กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1088.4 เหล้าเก่าในขวดดินเผา
ท่ามกลางบรรยากาศวิเวกวังเวงที่ม่านฝนชัดกระหน่าลงบน เส้นทาง มืดมิดจนยื่นนิ้วทั้งห้าออกไปก็ยังมองไม่เห็นนี้ กลับมีลูกค้า สองคนแวะมาที่ร ้าน คนหนึ่งคือบุรุษร่างสูงใหญ่คิ้วหนาตาโต อีกคน หนึ่งคือคนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อท่าทางสุภาพอ่อนโยน พวกเขา ต่างก็สวมเสื้อกันฝนเดินทางฝ่ าสายฝนกันมา พอมาถึงใต้ชายคา ของร ้านเหล้าต่างก็พากันปลดงอบไม้ไผ่บนศีรษะลง เมื่อครู่นี้ซ่งจี๋ เหลือบมองไปบนถนนนอกร ้านก็เห็นว่าคนหนุ่มที่ทั้งหน้าตาและ บุคลิกท่าทางล้วนเป็ นดั่งคุณชายผู้งดงามดุจเจ๋อเชียน ในมือได้จูงม้า สีขาวที่ลักษณะยอดเยี่ยมตัวหนึ่งมาด้วย สี่เท้าของม้าย่าอยู่ท่ามกลาง พายุฝน
ซ่งจี๋ชี้ไปที่ป้ ายไม้หน้าประตู เอ่ยขออภัยว่า “ลูกค้าทั้งสองท่าน ต้องขอโทษด้วย ร ้านปิดแล้ว โปรดอภัยที่ไม่อาจต้อนรับได้”
ชายร่างสูงใหญ่เดินก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาก่อน คลี่ยิ้มสดใส เอ่ยว่า “แค่หาสถานที่หลบฝนเท่านั้น พวกเราพกเหล้ากันมาเอง แล้ว ก็จะถือโอกาสรอคนอยู่ที่นี่ด้วย หากไม่ให้เข้ามาในร ้าน พวกเราก็จะ ถอยออกไปรออยู่นอกประตู”
คนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อท่าทางสุภาพยื่นมือไปปลดป้ ายไม้ที่ หน้าประตูร ้านแล้วโยนลงบนโต๊ะคิดเงินอย่างไม่ใส่ใจ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า
“ในเมื่อเปิ ดประตูทาการค้า ไหนเลยจะมีเหตุผลที่มีเงินมากอง ตรงหน้าแล้วไม่ยอมคว้ามา”
ซ่งจี๋ลังเลไม่แน่ใจ นางมองออกว่าสองคนนี้ล้วนไม่ใช่คนที่รับมือ ได้ง่าย
จะดีจะชั่วนางก็เป็ นถึงเทพภูเขาในท้องถิ่น อีกทั้งร ้านยังเปิดอยู่ ใกล้กับภูเขาเจ๋อเยา เมื่อนางมองขอบเขตสูงต่าของคนบางคนไม่ ออก ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็ นไปได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น ต้องเป็ นผู้ ฝึกบาเพ็ญตนที่ประสบความสาเร็จอย่างแน่นอน
ชายร่างสูงใหญ่ผงกปลายคางไปทางโต๊ะคิดเงิน คนหนุ่มสวมชุด ลัทธิขงจื๊อก็เดินอ้อมโต๊ะไปด้านหลัง หยิบเหล้าที่อยู่บนชั้นวางมาสอง ไห
ซ่งจี๋ได้เปิดโลกกว้างแล้ว นี่ก็คือคาที่บอกว่าพวกเจ้าพกเหล้ากัน มาเองอย่างนั้นหรือ?
หลังจากนั้นหญิงสาวเรือนกายบอบบางคนหนึ่งก็เดินเข้ามาใน ร ้านตามมาติดๆ บนศีรษะของนางปักปิ่นไม้ลายเมฆชิ้นหนึ่ง สวมชุด กระโปรงผ้าฝ้ าย สวมรองเท้าปักลายบุปผา
นางเดินฝ่ ามาท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่า ทว่ารองเท้าปักลาย สองข้างบนเท้ากลับไม่เปื้อนฝุ่นสักเม็ด
นางยิ้มเอ่ยแนะนาตัวเองกับเหนียงเนียงเทพภูเขาว่า “ข้าชื่อกู้ห ลิงเยี่ยน คือสาวใช ้ข้างห้องของคุณชายบ้านข้า”
กู้หลิงเยี่ยนเปลี่ยนจากแขกมาเป็ นเจ้าบ้าน ไปยกกระถางไฟใบ หนึ่งจากเรือนด้านหลังมา จากนั้นหิ้วถุงถ่านไม้ใบใหญ่มาวางไว้ข้าง เท้า เทถ่านพรวดลงไปในกระถาง ก้มหน้าเป่าลมทีเดียว ถ่านไม้ก็ติด ไฟขึ้นมาเอง
นางหยิบที่คีบเหล็กออกมาเขี่ยขี้เถ้าที่อยู่ในกระถางมาวางกลบ บนเปลวไฟด้วยท่าทางคล่องแคล่วคุ้นเคย โน้มตัวไปด้านหน้า ยื่นมือ ไปอังไฟ สะบัดมือที่ขาวนวลราวหิมะคู่นั้นเบาๆ เงยหน้ายิ้มถามว่า “เถ้าแก่เหนียงเนียง ในร ้านมีเผือกหรือบ๊ะจ่างบ้างหรือไม่? ข้าอยาก อังไฟอยู่ตรงนี้พลางตัดกระดาษหน้าต่างหรือไม่ก็เย็บพื้นรองเท้าไป ด้วย”
ซ่งจี๋ส่ายหน้า ในใจคิดว่านี่ก็คือคนที่พวกเขาต้องการรอพบ อย่างนั้นหรือ? ตอนนี้ก็ได้เจอนางแล้ว ต่อจากนี้จะทาอะไรต่อกันล่ะ?
