กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1090.2 มดรังนั้นล้วนแซ่เดียวกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นเยาว์ของถ้าสวรรค์หลีจูที่แต่ละคนล้วน แข็งแกร่งจนไร ้เหตุผลจริงๆ
ดีนักนะ ใบถงทวีปทางทิศใต้ ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนโรยราและ ตายดับตามกันไปคนแล้วคนเล่า ทว่าแจกันสมบัติทวีปบ้านตน เมื่อ เจอกับสงครามครั้งหนึ่ง ยิ่งต่อสู้บนสนามรบมากเท่าไรกลับยิ่งมีห้า ขอบเขตบนโผล่มาเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์คนหนึ่งที่สวมเสื้อเกราะงดงามหรูหราพก ดาบอาคมเดินฝี เท้าเร่งร ้อนมารายงานข่าว “ฝ่ าบาท จู่ๆ ประตูใน ต าหนักหยางชุ่ยก็เปิดออก ข้าน้อยได้ข่าวก็รีบพาคนไปตรวจสอบ ทันที ผลคือเจอกับคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ถามชื่อแช่และความเป็ นมา ของเขา อีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบ”
ฮ่องเต้นึกว่าตัวเองหูฝาดไปจนต้องถามย้าอีกครั้ง “ว่าไงนะ?”
ฮองเฮาขมวดคิ้วแน่น “ไล่ไม่ไปหรือ?”
ผู้ถวายงานฝ่ ายในที่เป็ นนักเลงในยุทธภพก่อนจะถูกราชสานัก เรียกตัวมาใช ้งานผู้นี้เอ่ยด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ไล่ไม่ไปขอรับ”
ในความเป็ นจริงแล้วผู้ถวายงานฝ่ ายในอย่างพวกเขาผ่านเข้า ประตูใหญ่ของต าหนักหยางชุ่ยที่อยู่ในอันดับหนึ่งของสามตาหนัก ใหญ่แห่งวังหลวงไม่ได้ด้วยซ้า
ฮ่องเต้ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ราชครู นี่ถือเป็ นดั่งคาที่บอกว่าโชคไม่มา เป็ นคู่ เคราะห์ร ้ายไม่มาเดียวหรือไม่?”
ผู้เฒ่าพยักหน้า “ผู้ที่มีเจตนาดีไม่มาเยือน ผู้ที่มาเยือนมีเจตนา ไม่ดี”
จดหมายลับที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ เนื้อหาที่ระบุไว้…ไม่ได้เข้าใจ ยากเลยแม้แต่น้อย วันนี้เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพัวมาชาระแค้นที่นี่ หากไม่ได้สมประสงค์จะไม่ยอมเลิกราเด็ดขาด
วันนี้สกุลหม่าเจอภัย ขอให้ราชสานักสกุลเซวียให้การปกป้ อง ช่วยให้สกุลหม่าข้ามผ่านด่านยากนี้ไปให้ได้ หากทาสาเร็จ สกุลหม่า แห่งอ าเภอหย่งเจียจะต้องตอบแทนอย่างหนัก
ความคิดของฮ่องเต้เรียบง่ายจนเรียบง่ายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีก แล้ว เซียนและมนุษย์ธรรมดาแตกต่างกันราวก้อนเมฆกับดินโคลน เทพเซียนตีกันที่เกี่ยวพันถึงความแค้นส่วนตัวประเภทนี้ สกุลเซวียก็ แค่ต้อง หรือควรจะพูดว่าจาเป็ นต้องนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ เท่านั้น
ส่วนหลังจบเรื่องทางฝั่งของภูเขาเจินอู่ หรือควรจะพูดให้ถูกต้อง ก็คือหม่าขู่เสวียน จะมาชักไช้เอาโทษก็คงมาพานโกรธใส่สกุลเซวีย ของพวกเขาไม่ได้กระมัง?
ต่อให้หม่าขู่เสวียนจะกระท าการก าเริบเสิบสานเพียงใด ก็คงอ้อม ผ่านราชส านักต้าหลีและส านักศึกษากวานหูไม่ได้ไม่ใช่หรือ?
