลับคืนมาใสกระจ่างอีกครั้ง
หม่าขู่เสวียนไม่สนใจเรื่องพวกนี้
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างเสียดายว่า “น่าเสียดายที่เศษชิ้นส่วนร่างทอง พวกนี้เป็ นของมายาจับต้องไม่ได้ หม่าขู่เสวียน เจ้ามีความสามารถ มากไม่ใช่หรือ ท าไมไม่เชิญร่างจริงของเทพพวกนี้มาเลยล่ะ”
ทัศนียภาพในฟ้ าดินเล็กเหมือนน้าลงที่ถอยร่นสลายหายไป คน ทั้งสองกลับคืนมายังสถานที่จริงอีกครั้ง หม่าขู่เสวียนนั่งอยู่บน ขั้นบันไดหน้าประตูใหญ่ของศาลบรรพชน เฉินผิงอันยืนอยู่บนลาน กว้าง
หม่าขู่เสวียนยิ้มเอ่ย “นี่ไม่ได้จะบอกว่า เฉินอิ่นกวานตั้งใจปิ ด ด่านเพื่อข้าโดยเฉพาะหากไม่มีขอบเขตหยกดิบติดกาย อาศัยแค่ สถานะสาคัญสองอย่างอย่างผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อก าเนิดกับผู้ฝึก ยุทธขอบเขตสิบ เจ้าก็ยังคงรู ้สึกว่าการแก้แค้นครั้งนี้ บุกเดี่ยวเข้ามา ในอาเภอหย่งเจีย เป็ นเรื่องที่ยังไม่มั่นคงเท่าไรหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เจ้านี่ช่างหน้าใหญ่จริงๆ”
หม่าขู่เสวียนมอง “โลกภายนอก” แวบหนึ่ง สภาพเหตุการณ์ที่ แท้จริงของจวนหม่าได้ตกอยู่ในดินแดนที่ราวกับว่าแม่น้าแห่ง กาลเวลาหยุดนิ่งไม่ไหลไปเบื้องหน้านานแล้ว
หม่าขู่เสวียนถาม “วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเจ้า สามารถควบคุมแม่น้าแห่งกาลเวลาจาลองสายหนึ่งได้หรือ? สามารถ ครอบคลุมอาณาเขตกว้างใหญ่แค่ไหน? ประคองตัวอยู่ได้นาน เท่าไร?”
หม่าขู่เสวียนถามอีก “ทาไมถึงไม่เผยตัวด้วยร่างที่ใช ้ในกาแพง เมืองปราณกระบี่ รู ้สึกว่าอัปลักษณ์เกินไปเลยไม่กล้าออกมาพบเจอ ใครหรือ?”
หม่าขู่เสวียนถามต่ออีกว่า “เจ้าก็รู ้ว่าอันที่จริงข้าไม่ได้สนใจว่า จวนหม่าจะอยู่หรือไปแต่เจ้าไม่แปลกใจบ้างเลยหรือว่าท าไมข้าถึง เลือกจะปรากฏตัวที่นี่?”
อันที่จริงหม่าขู่เสวียนไม่ชอบพูดคุยกับคนอื่นมากนัก แต่คนวัย เดียวกันทั้งยังเป็ นคนบ้านเดียวกันตรงหน้าผู้นี้กลับเป็ นข้อยกเว้น เพียงหนึ่งเดียว
หม่าขู่เสวียนทอดถอนใจ “ท าไมถึงเป็ นคนใบ้อีกแล้วเล่า”
หม่าขู่เสวียนลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นก็จะเล่นเป็ นเพื่อนเจ้า”
ในที่สุดเฉินผิงอันก็ยอมเปิดปากพูด “ถ้าอย่างนั้นก็จะเล่นเป็ น เพื่อนเจ้า ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่แค่ครั้งแรกแล้ว”
หม่าขู่เสวียนกระตุกมุมปาก “แพ้ให้ข้าสองครั้ง แพ้ให้เฉาสืออีก สามครั้ง เฉินผิงอันเจ้าอย่าได้คิดว่าทุกวันนี้มีสถานะเพิ่มขึ้นมาแล้วจะ สามารถกอบกู้ศักดิ์ศรีให้ตัวเองได้แล้ว”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “เจ้าคงไม่ได้แอบเลื่อนเป็ นขอบเขต เซียนเหรินแล้วหรอกกระมัง?”
หม่าขู่เสวียนแสร ้งทาเป็ นตกใจ “เรื่องนี้เจ้าก็เดาได้ด้วยหรือ? สมองของใต้เท้าอื่นกวานช่างว่องไวจริงๆ มิน่าเล่าถึงได้นั่งบัญชา การณ์คฤหาสน์หลบร ้อนได้”
เฉินผิงอันเงียบไม่ตอบ
หม่าขู่เสวียนยิ้มเอ่ย “นี่จะเรียกว่าตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นรอ อยู่เบื้องหลังหรือไม่?”
