กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1089.2 การแก้แค้นคือการดื่มเพียงลาพัง
หญิงชราก้มหน้าลงมองบาดแผลด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่เห็น เป็ นส าคัญแม้แต่น้อยเอาแต่พร่าพูดหลักการเหตุผลของตัวเองต่อไป “แม่นางน้อยฟังค าแนะน าสักค า จิตใจจึงจะเป็ นนาบุญ คนคนหนึ่ง หากจิตใจเลวทราม พืชหญ้ารกชัฏก็จะก่อเกิด ทาให้ผลเก็บเกี่ยว ตลอดทั้งปีเสียหาย หากปีหนึ่งไม่มีผลเก็บเกี่ยวก็ต้องติดหนี้คนอื่น ติดหนี้ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยหนี้ทบหนี้เช่นนี้ก็คือความลาบากบนความ ลาบาก เกิดเป็ นวงจรไม่จบสิ้น เมื่อไหร่จึงจะถึงจุดสิ้นสุดเล่า”
สาวใช ้ชุดเขียวไม่ชอบฟังหลักการเหตุผลพร่าเพื่อที่ชวนให้คน ราคาญพวกนี้ นางยกเท้าถีบออกไป เตะหัวของหญิงชราจนร่างของ ฝ่ายหลังกระเด็นไปไกล
ศีรษะของหญิงชราจมอยู่ในโคลนกลิ้งหลุนๆ ไปหลายตลบ พูด ประโยคหนึ่งซ้าๆ ว่า “ผิดอีกแล้ว”
นาทีถัดมาสาวใช ้ชุดเขียวก็สังเกตเห็นว่าตัวเองกลับมายืนกลาง ทางใหม่อีกครั้ง ห่างไปไกลมีม้าตัวหนึ่งเดินมาช ้าๆ หญิงชราหยุดม้า ลงอีกครั้ง ถามเสียงแผ่วด้วยสีหน้ามีเมตตา “แม่นางจะไปที่ไหน หรือ?”
ไม่รอให้สาวใช้ชุดเขียวตอบ หญิงชราก็บังคับม้าให้ยกเท้าหน้า ขึ้นสูง พริบตานั้นหัวใจของฝ่ ายหลังก็ถูกเหยียบเป็ นรู เจ็บจนสาวใช้
ล้มทรุดไปกองกับพื้น หญิงชรายังคงมีสีหน้าเมตตาดังเดิม ครั้นจึง พลิกตัวลงจากหลังม้าช ้าๆ โบกแส้ตีม้าที่อยู่ในมือ เสียงเพี้ยะดัง เหมือนเสียงฟ้ าผ่า ฟาดแรงๆ ลงบนหัวของสาวใช ้จนหัวอีกฝ่ ายหลุด กระเด็นลอยขึ้นสูง ก่อนจะกระแทกลงพื้นหนักๆ เมื่อหัวกลิ้งหลุนๆ การมองเห็นของสาวใช ้ชุดเขียวก็เปลี่ยนไปไม่หยุดนิ่ง บ้างก็เห็นเป็ น
ฟ้ าคราม บ้างก็เห็นเป็ นดินโคลน
หญิงชราเอ่ยด้วยน้าเสียงอ่อนโยน ตักเตือนเสียงอ่อนราวกับเป็ น ผู้ใหญ่ในครอบครัว “แม่นาง ยังจะท าผิดอีกไหม?”
