กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1090.6 มดรังนั้นล้วนแซ่เดียวกัน
ฉงฉ่างกล่าว “หากจาไม่ผิด ทางฝั่งบ้านเกิดของพวกเจ้าเคยมีผู้ เฒ่าคนหนึ่งมักจะใช ้คากล่าวหนึ่งมาข่มขู่เด็กๆ เป็ นประจา บอกว่า เตาเผาสมัยก่อน หากเจอกับสถานการณ์ที่ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ราบรื่น จะต้องเอาเด็กชายหญิงคู่หนึ่งไป “เช่นไหว้เตาเผา” อาศัยสิ่งนี้ เครื่อง กระเบื้องทุกชิ้นที่ถูกเผาออกมาจากในเตาก็จะยิ่งสวยสดงดงาม”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไม่เสียแรงที่เป็ นผู้ฝึ กกระบี่ที่เคยไปเยือน กาแพงเมืองปราณกระบี่”
ฉงฉ่างทาสีหน้าเลื่อนลอย “น่าเสียดายที่ไม่เคยได้พูดคุยกับ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสแม้แต่ค าเดียว”
นาทีถัดมาฉงฉ่างก็ออกมาจากเมืองเล็ก แต่ไม่ได้กลับไปยังจวน หม่าตรอกอูซา แต่อยู่ในตรอกเก่าโทรมแห่งหนึ่งใกล้กับที่ว่าการ อ าเภอหย่งเจีย
ส่วนทางฝั่งของตรอกซิ่งฮวานี้ หม่าเหยียนและฉินเจิงที่ตายแล้ว ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งก็ถูกเฉินผิงอันบีบคอลากไปถึงเตาจินเอ๋อที่ อยู่นอกเมืองเล็ก แล้วโยนร่างพวกเขาไปไว้ในเตาที่กาลังติดไฟ
ก็เหมือนความลับสวรรค์ที่เซียวสิงแพร่งพรายให้กับอวี๋ชิ่ง เฉินผิง อันสร ้างฟ้ าดินดินแดนมายาที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันขึ้นมาอย่างตั้งใจ จริงๆ
แบ่งคร่าวๆ เป็ นเล่มหลักและเล่มรอง
ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันสร ้างกาแพงเมืองปราณกระบี่ขึ้นมาอีก แห่งหนึ่ง
นี่คือสถานที่ที่เฉินผิงอันท่องเที่ยวเพียงลาพังกลับไปกลับมา นอกจากตัวนครแล้ว เรือนส่วนตัวของเซียนกระบี่นอกเมืองก็ยังคงอยู่
ดังเดิม
ทว่าสถานที่นี้กลับมีแต่จวนและตรอกซอกซอย ไม่มีผู้คน
อาเภอไหวหวงกลับขาดสถานที่สามแห่งไป นั่นคือตรอกหนีผิง โรงเรียนเก่าและร ้านยาตระกูลหยาง
ป๋ ายอวี้จิงจาลองหลังหนึ่ง อาณาเขตของหุบเขาผีร ้ายแห่งอุตรกุรุทวีป
และยังมีซากปรักจวนเซียนแห่งหนึ่งของอุตรกุรุทวีปที่ขาดเพียง อารามบนยอดเขาสถานที่แห่งนี้ถูกเฉินผิงอันตั้งชื่อให้ว่าศาลาแห่งที่ หก
เมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียน การสร ้างสถานที่แห่งนี้แน่นอนว่าต้อง ยกคุณความชอบกับนักพรตที่ตั้งแผงดูดวงอย่างอู๋ตี
สถานที่เหล่านี้ล้วนอยู่ในเล่มหลักทั้งหมด ฟ้ าดินของเล่มหลักมีทั้งสิ้นสามสิบหกแห่ง
ก่อนหน้านี้พาเสี่ยวโม่ไปเที่ยวเยือนหอสยบปีศาจของใบถงทวีป ด้วยกัน ระหว่างนั้นได้เห็นฟ้ าดินมายาสิบสองแห่งที่ถูกบรรจุอยู่ใน ใบถงสิบสองใบ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ นฟ้ าดินของเล่มรอง
มีทั้งสิ้นเจ็ดสิบสองแห่ง
