กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1090.5 มดรังนั้นล้วนแซ่เดียวกัน
หม่าเหยียนยืนอยู่ “ในบ่อ” สองมือกระชากรั้งผ้าแพรขาวผืนนั้น เอาไว้แน่น มีเพียงศีรษะของเขาเท่านั้นที่โผล่ออกมาจากนอกบ่อ สอง เท้าเขย่งอยู่หลุม
หญิงชราถามเสียงเบา “เซียนกระบี่เฉิน ให้ข้าผู้อาวุโสขุดลงไป อีกสองสามฉื่อหรือไม่?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอนพิงประตูใหญ่ของ ห้องอยู่เงียบๆ เงยหน้ามองสภาพการตายของสตรี เอ่ยอย่างเฉยเมย ว่า “ไม่ต้อง ค่อยๆ รอไปก็พอ ได้ยินมาว่าตอนที่หม่าเหยียนเป็ นหนุ่ม ก็เคยเผาเครื่องกระเบื้องเหมือนกัน ดูสิว่าแรงแขนของเขาจะเป็ น อย่างไร จะยืนหยัดอยู่ได้นานแค่ไหน”
หญิงชราเงียบงันไร ้คำพูด ในใจมีความรู ้สึกนับร ้อยประดังประเด เข้าใส่ ชาติก่อนตนต้องก่อกรรมทำเข็ญไว้มากแค่ไหน ชาตินี้ถึงได้ เข้ามาอยู่ในจวนหม่าแล้วต้องมาเจอคนเช่นนี้มาแก้แค้นสกุลหม่า
เฉินผิงอันถาม “การลงทัณฑ์ที่โหดเหี้ยมที่สุดที่ผู้เซียนซือพ บเจอมาในชีวิตนี้คืออะไร?”
หญิงชราตอบเสียงเบา “คือการถลกดึงจิตวิญญาณออกมา ขมวดเป็ นเชือก เอามาทาเป็ นไส้ตะเกียง จุดเป็ นตะเกียงน้ามันดวง หนึ่ง สามารถทาให้ผู้ฝึกตนต้องขอร ้องให้ตัวเองตายไวๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ในหุบเขาผีร ้ายของอุตรกุรุทวีปก็เคยเห็น กับตาตัวเองมาก่อน จุดตะเกียงในน้า น่าขนลุกขนพอง สยดสยองจน แทบไม่อาจทนมองได้”
หญิงชรากล่าว “และยังมีคุกน้าบนภูเขาที่ฝืนเปิดช่องโพรงหนึ่ง ถึงสองแห่งให้เป็ นเส้นทาง แล้วกรอกเทปราณวิญญาณจำนวนมาก ลงไปข้างใน ก่อให้เกิดสถานการณ์น้าขึ้นพลิกกลับอยู่ในฟ้ำดินเล็ก ร่างกายมนุษย์ โครงกระดูกค่อยๆ ขยายบวม ดันจิตวิญญาณให้ปริ แตกออกจากกัน ระหว่างนี้เลือดลมจะขยับพลุ่งพล่าน เส้นชีพจรจะ แตกไปทีละขุ่น เส้นเอ็นและกระดูกปริแตก ได้ยินมาว่าผู้ฝึกตนอิสระ ชอบใช ้วิธีนี้มาเล่นงานผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่มีเรือนกายแข็งแกร่ง”
เฉินผิงอันกล่าว “การตายประเภทนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับเครื่อง กระเบื้องแตกลายของที่บ้านเกิด ผู้อาวุโสมีความรู ้กว้างขวาง รบกวน ช่วยพูดถึงการตายประเภทอื่นให้ฟังหน่อย”
หญิงชราหรือจะกล้าเก็บงำ จึงเอ่ยถึงวิธีการบนภูเขาให้อีกฝ่ำย ฟังเพิ่มอีกเจ็ดแปดชนิด
เฉินผิงอันรับฟังอย่างตั้งใจ รอกระทั่งหญิงชราหมดคาจะบรรยาย แล้ว เขาถึงได้ยิ้มถามว่า “ล้วนเป็ นเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมา? หรือว่าเคย ทดลองกับมือตัวเองมาก่อน?”
หญิงชราพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ได้ยินมา แค่เคยได้ยิน ได้ฟังมา”
“มีใจคนแต่ไร ้สันดานมนุษย์ คนและผีถึงได้แยกออกจากกันได้ ยาก มีขอบเขตแต่ไร ้ตบะ แล้วจะมีความต่างระหว่างมนุษย์ธรรมดากับ เซียนได้อย่างไร”
เฉินผิงอันกล่าว “หูฟังไม่เท่าตาเห็น ตาเห็นไม่เท่าสัมผัสกับ ตัวเอง อีกเดี๋ยวเจ้าก็ลองลิ้มรสชาติของวิธีการพวกนี้ดูแล้วกัน”
ผูหลิ่วเหมือนถูกกระบองฟาดใส่หนักๆ อีกทั้งยังเป็ นกระบองที่ ฟาดมาแสกหน้าด้วย ก่อนหน้านี้ต้องทนทรมานกับการถูกทัณฑ์ เปลวเพลิงเคี่ยวกราร่างกายและจิตวิญญาณอยู่ในห้องก็ทำให้หญิง ชราหวาดกลัวลึกถึงกระดูกแล้ว แล้วนางจะยังทนรับทัณฑ์โหดเหี้ยม อีกเจ็ดแปดชนิดนี้ได้อย่างไรไหว?
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก “ผู้อาวุโสมีอายุอยู่มาก็ตั้งปูนนี้แล้ว ทำไมถึงไม่รู ้จักการล้อเล่นเอาเสียเลย”
หญิงชราพูดด้วยสีหน้าอมทุกข์ “เซียนกระบี่เฉิน ข้าผู้อาวุโสอายุ ไม่น้อยแล้ว แต่กลับขึ้ขลาดนัก ถนอมชีวิตที่สุดแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ไป เอาก้อนอิฐหลายๆ ก้อนไปผูกไว้ที่ข้อเท้า ฉินฮูหยิน”
หญิงชรารีบเอาก้อนอิฐไปผูกรั้งไว้ที่เท้าของสตรีออกเรือนแล้วที่ ถูกผูกคอตาย เมื่อเป็ นเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าน้าหนักของสตรีที่แขวนคอ ตายจะมากกว่าหม่าเหยียนแล้ว
เฉินผิงอันถาม “หากเจ้าสามารถมีชีวิตรอดออกไปจากจวนหม่า
ได้ คิดว่าจะทำอะไร หญิงชราตอบอย่างระมัดระวัง “หาสถานที่เงียบๆ สักแห่ง ปิดบัง
ชื่อแซ่ ตั้งใจฝึกตนไป” เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นต่างจากอยู่ในจวนหม่าตรงไหน?
หรือว่าอยู่ที่นี่เจ้าไม่ได้ตั้งใจฝึกตน?”
หญิงชราถามหยั่งเชิง “ขอเซียนกระบี่เฉินอย่าได้ขี้เหนียวความรู ้ ข้าผู้อาวุโสจะต้องทาตามไม่มีคลาดเคลื่อน ต่อให้เซียนกระบี่เฉิน แนะนำให้ข้าผู้อาวุโสไปโกนผมบวชชีอยู่ในอาราม ข้าก็ยินดี”
“ให้เจ้าไปเป็ นแม่เล้าที่หอโคมเขียวล่ะ?”
“นี่จะมีอะไรยาก การฝึกประสบการณ์ในโลกโลกีย์ก็คือการฝึก ตนอย่างหนึ่ง”
“แล้วถ้าพวกลูกค้าต้องการให้เจ้าปรนนิบัติล่ะ?”
“ก็จะยอมเขา” เฉินผิงอันส่ายหน้า หญิงชรากลัดกลุ้มยิ่งนัก
เฉินผิงอันถาม “รู ้สึกว่าถามทางจากคนตาบอดไม่มีประโยชน์ อะไรหรือ?”
