กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1091.1 มีเหลือ
เงาไม้เพยิบไหว สะท้อนลงบนผิวน้ากลายเป็ นสีเขียวมรกต
เมื่อครู่นี้ทั้งอวี๋สืออู้และหม่าเหยียนซานต่างก็ฝันกันไป อวี๋สืออู้ ฝันเห็นตัวเองกลายเป็ นผีเสื้อในสวนงดงาม บินไปติดใยแมงมุม รู ้สึก เสียใจภายหลังว่าไม่ควรฟักออกจากรังหนอน
หม่าเหยียนซานฝันเห็นตัวเองกับคนงามเมามายนอนค้างกันบน เรือล าเล็ก ล่องเรืออยู่บนแม่น้าเพียงลาพัง หลังจากสะดุ้งตื่นก็เห็น นักพรตสวมชุดขนนกสองคนจับมือกันเยื้องกรายมาเยือน
หม่าเหยียนซานรู ้สึกเพียงว่าตัวเองได้เจอกับเทพเซียนตัวจริง แล้ว
และเขาก็เคยได้เห็นเซียนซือผู้ถวายงานในตระกูลแสดงวิชาลับ ให้ดูกับตาตัวเองอยู่หลายครั้ง เพียงแต่ว่าสาหรับหม่าเหยียนซานแล้ว พวกเขายังคงไม่ถือเป็ นยอดฝีมือนอกโลกที่แท้จริงในใจตน ก็แค่คน ที่…มีเรี่ยวแรงมาก พอจะเป็ นวิชาเซียนอยู่บ้างเล็กน้อยเท่านั้น
นักพรตลูบแล้ปัดฝุ่ น เอ่ยว่า “สหายอวี๋คงไม่โทษที่ข้าบังคับรั้งตัว เจ้าเอาไว้หรอกกระมัง?”
อวี๋สืออู้คลี่ยิ้มสง่างาม “เป็ นข้าที่ผิดคาสัญญาก่อน จะโทษที่เจ้า ขุนเขาเฉินลงโทษไม่ได้”
่
เฉินผิงอันกล่าว “หากเป็ นผู้ฝึกตนอิสระ คาดว่าคงไม่มีความใจ กว้างได้อย่างสหายอวี๋ในเวลานี้แล้ว”
อวี๋สืออู้คลี่ยิ้มไม่พูดอะไร แสร ้งทาเป็ นฟังความหมายเหน็บแนม นอกเหนือค ากล่าวของอีกฝ่ายไม่ออก
เฉินผิงอันมองไปทางหม่าเหยียนซาน “หม่าขู่เสวียนเลือก ปกป้ องเจ้าให้อยู่ห่างไกลจากรังแห่งความแค้นนี้เพียงคนเดียว ก็ถือ ว่ามีเหตุผลจริงๆ”
พลิกเปิดสมุดบัญชีแล้ว แม้หม่าเหยียนซานจะเป็ นคนเสเพล แต่ ไม่ถือว่าเป็ นคนเลวร ้ายอะไร เวลาปกติทาแต่เรื่องเหลวไหลไร ้สาระ พูดง่ายๆ ก็คือมือไม่สกปรก ใจก็ไม่ด า
เดิมทีลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงพวกนี้ก็ไม่ถือว่าเป็ นคนดีอะไรอยู่ แล้ว อย่างมากก็แค่ไม่ทาเรื่องที่ผิดศีลธรรมผิดต่อกฎสวรรค์เท่านั้น เพียงแต่ว่าเมื่อมาอยู่ในตระกูลหม่าตรอกอูซาที่มีคนดีอยู่แค่ไม่กี่คน จึงท าให้หม่าเหยียนซานกลายเป็ นตัวประหลาดไปทันที การวางตัว อยู่ในสังคมเหมือนร ้านเหล้าที่ล้วนต้องอาศัยคนข้างๆ เป็ นหน้าม้าจริง เสียด้วย
นึกถึงค าเรียกขานของอวี๋สืออู้ก่อนหน้านี้ เจ้าขุนเขาเฉิน? ใน ที่สุดหม่าเหยียนซานก็คืนสติ “เจ้าคือเฉินผิงอันหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าเอง”
่
หม่าเหยียนซานได้ยินคาตอบที่ไม่อยากได้ยินที่สุดนี้แล้วกลับ กลายเป็ นว่ามีความรู ้สึกเหมือนได้กินยาสงบใจเข้าไปในที่สุด หาก เป็ นโชคก็ไม่มีเคราะห์ หากเป็ นเคราะห์ย่อมหลบไม่พ้น เขาจึงถามว่า “ที่นี่คือ?”