ฟ้ าดินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือป๋ ายอวี้จิงจาลองที่มีห้านครสิบสอง หอเรือน เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังเป็ นเพียงเค้าโครงอย่างหยาบๆ หากอิง ตามคากล่าวของคนที่ทาอาชีพด้านของโบราณก็คือแค่มองก็รู ้ว่า เป็ นของปลอม
สิ่งปลูกสร ้างที่มีอาณาเขตเล็กสุดคือศาลหลวี่กงที่เฉินผิงอันกับลู่ เฉินประลองฝีมือด้านการแสดงกัน เนื่องจากพื้นที่เล็ก ดังนั้นจึงยิ่งดู โอ่อ่าโดดเด่น เหมือนจริงยิ่งกว่าของจริง
ตลาดปลาริมคลองแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในอาเภอชายแดนของแคว้น หงซิ่ง ในค่าคืนเข้าหอ หม่าปี้เลิกผ้าคลุมหน้าสีแดงของคนงามที่ สวมมงกฎหงสวมผ้าคลุมไหล่ อันที่จริงเขารู ้ว่าหม่าชวนผู้เป็ นพี่ชายก็ ชอบนางเหมือนกัน แต่นางชอบตน เรื่องแบบนี้ยอมให้กันไม่ได้สองพี่ น้องร่วมกันเปิดศูนย์ฝึกยุทธขึ้นมาแห่งหนึ่ง นอกจากเปิดศูนย์ฝึกรับ ลูกศิษย์หาเงินมาส่วนหนึ่งแล้ว ม้าที่ไม่มีหญ้าตอนกลางคืนให้กิน ย่อมไม่อ้วนพี พวกเขาจึงผลัดกันไปเป็ นผู้คุมกัน ผ่านการเก็บหอม รอมริบมาสิบกว่าปี แต่ละคนต่างก็สะสมทรัพย์สมบัติได้พอสมควร
แล้ว อันที่จริงหลายปีมานี้ฮ่องเต้เลอะเลือน ปล่อยให้ญาติฝั่งภรรยา กุมอ านาจ ขายต าแหน่งขุนนางขายบรรดาศักดิ์ล้วนมีราคาระบุไว้ ชัดเจน ชาวบ้านไม่อาจท ามาหากิน ท่องยุทธภพอยู่ข้างนอกก็ไม่ใช่ เรื่องง่าย พวกคนร่วมอาชีพมักจะมีจุดจบอันน่าอนาถที่ตายอยู่ ตรงไหนก็ฝังตรงนั้น ไม่มีใครมาเหลียวแล พูดถึงแค่คราวก่อนที่หม่า ชวนไปเป็ นผู้คุมกัน เดินทางไปได้ครึ่งทางก็ต้องย้อนกลับ ลูกศิษย์ ศูนย์ฝึ กยุทธที่รับหน้าที่เป็ นผู้คุมกันเช่นเดียวกันก็เหมือนทา วิญญาณหล่นหายไป ที่แท้ตอนที่พวกเขาเดินทางผ่านหมู่บ้านใน ชนบทสองแห่งก็เห็นแต่โครงกระดูกกลาดเกลื่อนอยู่บนพื้น อีกทั้งยัง เห็นได้ชัดว่าตายเพราะถูกอาวุธมีคมสังหารอย่าว่าแต่หม่าชวนผู้เป็ น พี่ชายที่ตกใจขวัญกระเจิงเลย หม่าปี้แค่ได้ยินเรื่องพวกนี้ก็รู ้สึกชาไป ทั้งหนังหัวแล้ว ประเด็นสาคัญคือหากอิงตามคาบอกเล่าของพี่ชาย ดู จากศพที่ไม่มีคนเก็บกวาดพวกนั้นแล้ว วิเคราะห์ได้ว่าโจรกลุ่มนี้ลงมี อย่างมีระเบียบเหมือนคนที่ได้รับการฝึ กฝนมาก่อน โจรทั่วไปไม่ อาจจะทัดเทียมได้อย่างแน่นอน สองพี่น้องปรึกษากันเป็ นการส่วนตัว แล้วก็รู ้สึกว่าจ าเป็ นต้องรีบย้ายบ้านไปอยู่ในตัวเมืองโดยเร็ว เพราะถึง อย่างไรบ้านเกิดของพวกเขาก็มีสุภาษิตประโยคหนึ่งกล่าวไว้นาน แล้วว่า เจอความวุ่นวายเล็กน้อยย้ายเมือง เจอความวุ่นวายใหญ่ย้าย ถิ่นฐาน ต่อให้วิถีทางโลกแห่งนี้จะวุ่นวายแค่ไหนก็คงไม่ถึงขั้นมีควัน ดินปืนผุดขึ้นจากสี่ทิศ ทหารระส่าม้าวิ่งพล่าน บ้านเมืองวุ่นวายหรอก กระมัง?