หญิงชราปฏิเสธเสียงแผ่วเบา
ขณะที่ทั้งสองฝ่ำยพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย หญิงชราเอ่ยเสียงสั่น ว่า “เซียนกระบี่เซียนกระบี่เฉินพวกเขาสองคนต่างก็ตายแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กักดวงวิญญาณของพวกเขา เอาไว้”
หญิงชราเอ่ยเตือนเสียงเบา “เซียนกระบี่เฉิน คนตายอยู่ในห้อง แล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานทางศาลเทพอภิบาลเมืองก็จะสัมผัสได้ถึงความ เคลื่อนไหวของที่นี่ กุ่ยชาต้องมาเยือน หากเห็นเข้าจะทำอย่างไร?”
แล้วนับประสาอะไรที่ตอนนี้เป็ นเวลากลางวันแสกๆ ตามหลักแล้ว ศาลเทพอภิบาลเมืองจะต้องมีเทพท่องทิวาองค์หนึ่งคอยลาดตระเวน พื้นที่ในการปกครอง
นครเฟิ งตูแห่งปรโลกทำงานโดยยึดหลักความถูกต้อง ไม่เคย เห็นแก่ความสัมพันธ ์ใดๆ
เฉินผิงอันกล่าว “ต่อให้พวกเขารู ้ก็เข้ามาไม่ได้”
ผูหลิ่วไม่กล้าพูดมากอีกแม้แต่ครึ่งคา ร่ายวิธีของเซียนดินกัก วิญญาณหม่าเหยียนและฉินเจิงเอาไว้ ผีที่เรือนกายล่องลอยสองตน ยืนอยู่ในห้อง หม่าเหยียนก้มหน้าลงอย่างขลาดกลัว ไม่กล้ามองสตรี ออกเรือนแล้ว
ฉินเจิงจ้องเขม็งไปยังเจ้าคนชั้นต่าที่จิตใจโหดเหี้ยมอามหิตผู้นั้น
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “คนก็ตายไปแล้ว ผลกลับกลายเป็ นว่าไม่อาจ ไปที่ศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองหลวง มิอาจเป็ นขุนนางในโลกมืด ที่ได้รับการบันทึกชื่อของนครเฟิงตู รู ้สึกอัดอั้นเหมือนตัวเองต้องตาย เปล่าหรือไม่?”
ผูหลิ่วถามเสียงเบา “เซียนกระบี่เฉิน ข้าผู้อาวุโสต้องจุดตะเกียง
ของพวกเขาหรือต้องขังพวกเขาไว้ในคุกน้า?”
ในเมื่อลงเรือโจรแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไปให้สุดทาง
เฉินผิงอันกล่าว “ฆ่าคนไม่เห็นเลือดก็เหมือนกินบะหมี่ไม่ใส่ กระเทียม ถึงอย่างไรก็ขาดความหมายบางอย่างไป”
หญิงชราอึ้งตะลึง
เฉินผิงอันออกจากห้องไปหามีดเล่มหนึ่งมาจากห้องผ่าฝืน ใน มือกำตะปูเหล็กมาด้วยกาหนึ่ง พอย้อนกลับมาที่ห้องอีกครั้งก็ผ่าโต๊ะ และม้านั่งออกด้วยท่าทางคล่องแคล่วชานาญเอามาทำเป็ นโลงสองใบ
หญิงชรายิ่งมองก็ยิ่งมึนงง
