กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1091.2 มีเหลือ
อวี๋สืออู้คอยควักเงินอยู่ตลอดเวลา เงินเหรียญทองแดงแก่นทอง หลายกองที่ทับซ ้อนกันบ้างสูงบ้างต่า “ตั้งตระหง่าน อยู่ระหว่างคนทั้ง สอง
“เป็ นอย่างไร? ดูภาพเหตุการณ์พวกนี้ไปแล้วรู ้สึกว่าไม่มี ความหมายอะไรหรือไม่? แน่นอนว่าขอแค่พวกเจ้าอดทนดูต่อไปก็ยัง พอจะมีนัยให้ขบคิดอยู่บ้าง”
นักพรตยิ้มบางๆ “หม่าเหยียนซาน อยากจะเห็นม้วนภาพที่เดิมที เป็ นของเจ้าหรือไม่? ท าใจให้สบาย ข้าจะมอบให้เปล่าๆ ไม่เก็บเงิน”
หม่าเหยียนซานเหมือนตกลงสู่หลุมน้าแข็ง รีบส่ายหน้าทันที
เพียงแต่ว่าเขามิอาจได้สมใจปรารถนา เพราะนักพรตโบกแส้ก็มี ม้วนภาพหนึ่งคลี่กางออกมาแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมามักจะมีหญิงชราหรือไม่ก็หญิงวัยกลางคนเดินอยู่ ตามถนนใหญ่ตรอกเล็ก คอยรับซื้อเสื้อผ้าเก่าขาดจากบ้านหลังต่างๆ ทว่าในม้วนภาพกลับเป็ นชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าไม่พอดีตัว เผยให้ เห็นข้อเท้า คล้องตะกร ้าอยู่บนมือ คอยร ้องตะโกนอยู่ในตรอกท าให้ คนที่มองมาเห็นอดรู ้สึกเสียดายอย่างห้ามไม่ได้
“ชีวิตอีกสองประเภทที่เหลือ เมื่อเทียบกันแล้วมีความพลิกผัน มากยิ่งกว่า เป็ นปรมาจารย์ในยุทธภพของพื้นที่มงคลที่ไร ้ศัตรูเทียม ทานในใต้หล้า สะสมกาลังภายในมาหนึ่งร ้อยยี่สิบปี พอกระตุ้นกาลัง ภายในก็จะมีแสงกระบี่พุ่งออกมาหลายรุ่น ถูกจักรพรรดิอัครเสนาบดี และเหล่าผู้กล้าในยุทธภพมองเป็ นเซียนกระบี่พสุธาในตานาน จากนั้นออกจากพื้นที่มงคลมาเจอกับผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่าง คนหนึ่ง เกิดความขัดแย้งกันเล็กๆ น้อยๆ ก็ถูกอีกฝ่ ายสังหารได้อย่าง ง่ายดาย ดูท่าแสงกระบี่ไม่ควรจะปรากฏอยู่ในตาราที่มีเทพเซียนภูตผี เล่มนี้”
“ชีวิตแบบที่สอง ผินเต้าแอบลดขั้นตอนการทางานลง ให้ทับ ซ ้อนอยู่กับชีวิตของบุรุษมากความสามารถที่ไม่ชอบสตรีคนนั้น เพียงแต่ให้เจ้าอยู่ในวัยกลางคน เปลี่ยนชะตาชีวิตใหม่ ต้องรู ้จักกับ องค์ชายที่ตาหนักอยู่นอกวัง ไม่ถึงสามปีจะได้รับเกียรติยศอย่างเต็มที่ ท่ามกลางวิถีทางโลกที่เกิดกลียุควุ่นวาย วีรบุรุษสังหารสิงห์ร ้ายผู้เห่อ เหิม สิงห์ร ้ายผู้เห่อเหิมสังหารวีรบุรุษ หรือไม่ก็วีรบุรุษสังหารวีรบุรุษ สังหารสิงห์ร ้ายผู้เห่อเหิมสังหารสังหารสิงห์ร ้ายผู้เห่อเหิม อยากจะเห็น ช่วงเวลาสี่ห้าปีสุดท้ายของชีวิตรูปแบบนี้ของเจ้าหรือไม่ ต้องมีจุดหัก เหที่ไม่เลวแน่นอน ด้วยมันสมองของเจ้าแล้วเจ้าต้องคิดไม่ถึงแน่”
ฟังมาถึงตรงนี้หม่าเหยียนซานก็ถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าช่วยลบ ความทรงจาพวกนี้ของข้าทิ้งไปได้ไหม?”
หากทุกคนต่าง “ตื่นขึ้นจากความฝัน” อีกทั้งยังหลงเหลือความ ทรงจาที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งหมดล่ะ? วันหน้าทุกคนในจวนหม่า จะมีชีวิตเรียบง่ายเพียงแค่ “ต่างฝ่ ายต่างไม่พอใจกัน ไก่บินหมา กระโดดอลหม่าน” เท่านั้นจริงหรือ?