วันนี้รถม้าขบวนหนึ่งมุ่งหน้าไปที่ตัวเมือง แน่นอนว่าต้องใช ้ถนน ทางหลวง ลูกศิษย์ศูนย์ฝึ กยุทธที่อยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ ติดตามคอยให้การคุ้มกัน หัวหน้าผู้คุมกันคือผู้เฒ่าคนหนึ่งของศูนย์ ฝึกยุทธที่มีชื่อว่าเสิ่นเค่อ
ธนูดอกหนึ่งพุ่งแหวกอากาศมาถึง พริบตาเดียวก็แทงทะลุศีรษะ ของเสิ่นเค่อ ผู้เฒ่าที่เวลาปกติชายฉกรรจ์แข็งแรงหลายสิบคนมิอาจ เข้าประชิดตัวเขาได้กลับตายคาที่ ร่างพลัดตกจากหลังม้า
ห่างไปไกลบนถนนทางหลวงมีทหารม้าสวมเสื้อเกราะชั้นดีกลุ่ม หนึ่งขวางทางอยู่ มีคนนั่งอยู่บนหลังม้าสูง หยิบธนูอีกดอกออกมา จากห่อใส่ลูกธนู เหนี่ยวสายธนูจนโค้งเป็ นจันทร ์เต็มดวง เล็งไกลๆ มายังหม่าปี้
ดูเหมือนว่าม้าอีกตัวที่อยู่ข้างๆ จะพูดอะไรบางอย่าง ครั้งนี้ทหาร ม้ามือดีจึงไม่ได้เล็งธนูไปที่หัวหรือหน้าอกอีก ลูกธนูส่วนใหญ่ปักไป ตรงหน้าท้องหรือไม่ก็ขาของคนในกลุ่มหม่าปี้
จากนั้นทหารม้าฝีมือดีกลุ่มนั้นก็ควบม้ามาถึง บ้างก็ชักดาบออก จากฝักแล้วแทงซ้าอีกที บ้างก็ถือหอกยาวไว้ในมือ แทงไปที่ไหล่ ฝ่ า มือ กระนั้นก็ยังจงใจไม่แทงจุดที่อันตรายถึงชีวิต
หม่านี้ถูกดาบฟันปาดลงไปบนไหล่ แขนทั้งข้างหลุดร่วง เลือด สดพุ่งทะลักทันใด ร่างของเขาโซเซ พอดีกับที่เห็นว่าหม่าชวนผู้เป็ น พี่ชายถูกหอกแทงไปตรงเป้ ากางเกง ทหารม้าที่ถือหอกผู้นั้นอาศัย
แรงกระโจนมหาศาลของม้าพันธ ์ดีพาหม่าชวนพุ่งออกไปไกลหลาย จั้ง หม่าปี้ถูกทหารม้าตัดแขนที่เหลืออีกข้างทิ้ง ก่อนจะถูกทหารม้า คนที่สามที่เชี่ยวชาญทั้งการขี่ม้าและยิงธนูจิกมวยผมของเขาเอาไว้ สองเท้าของหม่าปี่ลอยพ้นพื้น ถูกกระชากร่างให้ถอยร่นไปทั้งอย่าง นั้น หม่าปี้มองม่านฟ้ าที่เป็ นสีเทาขมุกขมัว พวกโจรที่เห็นชีวิตคนไร ้ ค่าดุจต้นหญ้าพวกนี้ คือทหารของทางการหรือ? วิถีทางโลกใบนี้ช่าง …
ก่อนจะตาย หม่าชวนมีแค่ความคิดเดียว หากบนโลกมีผีอยู่จริงๆ ก็ดีน่ะสิ ขอแค่ตนได้กลายเป็ นผีร ้ายก็จะต้องกลับมาแก้แค้นพวกเขา อย่างแน่นอน
สาวใช ้ชุดเขียวสวมกวานปีกขาวมีนามว่าชุนเงินเดินตามหญิง ชราขี่ม้าไปพักที่กระท่อมโกโรโกโสด้วยสีหน้าทึ่มที่อ
ผลคือนางกลับได้เห็นสตรีสวมชุดกระโปรงคนหนึ่งกาลังเก็บจาน ชามและตะเกียบและยังมีบุรุษที่นั่งคลอเพลงเบาๆ อยู่ข้างโต๊ะ นั่นมัน… หม่าชวน?!