เฉินผิงอันบอกให้หญิงชรากระชากผ้าขาวให้ขาด “ศพ” สองร่าง ที่หนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ หนึ่งอยู่บนพื้น ร่างหนึ่งกระแทกลงพื้น ร่าง หนึ่งทรุดลงไปกองในหลุม
จากนั้นให้ผูหลิ่วเอาศพทั้งสองใส่ไว้ในโลงศพ แล้วเฉินผิงอันถึง ได้เอ่ยว่า “ในเมื่อพวกเจ้ารักตัวกลัวตายขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ให้ พวกเจ้าสมใจปรารถนา คืนจิตวิญญาณกลับมายังโลกสว่างอีกครั้ง”
โบกชายแขนเสื้อครั้งหนึ่ง จิตวิญญาณของผีทั้งสองก็กลับคืน เข้าร่างในชั่วพริบตา เฉินผิงอันปิดฝาโลง ระหว่างนั้นหม่าเหยียนดิ้น รนจะลุกขึ้นนั่ง แต่กลับถูกเฉินผิงอันใช ้ด้ามมีดผ่าฟินตีกลับให้นอน ลงไป จากนั้นก็เริ่มใช ้หลังมีดเคาะตอกตะปู ฉินเจิงเริ่มก่นด่าด้วย น้าเสียงแหบพร่า แต่พอรู ้ว่าไร ้ประโยชน์นางก็เริ่มกรีดร ้องคร่าครวญ ทว่ากลับได้แต่เบิกตามองตัวเองจมสู่ความมืดมิด นอนอยู่ในโลงที่ยื่น มือออกไปไม่เห็นนิ้วทั้งห้า
เฉินผิงอันกล่าว “แบบที่สอง”
ผูหลิ่วเงียบงันอีกครั้ง
เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกไปเคาะโลงเบาๆ “เจ้าคิดว่าพวกเขาจะทน อยู่ได้นานแค่ไหน? จะหิวตาย กระหายน้าตาย หรือว่าตกใจจนตาย?”
หญิงชรายู่หน้า ไม่กล้าพูด
เฉินผิงอันมาที่หน้าประตู มองสีท้องฟ้ำที่อยู่ข้างนอก
หญิงชราได้แต่ตามองจมูก จมูกมองใจ เริ่มกลั้นหายใจทาสมาธิ ในโลงศพทั้งสองมีเสียงที่ต่างกันออกไป มีทั้งเสียงทุบตีอย่างรุนแรง แต่ความเคลื่อนไหวก็ค่อยๆ ลดน้อยลงแล้วก็มีเสียงเล็บของสตรีกรีด ผ่านกระดานไม้…เมื่อเวลาผันผ่าน หญิงชราก็ยิ่งหวาดผวา นี่ผ่านไป
นานแค่ไหนแล้ว? ต่อให้ฮ่องเต้แคว้นอวี้เซวียนเลือกที่จะนิ่งดูดาย ต่อ ให้กองตรวจสอบของภูเขาลู่เจี่ยวไม่สนใจ ไม่อยากมาลุยน้าขุ่นบ่อนี้ ทว่าทางฝั่งของศาลเทพอภิบาลเมืองประจำเมืองหลวงกลับไม่มีความ เคลื่อนไหวสักนิดเลยหรือ?
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หกสิบปีในภูเขา โลกมนุษย์ผ่านไปแล้วพัน
ปี นี่เรียกว่าหนึ่งวันยาวนานเหมือนหนึ่งปี”
หญิงชราเหมือนถูกผีดลใจให้เอ่ยประโยคที่ไร ้สาระออกไปว่า “เจ้าคือเซียนกระบี่เฉินจากภูเขาลั่วพั่วจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “เจ้ารู ้หรือว่าเซียนกระบี่เฉินแห่งภูเขาลั่วพั่ว คือใคร?”