ดังนั้นเมื่อครู่นี้ฮ่องเต้เซวียผังถึงได้สอบถามราชครูว่าทางฝั่งของ ราชส านักจ าเป็ นต้องโยกย้ายทหารรักษาพระองค์ในวังและขุนนาง ของกองทหารม้าห้านครให้ไปรวมตัวกันที่อ าเภอหย่งเจียพอเป็ นพิธีดี
หรือไม่?
ราชครูบอกว่าไม่ต้อง ดีไม่ดีเผลอๆ จะกลายเป็ นว่าอยากแสดง ฝีมือแต่กลับเป็ นการปล่อยไก่
ความนัยของประโยคนี้ก็คือไม่สู้แกล้งโง่ ทาเป็ นว่าไม่เคยได้รับ กระบี่บินแจ้งข่าวฉบับนี้ยังดีเสียกว่า
ฮ่องเต้เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ราชครู ถึงอย่างไรสกุลหม่าก็เป็ น เสาคานสาคัญที่ค้ายันแคว้นของเรานะ”
ไม่มีสกุลหม่าจะส่งผลกระทบเป็ นวงกว้าง ต้องสะเทือนไปถึงเส้น เอ็นและกระดูกอย่างเลี่ยงไม่ได้
ฮองเฮาหลุบสายตาลงต่า ใช ้นิ้วเรียวราวต้นหอมพลิกแผ่นป้ าย ถือศีลเคลือบสีชมพูอ่อนเบาๆ นางพูดเหมือนไม่ใส่ใจว่า “เจ้าขุนเขา เฉินผู้นั้นเป็ นถึงวีรบุรุษผู้กล้า ครั้งนี้เดินทางมาที่นี่ หากเพื่อต้องการ แก้แค้นจริงๆ นั่นก็เป็ นเรื่องส่วนตัวบนภูเขาของพวกเขา เจ้าขุนเขา เฉินคงไม่ถึงขั้นทาลายกิจการของสกุลหม่าที่อยู่ในอาณาเขต แคว้นอวี้เซวียนไปพร ้อมกันด้วยกระมัง”
เกี่ยวกับกิจการของสกุลหม่าที่รุ่งเรืองก้าวหน้าในทุกๆ วันดั่งบุป ผาผลิบานไปทั่วทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะในทางลับหรือทางแจ้ง ในวังก็มี สมุดบัญชีและเอกสารลับเล่มหนาอยู่เกือบร ้อยกว่าเล่ม
นางน้าลายสออยากครอบครองมานานมากแล้ว
หากจะตายก็ตายให้สะอาดเอี่ยมหน่อย คนไม่อยู่แล้ว ตายไป อย่างสิ้นซากได้ยิงดีแน่นอนว่ากิจการสกุลหม่าก็ต้องถูกเก็บรวบเข้า คลังของแคว้น
หลีกเลี่ยงไม่ให้สกุลหม่าเป็ นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว หยั่งรากลงลึก ในแคว้นอวี้เซวียนมากเกินไป ฮองเฮากลัวก็แต่ว่าจะมีวันใดที่ ลูกหลานสกุลหม่ากลายมาเป็ นรราชบุตรเขย หรือไม่ก็มีสตรีแซ่หม่า คนใดที่ผ่านเวลาไปอีกสิบปี สตรีได้เข้ามาอยู่ในวังแล้วต้องเรียกนาง ว่าแม่สามี
เชวียผังถาม “ราชครู จะจัดการกับทางฝั่งตาหนักหยางชุ่ย อย่างไร? พวกเราจะปล่อยไว้ไม่สนใจหรือ? ปล่อยให้อีกฝ่ ายเดินเล่น เสร็จแล้วจากไป?”