หม่าชวนเห็นนางแล้วก็รู ้สึกได้ว่ามีเสน่ห์แตกต่างไปจากภรรยา ของตน หากได้หลับนอนร่วมกัน….แค่คิดมาถึงตรงนี้หม่าชวนก็รู ้สึก เร่าร ้อน เขาจึงเริ่มโอ้อวดอย่างอ้อมๆ ว่าตัวเองคืออาจารย์สอน หนังสือในบ้านของนายท่านตระกูลจ้าวที่เป็ นเศรษฐีในท้องถิ่น คือ บัณฑิตที่ผ่านการสอบและได้ตาแหน่งมาอย่างจริงแท้แน่นอน ขุนเงิน ไม่ชอบยามที่หม่าชวนส่งสายตาไปมาให้กับชิวจวิน พอได้ยินค าโอ้
อวดของหม่าชวนที่อยู่ตรงหน้า และยังมีสายตาเร่าร ้อนไม่เหมาะสม นั้น ในใจนางก็เกิดไฟโทสะลุกโชน จึงประกบสองนิ้วแล้วทิ่มเข้าไปที่ ดวงตาสองข้างของหม่าชวนอย่างว่องไว นางแค่นเสียงหยัน สะบัด คราบเลือดที่เปื้อนปลายนิ้วทิ้งเบาๆ ไม่มองบุรุษยากจนที่ลงไปนอน กลิ้งร ้องโหยหวนอยู่กับพื้น แต่มองสตรีออกเรือนแล้วที่คล้ายจะมีนิสัย นุ่มนวลขี้ขลาด นางกลับทาเพียงแค่ขดตัวอยู่บนเตียงเตา ปะชุน เสื้อผ้าชุดเก่าอยู่ใต้แสงไฟ ก้มหน้ากัดด้ายให้ขาด นางเพียงแค่กังวล ว่าสามีที่ตาบอดไปแล้ว พรุ่งนี้จะไปเป็ นครูสอนหนังสือ รับเงินเดือน แปดเฉียนทุกเดือนได้อีกอย่างไร ทีนี้พวกเขาก็ต้องมีชีวิตยากลาบาก ที่ยากจนจนไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกปากหม้อกันอีกแล้ว หญิงชรา ถอนหายใจ ดึงไส้ตะเกียงขึ้นมา พูดซ้าประโยคเดิมว่าแม่นางทาผิด อีกแล้ว ชุนเวินตาพร่าลายแล้วนางก็กลับมายืนอยู่นอกกระท่อมอีก ครั้ง หญิงชราผลักประตูเดินเข้าไปอีกครั้ง ยิ้มเอ่ยประโยคว่าแม่นาง มาถึงแล้ว กระท่อมมอซอ ขออย่าได้รังเกียจ
ข้ารับใช ้ถือกระบี่หญิงแห่งจวนหม่าที่ชื่อว่าชิวจวินแยกไม่ออก แล้วว่าตัวเองเป็ นใครกันแน่
หลายครั้งที่เปลี่ยนตัวตนทาให้นางรู ้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก “ชาติก่อน ครั้งล่าสุดนางคือสตรีที่กระโดดลงมาจากหอเรือนเพราะ ตระกูลถูกปล้นในค่าคืนที่ฝนตก และนางก็ไม่อาจทนรับความอัปยศ ได้
ตอนนี้นางมาอยู่ในจวนชนชั้นสูงแห่งหนึ่ง ห้องเรียงรายติดกัน สี่ ด้านรายล้อมไปด้วยระเบียง ยามที่ฝนตกหรือหิมะตกล้วนไม่ต้องกาง ร่ม แค่เดินอยู่ในระเบียงรองเท้าก็ไม่เปียกน้าแล้ว