นาทีถัดมา สาวใช ้ชุดเขียวก็มายืนอยู่กลางถนนอีกครั้ง กีบเท้า ม้าดังกุบกับขยับจากไกลมาใกล้ หญิงชราขี่ม้ามาถึงอีกครั้ง แล้วจึง หยุดม้าในฉับพลัน คลี่ยิ้มเปิดปากถาม
หม่าชวนกับหม่าปี้คือพี่น้องพ่อเดียวกันแต่ต่างมารดา อายุห่าง กันหนึ่งปี อายุยี่สิบต้นๆ ด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งตัวผอมสูง อีกคนหนึ่ง ใบหน้าดามีเคราสั้นๆ ทั้งหน้าต่างและรูปร่างล้วนแตกต่าง พี่น้องสอง คนต่างก็เป็ นคนที่โดดเด่นในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของสกุลหม่าต่างก็มี คุณความชอบติดตัว ไม่เหมือนกับทั่นฮวาหลางที่ให้น้องสาวไปสอบ แทนอย่างหม่าเหยียนซาน หม่าชวนคือนักศึกษาหลวงที่ได้ ตาแหน่งจวี่เหรินอย่างแท้จริง คือเมล็ดพันธ ์บัณฑิตอันดับหนึ่งที่เป็ น รองแค่เด็กอัจฉริยะหม่าเช่อของตระกูลเท่านั้น ส่วนหม่าปี่ ผู้เป็ น น้องชาย ก็แค่ด้อยกว่าเท่านั้น หากไม่มีการเปรียบเทียบแล้วเอาเขา
ไปไว้ในตระกูลชนชั้นสูงแห่งอื่นของแคว้นอวี้เซวียนก็ถือว่าหล่อเหลา มากความสามารถแล้ว
สาวใช ้ชิวจวินที่ก่อนหน้านี้หน้าตาไม่น่ามองอย่างถึงที่สุดหา พวกเขาพบแล้ว นางก็ไม่ได้บอกเล่ารายละเอียด พูดแค่ว่าเจ้าประมุข มีคาสั่งให้พวกเขารีบมาที่นี่ทันที
หม่าชวนอยากจะถามข้อมูลวงในจากนาง ชิวจวินกลับแตกต่าง ไปจากยามปกติที่อ่อนโยนอ่อนหวาน นางเพียงแค่กัดริมฝีปากไม่พูด อะไรสักคา ตลอดทางที่เดินกันมา หม่าชวนจงใจชะลอฝีเท้าเดินอยู่ ด้านหลังน้องชาย แล้วจึงยื่นมือไปกุมมือของนางเอาไว้ แต่กลับถูก ชิวจวินสะบัดออกเบาๆ นี่ทาให้หม่าชวนตกตะลึงอยู่บ้าง ปกติเวลานัด พบกันเป็ นการส่วนตัว เนื่องจากเสิ่นเค่อที่สอนวิชาหมัดให้พวกนาง ตาแหลม เป็ นคนเก่าแก่ในยุทธภพแล้ว แค่ดูจากท่าทางการเดินของ สตรีก็มองออกแล้วว่าสตรียังมีพรหมจรรย์อยู่หรือไม่ อีกทั้งชิวจวินยัง เป็ นหนึ่งในสาวใช ้คนสนิทที่หม่าเยว่เหมยให้ความสาคัญ ต่อให้หม่า ชวนจะขวัญกล้าเทียมฟ้ าแค่ไหนก็ไม่กล้าท าลายอนาคตบนเส้นทาง วรยุทธของนาง
ผลคือรอกระทั่งพวกเขาสามคนเข้าไปในลานบ้านกลับไม่ได้เห็น ผู้อาวุโสสกุลหม่าสักคน แล้วก็ไม่ได้เห็นเค่อชิงผู้ถวายงานที่คุ้นหน้า คุ้นตาคนใดด้วย
เห็นเพียงข้ารับใช ้ถือกระบี่ชุดเขียวที่มีสีหน้าประหลาดกลุ่มนั้น ก าลังเหม่อมองมายังพวกเขาที่เพิ่งมาถึงทีหลัง
บ้านหลักของตระกูลหม่าเจอกับคลื่นมรสุมพลิกฟ้ าพลิกแผ่นดิน หม่าเหยียนผู้เป็ นประมุขตระกูลโดนถีบไปหนึ่งที ฉินเจิงประมุขหญิงก็ มือขาดไปข้างหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ได้ลามไปยังเรือนของสายรอง สองสายที่จวนอยู่ติดกัน
หม่าชวนกับหม่าปี้เห็นเพียงจุดเดียวที่แตกต่างไปจากปกติ มี บุรุษสะพายกระบี่ชุดเขียวคนหนึ่งนั่งอยู่บนขั้นบันได ในมือของคนผู้นี้ มีสมุดที่ไม่บางเล่มหนึ่ง
แขกผู้มีเกียรติหรือ?
คือลูกหลานตระกูลชั้นสูงของแคว้นอวี้เซวียนคนใดที่สร ้าง ชื่อเสียงอยู่ในราชสานัก เจ้าประมุขจึงอยากจะให้พวกเขาพี่น้องมา ที่นี่เพื่อประลองวิชาความรู ้กับคนผู้นี้?