เฉิ นผิงอันยิ้มเอ่ย “ข้างเส้นทางสู่หานตัน ชื่อเสียงและ ผลประโยชน์มีมากมาย หนุนหมอนกระเบื้องเขียว ความฝันหวงเหลี ยง จริงเท็จจอยู่ที่เจ้า เท็จจริงอยู่ที่ข้า”
หม่าเหยียนซานฟังด้วยความมึนงง
อวี๋สืออู้กลับให้คาตอบที่แน่ชัดว่า “พวกเราอยู่ในฟ้ าดินที่เป็ น ภาพสะท้อนในจิตใจของเจ้าขุนเขาเฉิน ทั้งสามารถพูดได้ว่าเป็ นเท็จ แล้วก็สามารถบอกได้ว่าเป็ นจริง จริงๆ เท็จๆ ล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ ของเจ้าขุนเขาเฉิน”
หม่าเหยียนซานถาม “เจ้าขุนเขาเฉินจะแก้แค้นตระกูลหม่าของ พวกเราหรือ? คนแรกที่จะจัดการก็คือข้า?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เจ้ายังไม่มีน้าหนักมากขนาดนั้น คนที่ข้ามา หาคืออวี๋สืออู้ที่ผิดคาสัญญา หม่าเหยียนซานเป็ นแค่ของรางวัล เพิ่มเติมเท่านั้น”
อวี๋สืออู้ถาม “มาเยือนถึงที่ สังหารโจรร ้ายกับมือตัวเอง ตัดหัวอีก ฝ่ ายกลับไป เจ้าขุนเขาเฉินยังรู ้สึกว่าไม่พอส าหรับการแก้แค้นอีก หรือ?”
่
เฉินผิงอันกล่าว “อวี๋สืออู้ เจ้าเป็ นคนที่ไม่เลวคนหนึ่ง มองหม่าขู่ เสวียนเป็ นสหายรักส่วนที่ควรโน้มน้าวเจ้าก็โน้มน้าวแล้ว ส่วนที่ควร ช่วยก็ช่วยแล้ว ถึงขั้นที่ว่ายอมพาตัวมาเสี่ยงอันตรายอย่างไม่เสียดาย เป็ นสหายเป็ นได้ถึงขั้นนี้ก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ และภูเขาเจินอู่ก็เป็ นจวน เซียนที่มีขนบธรรมเนียมดีมาก หากเจ้ายินดีหยุดมือแต่เพียงเท่านี้ ข้าสามารถมองข้ามความผิดพลาดในกาลก่อน ถึงขั้นที่ว่าสามารถ ให้เจ้าพาหม่าเหยียนซานออกไปจากที่นี่ ส่วนในอนาคตหม่าเหยียน ซานจะเข้าไปฝึกตนอยู่ในภูเขาเจินอู่หรือไม่ วันหน้าจะมาแก้แค้นข้า หรือไม่ ตอนนี้ข้าก็สามารถพูดกับเจ้าอย่างตรงไปตรงมาได้เลยว่า อย่างไรก็ได้ แล้วแต่พวกเจ้า”
อวี๋สืออู้ยิ้มบางๆ “หากจะพูดถึงการคบหากันเป็ นสหาย ข้าอยู่ ไกลเกินกว่าจะเป็ นเพื่อนแท้ที่ชื่อตรงได้อย่างเจ้าขุนเขาเฉิน คนที่เคย พบเจอกิ่นกวาน สามารถฝากร่างกายแล้วก็สามารถฝากครอบครัว ไว้ให้ได้ด้วย”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “ยังไม่ตัดใจอีกรึ?”