หม่าเหยียนซานถึงขั้นเริ่มเป็ นกังวลแล้วว่าหากฟื้นคืนสติกลับมา ก็ไม่ต้องให้เฉินผิงอันลงมือทาอะไรเลย พวกเขาก็จะเริ่มเข่นฆ่ากันเอง อย่างโหดเหี้ยม ซึ่งเป็ นความหมายตามตัวอักษรนี้จริงๆ
นักพรตสะบัดชายแขนเสื้อ ยื่นมือออกมาทาท่าถือประคองถ้วยก็ มีถ้วยกระเบื้องขาวใบหนึ่งโผล่ออกมาจากกลางอากาศ ไม่รู ้ว่าด้าน ในเป็ นน้าหรือเหล้า ริ้วน้ากระเพื่อมแผ่น้อยๆ “พอจะถือว่าเป็ นคน ฉลาดได้อยู่”
“สหายอวี๋ ค่ายกลเหรียญทองแดงของเจ้ายังจัดวางไม่เสร็จ ช่วย บอกให้แน่ชัดหน่อยได้หรือไม่ว่ายังต้องให้ข้ารออีกนานแค่ไหน?”
“พวกเจ้าน่าจะรู ้กันว่าตอนที่ข้าเป็ นเด็กหนุ่ม เคยถูกวานรย้าย ภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงไล่ฆ่าที่บ้านเกิด แต่เรื่องที่ข้าสังหารไช่จิน เจี่ยน พวกเจ้าน่าจะไม่รู ้กันแล้ว”
“คิดอยากจะฝึกฝนด้านค่ายกลให้ประสบความสาเร็จ ถ้าสวรรค์ หลีจูตอนที่ยังไม่ร่วงหล่นลงพื้นก็คือ “ต้นฉบับ” ที่ดีที่สุด ดังนั้น นอกจากจาเป็ นต้องขอความรู ้อย่างถ่อมตัวเพิ่มเติมอีกหลายครั้งจาก พวกหลิวจื้อเม่าที่เคยอยู่ในสถานการณ์เรื่องที่ว่าตอนนั้นที่อยู่ในเมือง
เล็กถูกสยบก าราบจนไม่กล้าใช ้ปราณวิญญาณกันอย่างไร เดิมทีข้า เลือกฉงฉ่าง ตอนนี้ก็ได้แต่รบกวนให้สหายอวี๋ที่ “ผ่านทาง” แวะไป เยือนถ้าสวรรค์หลีจูรอบหนึ่งแล้ว เพื่อที่จะให้ข้าพิสูจน์ผลลัพธ ์สัก รอบ แล้วจะได้ค่อยๆ ชดเชยช่องโหว่ที่มีอยู่”
“อวี๋สืออู้ ใครมอบความกล้าให้เจ้า เป็ นแค่ผู้ฝึ กลมปราณ ขอบเขตหยกดิบก็กล้าเล่นตุกติกข้างกายผู้ฝึ กยุทธขอบเขต ปลายทางคนหนึ่งเชียวหรือ?”
“สามครั้งแล้ว เรื่องเดิมไม่ทาซ้าสาม ความผิดเล็กน้อยที่ต้อง ลงโทษรุนแรงให้เป็ นบทเรียนจะหยุดแต่เพียงเท่านี้ อวี๋สืออู้ จงหลับไป ซะ”
หม่าเหยียนซานหันหน้าไปมองฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายที่เขามี อยู่ ไม่รู ้ว่าเหตุใด เขามองไม่เห็นด้วยซ้าว่า “นักพรต” ทาอะไร แต่อวี๋สืออู้กลับไหล่ลู่คอตก หลับสนิทไปทันที
เฉินผิงอันยื่นมือออกมาคว้าจับ ในมือก็มีกาน้าใบหนึ่งที่บรรจุน้า เดือดพล่านไว้จนเต็มกา เขายื่นส่งไปให้หม่าเหยียนซาน “ไป เอาไป รดลงบนรังมดรังนั้น”
หม่าเหยียนซานตกใจถอยกรูดหนีห่าง
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงเย็น “เพียงแค่เพราะมดพวกนั้นมีชื่อมีแซ่ มีความเกี่ยวข้องกับญาติของเจ้า ก็เลยท าไม่ลง ไม่กล้าท าแล้วหรือ?”