หม่าชวนประสานมือคารวะ “ไม่ทราบว่าพี่ชายคือใครหรือ?”
เฉินผิงอันโบกสมุดที่อยู่ในมือ “ไม่ต้องมากพิธี คนบ้านเดียวกัน เจอคนบ้านเดียวกันอีกเดี๋ยวพวกเราค่อยมาคุยกันอย่างละเอียด รอ เด็กอัจฉริยะหม่าว่าที่จ้วงหยวนคนถัดไปที่ราชส านักเลือกกันเป็ นการ ภายในอย่างหม่าเช่อเสียก่อน”
หม่าชวนยังคงคลี่ยิ้มได้เหมือนปกติ
หม่าปี้กลับมีสีหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ไอ้หมอนี่วางมาดเก่ง จริงๆ คนอุตส่าห์ให้หน้าแต่ไม่ยอมไว้หน้าคนอื่น กล้าวางมาดมาถึง
สกุลหม่าของพวกเรา ในเมืองหลวงแห่งนี้ต่อให้เป็ นพวกเชื้อพระวงศ์ หรือลูกหลานขุนนางใหญ่ แล้วจะอย่างไร
ได้ยินมาว่าเมื่อหลายปีก่อนฮ่องเต้และฮองเฮาที่ได้รับการคุ้มกัน จากราชครูได้ปลอมตัวออกจากเมืองหลวง มาพักที่จวนหม่า กิน อาหารของห้องอาหารส่วนตัวตระกูลหม่าไปมื้อหนึ่ง ฮองเฮายังชมไม่ ขาดปาก นางยังขอให้ฮ่องเต้ประทานของตกแต่งในห้องหนังสือดีๆ หลายชิ้นให้กับสกุลหม่าด้วย และนี่ก็เป็ นเรื่องจริง เพราะข้าวของพวก นั้น ทุกวันนี้ต่างก็วางไว้อยู่ด้านข้างแท่นบูชาเทพเจ้าในศาลบรรพชน ของตระกูล
เพียงแต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นท่านประมุขให้แค่ลูกหลานทายาท สายตรงและหม่าเช่อออกมารับเสด็จเท่านั้น คนอื่นๆ ไม่อาจได้เห็น พระพักตร ์ของโอรสสวรรค์กับตาตัวเองได้
หม่าชวนใช ้วิธีการรวมเสียงให้เป็ นเส้นเอ่ยว่า “หม่าปี้ คนผู้นี้ น่าจะเป็ นทายาทของเซียนบนภูเขา เพราะเท่าที่จาได้ ดูเหมือนจะไม่ มีคนแบบนี้อยู่ในกลุ่มลูกหลานชนชั้นสูงของเมืองหลวง”
หม่าปี้พยักหน้า สามารถเดินข้ามธรณีประตูของตระกูลหม่ามา ได้ หากไม่รวยก็ต้องสูงศักดิ์ ในเมื่อบุรุษที่อยู่ตรงหน้าสะพายกระบี่มา เยือนก็ต้องมีที่พึ่งอย่างแน่นอน เขาเองก็เป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ที่ เรียนวรยุทธประสบความส าเร็จเช่นกัน คนจนเรียนปุ่นคนรวยเรียนบู๊ สองพี่น้องมีเส้นเอ็นและกระดูกที่ดีเพราะได้แช่ยาสมุนไพรกันมา ตั้งแต่เด็ก หม่าปี่ใช ้การรวมเสียงให้เป็ นเส้นพูดกับพี่ชายอย่างลับๆ ว่า
“ดูจากภาพบรรยากาศรอบกายแล้วก็ไม่ธรรมดาเลย ลมหายใจทอด ยาว แค่มองก็รู ้ว่าเป็ นคนฝึ กวรยุทธ ไม่เหมือนผู้ฝึ กบ าเพ็ญตนบน ภูเขา จะเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดในยุทธภพของอาจารย์เสิ่นหรือไม่?”