ยุคสันติสุขที่ผู้คนใช ้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงเพลงและระบารา ฟ้ อน ทางตระกูลจัดงานเลี้ยงสุราไม่ขาดทุกค่าคืน อาหารล้าค่าหา ยากสดใหม่ที่ทาอย่างประณีติงดงามจนคนแทบไม่กล้ากิน เหล้าหมัก ชั้นดีนุ่มคอก็ยิ่งมีมากมายเกินกว่าจะนับได้ไหว
นางคือทายาทหญิงสายตรงของบ้านหลัก บิดาของนางแช่จ้าว ดู เหมือนจะเป็ นคหบดีผู้ร่ารวยที่มีอานาจในท้องถิ่น ได้ยินมาว่าทาง ตระกูลจะจ้างอาจารย์สอนหนังสือแซ่หม่า คนผู้นี้คือสามีของช่างเย็บ ผ้าที่ตระกูลของตนจ้างมาจากข้างนอก และสตรีคนเย็บผ้าที่ยังคง ความงามมีเสน่ห์ผู้นั้น หลายปีมานี้ก็เคยพบเจอกับนางเป็ นประจา คอยสอนวิชาเย็บปักถักร ้อยให้กับคุณหนูตระกูลจ้าวอย่างนาง แม้ว่า จะได้แต่เก็บตัวอยู่ในห้อง แต่นางกลับได้ยินค าซุบซิบนินทาบางอย่าง บอกว่าสตรีเย็บผ้าผู้นั้นมีความสัมพันธ ์ที่ไม่ชัดเจนกับบุรุษหลายคน ของจวน เป็ นเหตุให้นางมักจะเดินผมเผ้ายุ่งเหยิงออกมาจากมุมใด มุมหนึ่งของจวนเสมอกลางวันแสกๆ ก็ยังต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่
เวลานี้จ้าวชิวจวินนั่งอยู่หน้าคันฉ่องรับการปรนนิบัติจากเหล่า สาวใช ้ คนงามในกระจกใบหน้ากลมเกลี้ยง ขาวนวลเนียน คิ้วสอง ข้างเล็กบางโค้งเรียว ผิวพรรณเอิบอิ่มเต่งตึง สาวใช ้สวมชุดสีเขียวที่ นั่งอยู่ด้านข้างมีนามว่าเยว่เหมย
ในวังหลวงของแคว้นหงซิ่ง ฮูหยินเก้ามิ่งที่ได้รับเกียรติให้เข้าเฝ้ า ฮองเฮากลุ่มนั้น พอเห็นว่าบุรุษสวมชุดคลุมมังกรเลิกผ้าม่านขึ้นพวก นางก็พากันปลดเปลื้องชุดกระโปรงบนร่างออกอย่างคุ้นเคย นอนตัว อ่อนยวบอยู่ตรงข้อเท้าของอีกฝ่ าย ยังมีสตรีบางคนที่ปิดปากหัวเราะ คิกคักเรียกขานว่าฝ่ าบาท แล้วใช ้ปลายเท้าเขี่ยชายชุดของเขา มี เพียงจ้วงหยวนหญิงที่ยากจะเปิดปากพูด สีหน้าของนางหวาดผวา ครั้งนี้นางไม่ได้พยายามจะใช ้สารพัดวิธีมาอธิบายว่าตัวเองเป็ นใคร อีกแล้ว แต่นางวิ่งดิ่งไปที่หน้าประตู ต่อให้ก่อนหน้านี้จะถูกพวกสตรี ออกเรือนแล้วหรือไม่ก็พวกขันทีลากตัวกลับมาอยู่หลายครั้ง แต่ถึง อย่างไรก็ดีกว่าอยู่เฉย อยู่ไม่สู้ตาย ครั้งนี้นางวิ่งไปได้ไกลมาก ผลคือ วิ่งไปไปชนกับคนผู้หนึ่งในอุทยานหลวงนางเงยหน้าขึ้นแล้วก็เผยสี หน้าตกตะลึงระคนยินดีอย่างอดไม่ได้ นางพอจะจ าอีกฝ่ ายได้ จึงรีบ ใช ้นิ้ววาดตัวอักษรกลางอากาศ เขียนเป็ นคาว่า “อาจารย์ช่วยข้า ด้วย!”