อวี๋สืออู้กาสองมือเป็ นหมัดหลวมๆ วางยันไว้บนหัวเข่า “เรื่อง มาถึงขั้นนี้แล้ว ไหนเลยจะกล้าพัวพันต่อไป ทั้งไม่น่าสนใจแล้วก็ไม่มี ความหาย”
อวี๋สืออู้เป่ าไอหมอกกลุ่มหนึ่งออกมาจากปากเบาๆ “เพียงแต่ใน ฐานะผู้ที่เฝ้ ามองอยู่ด้านข้าง ก็อยากจะเตือนอาจารย์เฉินสักคาว่า ตอนนั้นไม่ฆ่ากู้ช่าน วันหน้ามีราคาที่ต้องจ่ายมหาศาล”
่
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “คาพูดประเภทนี้ แน่จริงเจ้าก็ไปพูดกับกู้ช่า นเองสิ ตอนนี้เขาอยู่ในพระราชวังของเมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียน ผ่านทางไปพอดี”
อวี๋สืออู้ส่ายหน้า “มิกล้า” เขายอมหาเรื่องเฉินผิงอัน แต่จะไม่ยอมผูกปมแค้นกับกู้ช่าน
เด็ดขาด
อวี๋สืออู้ใช ้เสียงในใจถามว่า “ท่านไม่ฆ่าหม่าขู่เสวียนได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ จะเป็ นหรือตาย ก็ต้องดูว่าตัวหม่าขู่เสวียนเองตัดสินใจอย่างไร”
อวี๋สืออู้มองไอหมอกเบื้องหน้าที่ค่อยๆ สลายไปช ้าๆ ถามว่า “ข้า สามารถมองเห็นจุดจบของทุกคนในสกุลหม่าได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันปฏิเสธโดยตรง “ไม่ได้”
ข้าเกรงใจเจ้า ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะไม่เกรงใจข้า
อวี๋สืออู้ยังคงไม่ถอดใจ “ก่อนหน้านี้บอกไปแล้วว่าข้ามีเงิน เหรียญทองแดงแก่นทองอยู่ส่วนหนึ่ง ถือเสียว่าจ่ายเงินดูงิ้ว เงิน เหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งเหรียญต่อการดูหนึ่งคน”
เฉินผิงอันกล่าว “สหายอวี๋พูดจาวางโตไม่น้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่า ลูกหลานแต่ละสายของสกุลหม่ามีทั้งหมดกี่คน? นี่ก็คือคาว่า “มีเงิน เหรียญทองแดงแก่นทองอยู่บางส่วน ของเจ้าหรือ?”
่
อวี๋สืออู้ยิ้มเอ่ย “ถึงอย่างไรก็เป็ นผู้ฝึกบาเพ็ญตนที่เป็ นขอบเขต หยกดิบแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะเอาไปใช ้จ่ายตรงไหน ดังนั้นจึงพอจะมี ทรัพย์สินเหลืออยู่บ้าง”
“ดูเรื่องราวของคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง มีความหมายต่อเจ้า ตรงไหน?”