หม่าชวนมองประเมินมือกระบี่ชุดเขียวอยู่อีกหลายที ก่อนจะเอ่ย อย่างไม่กระโตกกระตากว่า “มีความเป็ นไปได้”
ในและนอกเมืองหลวง ทั่วทั้งราชสานัก ความสนใจทั้งหมดล้วน ถูกหม่าเช่อดึงดูดเอาไป แต่ในศาลบรรพชนสกุลหม่า พวกเขาสองพี่ น้องกลับได้รับการยอมรับว่าเก่งกาจทั้งบุ๋น และบู๊ หากใช้ค ากล่าว ของท่านปู่ทวดบางคนก็คือวันหน้าสกุลหม่าของพวกเรา หม่าเหยียน ซานของบ้านหลักที่ติดเหล้าเป็ นชีวิต ไม่ทาอะไรเป็ นการเป็ นงานคง พึ่งพาไม่ได้อย่างแน่นอนต้องพึ่งพาพวกเขาสองพี่น้องให้มาแบกเสา คานใหญ่ เพียงแต่ว่าพวกเขาสองคนเก็บง าฝีมือกันมาโดยตลอด พอ ออกไปจากถนนอูชาสายนี้จึงดูไม่โดดเด่นก็เท่านั้น
เด็กหนุ่มที่มาถึงเรือนหลังนี้เป็ นคนสุดท้ายกลับมีรูปโฉมและ บุคลิกที่แตกต่างจากสองพี่น้องหม่าชวนอย่างสิ้นเชิง ใบหน้างดงาม ราวกับหยก สูงโปร่งดั่งต้นไม้หยกรับลม เด็กหนุ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่แสดงความทุกข์ความดีใจออก ทางสีหน้าจึงจะเป็ นยอดฝี มือ ไม่เสียแรงที่เป็ นจุดศูนย์รวมของ โชคชะตาปุ่นแห่งตระกูลสกุลหม่าอาเภอหย่งเจีย ทั้งยังเป็ นคนในม่าน โปร่งสีเขียวที่ฟ้ าลิขิตชะตาเอาไว้ให้แล้ว มีอนาคตยาวไกลนัก”
เพียงแต่เด็กหนุ่มไม่รู ้ถึงหลักการที่ว่าเลือดลมร ้อนพลุ่งพล่าน เหนืออักษรค าว่าตัณหามีมีดแขวนอยู่
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ใช ้สมุดเล่มนั้นปัดชุดกว้าตัวยาวง่ายๆ เดิน ลงบันไดมา ก้าวแค่ก้าวเดียวก็มาอยู่ตรงกลางระหว่างหม่าชวนกับ หม่าปี้ ชุดกว้าตัวยาวสีเขียวมายืนอยู่ด้านหลังพวกเขาสองพี่น้องแล้ว ยื่นมือมาจับเหนือหัวของพวกเขา บิดเบาๆ หนึ่งที หัวสองหัวส่งเสียง ลั่นกร๊อบแทบจะเวลาเดียวกัน ถูกบิดจากด้านหน้าหันไปทางด้านหลัง พี่น้องสองคนที่ตายไปในเสี้ยววินาทีเบิกตากว้าง ถลึงตามองไปยัง เด็กหนุ่มหล่อเหลาที่อยู่หน้าประตูเรือนอย่างหม่าเช่อ
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เดิมทีมีท่าทางสุขุมเยือกเย็นทา กางเกงเปี ยกทันที แล้วก็เริ่มมีกลิ่นฉี่ลอยอบอวลมาจากทางหน้า ประตู
หม่าเช่อเห็นเพียงว่ามือกระบี่ชุดเขียวที่หันหน้ามายิ้มให้ตน ปล่อยนิ้วออก คนตายสองคนที่คอหักไปแล้วก็คออ่อนยวบร่วงพับลง มา
บุรุษชุดเขียวกลับคลี่ยิ้มบางๆ บนใบหน้า บิดหัวทั้งสองกลับไป ใหม่อีกครั้ง ให้ท้ายทอยของสองพี่น้องหันไปหาหม่าเช่อที่ยืนปากอ้า ตาค้างอยู่หน้าประตูเรือน “เจ้าก็คือหม่าเช่อใช่ไหม ขวัญกล้ายิ่งนัก คิดไว้แล้วหรือยังว่าวันหน้าจะเป็ นขุนนางอะไรอยู่ในราชส านัก แคว้นอวี้เซวียน? ราชครู เจ้ากรมพิธีการ? หรือว่าเป็ นราชบุตรเขย ก่อนดี ได้ยินมาว่าราชบุตรเขยแคว้นอวี้เชวียนของพวกเจ้าสามารถ
เป็ นขุนนางได้ ฮ่องเต้รักและโปรดปรานองค์หญิงอวี้ชิงที่สุด เมื่อปี ก่อนไปจุดธูปที่อารามจี๋ชิงบังเอิญได้เห็นวงสนทนาของเหล่าบัณฑิต ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นพอดี แล้วก็หลงรักหม่าเช่อที่อายุน้อยที่สุด มี วาทศิลป์ เฉียบแหลมที่สุดตั้งแต่แรกเห็น เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่เจ้า ไม่ค่อยชอบสตรีลักษณะเช่นนี้ ชอบสตรีโตเต็มวัยเรือนร่างอวบอิ่ม อย่างแม่ครัวอวี๋ชิ่งมากกว่า?”