หญิงชราถอนหายใจเฮือกๆ สามีภรรยาคู่นี้ช่างดวงซวยจริงๆ นางเองก็กลุ้มใจนัก เฉินผิงอันเดินไปที่ประตูเรือน เปิดประตูออกก็คือตรอกซิ่งฮวา
บอกว่าเป็ นตรอกซิ่งฮวา แต่อันที่จริงกลับไม่มีต้นซึ่งฮวาปลูกไว้ สักต้น ก็ไม่รู ้ว่าชื่อนี้มาได้อย่างไร
เพียงไม่นานก็มีผู้เฒ่าที่บนร่างมีแต่กลิ่นอายความเศร ้าหมอง อ้างว้างคนหนึ่งมองมาทางเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าประตู ดูเหมือนผู้ เฒ่าจะกำลังยืนยันให้แน่ใจว่าเป็ นจริงหรือเท็จสิ่งที่เห็นใช่ภาพลวงตา หรือไม่
ที่แท้ผู้เฒ่าก็ถูกผีบังตาอยู่ในอาเภอแห่งนี้มาอย่างน้อยหลายสิบ ปีแล้ว พูดถึงแค่หม่าหลันฮวาแห่งตรอกซิ่งฮวาก็ยังเปลี่ยนจากหญิง สาวกลายเป็ นหญิงชราแล้ว
เฉินผิงอันถาม “เจ้าชื่อฉงฉ่างหรือ? มาเยือนเมืองเล็กใน ช่วงเวลาที่อริยะคนก่อนนั่งพิทักษ์ถ้าสวรรค์หลีจู? หรือว่านาน ยิ่งกว่านั้น? ก่อนหน้านี้สายตาตอนที่เจ้าเห็นหม่าหลันฮวาเหมือนเห็น คนรู ้จักเก่า? มาเยือนเมืองเล็กไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแล้ว?”
ฉงฉ่างคนเชื่อดาบเอ่ยว่า “มิอาจเป็ นน้าบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้าคลองได้ จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พูดจาผายลมเหมือนคนแกล้งโง่ให้น้อย หน่อยเถอะ ด้วยบุญกุศลที่เจ้าช่วยให้สองสามีภรรยาสกุลหม่าสะสม มาจากการ “ทำความดีโดยไร ้เจตนา” พวกเราก็มีบัญชีให้ต้องคิดกัน แล้ว”
ฉงฉ่างไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้
นครเฟิ งตูมีกฎเหล็กอยู่ข้อหนึ่ง มีใจทาดี แม้จะเป็ นเรื่องดี แต่ ไม่ได้รับรางวัล ถ้าอย่างนั้นสองสามีภรรยาสกุลหม่าอยากจะรับ ตำแหน่งขุนนางในศาลเทพอภิบาลเมืองอย่างราบรื่นหลังตายไป ลาพังแค่สติปัญญาและวิธีการของพวกเขา นี่ก็คือเรื่องเพ้อฝันของ คนปัญญาอ่อนโดยแท้
ฉงฉ่างมองไปทางห้องแล้วเอ่ยเสียงหนักใจว่า “เฉินผิงอัน วิญญู ชนควรรู ้ว่าสิ่งใดควรทา สิ่งใดไม่ควรทา ข้าแนะนาเจ้าว่าควรหยุดแต่ พอสมควรเถอะ”
เฉินผิงอันหันหน้ามาเอ่ย “ผูหลิ่ว เจ้ารู ้สึกมาโดยตลอดว่ามอง เบื้องลึกของฉงฉ่างไม่ออกไม่ใช่หรือ? ในเมื่อมองไม่ออกก็ลองสู้กันดู
| สิ” | หญิงชราเดินมาที่หน้าประตู นางยังสองจิตสองใจ |
เฉินผิงอันนั่งลงตรงหน้าประตู “ข้าเดาว่าเขาคือคนเชื่อดาบ ขอบเขตโอสถทอง ส่วนฉงฉ่างจะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ก็ต้องให้เจ้ามา หาคำตอบด้วยตัวเองแล้ว”
พอได้ยินว่าอีกฝ่ำยคือคนเชื่อดาบของสานักโม่ หัวใจของผูหลิ่ว ก็บีบรัดตัว รอกระทั่งได้ยินว่าเขาอาจจะเป็ นผู้ฝึ กกระบี่ หญิงชราก็ ทาท่าเหมือนบิดาตาย สีหน้าราวกับขี้เถ้ามอด