คาดไม่ถึงว่าปัญญาชนวัยกลางคนที่เหมือนจะเป็ นอาจารย์ใน โรงเรียนของบ้านตนกลับเพียงแค่ยื่นมือมาคว้านิ้วเรียวยาวราวหยก ของนางเอาไว้ พูดโน้มน้าวว่า “เรียนบุ๋นบู๊ประสบความส าเร็จแล้ว ของมีค่าก็ควรถูกมอบให้แก่ราชสกุล เจ้าคือจ้วงหยวนหญิง ได้เป็ น พระสนมอีกก็ไม่ใช่ว่าได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ได้สร ้างเกียรติยศให้กับวงศ์ ตระกูลหรอกหรือ?”
นางเรียกชื่ออีกฝ่ ายออกมาตามจิตใต้สานึก ตวาดกร ้าวอย่าง เดือดดาลว่า “เจียงกุ้ยเจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน!”
ปัญญาชนวัยกลางคนพลันคลี่ยิ้ม “เจ้าคิดว่าฮูหยินเก้ามิ่งพวก นั้นคือใครล่ะ เจ้าจ าพวกนางไม่ได้จริงๆ หรือ? มีใครบ้างที่ไม่ใช่สตรีที่ เจ้าคะนึงหาอยากจะหลับนอนด้วยทุกค่าเช ้า ใครบ้างที่ไม่ใช่หญิงที่ แม้จะเป็ นวัยกลางคนแล้วแต่ก็ยังทรงเสน่ห์อยู่เสมอส าหรับในใจของ เจ้า?”
บนเส้นทางสู่หานตัน ข้างทางมีโรงเตี๊ยมอยู่แห่งหนึ่ง ในลาน กว้างมีต้นไหวโบราณอยู่ต้นหนึ่งที่พุ่มใบเขียวชอุ่มหนาครึ้ม เงาไม้ สาดส่องลงบนม่านโปร่งของหน้าต่าง
นักพรตวัยกลางคนคนหนึ่งที่ถือแส้ปัดฝุ่ นไว้ในมือ ด้านหลัง สะพายกระบี่เหรียญทองแดง นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ชายคา อดทนรอคอย ให้เจ้าของร้านหุงข้าวหวงเหลียงสุก
มีลูกค้าใหม่สองคนมาเยือน ล้วนเป็ นบัณฑิตที่จะเดินทางไปสอบ ในเมืองหลวง พวกเขาวางห่อสัมภาระไว้ในห้องพักของตัวเอง พอเห็น นักพรตวัยกลางคนที่มีมาดของเซียนก็เกิดความสนใจอยากจะเสวนา ด้วย
นักพรตหันหน้ามา ลูบหนวดยิ้มเอ่ย “สหายอวี๋ พี่เหยียนชาน สบายดีกันไหม”
อวี๋สืออู้ยื่นนิ้วไปดันไว้ตรงหว่างคิ้ว ไม่รู ้ว่าเหตุใดเขาถึงได้รู ้สึก ปวดหัวเล็กน้อย
หม่าเหยียนซานถามอย่างสงสัย “ท่านนักพรตรู ้จักพวกเราหรือ? หรือว่าเป็ นเวทคาถาตระกูลเซียนที่ล่วงรู ้เหตุการณ์ได้ล่วงหน้า?”
นักพรตลูบหนวด “ผินเต้าจ าชาติก่อนของพวกเจ้าได้”
หม่าเหยียนซานย่อมไม่เชื่อถ้อยคาเหลวไหลพวกนี้ เอ่ยสัพยอก ว่า “ท่านนักพรตคือยอดฝีมือนอกโลกอย่างที่กล่าวถึงในตาราหรือ?”