กู้หลิงเยี่ยนหันหน้าไปมองเหนียงเนียงเทพภูเขาที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ อย่างโดดเดี่ยวเพียงลาพัง พูดกลั้วหัวเราะด้วยน้าเสียงอ่อนโยนว่า “เหนียงเนียง เจ้าสะโพกใหญ่จริงๆ แต่เอวกลับบางยิ่งนัก นั่งอยู่บนม้า นั่งตัวยาว ก้นก็ยิ่งอวบอิ่มมากกว่าเดิม หากลุกขึ้นมาตอนกลางคืน นั่งลงบนโถส้วมล่ะก็ จุ๊ๆ”
ซ่งจี๋อับอายจนพานเป็ นความโกรธ แต่เพียงแค่เพราะยังไม่รู ้ สถานะและภูมิหลังของพวกเขาจึงฝืนข่มสีหน้าไม่สบอารมณ์เอาไว้ นางคลี่ยิ้มหวาน แสร ้งทาเป็ นไม่ใส่ใจ แล้วก็ไม่พูดตอบโต้
หลิวเสี้ยนหยางสาลักเหล้าทันทีที่ได้ยิน ต้องรีบเอ่ยขออภัย “ขอ โทษที ขอโทษที ข้าคนนี้หน้าบาง ไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน ทนฟัง เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยได้”
กู้ช่านมีสีหน้าปกติเป็ นธรรมชาติ
กู้หลิงเยี่ยนเรียกขานคาแล้วคาเล่าว่าเหนียงเนียง “ภูเขาเจ๋อเอ่อ เปลี่ยนชื่อเป็ นภูเขาเจ๋อเยา เปลี่ยนได้น่าฟังมากจริงๆ ทาให้จากที่ฟัง ดูไร ้รสนิยมกลายมาเป็ นสง่างามได้ แต่ข้าได้ยินมาว่าภูเขาเจ๋อเยาอยู่ ในการดูแลของภูเขาลู่เจี่ยวหนึ่งในภูเขาทายาทของมหาบรรพต ประจิม เทพภูเขาฉางที่ตาแหน่งเทพสูงจนสูงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีก แล้วคนนั้น ดูเหมือนว่าจะเสียหมวกขุนนางไปแล้วนะ? นี่เป็ นเรื่องที่ เพิ่งเกิดไม่กี่วันมานี้เอง เหนียงเนียงเจ้ารู ้เรื่องวงในหรือไม่ ไม่สู้เล่าให้ ฟังหน่อย ถือเสียว่าเป็ นกับแกล้มแกล้มสุราให้คุณชายข้า นี่ก็จะถือ ว่าเจ้ารับรองแขกได้ดีมากแล้ว”
ซ่งจี๋สีหน้าเขียวคล้า เอ่ยเสียงจริงจังว่า “แม่นางกู้ ข้าไม่สนใจว่า เจ้าจะมาจากส านักไหน มีขอบเขตอะไร แต่อยู่ในอาณาเขตของมหา บรรพตประจิมแห่งนี้ ขอให้เจ้าระวังคาพูดหน่อย ระวังว่าภัยจะออกมา จากปาก”
ตามการแบ่งทาเนียบภูเขาสายน้าของศาลบุ๋น ฉางเฟิ่งฮั่นแห่ง ภูเขาลู่เจี่ยวภูเขาทายาทของมหาบรรพตประจิม มีตาแหน่งเทพขั้น สามชั้นโท
ตามหลักแล้วหากคิดจะถอดถอนตาแหน่งขุนนางของเทพชั้นสูง ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็ นทางการก็ต้องผ่านมติการประชุมของ ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางและราชส านักต้าหลีเสียก่อน ต่อให้ถงเหวินช่าง จะเป็ นหัวหน้าของฉางเฟิ่งฮั่น ก็ไม่มีอานาจพอที่จะจัดการเทพภูเขา ตาแหน่งสูงเช่นนี้ได้เองโดยพลการ เป็ นเหตุให้การกระทานี้ของถงเห วินช่างที่เพิ่งจะได้เลื่อนขั้นเป็ นต้าเต้าเสินจวินถือว่าไม่ได้ทาตาม กฎระเบียบเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นไม่เพียงแต่ฉางเฟิ่ งฮั่นที่ส่งคาร ้องฟ้ องร ้องไปยังศาลบุ๋น แผ่นดินกลางแล้ว ว่ากันว่าสิบสองกองของภูเขาลู่เจี่ยว ขุนนางหลัก ส่วนใหญ่ก็ได้ร่วมมือกันยื่นส่งฎีกาฉบับหนึ่งไปยังราชส านักต้าหลี แล้วด้วย
จะสามารถรักษาตาแหน่งเทพเดิมไว้ได้หรือไม่ ตอนนี้ยังบอกได้ ยาก เพราะถึงอย่างไรถงเหวินช่างก็เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็ นเสินจวิน ศาลบุ๋นและสกุลซึ่งต้าหลีต่างก็ต้องพิจารณาในเรื่องนี้ แต่โดยทั่วไป แล้วความเป็ นไปได้ที่มากกว่านั้นก็คือการพบกันครึ่งทาง ภูเขาลู่ เจี่ยวได้รับค าตักเตือนจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลางและกรมพิธีการต้า หลี จากนั้นก็ลดระดับขั้นของฉางเฟิ่งฮั่นลงสองสามขั้น แต่ก็ไม่อาจ ตัดความเป็ นไปได้อย่างหนึ่งทิ้งไป นั่นคือถงเหวินช่างล้มหัวทิ่ม ฉาง เฟิ่งฮั่นกับภูเขาลู่เจี่ยวไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ กลับเป็ นถงเหวินช่าง เองที่บารมีอานาจดิ่งลงสู่กันเหว
ไม่ว่าจะเป็ นสถานการณ์แบบใด ก่อนหน้าที่ศาลบุ๋นยังไม่ได้ให้ ข้อสรุปสุดท้าย ซ่งจี๋ก็ไม่เชื่อจริงๆ ว่าในแจกันสมบัติทวีปจะมีผู้ฝึ ก ลมปราณสักกี่คนที่มีคุณสมบัติพูดจาเหน็บแนมเทพภูเขาฉางใน อาณาเขตของภูเขาลู่เจี่ยวได้
กู้หลิงเยี่ยนหลุดหัวเราะพรืด “ไยต้องดิ้นรนก่อนตายด้วยเล่า เป็ น สถานการณ์ที่ต้นไม้ล้มลิงค่างก็แตกฮือแน่แล้ว ฟ้ องร ้อง ฟ้ องร ้องใคร ล่ะ ฟ้ องร ้องถงเสินจวินหรือฟ้ องร ้องเจ้าขุนเขาเฉิน? ขออย่าให้ กระดาษฟ้ องร ้องถูกส่งตรงไปถึงมือเจ้าขุนเขาเฉินเลยนะ ฮ่า น่าสนใจ น่าสนใจ ก็เหมือนบางฉากบางตอนที่เขียนไว้ในตารา ตบไม้ปลุกสติ ตวาดก้องในศาลว่าใครกันที่บังอาจมาฟ้ องร ้องข้าผู้เป็ นขุนนาง?”
กู้ช่านกล่าว “พอได้แล้ว เป็ นคนใบ้ของเจ้าต่อไป”
กู้หลิงเยี่ยนเหลือบมองสีหน้าของกู้ช่านอย่างระมัดระวัง นางไม่ได้ โกรธ ในดวงตายังมีรอยยิ้มให้เห็น
หลิวเสี้ยนหยางเริ่มใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “ทาไมถึงต้องเรียกเผย เฉียนมาด้วยล่ะ”
“นางคือผู้เยาว์ของเฉินผิงอัน” “นี่คือเหตุผลอะไร” “ความกังวลของพวกเราสองคนไม่เหมือนกัน” “หมายความว่าไง?”
“ เ จ้ากังวลว่าเขาจะเจอกับเรื่องไม่คาดคิด แต่ข้ากลับไม่กังวลใน เรื่องนี้เลยสักนิด ข้าแค่กังวลว่าเขาจะยั้งมือไม่อยู่ แล้วถูกคนจับ จุดอ่อนเอาไว้ได้ หมาบ้ามักจะกัดคนมั่วซั่วเสมอ” “เฉินผิงอันทาเรื่องต่างๆ มีอะไรให้ไม่วางใจบ้างเล่า” “ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน”
“กลัวอะไร ล่าเสือให้พี่น้องทา ลงสมรภูมิให้ใช ้พ่อลูก เฉินผิงอัน ก็ยังมีพวกเราไม่ใช่หรือ?” กู้ช่านเงียบไปพักใหญ่ “หลิวเสี้ยนหยาง เจ้ารู ้หรือไม่ว่าข้าอิจฉา เจ้าในเรื่องไหนมากที่สุด?” หลิวเสี้ยนหยางดวงตาเป็ นประกาย “ไหนลองว่ามาสิ ข้าคนนี้มี ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดอยู่ข้อหนึ่ง ก็คือไม่รู ้ว่าข้อดีของตัวเองคืออะไร” กู้ช่านกล่าว “อยู่ร่วมกับผู้อื่น ไม่ต้องใช ้สมองเลยแม้แต่น้อย ใช ้ แค่ลางสังหรณ์อย่างเดียวเท่านั้น” หลิวเสี้ยนหยางโบกมือ “จะบอกเจ้าเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน อย่าเอาไป เล่าให้ใครฟัง ช่างหร่วนเป็ นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว” “มองออกแล้ว” หลิวเสี้ยนหยางถามอย่างสงสัย “ดวงตาข้างไหนที่มองออก?”