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ช่างเถิด ไม่ให้เจ้าสร ้างศัตรูแล้ว ความวุ่นวาย ใจก็ควรต้องมีขอบเขตกันบ้าง”
ผูหลิ่วได้ยินประโยคที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็ นอย่างดีประโยคนี้ก็ ไม่เพียงแต่ไม่รู ้สึกโล่งใจกลับกันยังกลัดกลุ้มยิ่งกว่าเก่า
พริบตานั้นเรือนกายของคนชุดเขียวก็เหมือนควันกลุ่มหนึ่ง นาที ถัดมาเฉินผิงอันก็ยืนมือไปกดหัวของฉงฉ่าง แผ่นหลังของฝ่ำยหลัง กระแทกเข้ากับกาแพง ขยับเขยื้อนไม่ได้อีก
เฉินผิงอันยกมือขึ้น นิ้วทั้งห้ากางเป็ นตะขอ “กระชากดึง” กระบี่ บินแห่งชะตาชีวิตของคนเชื่อดาบผู้นี้ออกมาจากช่องโพรงลมปราณ ที่สาคัญ จากนั้นใช ้นิ้วทั้งสองคืบกระบี่บินเล็กจิ๋วเล่มนั้นเอาไว้
ท้ายทอยของฉงฉ่างกระแทกผนังจนเป็ นรู กระบี่บินแห่งชะตา ชีวิตก็ถูกอีกฝ่ำยใช ้วิธีการประหลาดน่าเหลือเชื่อดึงออกมา นี่ทาให้
ฉงฉ่างสติหลุดไปในชั่วพริบตา
เฉินผิงอันหรี่ตาลง “ระดับขั้นไม่เลว หากอยู่ที่กาแพงเมืองปราณ กระบี่ก็สามารถถูกคฤหาสน์หลบร ้อนประเมินเป็ นระดับสองกลางได้ แล้ว”
ผูหลิ่วมองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นด้วยสายตาเหม่อลอย
เซียนดินโอสถทอง ทั้งยังมีสถานะของสานักโม่อยู่อีกชั้น มาเจอ กับเขียนกระบี่เฉินกลับเหมือนลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง ไม่มีโอกาสชนะนั่น เป็ นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่จะดีจะชั่วเจ้าฉงฉ่างก็ควรจะได้ตั้ง กระบวนท่าบ้างกระมัง?
เฉินผิงอันถาม “ชื่อของกระบี่บิน?”
ฉงฉ่างเอ่ยเนิบช ้า “เอ้อชื่อ” (ราชทินนามที่ไปในเชิงร ้าย มี ความหมายในทางกล่าวโทษ)
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งในฉับพลัน “เจ้าที่เป็ นคนเชื่อดาบ ทา การค้าที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
ลูกหลานสกุลหม่ากลุ่มนั้นมีอยู่หลายคนที่มีหวังจะได้รับราชทิน
นามจากทางราชสำนักอยู่จริง ฉงฉ่างกล่าว “เจ้าขุนเขาเฉินอาศัยขอบเขตกระทำการไร ้ความ
ยาเกรง เห็นว่ามีที่พึ่งก็เลยไม่กลัวอะไรอย่างนั้นหรือ?” เฉินผิงอันถาม “ราชทินนามที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็ น
| ทางการถือว่ารวมอยู่ในนี้ด้วยหรือไม่?” ฉงฉ่างส่ายหน้า |
เฉินผิงอันร ้องอ้อ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็มองผิดไป ระดับขั้นของกระบี่ บินเล่มนี้ตามาก ไม่ติดอันดับสามของคฤหาสน์หลบร ้อนด้วยซ้า”
ฉงฉ่างเอ่ย “ข้ารู ้ดีว่าเจ้าขุนเขาเฉินคืออื่นกวานคนสุดท้ายแห่ง กำแพงเมืองปราณกระบี่ รับผิดชอบบัญชาการณ์คฤหาสน์หลบร ้อน ดังนั้นไม่จาเป็ นต้องยกสถานะนี้มาย้าเตือนข้า ไม่ได้ทำให้ข้ากลัว หรอกนะ”