“ข้ากับเจ้าขุนเขาเฉินคือคนสองประเภทที่แตกต่างกันอย่าง สิ้นเชิง ท่านอายุน้อยก็เคยเดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ามาแล้ว แต่ข้ากลับฝึกตนอยู่บนภูเขาตลอดทั้งปี จานวนครั้งที่ลงจากภูเขามี น้อยแสนน้อย ยากจะหาโอกาสมองดูชีวิตผู้คนที่มีสารพัด หลากหลาย เงินทองเป็ นของนอกกาย ตอนเกิดไม่ได้เอามาด้วย ตอน ตายก็เอาไปด้วยไม่ได้ อาจารย์เฉินไม่จ าเป็ นต้องคิดมากว่าข้ามีใจ คิดร ้ายอะไร หากไม่เชื่อ ข้าก็สามารถเอ่ยคาสาบานที่รุนแรงได้”
หม่าเหยียนซานได้ยินมาถึงตรงนี้ เขาก็คิดว่าโดยทั่วไปแล้ว จะต้องเหมือนอย่างที่ในตาราเขียนเอาไว้ กระโดดข้ามช่วงที่เอ่ยคา สาบานไป ถึงจะถือว่าต่างฝ่ ายต่างทะนุถนอมเห็นค่ากันและกัน คิดไม่ ถึงเลยว่าเจ้าขุนเขาเฉินจะพูดโพล่งออกมาว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ สาบานสิ”
อวี๋สืออู้เองก็เอ่ยค าสาบานในใจไปทางศาลบรรพจารย์ภูเขาเจิน อู่จริงๆ
่
หลังจากนั้นอวี๋สืออู้ก็คีบเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่ง ออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบนพื้นระหว่างคนทั้งสองเบาๆ
เฉินผิงอันผงกปลายคางไปทางหม่าเหยียนซาน ยิ้มเอ่ยว่า “ใน เมื่อสหายอวี๋มือเติบขนาดนี้ สนุกคนเดียวไม่สู้สนุกร่วมกันหลายๆ คน”
อวี๋สืออู้หลุดหัวเราะพรืด แล้วก็คีบเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง อีกเหรียญออกมาวางทับไว้บนเหรียญแรกจริงๆ
ในลานบ้านพลันมีไอหมอกลอยอบอวล มองไม่เห็นต้นไหวอีก ต่อไป แต่เห็นเป็ นภาพของตรอกอูซาขึ้นมาแทน มีพ่อค้าหาบเร่คน หนึ่งแบกหาบเดินผ่าน ในหาบบรรจุเตาไฟเล็กๆ อาชีพของเขาก็คือ คนปั้นน้าตาล แล้วยังมีนักเชิดหุ่นที่ตั้งแผงเชิดละครหุ่นไม้และหนังเงา ถึงขั้นที่ว่ายังมีภิกษุรูปหนึ่งแบกรูปปั้นของพระเวทโพธิสัตว์ออกเดิน บิณฑบาต ใบหน้าแห้งตอบแต่ดวงตากลับใสกระจ่าง พวกเขาพากัน เดินผ่านตรอกอูซาเส้นนี้ เมื่อมาถึงตรงนี้ ในความเห็นของหม่าเห ยียนซาน นี่ก็คือภาพในหมู่ชาวบ้านที่ปกติธรรมดาอย่างยิ่ง เพียงแต่ ว่ากาลเวลาในภาพเหตุการณ์นี้ผ่านไปค่อนข้างเร็ว คล้ายกับเป็ น การเอา…เศษผ้ามาประกบประกอบเข้าด้วยกัน จากนั้นภาพฉากก็ แปรเปลี่ยนไป เป็ นช่วงเวลาที่หิมะใหญ่ตกกระหน่าลมพัดให้ธงผ้าผืน ใหญ่ของร ้านเหล้าด้านข้างตรอกอูซาสะบัดม้วนไปม้วนมา ในร ้านมี กรงใส่จิ้งหรีดหลากหลายรูปแบบแขวนเอาไว้ เถ้าแก่เนี๊ยะร ้านเหล้า คือหญิงหม้ายอายุน้อยที่ยังพอมีความงามเหลืออยู่บ้าง หม่าเหยียน
่