หว่างคิ้วของผู้เฒ่ามีแต่ความกลัดกลุ้ม เขาลุกขึ้นยืน “ฝ่ าบาท ข้าจะไปดูด้วยตัวเองสักหน่อย ดูสิว่าจะรู้หรือไม่ว่าอีกฝ่ ายคือมังกร ข้ามแม่น้าตัวใด ขอแค่แน่ใจในตัวตนของอีกฝ่ ายแล้ว ต่อให้เป็ นห้า ขอบเขตบนก็ไม่จ าเป็ นต้องกลัวเขา”
“ต้องกราบทูลฝ่ าบาทก่อนเรื่องหนึ่ง หากเจอกับพวกคนที่ไม่ พูดจาหรือท าอะไรตามหลักการปกติทั่วไป ข้าก็จะพยายามอย่างสุด ความสามารถ หากโน้มน้าวอีกฝ่ ายได้ย่อมดีที่สุด แต่ถ้าเจรจากันไม่ รู ้เรื่อง ข้าสู้เขาได้ก็จะไล่เขาไป แต่หากสู้ไม่ได้ข้าก็จะช่วยปิดประตูให้ ต่อให้อีกฝ่ ายนั่งลงบัลลังก ์มังกรของฝ่ าบาท หรือถึงขั้นฉี่อีลงบนนั้น ก็คงต้องปล่อยให้เขาท าไป ถึงอย่างไรก็ปิดประตูแล้ว ใครก็มองไม่ เห็นว่าเขาก่อเรื่องอะไรอยู่ข้างใน”
ฮ่องเต้เซวียผังพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ราชครูไม่จาเป็ นต้องรีบ ร ้อนลงมือท าอะไรพยายามอย่าให้มีข้อพิพาทเกิดขึ้นจนเป็ นการ ท าลายความปรองดอง พูดคุยกับเขานานหน่อยก็ได้ เราจะให้ทางฝั่ง ห้องเครื่องเตรียมผลไม้และของทานเล่น ขอแค่พวกเจ้าพูดคุยกันได้ดี ก็สามารถยกไปให้ที่ตาหนักหยางชุ่ยได้เลย”
อันที่จริงก็แค่รู ้สึกว่ารับมือได้ยาก อีกฝ่ ายละเมิดข้อห้ามเช่นนี้ เป็ นการท าลายหน้าตาของแคว้น ราชส านักต้องขายหน้า แต่พวก เขาก็ไม่ได้รู ้สึกหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกอะไร
หากเป็ นเมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อน จักรพรรดิของแคว้นเล็ก จู่ๆ ได้ ยินว่ามีผู้ฝึกลมปราณที่สถานะไม่แน่ชัดมาโผล่อยู่ในตาหนักของวัง หลวงบ้านตน ไหนเลยจะสงบเยือกเย็นเช่นนี้ได้อีก
ากสืบสาวกันอย่างละเอียดแล้วก็คงเป็ นเพราะในฐานะแคว้นใต้ อาณัติของราชส านักต้าหลี สกุลเซวียแคว้นอวี้เซวียนจึงไม่ค่อยกลัว “เรื่องไม่คาดฝัน’ ประเภทนี้สักเท่าไร
อย่าว่าแต่ความใจกล้าของผู้ฝึกตนอิสระที่ถูกราชสานักต้าหลี ทุบท าลายเสียเละเทะเลย ต่อให้เป็ นเซียนซือท าเนียบหรือปรมาจารย์ วิถีวรยุทธ แล้วอย่างไรเล่า?
รอกระทั่งราชครูออกไปจากห้อง ไปยังตาหนักหยางชุ่ยแห่งนั้น แล้ว ฮ่องเต้ก็ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เทพเซียนที่ฝึกบาเพ็ญตนพวกนี้นี่นะ”
ฮองเฮาประคองตะกร ้าถ่าน เอ่ยอย่างเกียจคร ้านว่า “ก็นั่นน่ะสิ”
เผยเฉียนมาถึงหน้าประตูใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมืองประจ า เมืองหลวง ร ้านรวงเรียงรายบนท้องถนนมีแต่ร ้านธูปเทียน เนื่องจาก เป็ นช่วงหน้าฝนที่มักจะมีฝนตกใหญ่เป็ นประจา บวกกับที่วันนี้คือ เทศกาลชิงหมิง ศาลเทพอภิบาลเมืองที่เดิมทีควันธูปโชติช่วงจึงมี เพียงร่มกระดาษน้ามันบางตาไม่กี่คันที่ขยับเคลื่อนไปช ้าๆ เผยเฉียน จับประคองงอบไม้ไผ่สานบนศีรษะ ในมือถือไม้เท้าเดินป่าเดินผ่านซุ้ม ประตูภูเขาไปช ้าๆ เข้ามายังประตูบานที่สองสิ่งที่เห็นตลอดเส้นทางก็ คือกรอบป้ ายที่ส่วนใหญ่เป็ นพื้นสีฟ้ าตัวอักษรสีทอง สีสันของ ตัวอักษรค่อนข้างหม่นมัว มีรูปแบบแตกต่างไปจากจวนและต าหนัก ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้า ถูกบนภูเขามองเป็ นวงการขุนนาง ภูเขาสายน้าเหมือนกัน ทว่าขุนนางในปรโลกของศาลเทพอภิบาล เมืองกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าก็ยังมีการแบ่งภาระงานที่ แตกต่างกันไป