ดูเหมือนว่าเดิมทีเฉินผิงอันอยากจะทาสีหน้าตื่นตระหนก เพียงแต่จู่ๆ เขาก็คลี่ยิ้มออกมา “ไม่มัวเสแสร้งอยู่แล้ว ไม่แสดงแล้ว หลอกเจ้ามาสองครั้งก็รู ้สึกผิดมากพอแล้ว”
หม่าขู่เสวียนยืดแขนบิดขี้เกียจ เดินลงบันไดมา
เฉินผิงอันกล่าว “ใช่แล้ว บังเอิญยิ่งนัก กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ของข้าเล่มนี้มีชื่อว่า “นกในกรง”
ระหว่างที่พูดบนร่างของเฉินผิงอันก็มีชุดคลุมอาคมสีแดงสดเพิ่ม มา
ในลานบ้าน หม่าเหยียนกับฉินเจิงพยายามพูดดีกับคนชุดเขียว อย่างสุดความสามารถ โดยเฉพาะหม่าเหยียนที่ยิ่งพูดจาน่าเชื่อถือ บอกว่าต่อให้จะถูกเจ้าขุนเขาเฉินเข้าใจผิดอย่างลึกล้า ต่อให้เขามี ร ้อยปากก็แก้ตัวไม่ได้ แต่เขาก็ยินดีที่จะใช ้ชีวิตของตัวเองมา แลกเปลี่ยนกับชีวิตของเฉินเฉวียน ฉินเจิงเองจู่ๆ ก็คุกเข่าลงกับพื้น สองสามีภรรยาคนหนึ่งร ้องคนหนึ่งรับ พูดจาจริงใจพร ้อมกับท าสีหน้า ซื่อบริสุทธิ์ เฉินผิงอัน หากเจ้าคิดว่าอาการเจ็บป่ วยของแม่เจ้า เกี่ยวข้องกับพวกเรา ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะชดใช ้ชีวิตให้กับเจ้า ขอ เพียงเจ้าปล่อยตระกูลหม่าของพวกเราไป ขอร ้องเจ้าอย่าได้พาน โกรธไปที่คนอื่นเลย
เฉินผิงอันแสร ้งทาเป็ นมองไม่เห็น เพียงแค่ยิ้มเอ่ยประโยคเดียวว่า “พวกเจ้าจะต้องถ่วงเวลาต่อไปเพื่ออะไร มีความหมายตรงไหน?”
พูดแล้วก็มีกระบี่บินส่งข่าวหลายฉบับพุ่งออกมาจากชายแขน เสื้อ เขาบดขยี้พวกมันจนแหลกเละ “อยากจะขอก าลังเสริมให้มา ช่วยเหลือ ดูท่าว่าจะไม่ได้ผลเสียแล้ว”
สาวใช ้ชุดเขียวคนหนึ่งกระโจนเข้าใส่เฉินผิงอันอย่างไม่มีลาง บอกกล่าว กริชเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ประกายเฉียบ คมเปล่งแสงวาบ พยายามที่จะเข้าประชิดตัวเพื่อสังหารเขา มีกลิ่น อายของคนที่พุ่งกระโจนเข้าสู่ความตายอย่างห้าวหาญ
แล้วก็มีข้ารับใช ้ผู้ถือกระบี่อีกคนหนึ่งดีดตัวขึ้นสูง ยื่นมือไปกลาง อากาศบังคับกระบี่ยาวที่อยู่บนกาแพงมาไว้ในมือ เงื้อกระบี่ฟันฉับลง ไปที่หัวของคนชุดเขียว
หลังจากนั้นก็เป็ นสาวใช ้ชุดเขียวทั้งหลายที่พากันลงมืออย่าง รวดเร็วฉับไว มองความตายดั่งการกลับบ้านเกิด พากันกระโจนเข้า สังหารเซียนกระบี่เฉิน ล้วนไม่มีใครที่รักตัวกลัวตาย
เฉินผิงอันยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ประกบสองนิ้ว พริบตานั้นก็ฟันผ่า เอวของสาวใช ้ชุดเขียวสิบกว่าคนในทีเดียว ศพของพวกนางร่วงลง พื้น เลือดสดไหลนองเต็มลาน สภาพอเนจอนาถจนแทบมิอาจทน มองได้
ต่อให้เป็ นหม่าเหยียนที่เตรียมใจมาก่อนแล้วก็ยังรู ้สึกว่าภาพนี้ อบอวลไปด้วยคาวเลือดมากเกินไป ฉินเจิงก็ยิ่งอาเจียนออกมาทันที
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ในฐานะนักรบพลีชีพ อยากตาย ก็ได้ตาย เป็ นพวกเจ้าที่รนหาที่เอง”
ฉินเจิงก้มหัวค้อมเอวอาเจียนแห้งไม่หยุด มองดูเหมือนเสียกิริยา สุดขีด ทว่าสีหน้าของสตรีกลับฉายแววสดใสชอบใจ
ร ้านเหล้าข้างทางของภูเขาเจ๋อเยา ซ่งจี๋เหนียงเนียงเทพภูเขาที่ รู ้สึกกังวลใจดื่มเหล้าอยู่กับตัวเอง ใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ฝนห่าใหญ่เทกระหน่าลงมา กลางวันมืดมิดราวกับยามค่าคืน เม็ดฝนถี่กระชั้นตกกระทบลงบนหน้าต่าง เสียงดังหนวกหูเหมือนผี อาฆาตตัวใหม่ที่ส่งเสียงรบกวนด้วยความแค้น