ซานจานางได้ในทันที นั่นคือมารดาของหม่าลู่ และหม่าลู่ก็คือคนที่มี อนาคตในด้านการเรียนวรยุทธในกลุ่มชายหนุ่มของสกุลหม่ามาก ที่สุด เขาแช่ยาสมุนไพรมานานสิบกว่าปี ขัดเกลาเส้นเอ็นและกระดูก บนร่างกายตลอดทั้งปี ทั้งยังกราบแม่ทัพบู๊ท่านหนึ่งของแคว้นอวี้เซ วียนเป็ นอาจารย์ เดินไปบนเส้นทางวรยุทธที่ยาวไกลเพียงแต่ว่าเวลา นี้สตรีดูอ่อนเยาว์มากกว่าเดิม อีกทั้งสถานะของนางก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่หญิงชราเฉลียวฉลาดที่ชอบบงการ ชอบแอบปล่อยกู้ดอกเบี้ย สูงอีกต่อไป สตรีตรงหน้าผู้นี้สีหน้าเหลืองเหมือนเทียนไข ไม่มีราศี ราวกับว่านางไม่เคยเป็ นสาวมาก่อน ผิวพรรณก็ไม่เคยขาวนวล สี หน้าไม่เคยแดงก่าเพราะความเขินอาย เสน่ห์จางหายสิ้น ไม่รู ้ว่า หายไปอยู่ที่ไหน ไม่รู ้ว่าทุกวันนี้ยังจะมีบุรุษสักกี่คนที่ยังจดจาโฉม หน้าของนางตอนยังอายุน้อยได้อีก ในช่วงเวลาที่ฟ้ าดินเยียบเย็น ลูกค้าในร ้านกลับมีอยู่ไม่น้อย หม่าเหยียนซานค่อยๆ จ าพวกเขาได้ ล้วนเป็ นบ่าวฐานะต่าต้อยในจวนหม่า บางทีอาจเป็ นคนยกเกี้ยว คนขี่ รถม้า ทว่า “วันนี้” พวกเขาที่อยู่ในร ้านเหล้าหากไม่ได้ลวนลามสตรีก็ พูดจาสัปดนหยาบโลนใส่นาง และยังมีชายคนหนึ่งที่ตั้งใจมาทวงหนี้ บอกให้สตรีนั่งดื่มเหล้าเป็ นเพื่อน เวลาพูดมักจะชอบแสยะปาก บางที อาจเป็ นเพราะเขารู ้สึกว่าค าพูดของตัวเองตลกขบขัน หรือบางทีอาจ เป็ นเพราะเขาเลื่อมฟันทองไว้ซี่หนึ่ง เขาใช ้สายตาบอกเป็ นนัยแก่สตรี แต่สตรีกลับไม่รับรู ้ จึงได้แต่กระซิบกับนางอย่างตรงไปตรงมา บอก กับสตรีว่าขอแค่นางพาเขาไปที่ห้องครัวด้านหลังสักรอบ ดอกเบี้ย ของเดือนนี้ก็จะถือว่าหายกันไป ให้ตายอย่างไรสตรีก็ไม่ยินยอม ชาย
่
ฉกรรจ์ที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ลิ้มรสอาหารคาวสักครึ่งคาจึงตบ หน้านางไปเต็มแรง ลูกชายที่ยังเรียนอยู่ชั้นประถมของสตรีอยากจะ ทวงความเป็ นธรรมแทนมารดา บุรุษจึงคืนความเป็ นธรรมให้กับเด็ก น้อยเน้นๆ เสียงดังลั่น ชายฉกรรจ์ก่นด่าทิ้งคาอาฆาตเอาไว้ว่าหากยัง ไม่ใช ้หนี้จะให้นางไปเป็ นนางโลมอยู่ในซ่อง สตรีออกเรือนแล้วที่หน้า บวมแดงทั้งไม่กล้าพูดอะไร ยิ่งไม่กล้าไปแจ้งทางการ ได้แต่นั่งกอดลูก ชายผู้น่าสงสารที่มีเลือดซึมออกมาจากริมฝี ปากด้วยสีหน้าทึ่มที่อ สตรีที่ชะตาชีวิตเต็มไปด้วยอุปสรรคไม่อยากทาเรื่องที่ถูกหรือผิด แล้วก็ไม่อยากสนใจแล้วว่าชะตาชีวิตในวันพรุ่งนี้จะดีหรือร ้าย
นักพรตวัยกลางคนที่สะพายกระบี่เหรียญทองแดงยิ้มถามว่า “จะ ดูต่อหรือว่าจะเปลี่ยนดูภาพอื่น?”