ถึงอย่างไรก็เป็ นเด็กหนุ่มที่เคยแต่อ่านตาราอริยะปราชญ์ หม่า เช่อในเวลานี้จึงหน้า เผือดไร ้สีเลือด เหงื่อแตกท่วมเต็มศีรษะอยู่นาน แล้ว
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “รู ้หรือไม่ว่าทาไมหม่าชวนและหม่าปี้ถึงได้มีจุด จบเช่นนี้? ตอบมาให้ดีๆ อย่าได้เอาอย่างเจ้าโง่หม่าขู่เสวียนที่ชอบ แกล้งทาเป็ นฉลาดที่สุดผู้นั้นเด็ดขาด หากตอบผิด ข้าก็จะค่อยๆ บิด หัวของเจ้าให้หมุนเป็ นวงช ้าๆ”
หม่าเช่อไม่อาจควบคุมการสั่นเทาของร่างกายได้ เด็กหนุ่มพูด ด้วยน้าเสียงสะอื้นอย่างที่ไม่อาจปิดบัง “เพราะพวกเขามักจะเรียกหา สหายให้ไปล่าสัตว์ที่แคว้นอื่น ชอบปลอมตัวเป็ นโจร กระท าการ กาเริบเสิบสานไร ้ยาเกรง ทาเรื่องต่าช ้าเลวทรามไปหลายครั้ง ฆ่าคน ไปมากมาย แต่มากเท่าไร ข้ากลับไม่รู ้ได้ ไม่รู ้เลยจริงๆ…”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ความลับประเภทนี้ เจ้าที่เป็ นบัณฑิตสองหู ไม่ได้ยินเรื่องนอกหน้าต่างรู ้ได้อย่างไร?”
หม่าเช่อหรือจะกล้าปิดบัง พูดรัวราวกับเทถั่วออกจากกระบอก ไม้ไผ่ “หม่าปี้มีความคิดชั่วร ้าย คิดอยากจะลากข้าลงน้าไปด้วยกัน แต่ข้าปฏิเสธไป”
เฉินผิงอันกล่าว “ขาดคาว่า “อย่างเด็ดขาดเพื่อความชอบธรรม” ไปนะ เจ้าควรเปลี่ยนค าพูดเสียใหม่ว่า “ข้าปฏิเสธไปอย่างเด็ดขาด
เพื่อความชอบแล้ว” หืม?”
หม่าเซ่อที่ฟันกระทบกันดังกึกๆ ได้แต่พูดซ้าตามอีกรอบอย่างว่า ง่าย
เด็กหนุ่มร ้องโอดครวญในใจไม่หยุด ทาไมถึงยังไม่มีใครมาที่นี่ เสียที รีบจัดการเทพสังหารผู้นี้ชะ หรือไม่ก็ใช ้เชือกอาคมมัดตัวเขา ไว้? หลายปีมานี้สกุลหม่าของพวกเขาคบหาแต่กับคนมีวิชาความรู ้ มีความเกี่ยวข้องกับเซียนซือผู้บรรลุมรรคาบนภูเขาไม่ใช่หรือ?
เฉินผิงอันถาม “เคยฆ่าคนไหม?” หม่าเช่อส่ายหน้าอย่างแรง เฉินผิงอันถามอีก “เด็กหนุ่มอยากฆ่าคนไหม?” หม่าเช่อยังคงส่ายหน้า เฉินผิงอันยิ้มถาม “เมล็ดพันธ ์บัณฑิตกล้าฆ่าคนใหม่?” หม่าเช่อยังคงส่ายหน้าเหมือนเดิม
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ในฐานะวิญญูชนนักปราชญ์ของสานัก ศึกษากวานหูในอนาคตเจ้าคิดว่าหม่าชวนกับหม่าปี้สมควรตาย หรือไม่?”