เทวรูปของท่านเทพอภิบาลเมืองที่ตั้งบูชาไว้ในตาหนักอยู่ในท่า นั่ง เทวรูปองค์แรกของฝั่งซ ้ายมือคือขุนนางผู้พิพากษาฝ่ ายบุ๋น เทวรู
ปองค์แรกของฝั่งขวามือคือขุนนางผู้พิพากษา ฝ่ ายบู๊ ต่อจากนั้นก็ เป็ นเสมียนกุ่ยชาในศาลเทพอภิบาลเมืองที่เรียงลาดับกันไป มีการ แบ่งระดับขั้นอย่างเข้มงวด มีหน้าที่ตรวจสอบดูการทาความดีความ ชั่วของโลกมนุษย์ กาจัดพวกที่อาละวาดก่อเรื่องในอาณาเขต ปกครองผีจากพื้นที่ต่างๆ เพียงแต่ว่าเนื่องจากหงจงอวี้ขุนนางผู้ พิพากษาฝ่ ายบุ๋นคนเก่าได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว ดังนั้นเทวรูปร่างทอง รูปนี้จึงมีการแปะผ้าแดงผืนใหญ่ทับไว้ชั่วคราว รอให้ขุนนางผู้ พิพากษาฝ่ ายบุ๋นคนใหม่มารับต าแหน่งก็จะเปลี่ยนเทวรูปที่ตั้งบูชา เป็ นองค์ใหม่แทน
นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับสานักของตน มีศิษย์พี่เล็กอย่าง ห่านขาวใหญ่ที่บนรู ้ไปถึงอักษรฟ้ า ล่างรู ้ไปถึงหลักการดิน ไม่ว่าจะ ถามอะไรก็ตอบได้แทบทั้งหมด บวกกับที่เผยเฉียนเองก็มักจะออก เดินทางท่องไปตามขุนเขาสายน้าของทวีปต่างๆ ในไพศาลเพียง ล าพังเป็ นประจา เป็ นเหตุให้ทุกวันนี้เผยเฉียนมีความรู ้ที่กว้างขวาง เกี่ยวกับประวัติความเป็ นมาขนบธรรมเนียมประเพณีของ ‘สิ่ง ประหลาดลี้ลับ” ทั้งหลาย ตามคาอธิบายของชุยตงซานเทพอภิบาล เมืองแต่ละระดับยังคงมีหน้าที่ในการ “ต้อนรับและนาทาง” เป็ นหลัก
ไม่เสียแรงที่บอกว่าตัวเองเคยไปเยือนนครเฟิงตูมาก่อน
สมุดเกล็ดปลาที่เก็บไว้ในกรมคลังของราชวงศ์ในโลกมนุษย์จะมี การบันทึกที่ดินทั่วแคว้นและทะเบียนครัวเรือนราษฎรไว้อย่างละเอียด
ส่วนศาลเทพอภิบาลเมืองนั้นก็จะรับหน้าที่บันทึกคุณความชอบและ ความผิดพลาดของสรรพชีวิตทั้งหมดในโลกคนเป็ นอย่างละเอียด
เผยเฉียนมาถึงนอกต าหนักหลักของศาลเทพอภิบาลเมืองใน เมืองหลวง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนถนนนอกประตูนางได้เชิญธูปเทียน มาเรียบร ้อย กราบไหว้ขุนนางในโลกมืดทั้งหลายของต าหนักหลัก
สามครั้ง แสดงความเคารพแก่สี่ทิศของฟ้ าดิน
รอกระทั่งเผยเฉียนจุดธูปกราบไหว้เสร็จเรียบร ้อย เทพท่องทิวา ตนหนึ่งที่อยู่ในรูปโฉมของสตรี เรือนกายสูงเพรียว สวมชุดตัวหลวม สวมหมวกผ้าโปร่ง แม้จะเป็ นสตรี แต่กลับมีพลังอ านาจอันองอาจ ตรงเอวของนางห้อยป้ ายไม้ค าว่า ‘ตระเวนทิวา ขี่ม้าสีแดงเพลิง รับ หน้าที่นาพาขบวนผู้ตรวจตราลาดตระเวนอยู่ในอาณาเขตของเมือง หลวงตอนกลางวัน พอสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในศาลเทพอภิบาล เมือง เพราะมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ นางจึงรีบเร่งรุดมาที่นี่ พลิกตัว ลงจากหลังม้าแล้ว ม้าสีเพลิงตัวนั้นก็หายวับไปกลางอากาศ กลายเป็ นเปลวไฟขุมหนึ่งที่หลอมรวมเข้าไปในป้ ายไม้ นางถามด้วย สีหน้าเคร่งขรึมว่า “ผู้ที่มาเยือนคือใคร?”