“คาพูดนี้กล่าวได้น่าสนใจมากแล้ว เจ้าและข้าต่างก็เป็ นผู้ฝึ ก กระบี่ ต้องอาศัยฝีปากมาข่มขู่คนอื่นให้กลัวด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันเพิ่มแรงบนสองนิ้ว กระบี่บิน “เอ้อชื่อ’ ก็มีลางว่าจะหัก กลาง ฉงฉ่างผู้ฝึกกระบี่ที่มหามรรคาเชื่อมโยงอยู่กับกระบี่บินจึงจิต วิญญาณสายไหว ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างเต็มกลืนตามไปด้วย
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ปีนั้นตอนที่ข้าผู้อาวุโสข่มขู่พวกผู้ ฝึกกระบี่อย่างหลีเจินหลิวป๋ำยอยู่บนหัวกำแพงเมือง หยอกพวกเขา เล่นแก้เบื่อ เจ้ายังล้างถังส้วมอยู่ในจวนหม่าอยู่เลย”
ฉงฉ่างมองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่มีรอยแตกร ้าวแล้ว
เฉินผิงอันกล่าวว่า “ที่พูดถึงกาแพงเมืองปราณกระบี่และ คฤหาสน์หลบร ้อนกับเจ้าก็เพราะต้องการเตือนเจ้าว่าควรจะช่วยเหลือ ตัวเองอย่างไร ยกตัวอย่างเช่นพูดกับข้าว่าเคยไปเยือนกำแพงเมือง ปราณกระบี่มาก่อน”
ฉงฉ่างกล่าว “ตอนหนุ่มเคยไป” เฉินผิงอันสะอึกอึ้งไปทันใด เงียบคิดอยู่พักหนึ่งก็ด่ามารดาของ
อีกฝ่าย
ฉงฉ่างเอ่ย “ใต้เท้าอิ่นกวานจะไม่พิสูจน์จริงเท็จสักหน่อยหรือ?” เฉินผิงอันคร ้านจะพูด เพียงแค่คลายนิ้วออก คืนกระบี่บินกลับไป
ฉงฉ่างเก็บกระบี่บินกลับเข้าไปหล่อเลี้ยงในช่องโพรงแห่งชะตา ชีวิต หยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ โยนเข้าปากแล้วเคี้ยว อย่างละเอียด เอ่ยเนิบช ้าว่า “จำได้ว่าตอนนั้นหมี่อวี้ยังเป็ นขอบเขต ก่อกาเนิด มีฉายาว่าหมี่ผ่าเอว เคยเห็นเขาออกกระบี่บนสนามรบอยู่ ไกลๆ ชื่อเสียงสมคาเล่าลือจริงๆ”
เฉินผิงอันโบกมือ “บัญชีนี้ไว้ค่อยคิดกันวันหลัง เจ้าออกไปจาก เมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนได้แล้ว ส่วนบัญชีที่สกุลหม่าตรอกซิ่งฮวา ติดค้างเจ้าไว้ วันหน้าควรจะทวงหนี้อย่างไรเจ้าก็ตัดสินใจเอาเอง”
ฉงฉ่างถาม “เพียงแค่เพราะข้าเคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณ กระบี่ เซียนกระบี่เฉินที่ใกล้จะเสียสติบ้าคลั่งก็กลายมาเป็ นคนที่พูด
ง่ายขนาดนี้เลยหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ปากผู้อาวุโสเหม็นขนาดนี้ จะต้องเคยโดย ซ ้อมที่กาแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อนแน่นอนกระมัง?”
ฉงฉ่างกล่าว “ไว้พบกันใหม่คราวหน้า” เฉินผิงอันตอบ “ไม่ต้อง” ฉงฉางมองโลงศพสองโลงที่อยู่ในห้อง
เฉินผิงอันถามว่า “คิดจะขอร ้องแทนหรือ? ก็ใช่ว่าจะเป็ นไปไม่ได้ เจ้าฉงฉ่างเคยไปเยือนกาแพงเมืองปราณกระบี่สองรอบไหมล่ะ?