หม่าเช่อเอ่ยอย่างลังเลว่า “ทาชั่วมามากมาย พวกเขาสมควร ตายแล้ว!”
ถึงอย่างไรก็ตายไปแล้ว
คาดไม่ถึงว่านาทีนี้เอง ตรงลาคอของศพทั้งสองจะมีเสียงกรอบ แกรบดังขึ้นมา พี่น้องสองคนเหมือนถูกร่ายเวทกักร่าง ได้แต่ยืนนิ่ง อยู่ที่เดิม แต่พวกเขากลับหันมามองหม่าเช่อด้วยสีหน้าเขียวคล้า ใน ดวงตาเต็มไปด้วยความดุร ้าย คล้ายกับอยากจะถลกหนังหม่าเช่อทั้ง เป็ นถึงจะสาแก่ใจ “หม่าเช่อ เจ้าลองไปหา…อาวุธที่เหมาะมือสักชิ้น มาสังหารพวกเขาต้องตัดหัวพวกเขาถึงจะได้ จะใช้ก้อนอิฐหรือจะใช้ แท่นฝนหมึกในห้องก็ได้ บางทีใช้สายพิณน่าจะดีกว่า เทียบกันแล้ว น่าจะตัดหนังตรงลาคอให้ขาดได้ง่ายกว่า ไม่อย่างนั้นหากใช ้ก้อนอิฐ ก็ต้องเสียเวลามากแล้ว” “ไม่ต้องสนแล้วว่าใช้วิธีอะไรถึงจะตัดหัวพวก เขาได้ หม่าเช่อ ขอแค่ทาเรื่องนี้สาเร็จ เจ้าก็จะสามารถมีชีวิตรอด ออกไปจากที่นี่ได้ แต่ข้าจะให้เวลาเจ้าแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น เวลา หมดก็หมดโอกาสแล้ว ถึงเวลานั้นก็จะกลายมาเป็ นพวกเขาที่ถลก หนังของเจ้าแทนแล้ว พวกเขาคือผู้ฝึกยุทธที่มีฝีมือติดตัว แน่นอนว่า เจ้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ของพี่น้องร่วมตระกูล บางทีพวกเขา อาจจะใจอ่อน ลงมือไม่ลง ถึงเวลานั้นก็เป็ นลมและน้าที่หมุนเวียน
เปลี่ยนผัน ถึงคราวที่เจ้าจะได้ชิงลงมือก่อนบ้างแล้ว สามารถลองเดิม พันดูได้”
หม่าเช่ออึ้งค้างไปทันที
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เวลาหนึ่งรุ่นมีค่าเท่าทองหนึ่งขุ่น บัณฑิต อย่างพวกเจ้าจะไม่ใคร่ครวญไม่ได้นะ หรือจะบอกว่ายินดีเดิมพันว่า หม่าชวนกับหม่านี้จะขี้ขลาดเหมือนเจ้า ไม่กล้าถลกหนังคนทั้งเป็ น?”
หม่าเช่อไม่กล้ามองดวงตาสองคู่ที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เต็ม ไปด้วยแรงอาฆาตแค้น เด็กหนุ่มก้มหน้า วิ่งโซเซไปยังสถานที่อ่าน ตาราของประมุขตระกูล เดินขึ้นบันไดข้ามธรณีประตูไป เด็กหนุ่มที่ เดิมทีมือเท้าอ่อนแรงกลับเคลื่อนไหวอย่างว่องไว เข้ามาในห้องแล้วก็ กวาดสายตาไปทั่ว หม่าเช่อใช ้ความคิดอย่างว่องไว หลังจากค้นหา อยู่พักหนึ่งก็เจอ “อาวุธ” เหมาะมือสองสามชิ้น เขาจะใช้แท่นฝนหมึก ที่หนักอึ้งทุบกระดูกเส้นเอ็นตรงลาคอของพี่น้องคู่นั้นก่อน แล้วจะ ขว้างแจกันดอกไม้ใบหนึ่งที่อยู่บนชั้นวางดอกไม้ให้แตก เด็กหนุ่มจะ ใช้เศษเครื่องกระเบื้องมาเฉือนเนื้อหนังตรงลาคอ ถึงจะตัดหัวของ พวกเขาลงมาได้ส าเร็จตามข้อตกลง