กู้ช่านหัวเราะหยัน “ข้าไม่เหมือนกับคนบางที่ดีแต่ฝึกกระบี่ ยัง พอจะเรียนรู ้ศาสตร ์การมองลมปราณและการอนุมานมาอย่างผิวเผิน ด้วย”
“คุณสมบัติดี พรสวรรค์สูง จิตใจจดจ่อไม่วอกแวก ไม่จ าเป็ นต้อง เรียนรู้วิชานอกรีตมากมายพวกนั้นเลยด้วยซ้า แบบนี้ข้าก็ผิดด้วย หรือ?”
หญิงสาวชุดดาที่มัดผมทรงกลมกลางศีรษะเดินฝี เท้าแผ่วเบา ข้ามธรณีประตูเข้ามาในมือของนางถือไม้เท้าเดินป่ าไผ่เขียว
กู้หลิงเยี่ยนเงยหน้ามองไปทางหน้าประตูแล้วร ้องโอ้โห ตัวเอก มาแล้ว
เผยเฉียนกุมหมัดคารวะหลิวเสี้ยนหยางและกู้ชาน หลิวเสี้ยนหยางยิ้มพลางโบกมือ “นั่งลงดื่มเหล้า” กู้ช่านผงกศีรษะทักทาย หัวใจของซ่งจี๋บีบรัดตัว นางจ าอีกฝ่ ายได้ เผยเฉียนหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ที่แจกันสมบัติทวีปประเมิน ออกมา! คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว! เผยเฉียนกุมมือคารวะไปทางซ่งจี๋ “คารวะเทพภูเขาซ่ง”
ซ่งจี๋รีบลุกขึ้นยืน ยอบกายคารวะ “ทุกวันนี้เทพน้อยใช ้นามว่าซ่ง จี๋ เป็ นเพียงเทพภูเขาของเจ๋อเยา”
เผยเฉียนหยิบใบไม้สีทองแผ่นหนึ่งออกมา ยิ้มเอ่ยว่า “ขอซื้อ เหล้าหมักตลาดสี่มุมจากเหนียงเนียงเทพภูเขาหน่อย”
ซ่งจี๋มีสีหน้าตระหนกลน “ไม่ต้องซื้อเหล้า วันนี้เทพน้อยสามารถ เลี้ยงเหล้ามวยผมที่ภูเขาเจ๋อเยาหมักเองให้ปรมาจารย์เผยดื่มได้ก็ถือ เป็ นเกียรติและความโชคดีของเทพน้อยแล้ว”
เผยเฉียนพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นผู้เยาว์ก็ไม่เกรงใจแล้ว ขอบคุณ มาก”
หลิวเสี้ยนหยางจุ๊ปากรัวๆ ถ่านดาน้อยในปีนั้นเปลี่ยนมาเป็ นรู ้ ความขนาดนี้แล้วหรือ
กู้ช่านยิ้มอย่างเข้าใจ ถ่านดาน้อยในปีนั้นเปลี่ยนมาเป็ นรู ้ความ ขนาดนี้แล้วหรือ
เผยเฉียนรับเหล้าหมักเซียนมาสองสามกา วางลงบนโต๊ะ
เงินคือเด็กรับใช ้ของซ่างชิง สุราคือตะขอเกี่ยวบทกวี คือไม้กวาด ที่ปัดกวาดความหม่นเศร ้า
ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก จ่ายเงินดื่มเหล้าได้โดยไม่ต้องถาม ราคา ก็คือการท่องไปในยุทธภพ
กู้หลิงเยี่ยนยิ้มจนตาหยี หัวเราะคิกคัก “แม่นางเผย จากลากันที่ ท่าเรือ คิดไม่ถึงว่าพวกเราสองคนจะได้พบหน้ากันเร็วขนาดนี้ มี วาสนาต่อกันจริงๆ นะ”
เผยเฉียนยิ้มบางๆ “หากพวกเราพบเจอกันบนสนามรบของเมือง หลวงส ารองแจกันสมบัติทวีปก็จะยิ่งมีวาสนาต่อกันมากกว่านี้เสียอีก”
ในลานบ้าน เจ้าประมุขหม่าเหยียนเริ่มก่นด่าอย่างปวดร ้าวว่า เฉินผิงอันฆ่าคนบริสุทธิ์พร่าเพื่อ ผิดต่อสถานะของลูกศิษย์อริยะ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ใช่แล้วอย่างไร จะทาอะไรข้าได้? วันนี้คดี สะเทือนขวัญฆ่าล้างตระกูลสกุลหม่าอ าเภอหย่งเจีย ฟ้ าไม่รู ้ดินไม่ เห็น”
หม่าเหยียนตวาดกร ้าวเสียงสูง “เฉินผิงอัน เจ้ามันเสียสติไปแล้ว จริงๆ!”
ฉินเจิงยึดเอวขึ้นตรงช ้าๆ ถึงกับใช ้เสียงในใจพูดคุยว่า “ไอ้ลูก หมาพันธ ์ผสมจากตรอกหนีผิง เจ้ารู ้หรือไม่ว่า อาศัยบุปผาในคันฉ่อง จันทราในสายนี้ที่ฉายออกไป เพียงไม่นานคนทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีป ก็จะรู ้ถึงการกระทาของเจ้าในวันนี้แล้ว?!”
สีหน้าตื่นตระหนกของเฉินผิงอันที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ กลับไม่ มีปรากฏให้เห็น
นี่ทาให้สตรีออกเรือนแล้วรู ้สึกกระวนกระวายใจ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ยังคงทั้งโง่และทั้งชั่วช ้าอยู่เหมือนเดิม เอาแต่ วางแผนจะเล่นงานข้าไม่ลองคิดดูให้ดีๆ บ้างเล่าว่าค าพูดประโยคแรก หลังจากที่ข้าได้พบเจอพวกเจ้า ไฉนถึงเป็ นวิธีการตายสี่สิบประเภทที่
เตรียมไว้ให้พวกเจ้า? วิธีการตายอะไรถึงสามารถทาให้คนคนหนึ่ง ตายได้มากมายขนาดนั้น?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “อยากให้ข้าช่วยพูดโต้ตอบกับพวกเจ้าอีก สักสองสามประโยคไหม? ท านองว่าในสายตาของข้าเฉินผิงอัน พวก เจ้าก็คือมดตัวน้อยที่ชีวิตด้อยค่ายิ่งกว่าต้นหญ้า จะเหยียบพวกเจ้าให้ ตายก็ยังรังเกียจว่าจะท าให้รองเท้าสกปรก? หรือยกตัวอย่างเช่นว่า ข้าจะต้องแร่เนื้อเถือหนังเจ้าฉินเจิงออกเป็ นพันเป็ นหมื่นชิ้น ต่อให้ เปิดเผยข้อมูลอีกเล็กน้อย ด้วยฐานะและตัวตนของข้าในทุกวันนี้จะมี ใครกล้ามาร้องทุกข์แทนพวกเจ้า?”