อวี๋สืออู้พยักหน้า “เปลี่ยนภาพใหม่ก็แล้วกัน”
นักพรตกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ชาระเงินมาก่อน”
อวี๋สืออู้หันหน้ามาถาม “เหยียนซาน ในภาพนี้มีคนสกุลหม่าของ พวกเจ้าอยู่กี่คน?”
หม่าเหยียนซานบอกจ านวนไปว่า หก
อวี๋ซืออวี๋ควักเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสิบสองเหรียญออกมา อย่างว่องไว
“อันที่จริงคือแปดคน”
่
นักพรตยิ้มพูดแก้ให้ “ตระกูลใหญ่เกินไปก็ไม่ดี แม้กระทั่งคนใน ตระกูลของตัวเองก็ยังจ าได้ไม่ครบ ไม่เป็ นไร เงินเหรียญทองแดงแก่น ทองสี่เหรียญถือว่าเป็ นของรางวัลที่มอบให้”
ดงต้นกกต้นอ้อที่เติบโตขึ้นในบึงน้าเป็ นสีเขียวชอุ่มมองแล้ว สบายตา ยามที่คนเดินผ่านมักจะมีนกไม่ทราบชื่อตีปีกบินกระพือ ออกมาอย่างรีบร ้อน สีของพวกมันเป็ นสีเขียวมรกต พุ่งตัวไปว่องไว ราวกับลูกธนู มีคนของที่ว่าการพานักโทษเนรเทศกลุ่มหนึ่งเดินไป บนทางดินโคลนเฉอะแฉะ ฝ่ ายหลังล้วนสวมโซ่ตรวนหนักอึ้งทุกคน ถูกเชือกเส้นหนึ่งร ้อยไว้ด้วยกันเหมือนตั๊กแตนเสียบไม้ เดินโซซัด โซเซไปบนถนน บนผิวน้ามีเรือท่องเที่ยวสูงสามชั้น คนบนเรือก าลัง กินเลี้ยง สาวงามคอยยุให้ดื่มเหล้า จอกสีทองชนกันไปมาเคล้าเสียง เฮฮาสนุกสนาน มือนวลกรีดพลิ้วบนสายพิณ กลิ่นเหล้าหอมเข้มข้น ปะปนกับกลิ่นน้าอบน้าปรุงไม่รู ้ว่าเป็ นใครที่เห็นภาพบนชายฝั่งก่อน คุณชายผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งจึงสั่งให้คนเอาเศษเงินมาบอกให้เรือหอ เรือนขยับเข้าไปใกล้ฝั่ง ให้สตรีขว้างเศษเงินไปยังนักโทษพวกนั้น ขอแค่ขว้างโดนหนึ่งคนก็จะได้รับทองเป็ นรางวัลหนึ่งก้อน
อวี๋สืออู้ถาม “หม่าเหยียนซาน?”
หม่าเหยียนซานเหม่อลอย พอได้ยินเสียงเรียกถึงได้คืนสติ เอ่ย ด้วยสีหน้าซับซ ้อนว่า “มีแค่สองคน คนหนึ่งอยู่บนเรือ คนหนึ่งอยู่บน ฝั่ง อยู่ที่จวนหม่าพวกเขาเป็ นพ่อลูกกัน”
่
อวี๋สืออู้จึงหยิบเงินเหรียญทองแดงแก่นทองออกมาสี่เหรียญ เอ่ย กับ “นักพรตวัยกลางคนที่สะพายกระบี่ถือแส้ปัดฝุ่น” ผู้นั้นว่า “เปลี่ยน ได้แล้ว”
ภาพต่อมาคือฮองเฮาพระองค์หนึ่งที่มาจากตระกูลเมล็ดพันธ ์แม่ ทัพ แต่กลับเกิดมามีนิสัยขี้อิจฉาริษยา ในเรือนหลังของครอบครัว จักรพรรดิที่มีเหล่าสนมชายาผิวพรรณขาวนวลยิ่งกว่าหิมะ เส้นผม ด าขลับเกล้ามวยงดงาม เพียงแค่เพราะฮ่องเต้ลูบคล ามือของนาง ก านัลคนหนึ่ง วันที่สองฮ่องเต้ก็ได้รับกล่องใบหนึ่ง ด้านในบรรจุมือ ซีดขาวคู่หนึ่งของนางกานัลนางยังเคยให้นางกานัลที่ร่างกายกายา จับกุ้ยเฟยคนหนึ่งมัดมาไว้ตรงหน้า ควักดวงตาทั้งคู่เฉือนหน้าอกสอง ข้างของฝ่ ายหลัง…ทรมานอีกฝ่ ายจนตายทั้งเป็ น โดยเฉพาะภาพ สุดท้ายที่ฮองเฮาผู้ชั่วช ้าให้สตรีร่างกายแข็งแรงคนหนึ่งเอาค้อนไม้มา …หม่าเหยียนซานที่ดูอยู่สีหน้าซีดขาวยิ่งกว่ามือคู่นั้นของนางกานัล เสียอีก เขาเกือบจะอาเจียนอยู่รอมร่อ
อวี๋สืออ้อดไม่ไหวถามว่า “คงไม่ใช่ว่ามีโศกนาฏกรรมพวกนี้ เกิดขึ้นทุกเวลานาทีหรอกนะ?”