นักพรตโบกแส้ปัดฝุ่ นหนึ่งที ชี้ไปยังรังมดที่อยู่ใต้ต้นไหว เปลี่ยน มือที่ถือแส้ เอ่ยเนิบช ้าว่า “วิชญาณวาทของลัทธิพุทธให้ความส าคัญ กับการอบรมบ่มเพาะเมล็ดพันธ ์ซึ่งเป็ นจุดเริ่มต้นของการก่อเกิด รูปร่างอย่างมาก บอกว่าลักษณะทุกอย่างเป็ นแหล่งรวมของเมล็ด พันธ ์ทั้งปวง เพื่อหักล้างความเห็นผิดต่างๆ นอกลัทธิพุทธที่เชื่อว่าทุก สิ่งเกิดจากเหตุเดียว หลายเหตุ หรือเกิดขึ้นเองโดยไม่มีเหตุปัจจัย ใน บท “พระสูตรลังคาวตาร” บทที่หนึ่งได้พูดถึงการอบรมบ่มเพาะอยู่ สองประเภท “คัมภีร์มหายานสังคหวิภาสา’ เล่มสองอธิบายไว้ว่าสรรพ ธรรมทั้งหลายเกิดและดับพร ้อมกัน อาลยวิญญาณมีคุณสมบัติเป็ น เหตุที่สามารถก่อให้เกิดธรรมทั้งหลายเหล่านั้นได้ นี่ก็คือการอบรม บ่มเพาะในพระสูตรกล่าวไว้ว่าการอบรมบ่มเพาะก่อเกิด สรรพธรรมก็ มีเกิดมีดับ วิปากและจิตสานึกปรุงแต่งเกิดขึ้นโดยเกื้อหนุนกันเป็ น เหตุปัจจัย “มหายานศรัทธาปฏิญญาปรัชญา” กล่าวว่าผู้ที่อบรมบ่ม เพาะก็เหมือนเสื้อผ้าบนโลกที่จับต้องได้จริงแต่ไร ้กลิ่นหอม หากคน
ใช ้ธูปรมควันใส่เสื้อผ้า เสื้อผ้าก็จะมีกลิ่นหอมคาว่าปวง เพื่อหักล้าง ความเห็นผิดต่างๆ นอกลัทธิพุทธที่เชื่อว่าทุกสิ่งเกิดจากเหตุเดียว หลายเหตุ หรือเกิดขึ้นเองโดยไม่มีเหตุปัจจัย ในบท “พระสูตรลังคาว ตาร” บทที่หนึ่งได้พูดถึงการอบรมบ่มเพาะอยู่สองประเภท “คัมภีร ์ มหายานสังคหวิภาสา’ เล่มสองอธิบายไว้ว่าสรรพธรรมทั้งหลายเกิด และดับพร ้อมกัน อาลยวิญญาณมีคุณสมบัติเป็ นเหตุที่สามารถ ก่อให้เกิดธรรมทั้งหลายเหล่านั้นได้ นี่ก็คือการอบรมบ่มเพาะ ในพระ สูตรกล่าวไว้ว่าการอบรมบ่มเพาะก่อเกิด สรรพธรรมก็มีเกิดมีดับ วิ ปากและจิตสานึกปรุงแต่งเกิดขึ้นโดยเกื้อหนุนกันเป็ นเหตุปัจจัย “มหายานศรัทธาปฏิญญาปรัชญา” กล่าวว่าผู้ที่อบรมบ่มเพาะก็ เหมือนเสื้อผ้าบนโลกที่จับต้องได้จริงแต่ไร ้กลิ่นหอม หากคนใช ้ธูป รมควันใส่เสื้อผ้า เสื้อผ้าก็จะมีกลิ่นหอม คาว่าอบรมบ่มเพาะก็คือ เมล็ดพันธ ์ที่วิญญาณเจ็ดดวงแรกได้ฝากไว้ในทุ่งแห่งอาลยวิญญาณ ก็เหมือนพืชพรรณมากมายที่ถูกปลูกลงบนโลกใบนี้แล้วกลายเป็ น เมล็ดพันธ ์หล่นร่วงลงบนผืนดิน ผู้ที่ตายจากภูมิชั่วแล้วไปเกิดในภูมิ ชั่วอีกนั้นมีมากดุจดินบนแผ่นดินใหญ่ ส่วนผู้ที่ตายจากภูมิชั่วแล้วไป