เฉินผิงอันชี้ไปยังกาไลสีเขียวมรกตบนข้อมือของสตรีออกเรือน แล้ว ยิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อมันคือจุดศูนย์กลางของกลไกบุปผาในคันฉ่อง จันทราในสายน้าครั้งนี้ เจ้าลองตรวจสอบดูให้ดีอีกครั้งเถิดว่าด้านใน ยังหลงเหลือปราณวิญญาณอยู่อีกหรือไม่?”
ฉินเจิงยื่นมือไปลูบกาไลข้อมืออย่างรวดเร็ว นิ้วมือของนาง เหมือนสัมผัสกับก้อนน้าแข็ง นี่ทาให้สตรีหน้าเผือดสีโดยพลัน
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อง่ายๆ หนึ่งที ศพที่ถูกตัดเอวขาดเป็ น สองท่อนที่กองเกลื่อนบนพื้น เลือดสดเหมือนกระแสน้าลงที่พากัน ไหลเข้าไปในศพช ้าๆ ร่างที่ถูกฟันขาดออกเป็ นสองส่วนก็เริ่มค่อยๆ พากัน ‘ถอยกลับ” ไปยังกลางอากาศ กริชและกระบี่ยาวที่หล่นลงพื้น ก็ถูกศพเก็บกลับไปไว้ในมืออีกครั้ง วิถีโคจรทุกอย่างเหมือนเดิมไม่มี คลาดเคลื่อน สุดท้ายศพประกบเข้าด้วยกันแล้วย้อนกลับไปต าแหน่ง
เดิมของใครของมัน กลายมาเป็ นเหล่าสาวใช ้ชุดเขียวที่กลับคืนมามี ชีวิตยืนอยู่ที่เดิม
เหตุเปลี่ยนแปลงที่เลือดสดนองพื้นครั้งนี้คล้ายกับงิ้วยอดแย่ที่ นักแสดงเป็ นเพียงมือสมัครเล่น หรือไม่ก็เหมือนการอ่านหนังสือสอง หน้า เปิดผ่านหน้าหนึ่งไปแล้วก็เปิดกลับมาที่หน้าเดิม ตัวอักษรจะ คลาดเคลื่อนได้หรือ? มีเพียงความรู ้สึกจากการอ่านตัวอักษรที่อยู่บน สองหน้ากระดาษเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในใจ สาหรับสาวใช ้ชุด เขียวกลุ่มนั้นแล้ว ความรู ้สึกเจ็บปวดตอนที่โดนฟันเอวขาด และยังมี ความหวาดผวาก่อนจะตายนั้น คล้ายกับยังวนเวียนอยู่ที่ห้องหัวใจ ของพวกนางไม่หายไปไหน
เสียงสตรีกรีดร ้องพลันดังขึ้นมา ที่แท้ข้อมือที่สวมกาไลสีเขียว มรกตของฉินเจิงก็ถูกปราณกระบี่กลุ่มหนึ่งตัดร่วงลงสู่พื้น
เฉินผิงอันมายังข้างกายของหม่าเหยียน ยื่นมือไปบีบคอของฝ่ าย หลังแล้วลากกระชากไปไว้ข้างกายฉินเจิงที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บน พื้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะยกร่างของหม่าเหยียนเหวี่ยงลงกับพื้น เฉินผิงอันยกเท้าข้างหนึ่งกระทืบเข้าที่หัวของหม่าเหยียน บีบให้อีก ฝ่ ายถลึงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยมองไปยังมือข้างที่ขาดนั้น เฉินผิงอันบิดขยี้ปลายรองเท้าเบาๆ ซีกหน้าด้านหนึ่งของหม่าเหยียน ก็เปรอะโชกไปด้วยเลือด กระดูกขาวโผล่ออกมาให้เห็น
เฉินผิงอันถามด้วยสีหน้าเฉยชา “เจ้ารู ้หรือไม่ว่าเงินแปดเฉียนใน ปีนั้นสามารถแลกเป็ นเงินได้กี่เหวิน ข้าสามารถเอาไปซื้อสมุนไพรที่
ร ้านยาตระกูลหยางได้กี่มากน้อย?! พวกเจ้ารู ้หรือไม่ว่าท าไมข้าถึง มักจะไปนั่งยองอยู่ข้างทางของตรอกซิ่งฮวาบ่อยๆ ทาไมถึงได้เฝ้ ามอง แผงขายถังหูลู่แผงนั้น?”
เสิ่นเค่อปรมาจารย์ผู้เฒ่าที่คิดว่าตัวเองหลุดพ้นอันตรายมาได้ แล้ว ขณะที่เขากาลังจะเดินออกไปจากเมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนก็ พลันหันขวับกลับไป
เห็นเพียงว่าบนถนนที่ผู้คนเบียดเสียดกันแออัดด้านหลังเส้นนั้น ทุกคนต่างก็พากันหันมายิ้มมองเขาพร ้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
นี่ทาให้เสิ่นเค่อที่พบเห็นโลกกว้างมาจนชินรู ้สึกเสียวสันหลังวาบ ในชั่วพริบตา แสงอาทิตย์สาดส่อง รู้สึกเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ
คนพันคนมีใบหน้าแบบเดียวกันหมด ชายหญิงแก่เด็ก สถานะ แตกต่างกัน เรือนร่างแตกต่าง แต่งกายไม่เหมือนกัน แต่กลับมี ใบหน้าแบบเดียวกัน
ผู้เฒ่าคนเชื่อดาบที่สถานะถูกปิดบังไว้เห็นแผงลอยแผงหนึ่งโผล่ จากความว่างเปล่ามาในตรอกซิ่งฮวา มีชายวัยกลางคนขายถังหูลู่
ชายวัยกลางคนมองสบตากับผู้เฒ่า ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ทุก ท่านสายตาไม่ดี ไม่รู้ว่าเหนือศีรษะขึ้นไปสามซื่อมีเทพคอยมองดูอยู่ ไม่รู้ฟ้ าครามสูงแผ่นดินเหลืองหนา เห็นเพียงจันทราเยือกเย็นตะวัน อบอุ่นที่มาเคี่ยวกราทรมานชีวิตคน
ในซากปรักจวนเซียนแห่งนั้น อวี๋ชิ่งที่จิตแห่งมรรคาสูญเสียการ ป้ องกันไปแล้วเดินออกมาจากริมล าคลองอย่างใจลอย เดินเลียบ เส้นทางภูเขาขึ้นไปสู่ที่สูง
บนขั้นบันไดมีนักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัวบนศีรษะคนหนึ่งนั่ง อยู่ ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังใช ้น้าเสียงที่ แตกต่างกันเอ่ยประโยคหนึ่งซ้าไปซ้ามา ในโลกที่เล็กยิ่งกว่าธุลี ข้ายัง ยินดีที่จะรักและเกลียดชัง