นักพรตกล่าว “ก็มีบางส่วนที่รสชาติจืดชืด เพียงแค่เพราะกังวล ว่าสหายอวี๋จะรู ้สึกว่าเสียเงินไม่คุ้มค่า ถึงได้จงใจเลือกม้วนภาพพวกนี้ มา ต่อจากนี้ก็จะเป็ นฮองเฮาผู้นั้นที่โดนสวรรค์ลงทัณฑ์ ถูกลิขิตให้ กลายเป็ นงูยักษ์ตัวหนึ่งที่ยึดภูเขาก่อกรรมทาชั่ว ถูกชายหญิงกลุ่ม หนึ่งที่รู ้วิชารมควันจับงูบีบให้ออกมาจากรัง แล้วใช ้ดาบฟันหลาย
่
แผลจนตาย ดีถูกควักออกมาดองเป็ นเหล้า ชาติหน้าก็ยังคงเกิดมา เป็ นสตรี ต้องตายกะทันหัน ถูกคนชั่วกลุ่มหนึ่งงัดโลงขโมยสุสาน ศพ ถูกแยกร่าง เอาไปขายให้ชาวประมงที่ริมทะเล กระดูกส่วนหนึ่งถูกเอา ไปใช ้บนเรือ เพราะหากอิงตามขนบธรรมเนียมก็คือเวลาชาวประมง ออกทะเลจะสามารถสยบคลื่นได้ ทากรรมใดไว้กรรมนั้นก็ตามสนอง ส่วนเรื่องที่ว่าทาไมกุ้ยเฟยถึงได้เจอหายนะเช่นนี้ตัวนางเองก็ย่อมต้อง เคยสร ้างกรรมมาก่อน เพียงแต่พวกเจ้าพลาดไป หากอยากจะดูก็ สามารถย้อนภาพไปได้ ส่วนฮองเฮากับกุ้ยเฟยผู้นี้เป็ นใคร เจ้า สามารถถามหม่าเหยียนซานได้ ครั้งนี้เขาต้องจาได้แน่นอน จะดูต่อ หรือว่าเปลี่ยนภาพใหม่?”