เผยเฉียนบอกกล่าวชื่อแช่ของตัวเอง “ผู้เยาว์เผยเฉียนคารวะ เทพท่องทิวาแห่งเมืองหลวง ทาเนียบของข้าอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วในอาณา เขตของฉู่โจวราชส านักต้าหลี รบกวนแล้ว”
เทพท่องทิวาเอ่ยสองคาว่า “รอสักครู่” แล้วจึงหยิบสมุดหยกที่ เป็ นสีเขียวมรกตเล่มหนึ่งออกมา นาง “เกี่ยว” เอาตัวอักษรสีทองยาว
เป็ นพรวนออกมาจากในสมุดหยก ล้วนเป็ นเนื้อหาที่มีหลักฐานให้ ตรวจสอบได้
เผยเฉียนที่มีทาเนียบหยกทองอยู่บนภูเขามีศาลบรรพจารย์อยู่ที่ ยอดเขาจี้เซ่อภูเขาลั่วพั่วจริง ส่วนภูมิลาเนาสมุดเหลืองนั้นอยู่ที่ อ าเภอไหวหวงเขตหลงเฉวียนฉู่โจวต้าหลี
เอกสารผ่านด่านของโลกคนเป็ นสามารถปลอมแปลงกันได้ แต่มิ อาจปิดบังศาลเทพอภิบาลเมืองที่เป็ นดั่งกระจกลอยอยู่สูงได้
เทพท่องทิวาลังเลเล็กน้อย ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์เผย แปด อักษรชะตาเกิดและภูมิล าเนาบ้านเกิดของท่านล้วนไม่สอดคล้องกัน ขอถามมากสักคา เป็ นฝ่ ายครัวเรือนของอาเภอไหวหวงต้าหลีที่
บันทึกผิดหรือไม่?”
แม้ว่ามืดและสว่างจะอยู่กันคนละเส้นทาง เทพท่องทิวาที่เป็ นขุน นางเทพหญิงของศาลเทพอภิบาลเมืองถือเป็ นขุนนางผู้ช่วยฝ่ ายซ้าย ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากปรโลก นางก็เหมือนขุนนางใน ราชสานักที่มีระดับขั้น ไม่ใช่เสมียนในที่ว่าการที่มีสถานะเป็ นขุนนาง น้าขุ่นทั่วไป ดังนั้นนางจึงไม่มีความจาเป็ นที่จะต้องพูดจาปราศรัย อย่างเกรงใจกับผู้ฝึ กยุทธในโลกมนุษย์คนหนึ่งเลย เพียงแต่หนึ่ง เพราะเผยเฉียนคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเซียนกระบี่เฉินแห่ง ภูเขาลั่วพั่ว อีกอย่างก็คือนางยังเป็ น “คนดัง” ของในเอกสารบาง ฉบับของศาลเทพอภิบาลเมือง พูดง่ายๆ ก็คือไม่ว่าเผยเฉียนจะไปอยู่ ในสถานที่แห่งใดของเก้าทวีปในไพศาล ขอแค่นางผ่านศาลเทพ
อภิบาลเมืองระดับขั้นต่างๆ ต่อให้จะเป็ นศาลเทพ อภิบาลเมืองระดับ เมืองของแคว้นเล็ก เมื่อตรวจสอบตัวตนกันแล้ว พวกเขาก็ล้วนต้อง แสดงความเคารพต่อเผยเฉียนอยู่หลายส่วน
เผยเฉียนยิ้มอธิบายว่า “ชาติกาเนิดของข้ามาจากพื้นที่มงคล ดอกบัวใบถึงทวีป เพียงแต่ว่าจ าแปดอักษรยามเกิดของตัวเองไม่ได้ นานแล้ว ภายหลังติดตามอาจารย์พ่อมาอยู่ทีอ าเภอไหวหวง ฝ่ าย ครัวเรือนจึงเขียนเป็ นเอกสารขึ้นมาง่ายๆ ฉบับหนึ่ง”
เทพท่องทิวาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็ นไร ไม่ขัดต่อการ คานวณที่แม่นยา”
นางถามอีกว่า “ปรมาจารย์เผยอยากจะรู ้แปดอักษรยามเกิดของ
ตัวเองหรือไม่?”