ขณะเดียวกันสองข้างทางของเส้นทางภูเขาก็มี “ผีผูกคอตาย” จานวนมากนับหมื่นตนลอยห้อยอยู่เต็มเส้นทาง ยาวไปถึงบนยอดเขา สภาพการตายเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ล้วนถูกกระบี่ยาวเล่มหนึ่งแทง ทะลุจุดไท่หยาง ร่างลอยอยู่กลางอากาศ
หญิงชราก าลังรับโทษทัณฑ์จากเปลวเพลิง
ผีบัณฑิตอยู่ในบ่อสายฟ้ า
ความเคียดแค้นที่สลักลึกลงถึงกระดูกทั้งหมดบนโลกล้วนเป็ น เหล้าเก่าไหหนึ่งที่รอคอยให้ผู้ที่แก้แค้นมาเปิดผนึกดิน แล้วดื่มให้สา แก่ใจ
เฉินผิงอันตัวจริง อันที่จริงอยู่ในศาลบรรพชนสกุลหม่ามาตั้งแต่ ต้น เขายกเก้าอี้ตัวหนึ่งมา นั่งหันหลังให้ประตูใหญ่ วางกระบี่พาด ขวางไว้บนหัวเข่า ในมือถือน้าเต้าเลี้ยงกระบี่จิบเหล้าค าเล็กๆ ค าแล้ว ค าเล่า
บทที่ 1089.1 การแก้แค้นคือการดื่มเพียงลาพัง
การแก้แค้นที่เต็มคราบสาแก่ใจก็คือการดื่มอย่างห้าวหาญไม่เมา ไม่กลับ
ดื่มอยู่กับตัวเอง ดื่มช ้าๆ มีความสุขเพียงลาพังก็พอแล้ว
มีคนสวมกวานสีทองบนศีรษะ สวมชุดคลุมอาคมผ้าโปร่งสีเขียว ที่มีไอสีม่วงลอยเวียนวน ในมือถือหลิงจือหยกขาวที่ส่องประกายแสง เรืองรอง สวมรองเท้าย่าเมฆสีขาว
อายุประมาณสามสิบปี รูปร่างไร ้ที่ติ เรือนกายไร ้มลทิน แต่ ใบหน้าไม่ถือว่าหล่อเหลาสักเท่าใด
ประหนึ่งคุณชายเจ๋อเชียนจากในนิยายเทพเซียนเรื่องเล่า ประหลาด บ้านอยู่ระหว่างภูเขาสายน้า ดอกไม้ต้นไผ่เรียงราย ทั้งยัง คล้ายนักพรตที่ปลีกวิเวกอยู่ในภูเขาที่เดินออกมาจากบทกวีโหยว เซียน สร ้างกระท่อมฝึกบาเพ็ญตน มีบ้างบางครั้งที่ออกมาเยือนโลก มนุษย์
เขาก้าวเดินด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย สองสามก้าวต่อหนึ่ง ทัศนียภาพ
รอบด้านมีสีสันและม้วนภาพที่แตกต่างกันปรากฏขึ้นมา มีทั้ง ศาลาหอเก๋งที่วาดด้วยลายเส้นขาวดา มีทั้งดอกไม้ที่สาดด้วยน้าหมึก แล้วก็มีเรือนพานักที่ภูเขาเขียวน้าใส
ก่อนหน้านี้ไม่นานตอนที่เพิ่งเลื่อนเป็ นขอบเขตเซียนเหริน เฉิน ผิงอันก็แค่ทาให้รูปโฉมของตัวเองอ่อนเยาว์ลงไปไม่กี่ปีเท่านั้น
บนถนนอูชาของอาเภอหย่งเจียที่ในสมัยของราชวงศ์ก่อนยังมี ตระกูลชนชั้นสูงตั้งกันเรียงราย โอรสสวรรค์หนึ่งสมัยก็มีขุนนางหนึ่ง สมัย นอกจากจวนเก่าของพวกอัครเสนาบดีแล้ว ยังมีเรือนใหญ่สอง หลังที่อยู่ติดกันซึ่งต่างก็ได้เปลี่ยนเจ้าของ คือจวนฉีอ๋องเก่าและ ตระกูลขุนนางผู้ตรวจการหลังหนึ่ง ล้วนถูกตระกูลหม่าเก็บรวบไว้ใน กระเป๋ านานแล้ว เนื่องจากสกุลหม่าได้ยึดมั่นในคาสั่งสอนโบราณที่ บอกว่า “แยกบ้านไม่แยกเตาไฟ แยกเตาไฟก็คือการรื้อบ้าน” มาโดย ตลอด หลังจากที่มาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ ระยะเวลาเกือบสามสิบปีก็ ไม่เคยแยกบ้านแล้วก็ไม่เคยแยกเตาท าอาหาร ไม่อนุญาตให้ ลูกหลานสายต่างๆ แยกครอบครัวแบ่งแยกทรัพย์สิน จวนสามหลังมี ประตูด้านข้างที่เปิดเชื่อมโยงได้ถึงกัน เป็ นเหตุให้พื้นที่เกือบครึ่งถนน ล้วนเป็ นของคนแซ่หม่า
ในลานบ้านหลังหนึ่ง เฉินผิงอันที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ยก เท้าขึ้น ในที่สุดพื้นรองเท้าก็หลุดพ้นมาจากใบหน้าของหม่าเหยียน เขาคล้ายจะรังเกียจว่าสกปรกจึงเอาพื้นรองเท้าไปถูกับอิฐเขียวที่ปูอยู่ บนพื้น ยิ้มเอ่ยว่า “หม่าเหยียนกับฉินเจิงสามารถไปพักรักษาอาการ
บาดเจ็บได้แล้ว ข้อมือขาด ยาทาหลายตารับที่เป็ นวิชาลับสืบทอดกัน มาของปรมาจารย์ผู้เฒ่าเสิ่นน่าจะไม่ได้ผลแล้ว ยาวิเศษล้าค่าหายาก ที่สกุลหม่าเก็บไว้ในชั้นอักษรเจี่ยของคลังสมบัติลับ บวกกับยาทา ของร ้านยาตระกูลหยาง บางทีอาจได้น ามาใช ้งาน จ าไว้ว่าใช ้ ประหยัดหน่อย ถึงอย่างไรยาทานั้นก็เป็ นของล้าค่าหายากที่ใช ้ไป หนึ่งขวดก็หมดไปหนึ่งขวด หากโชคดีก็สามารถให้เทพเซียนผู้เฒ่า ขอบเขตก่อกาเนิดอย่างผู้หลิ่วใช ้ศาสตร ์ไม้แห้งเหี่ยวกลับคืนสู่วสันต์ ของสานักการแพทย์ ต่อข้อมือที่ขาดกลับไปได้ หม่าเยว่เหมย เจ้า สามารถจากไปพร ้อมกับพ่อแม่ของเจ้าได้แล้ว แล้วก็ไปเรียกหม่าเช่อ หม่าชวนและหม่าปี้มาด้วย สามแลกสามพอดี”
หม่าเยว่เหมยทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบข้อมือขาดที่ยังมีกาไลมรกต สวมไว้มาด้วยมือที่สั่นเทา นางลุกขึ้นยืน จ้องมองคนชุดเขียวเขม็ง
หม่าเหยียนจับประคองฉินเจิงที่แทบจะหมดสติ เดินโซเซออกไป จากลานบ้าน เขาไม่ลืมเตือนให้หม่าเยว่เหมยว่าให้รีบๆ ตามมา ใช ้ สายตาบอกเป็ นนัยกับนางว่าอย่าท าอะไรโดยใช ้อารมณ์
เห็นว่าสตรีผู้นั้นไม่ขยับเท้า เฉินผิงอันก็ถามว่า “สายตาฆ่าคน ได้หรือ? ไม่อย่างนั้นเจ้าอยู่ต่อ ยืนถลึงตาให้กว้างอยู่ที่เดิม มองจ้อง ให้นานอีกสักหน่อย? ดูสิว่าจะสามารถฆ่าศัตรูคู่แค้นได้หรือไม่?”