เกิดในภูมิที่ดีนั้นมีน้อยดุจดินที่อยู่บนปลายนิ้วมือ ดังนั้นการเกิดมา เป็ นมนุษย์จึงเป็ นเรื่องที่หาได้ยาก หลังจากมนุษย์ตายแล้ว ผู้ที่ตกไปสู่ อบายภูมิทั้งสาม มีมากดุจดินทั่วพื้นแผ่นดิน ส่วนผู้ที่ได้กลับมาเกิด เป็ นมนุษย์ มีน้อยดุจดินบนปลายนิ้วมือ เคยอ่านเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง จากใน “สังยุกตาคม” พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อแผ่นดินทั้งหมด กลายเป็ นมหาสมุทร มีเต่าตาบอดตัวหนึ่งมีอายุยืนยาวนับอสงไขย
กัป ร ้อยปีจะโผล่หัวออกมาสักครั้ง ในทะเลมีขอนไม้ลอยมา ในท่อน ไม้นั้นมีรูอยู่เพียงรูเดียว มันลอยไปตามคลื่นทะเล ถูกพัดพาไปตาม ลมบ้างทางตะวันออกบ้างทางตะวันตก พระพุทธเจ้าตรัสกับพระ อานนท์ว่า เต่าตาบอดกับท่อนไม้ แม้ส่วนใหญ่จะคลาดกันไป แต่ บางครั้งก็อาจประจวบพบกันได้ แต่ปุถุชนผู้เขลา ล่องลอยเวียนว่าย ในห้าภพภูมิ จะได้กลับมาเกิดเป็ นมนุษย์อีกเพียงชั่วคราวนั้น ยากยิ่ง กว่าสิ่งนั้นเสียอีก และใน “คัมภีร ์ถีเว่ยจิง” ก็กล่าวอีกว่ามีคนผู้หนึ่งอยู่ บนยอดเขาสุเมรุปล่ออยเส้นด้ายเส้นเล็กๆ ลงมา อีกคนหนึ่งอยู่ ด้านล่าง ถือเข็มเอาไว้ ระหว่างนั้นมีกระแสลมพายุหมุนแรง พัด เส้นด้ายจนแทบจะลอดรูเข็มไม่ได้ การได้เกิดเป็ นมนุษย์นั้นยากยิ่ง กว่าสิ่งนี้มากนัก ดังนั้นการที่บอกว่าการได้เกิดเป็ นมนุษย์นั้นยากจึง พอจะอธิบายได้คร่าวๆ ว่าเป็ นความยากสองอย่าง หากว่ากันในด้าน จานวนแล้ว ชีวิตในภูมิชั่วร ้ายมีมากดุจดินทั่วผืนแผ่นดิน ส่วนชีวิตใน ภูมิดีมีน้อยดุจดินใต้เล็บนิ้วมือ หากว่ากันในด้านความเป็ นไปได้ การ จะได้เกิดมาเป็ นมนุษย์เหมือนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรกว้างใหญ่ เป็ น เต่าตาบอดกับขอนไม้ลอยน้า การได้เกิดเป็ นมนุษย์นั้นยากแล้ว การ จะได้กลับมาเกิดเป็ นมนุษย์อีกนั้นยากยิ่งกว่า”
อวี๋สืออู้ถอนหายใจ เขาจาได้ทั้งหมดแล้ว
“ความฝันถึงบ้านเกิดแสนคับแคบ สายน้าผืนฟ้ ากลับกว้างใหญ่ พัดโบกลมเย็นท่ามกลางแสงจันทร ์เย็นกระจ่าง ข้ามีวิธีตัดข้อสงสัย หากอยากเลิกดื่มเหล้าก็ต้องใช ้สายตาของคนที่ตื่นรู ้มองคนเมา”
นักพรตวัยกลางคนใช ้แส้ปัดฝุ่ นชี้ไปที่ต้นไหวต้นนั้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทวีปไหวหวงแคว้นหงซิ่ง มดรังนั้นล้วนแซ่หม่า”