อวี๋สืออู้เงียบไม่ตอบ เพียงแค่ควักเงินออกมาต่อ จิตใจของหม่า เหยียนซานสะท้านสะเทือน เหงื่อเปียกเต็มหลังของเขานานแล้ว เอ่ย เสียงสั่นว่า “เปลี่ยนภาพใหม่ รีบเปลี่ยนภาพใหม่”
ต้องการให้คนทั่วทั้งสกุลหม่าเคียดแค้นชิงชังกันและกัน
แต่ยังไม่ได้หยุดแค่นี้ ยังต้องให้คนบางคนเคียดแค้นตัวเองด้วย
ในชนบทแห่งหนึ่ง พวกเด็กๆ มักจะไปเล่นว่าวที่สุสานเป็ นประจา ด้านข้างมีต้นไม้เตี้ยๆ อยู่แถบหนึ่ง เหนือกิ่งอ่อนไม่รู ้ว่าเป็ นนกกระทา หรือนกเขาที่กาลังส่งเสียงร ้อง
่
หิมะทับถมไปทั่วพันภูเขา ต้นไม้ดอกไม้ล้วนกลายเป็ นสีขาว มี ลูกหลานตระกูลขุนนางคนหนึ่งที่อยู่ในวัยสวมกวานนั่งรถม้าคันเล็ก ลากน้าแข็งจากในป่ากลับเข้าไปในเมือง
ใต้เพิ่งถั่วซุ้มแตง มีสตรีอายุน้อยกาลังซุบซิบพูดคุยกัน “ท่านป้ า ท่านสวยมาก” “เมื่อก่อนข้าสวยกว่านี้”
น้าเสียงใสกังวานของเด็กสาวเหมือนเสียงนกขมิ้นที่อยู่บนยอด ไม้ น้าเสียงของสตรีออกเรือนแล้วนุ่มนวลเย้ายวนเหมือนกลีบดอกไม้ ที่เพิ่งร่วงหล่นลงพื้น
มีขุนเขาเขียวตระหง่านสูงเสียดแทงเข้าไปในชั้นเมฆราวกับว่า ผุดออกมาจากพื้นดินพันปีหมื่นปีที่ผ่านมาก็อยู่ตรงนี้มาโดยตลอด ในภูเขาลูกนี้มีพรรคบนภูเขาแห่งหนึ่งที่ประวัติศาสตร ์ยาวนาน ช่วงเวลาที่อากาศร ้อนแผดเผา สตรีในจวนเซียนมักจะชอบสวม กวานฝูหรงประดับผลึกแก้วทรงหยดน้า เป็ นเหตุให้มีอีกชื่อหนึ่งว่า กวานหลบร ้อน มีผู้ฝึกตนมากพรสวรรค์ที่ใบหน้างดงามราวกับหยก คนหนึ่งลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ได้รอบหนึ่งแล้วก็หวนกลับ ขึ้นมาบนภูเขาอีกครั้ง ทว่าเขากลับแอบไปหลงรักสตรีที่เป็ นศัตรู ดอกท้อของปีนี้พัดพาดอกเหมยให้ปลิวหายไปสิ้น ไม่รู ้ว่าคนงามอยู่ที่ ใด ราวตื่นจากความฝันหน้าต่างห้องพ านักสว่างใส พลันแลเห็นบ้าน ผู้คน เงาหลังฝูงกาเลือนรางยามสายัณห์
ดูเหมือนว่าความรู ้จะค่อยๆ สะสมกันได้ แต่ความสามารถกลับ ต้องพกติดตัวมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ มีลูกหลานตระกูลยากจนที่
่
พรสวรรค์โดดเด่นคนหนึ่งอาศัยคาว่า “ฉลาดเฉลียว” ไม่สนใจ เรื่องราวของโลกภายนอก พูดบ่นขณะเปิดอ่านตาราประวัติศาสตร ์ว่า ขุนนางกังฉินคนนั้นไม่ใช่ผู้มีความสามารถ พลางบอกว่าบุคคล เหล่านั้นไม่รู ้ด้วยซ้าว่าตัวเองพูดประโยคใดผิดไป ได้แต่บ่นว่าสวรรค์ อิจฉาคนมีฝีมือ ปล่อยเวลาของครึ่งชีวิตให้ล่วงเปล่าไปทั้งอย่างนี้ ทุก ครั้งที่ร ้านอาหารที่เขาไปติดเงินไว้ขึ้นราคา ก็มักจะขอให้เขาช่วย เขียนใบรายการอาหารให้ เขาติดสุรา เรียกได้ว่าติดสุราราวกับชีวิต ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องของกามตัณหา เวลาไปเดินเที่ยว ตลาดหรืองานวัด เขาไม่มองสตรี และพวกสตรีก็ไม่มองเขาเช่นกัน