ดวงตาเรียวยาวทอประกายน้าของหม่าเยว่เหมยสลักลึกไว้ด้วย ความเคียดแค้นเข้มขัน “เจ้าคนแซ่เฉิน หากวันนี้เจ้าไม่ฆ่าข้า ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้ข้าก็จะทาให้เจ้าและภูเขาลั่วพั่วของเจ้า…”
ไม่รอให้หม่าเยว่เหมยเอ่ยคาอาฆาตจบ เฉินผิงอันก็ยิ้มพลาง ประกบสองนิ้วกรีดไปที่สตรีเบาๆ แสงกระบี่เจิดจ้า คล้ายกับใช ้ เหล็กเส้นเส้นหนึ่งกรีดผ่าเต้าหู้
หม่าเยว่เหมยที่มีสีหน้าอึ้งตะลึงก้มหน้าลงอย่างเหม่อลอย แสง กระบี่เส้นนั้นผ่าร่างของหม่าเยว่เหมยในแนวเฉียง ล าไส้ทะลักร่วง กราวลงพื้น ถึงขั้นที่ว่ายังมีไอร ้อนสีขาวจางๆ ลอยอวลขึ้นมาด้วย
พวกสาวใช ้ชุดเขียวที่ก่อนหน้านี้ตายกันไปแล้วรอบหนึ่ง จนถึง ตอนนี้ที่พวกนางได้กลายเป็ นผู้ชม ได้เห็นภาพที่น่าหวาดกลัวน่า สะอิดสะเอียนนี้กับตาตัวเอง คนส่วนใหญ่ก็เริ่มก้มตัวลงไปอาเจียนกัน แล้ว
เฉินผิงอันนั่งลงบนขั้นบันได หยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากชาย แขนเสื้อ ก้มหน้าเปิดหนังสือไปหน้าหนึ่ง แล้วค่อยเงยหน้ามองไปยัง ภาพน่าสังเวชที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “การแก้แค้นไม่ใช่ อาหารไอร ้อนลอยกรุ่นที่พอเอามาวางลงบนโต๊ะอย่างรีบร ้อนแล้วต้อง รีบกิน หากไม่รีบกินก็จะเย็นชืดอย่างรวดเร็วเสียหน่อย”
เวิ้งว้างลึกล้า ล่องลอยเกินจะหยั่งถึง หม่าเยว่เหมยกวาดตามอง ไปรอบด้าน ไม่รู ้ว่าเหตุใดนางถึงได้เข้ามาอยู่ในศาลบรรพชนสกุล หม่า นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
ได้ยินเสียงนั้น หม่าเยว่เหมยก็หันไปมองที่หน้าประตูใหญ่ ตรง นั้นมีเก้าอี้เพิ่มมาตัวหนึ่ง คนชุดเขียวที่วางกระบี่พาดขวางไว้บนหัว เข่า ปักปิ่นหยกบนมวยผมกาลังนั่งดื่มเหล้า
“เฉินผิงอัน ผู้นั้นเหมือนเป็ นคนละคนกับเซียนกระบี่เฉินในลาน บ้านที่ขณะแย้มยิ้มพูดคุยก็ฆ่าคนได้หน้าตาเฉย
เฉินผิงอันที่อยู่ในสายตาของหม่าเยว่เหมยเวลานี้เหมือนเทวรู ปองค์หนึ่งมากกว่าสีหน้าของเขาไร ้อารมณ์ สายตาเย็นชา นั่งนิ่งดุจ ศพ
ขณะเดียวกันบนโต๊ะบูชาด้านล่างภาพแขวนและป้ ายวิญญาณ ของบรรพบุรุษสกุลหม่าแต่ละรุ่นก็มีกระถางธูปเก่าแก่ใบหนึ่งเพิ่ม ขึ้นมา “ธูปทุกก้าน ล้วนมีชื่อของลูกหลานสกุลหม่าสลักอยู่
หม่าเยว่เหมยยังค้นพบด้วยความตื่นตะลึงว่าข้างศพของตัวเองที่ ถูกฟันแยกร่างมีผีหม่าเยว่เหมยที่ร่างเป็ นมายาเลื่อนลอยกาลังปิด หน้าหลั่งน้าตา ร่าไห้อยู่กับตัวเองเงียบๆ
ในลานบ้าน เฉินผิงอันหันไปมองทางหน้าประตูเรือน เอ่ยเตือนว่า “หม่าเหยียน ฉินเจิงข้าจะให้พวกเจ้าได้เปรียบไปก็แล้วกัน สองแลก สาม ภายในเวลาหนึ่งเค่อ หากเจ้าสองคนนั้นยังไม่รีบมาพบข้าที่นี่ก็ จะคิดบัญชีนี้ลงบนหัวของพวกเจ้า ช่วยไม่ได้ ในเมื่อพวกเจ้าเป็ น ประมุขของบ้านก็ได้แต่ปฏิบัติต่อพวกเจ้าดีกว่าคนอื่นหน่อยแล้ว”
สองสามีภรรยาก้าวเดินด้วยฝี เท้ารีบร ้อน ไม่กล้าหยุดอยู่ต่อ แม้แต่เค่อเดียว ส่วนจุดจบที่แท้จริงของหม่าเยว่เหมยจะเป็ นหรือตาย หรือจะเป็ นอย่างสาวใช ้ชุดเขียวที่ตายแล้วฟื้นกลับคืนมาได้อีก ตอนนี้ พวกเขาไม่มีเวลามาสนใจแล้ว แต่ละคนได้แต่ข่มกลั้นความเคียด แค้นที่ท่วมทะยานฟ้ าเอาไว้ จาต้องวางแผนกันใหม่ เพราะถึงอย่างไร ควันธูปของสายสกุลหม่าตรอกซิ่งฮวาก็อยู่บนร่างของพวกเขาสอง สามีภรรยา ยิ่งอยู่บนร่างของลูกชายคนโตอย่างหม่าขู่เสวียน นอกจากนี้แล้ว อย่างลูกสาวคนเล็กหม่าเยว่เหมย หรือลูกชายคนรอง หม่าเหยียนชาน….ก็มีแค่นั้นเอง
เฉินผิงอันยื่นมือออกมากวักหนึ่งที คว้าจับเอาเข็มต้นสนหนึ่งกา มือมาจากต้นสนโบราณต้นหนึ่งในลานบ้านที่ใบหนาเขียวครึ้ม กาไว้ ในฝ่ ามือเบาๆ แล้วจึงมองไปยังสาวใช ้ชุดเขียวสองคนที่ชิงลงมือเล่น งานตนก่อนใคร “หากจาไม่ผิด พวกเจ้าชื่อชุนเวินกับชิวจวินสินะ? ในบรรดาข้ารับใช ้ถือกระบี่สิบหกคน ตอนนี้มีแค่พวกเจ้าที่เป็ นผู้ฝึก ยุทธขอบเขตสี่ ถือว่าไม่ง่ายเลย ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใดในแจกันสมบัติ ทวีป ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ที่อายุน้อยขนาดนี้ก็ถือว่ามีคุณสมบัติใน การฝึ กวรยุทธเป็ นอันดับหนึ่งได้แล้ว เป็ นสตรีอย่างฉินเจิงที่ปิดบัง หม่าเยว่เหมยเจ้านายในนามของพวกเจ้า สั่งการพวกเจ้าอย่างลับๆ สอนพวกเจ้าด้วยตัวนางเองว่าควรจะเป็ นนักรบพลีชีพอย่างไร เพื่อที่จะได้เป็ นคนช่วยยืนยันว่าวันนี้ข้าฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างพร่าเพื่อ อยู่ที่นี่? ข้าก็แค่ใคร่รู ้ว่าค่าตอบแทนที่พวกเจ้าควรได้รับคืออะไร? ไม่