เผยเฉียนส่ายหน้า “ความหวังดีนี้รับไว้แล้ว แต่ไม่จาเป็ นหรอก”
วันเกิดที่นางให้ฝ่ ายครัวเรือนของอาเภอไหวหวงบันทึกลง เอกสารก าหนดจากวันและเดือนที่นางได้รู ้จักกับอาจารย์พ่อเป็ นครั้ง แรก ก็ผู้ฝึกยุทธพิถีพิถันในเรื่องที่ว่ากราบไหว้อาจารย์เหมือนการ เลือกครรภ์ไปเกิดนี่นะ ดีมากแล้ว ไม่ต้องเปลี่ยน
เทพท่องทิวาผู้นี้แนะนาตัวเองให้เผยเฉียนรู ้จักอย่างกระชับเรียบ ง่าย ที่แท้นางก็มีชื่อว่าฉินฟู่ เซวียน
ฉินฟู่ เซวียนถาม “อาจารย์เผยมาเยี่ยมเยือนศาลเทพอภิบาล เมืองประจ าเมืองหลวงในครั้งนี้มีธุระอะไรหรือไม่?”
เผยเฉียนตอบอย่างเขินอาย “ข้ามิคู่ควรกับค าเรียกขานว่า ‘อาจารย์เผย’ หรอก ผู้ลาดตระเวนฉินเรียกแค่ชื่อข้าก็พอแล้ว”
เผยเฉียนกล่าว “แค่ผ่านสถานที่นี้ก็เลยแวะมาดูเท่านั้น”
ฉินฟู่ เซวียนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มแล้วก็ขอตัวลากลับไป
เผยเฉียนมองเทวรูปของเทพอภิบาลเมืองที่อยู่ในท่านั่งใน ต าหนักหลัก รวมไปถึงเทวรูปลงสีของผู้พิพากษาฝ่ายบู๊ที่อยู่ข้างกัน
ต่อให้จะเป็ นแคว้นเล็กใต้อาณัติที่กองกาลังแคว้นอ่อนแอ อย่าง น้อยที่สุดคาลเทพอภิบาลเมืองประจาเมืองหลวงก็ต้องมีการก่อตั้งสิบ สองกองงาน เหมือนอย่างเมืองหลวงและเมืองหลวงส ารองของราช สานักต้าหลี เทพอภิบาลเมืองประจาเมืองหลวงทั้งสองแห่งต่างก็มีกอง
งานมากถึงสามสิบหกกอง
ส่วนศาลเทพอภิบาลเมืองที่เป็ นผู้นาของศาลเทพอภิบาลเมืองใน ใต้หล้าแห่งนั้นก็ได้ตั้งอยู่ในราชสานักหลิงจือของทวีปแดนเทพ แผ่นดินกลาง องค์กรที่ว่าการก็มีมากถึงหกสิบสองกอง
เทพอภิบาลเมืองโจวฟางอวี๋มีต าแหน่งเทพเท่าเทียมกับห้ามหา บรรพตและสุยจวินสีมหาสมุทรของแผ่นดินกลาง แม่ทัพเทพขุนนาง หลักสี่ท่านที่เป็ นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเทพอภิบาลเมืองโจวมีแซ่ กาน แซ่หลิ่ว แซ่ฟ่านและแซ่เซี่ย
ปีนั้นเผยเฉียนก็เคยเดินทางผ่านศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้มา ก่อน ในความเป็ นจริงแล้วนางยังเคยมีโอกาสได้พบหน้าเทพอภิบาล เมืองโจวและแม่ทัพฟ่านด้วย
แน่นอนว่าไม่ใช่สถานการณ์ที่ “คนเป็ นในโลกมนุษย์แหงนหน้า มององค์เทพ” อย่างในวันนี้ ทั้งสองฝ่ ายเคยได้พูดคุยกัน เพียงแต่ว่า เรื่องประเภทนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึง
อวี๋ชิ่งที่เป็ นแม่ครัวอยู่ในจวนหม่ามานานหลายปีไม่กล้าเดินขึ้น เขาต่อจึงย้อนกลับมาที่ตีนเขาช ้าๆ จากนั้นนางก็เดินเลียบลาคลอง สายยาวไปตามหาเชียวลิงที่บอกว่าตัวเองมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง
ในฐานะผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่ฝึกตนประสบความสาเร็จ นาง ไม่กลัวภาพที่กระบี่ยาวแขวนห้อยศพพวกนั้น เพียงแต่หวาดกลัว ความหมายลึกล้าที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังภาพนี้
นางกังวลว่าตัวเองเดินผิดไปหนึ่งก้าวแล้วจะต้องกลายเป็ นคน หนึ่งในนั้น ขึ้นบนไม่ถึงฟ้ า ลงมาไม่ถึงดิน ต้องห้อยต่องแต่งอยู่อย่าง นี้
อวี๋ชิ่งหยุดเดิน เงียบคิดอยู่นาน ก่อนจะมองไปยังผู้ฝึกตนหญิง จากเปลี่ยวร ้างที่แม้กระทั่งชื่อจริงของเผ่าปีศาจก็ยังบอกนางด้วย “ขอ ถามแม่นางเชียวหน่อยเถิดว่าที่นี่คือทีไหน?”
เซียวสิงนั่งยองอยู่ริมลาคลอง วักน้าขึ้นมาล้างหน้าแล้วตบแก้ม ตัวเองเบาๆ ย้อนถามว่า “รู ้หรือไม่รู ้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ยังสาคัญด้วย หรือ?”
อวี๋ชิ่งกล่าว “หากเจ้าไม่บอก ข้าก็จะไป”
เซียวสิงพลันเสียสติในฉับพลัน นางยื่นมือออกมาคล้ายคนกาลัง จะจมน้าที่คว้าฟางช่วยชีวิตเอาไว้ได้ นางขอร ้องสตรีหน้าตางดงามที่ อยู่ฝั่งตรงข้ามว่าอย่าไป อย่าไปเลยนะ อยู่คุยเป็ นเพื่อนนางอีกสัก หน่อย
อวี๋ชิ่งมองผู้ฝึกตนหญิงแห่งเปลี่ยวร ้างที่สติหลุดแล้วก็ถอนหายใจ เบาๆ สถานการณ์ของสตรีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามในวันนี้จะกลายเป็ น สภาพการณ์ของตนในวันพรุ่งนี้หรือไม่?
นางถามว่า “ขอถามสหายเซียว เจ้ายังรักษาจิตแห่งมรรคาไม่ให้ แหลกสลายได้อย่างไร?”
คงเป็ นเพราะเห็นค่าในโอกาสที่ได้พูดคุยกับคนทุกคน เซียวสิง ถึงมักจะชอบพูดนอกเรื่องไปมากมายก่อนแล้วค่อยเข้าสู่หัวข้อที่ พูดคุยกัน
นางบอกว่าแม้ตัวเองจะเป็ นแค่ดวงจิตดวงหนึ่ง แต่กลับสามารถ นิมิตถึงจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบออกมาได้ ไม่ต่างอะไรจากคนจริง การใช ้วิญญาณท่องไปและการท่องไปในความฝัน แม้ว่าจะมีความ คล้ายคลึงกัน แต่ในด้านแก่นแท้ก็ยังไม่เหมือนกัน ตอนนี้เซียวสิงจึง
ใช ้วิธีเฝ้ าเรือนโดยทิ้งวิญญาณดวงหนึ่งไว้ในร่างจริง ใช ้ได้ผล แต่ก็ แค่ชั่วคราวเท่านั้น นางได้ใช ้วิชาลับของเปลี่ยวร ้างไปหลายสิบชนิด แล้วถึงได้ฝืนประคับประคองจิตแห่งมรรคาไม่ให้มันเสียการควบคุ