มีหรือ? แค่รู ้สึกว่าสกุลหม่ารับเลี้ยงเด็กกาพร ้าอย่างพวกเจ้าก็จาเป็ น จะต้องเป็ นบ่าวผู้ซื่อสัตย์ นายได้รับความอัปยศบ่าวก็สมควรตาย แค่ นี้เท่านั้นจริงๆ?” เด็กสาวอายุน้อยสองคนสวมชุดสีเขียวผ้าแพรต่วนเหมือนกัน อย่างไม่มีผิดเพี้ยนเพียงแต่ว่ามีความแตกต่างกันในด้านของ รายละเอียด สาวใช ้คนที่ชื่อว่าชุนเวินเรือนกายบอบบาง สวมกวาน ปีกขาวซึ่งว่ากันว่าเป็ นการแต่งกายของในวังหลวงแคว้นอวี้เซวียน ข้ารับใช ้ถือกระบี่ชุดเขียวอีกคนที่ชื่อว่าชิวจวิน เรือนกายของนาง ค่อนข้างจะอวบอิ่ม เวลานี้นางก้มหน้า ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะสบตา กับเซียนกระบี่เฉินอีกแล้ว เด็กสาวสวมกวานปีกขาวกลับเช่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “บ่าวก็ แค่เจ็บใจที่ขอบเขตของตัวเองต่าต้อย ไม่อาจทาร ้ายเซียนกระบี่เฉิน ได้สักกะฝึก คิดอยากจะเป็ นปลาตายตาข่ายขาดก็ยังท าไม่ได้”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “คาพูดนี้พูดได้ไม่ถูกต้องสักเท่าไร ปลาตาย ตาข่ายขาด อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ทาได้ครึ่งหนึ่ง”
ระหว่างที่พูดก็ดีดนิ้วหนึ่งที เข็มต้นสนสีเขียวมรกตชิ้นหนึ่งพุ่งไป รวดเร็วราวกับกระบี่บิน แทงทะลุหว่างคิ้วของสาวใช ้ที่สวมกวานปีก ขาว เรือนกายของนางพลันอ่อนยวบทรุดลงกับพื้น บนหน้าผากมี หยดเลือดสีสดผุดออกมาหนึ่งหยด
เฉินผิงอันอ่านสมุดบัญชีในมือที่บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับ ลูกหลานสกุลหม่าสองคนเอาไว้แล้วหัวเราะ หันหน้าไปมองชิวจวิน เอ่ยว่า “ข้ากังวลว่าหม่าเหยียนกับฉินเจิงจะขี้หลงขี้ลืม เจ้าสนิทกับ หม่าชวนมาโดยตลอด ต้องไม่ยินดีจะปล่อยให้ชายที่รักต้องตายอย่าง ไม่รู ้ต้นสายปลายเหตุอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนแม่นางชิวจวิ นวิ่งไปสักรอบ ช่วยช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งให้กับคุณชาย หม่าผู้นั้น แต่จาไว้ว่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องวงในของที่นี่ออกไป เด็ดขาด แม้แต่คาเดียวก็พูดออกไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็อย่าโทษหาก ข้าจะส่งพวกเจ้าให้ไปเป็ นคู่ยวนยางที่ตายอนาถ”
ชิวจวินปลุกความกล้าออกไปจากสถานที่อ่านหนังสือรับรอง แขกของเจ้าประมุขสกุลหม่า เซียนกระบี่เฉินที่นิสัยยากจะคาดเดา ลงมืออย่างอามหิตโหดเหี้ยมผู้นั้นไม่ได้ทาให้นางลาบากอย่างที่คิดไว้ จริงๆ
ขณะเดียวกันข้ารับใช ้ถือกระบี่ที่สวมกวานปีกขาวก็กลับคืนสู่ รูปร่างเดิมอีกครั้ง นางยื่นนิ้วออกไปนวดคลึงหว่างคิ้วที่เดิมทีควรถูก เข็มสนชิ้นหนึ่งแทงทะลุด้วยสีหน้าเลื่อนลอย
ในเวลาที่สั้นเพียงเท่านี้กลับตายไปแล้วถึงสองครั้ง ทาให้ปราณ สังหารของนางลดฮวบลงทันใด ก าลังใจถดถอย เพียงแต่นางก็ยังฝืน ดึงลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งขึ้นมาจงใจให้ตัวเองดูเปี่ยมไป ด้วยปราณสังหาร เอ่ยเสียงหนักจริงจังว่า “เซียนกระบี่เฉินมี ความสามารถแค่นี้เองหรือ? จะฆ่าจะแกงก็หนีไม่พ้นหัวหล่นลงพื้น
อย่าว่าแต่กระบี่บินสังหารคนซ้าไปซ้ามาเลย ต่อให้เป็ นภูเขามีดทะเล เพลิง หม้อน้ามันร ้อนเดือดพล่าน เชิญเซียนกระบี่เฉินร่ายออกมาได้ ตามสบาย หากข้าขอร ้องท่านแม้แต่ครึ่งคาก็ถือว่าข้าไม่มีศักดิ์ศรี…”
เฉินผิงอันปิดสมุดบัญชี ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แพ้ที่ฝีมือไม่แพ้ที่มาด จิตใจของเจ้าไม่เลวทั้งอายุยังน้อย เพียงแต่ว่าขอบเขตวิถีวรยุทธยัง ไม่เพียงพอ ทุกวันนี้เป็ นได้แค่ลูกสมุนของหม่าเยว่เหมย รอวันใดเจ้า มีความสามารถได้สักเจ็ดแปดส่วนของปรมาจารย์ผู้เฒ่าเสิ่นคาดว่า วันหน้าก็จะกลายเป็ นสมุนมือดีของคนชั่วแห่งสกุลหม่าอาเภอ หย่งเจียได้แล้ว คอยทาเรื่องผิดศีลธรรมที่มิอาจบอกกล่าวแก่ใคร โดยเฉพาะ ไม่ก็กาจัดฝ่ ายตรงข้ามอย่างลับๆ ตอนค่าคืน หรือไม่ก็ คอยควบคุมเซียนซือผู้ถวายงานในตระกูล”
สาวใช ้สวมกวานปี กขาวตีหน้าเคร่งพูดจาเสียดสี “ต่อให้ข้า กลายไปเป็ นผีร ้าย ต่อให้ต้องคลานก็ต้องคลานไปให้ถึงบ้านเกิดของ เซียนกระบี่เฉิน ไปแก้แค้นที่ภูเขาลั่วพั่วให้จงได้!”
เฉินผิงอันหรี่ตายิ้มบางๆ พยักหน้าเอ่ย “ได้เลย คนเรามีชีวิตอยู่ บนโลกต้องท าให้ได้สมใจปรารถนา เดิมทีมีบุญคุณก็ต้องตอบแทน มีความแค้นก็ควรต้องช าระ คนที่ผูกปมแค้นกับคนที่แก้แค้น ทั้งสอง ฝ่ ายต่างก็ต้องอาศัยความสามารถของตัวเอง ข้าเป็ นแค่ผู้อาวุโสคน หนึ่งที่ท่องผ่านเส้นทางในยุทธภพมาไม่น้อย จะบอกหลักการเหตุผล ในยุทธภพให้เจ้าฟังโดยไม่ต้องเสียเงิน ในสถานการณ์ที่ควบคุม
ไม่ได้ คนอายุน้อยอย่าได้พูดจาดุดัน สายตาฉายประกายอ ามหิตให้ มากเกินไป ไม่เป็ นไร ชาติหน้าก็ระวังให้มากหน่อยแล้วกัน”
พริบตานั้นก็มีเข็มต้นสนอีกชิ้นหนึ่งแทงทะลุหว่างคิ้วของนาง เรี่ยวแรงที่แทงทะลุไปนั้นมหาศาลพาร่างของสาวใช ้ชุดเขียวกระแทก เข้ากับกาแพง ก่อนที่ร่างจะทรุดร่วงลงมานั่งแล้วตายไป
สาวใช ้ชุดเขียวเงยหน้าขึ้น ฟ้ าดินมืดสลัว ลมเยือกเย็นพัดโชย มาเป็ นระลอก หนาวเสียดแทงถึงขั้วกระดูก นางกวาดตามองไปรอบ ด้านอย่างเหม่อลอย เป็ นทัศนียภาพที่ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด เปลี่ยว วิเวก ไร ้ซึ่งพลังชีวิต
ครั้งนี้ตนตายจริงๆ แล้วหรือ? มาอยู่บนเส้นทางสู่น้าพุเหลืองแล้ว หรือ? ต่อจากนี้ก็จะมีด่านประตูผี สะพานยายเมิ่งอย่างที่กล่าวถึงใน ต าราสินะ?
นางยืนอยู่ใจกลางของถนนดินโคลนที่ฝนใหญ่เพิ่งผ่านพ้นไป และเวลานี้เอง นางหันหน้าไปมองก็เห็นหญิงชราลักษณะยากจนขี่ม้า มา อานม้าประดับประดางดงามหรูหรามากเป็ นพิเศษ ทว่าเสื้อผ้าของ หญิงชรากลับขาดวิ่น เต็มไปด้วยรอยปะชุน เพียงแต่ว่าม้าสูงใหญ่ตัว นี้กลับเห็นได้ชัดว่าต้องเป็ นม้าที่ถูกเลี้ยงอย่างดีอยู่ในตระกูลชนชั้นสูง ตระกูลคนปกติทั่วไปไม่มีทางได้ครอบครองของที่ทองพันชั่งก็หาซื้อ ไม่ได้เช่นนี้แน่นอน
เห็นสาวใช ้ชุดเขียวที่อยู่บนเส้นทาง หญิงชราก็รีบกระชากรั้ง บังเหียน หยุดม้าอยู่ด้านข้าง หญิงชราโน้มตัวลงมาเล็กน้อย ถาม เสียงแผ่วต่าด้วยสีหน้ามีเมตตาปราณีว่า “แม่นางต้องการจะไปที่ใด หรือ?”
สาวใช ้ชุดเขียวที่ได้รับการประทานแซ่ให้ใช้แซ่หม่า นามว่าชุน เงินถามเสียงสั่น “ท่านยาย ไม่ทราบว่าที่แห่งนี้ใช่เส้นทางสู่ปรโลก หรือไม่?”
หญิงชราได้ยินแล้วคิ้วตาก็ยิ่งอ่อนโยนลง ยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางจะ กลับบ้านเดิมไปเยี่ยมญาติหรือ พลัดหลงกับญาติหรืออย่างไร? คง ไม่ใช่ว่าถูกฝนใหญ่ชัดจนเปี ยกปอนก็เลยมึนงงถึงได้เอ่ยค าพูด เหลวไหลไร ้สาระเช่นนี้ออกมาได้ แม่นาง ฝนใหญ่เพิ่งจะหยุดตก บน ถนนมีแต่ดินโคลนเฉอะแฉะเดินลาบาก ป่าแห่งนี้นับแต่โบราณมาก็มี เสืออยู่มากมาย แม่นางไม่ควรเดินทางเพียงล าพัง ไม่สู้ติดตามข้าไป พักในกระท่อมมอชอ รอให้ตะวันขึ้นค่อยออกเดินทางตอนเช ้า น่าจะ ง่ายมากกว่า”
“แสร ้งท าเป็ นเล่นผีหลอกเจ้า! ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้าเป็ นผี หรือเป็ นเจ้า ถึงได้บังอาจมาสร ้างเรื่องลึกลับอยู่ที่นี่!”
สาวใช ้ชุดเขียวกระตุกมุมปาก ดีดปลายเท้าหนึ่งที เตะก้อนหิน บนทางขึ้นมา ก้อนหินก้อนนั้นแหวกอากาศเกิดเสียงลมดังอื้ออึง พุ่ง ไปยังหัวใจของหญิงชราที่นั่งอยู่บนหลังม้าสูงอย่างรวดเร็ว หญิงชรา ร ้องด้วยความเจ็บปวด พลัดตกลงมาจากหลังม้า ร่างกระแทกลงบน
ทางดินโคลน แล้วก็หมดลมหายใจไปทั้งอย่างนั้น สาวใช ้ชุดเขียวก้ม หน้าเพ่งตามองไป นางลังเลอยู่พักหนึ่งถึงได้ขยับเท้าเดินเข้าไปหาอีก ฝ่ายช ้าๆ พลิกหมุนข้อมือ กริชก็ไถลออกมาจากชายแขนเสื้อ นางกา ไว้ในมือ หญิงชราที่อ่อนแอเปราะบาง แค่โดนโจมตีทีเดียวก็ตายพลัน ลืมตาขึ้น ตรงหัวใจมีเลือดสดไหลทะลัก แต่นางกลับลุกขึ้นยืนช ้าๆ เช็ดชุดกระโปรงที่เปรอะเปื้อน แต่ยิ่งเช็ดก็ยิ่งสกปรก นางถอนหายใจ หนึ่งที ได้แต่เลิกเช็ด เปิดปากพูดด้วยน้าเสียงแหบพร่าว่า “แม่นาง น้อย ข้าเตือนเจ้าด้วยความหวังดี ไฉนต้องคิดฆ่าแกงกัน ไม่กลัวว่าจะ พลาดฆ่าคนบริสุทธิ์บ้างหรือ? ต่อให้สงสัยว่าข้าเป็ นผีเป็ นเทพ ตาม หลักแล้วก็แค่จะควรเคารพอยู่ไกลๆ ไม่ใช่หรือ”