หม่าเหยียนซานหน้าไร ้สีเลือด
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเฉยชา “น่าประหลาดนัก ก็ไม่เคยเห็นว่า ตอนที่มดพวกนี้ทาเรื่องพวกนี้จะมีความเห็นอกเห็นใจให้ใครสักนิด”
“ราวกับว่าในสายตาของพวกเจ้า วิถีทางโลกใบนี้ไม่ว่าอะไรก็มี หมด สิ่งเดียวที่ไม่มีก็คือคน”
ผูหลิ่วหญิงชราขอบเขตก่อก าเนิดแยกไม่ออกแล้วว่าตัวเองเป็ น ผู้สมรู ้ร่วมคิดหรือเป็ นลิ่วล้อของอิ่นกวานหนุ่มกันแน่
เสิ่นเค่อยังถูกผีบังตาอยู่ในเมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียน ปรมาจารย์ ผู้เฒ่าเสิ่นคือคนที่รับฟังคาโน้มน้าวของผู้อื่น เขารีบไปหาอาวุธ เหมาะมือมาสามสี่ชิ้นแล้วเปิดฉากสังหารจนคมดาบม้วนงอ เพียงแต่ ว่าฆ่าไปฆ่ามาก็ล้วนเป็ นเสิ่นเค่อที่ฆ่าเสิ่นเค่อ ไม่รู ้ว่าเซียนกระบี่เฉินผู้ นั้นใช ้วิชาอภินิหารที่…ชั่วร ้ายอะไร ความเจ็บปวดของคนที่ถูกฆ่า เสิ่นเค่อล้วนรู ้สึกได้อย่างชัดเจน และเพื่อปกป้ องตัวเอง นี่จึงบีบให้เสิ่น เค่อไม่เพียงแต่ต้องฆ่าคน ยังต้องลงมือในการสังหารให้ว่องไวอีกด้วย
ฉงฉ่างคนเชื่อดาบได้ออกไปจากสถานที่อันตรายแห่งนี้แล้ว สิ่งที่ สกุลหม่าตรอกซิ่งฮวาติดค้างเขา ถึงอย่างไรก็ยังต้องถูกเขาทวงคืน กลับไป ก็เหมือนคาโบราณของเมืองเล็กที่กล่าวไว้ เหลือค้างไว้ก่อน
อวี๋ชิ่งมาอยู่ที่ซากปรักจวนเซียน อยู่เป็ นเพื่อนเซียวสิงที่เป็ น “ช่างเย็บปะ” ต่ออีกครั้ง ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็น อดีตคน ชาระแค้นที่ชื่อจริงมีแซ่สองพยางค์ว่ากงซุนผู้นี้รู ้สึกว่าคงยากแล้วที่ ตัวเองจะออกไปได้ เพราะผู้ฝึ กตนหญิงแห่งเปลี่ยวร ้างก็ดี หรือ
“คุณชายเหริน” สวมกวานเต๋าท่าทางลับๆ ล่อๆ ก็ช่าง คาพูดคาจาที่ พวกเขามีต่อนางล้วนจริงใจเกินไป จริงใจจนราวกับเห็นนางเป็ นคน ในครอบครัวไปแล้ว
ลูกหลานสกุลหม่าอย่างหม่าชวนและหม่าปี้ต่างก็ได้พบเจอ เรื่องราวคนละรูปแบบความชั่วร ้ายที่พวกเขามอบให้กับวิถีทางโลกใบ นี้ เมื่อมาอยู่ในดินแดนมายาก็ได้ถูกเอาคืนหลายสิบเท่าตัว
เพียงแต่ว่ากรรมที่พวกเขาสร ้างไว้ในโลกใบปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าใคร ที่พลันคืนสติตระหนักรู ้ขึ้นมาได้ก่อนแล้วจะสามารถลบล้างได้หมด ในคราวเดียว ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องที่งดงามเช่นนี้
“จ้วงหยวนหญิง” พบเจอกับเจียงกุ้ยอาจารย์สอนหนังสือใน โรงเรียนส่วนตัวของตระกูลในอุทยานหลวง ค าพูดของฝ่ายหลังท าให้ หม่าเช่ออึ้งงันเป็ นไก่ไม้ไปอย่างสิ้นเชิง
แน่นอนว่าเจียงกุ้ยย่อมทาตามคาสั่ง เขามาที่นี่เพื่อ ‘ชี้แนะ” หม่า เช่อสองสามประโยคเพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ต่อให้เขาคิดจนหัวแตกก็ ยังมิอาจจินตนาการได้ว่า การฝึกประสบการณ์ในโลกโลกีย์จะยังท า กันแบบนี้ได้ด้วย
คนที่อยู่นอกสถานการณ์มองเห็นได้ชัดเจนกว่า นี่จึงยิ่งทาให้ เขาหวาดกลัววิธีการของเซียนกระบี่เฉินมากกว่าเดิม
ภาพที่เกิดขึ้นต่อมาก็ยิ่งทาให้เจียงกุ้ยรู ้สึกไม่ดี ที่แท้ฮ่องเต้ พระองค์นั้นก็ถึงกับวิ่งตะบึงมาถึงที่นี่ จงใจสลัดพวกขันทีและข้ารับใช ้
ทิ้งไป บอกแก่ราชครูเจียงก่อนว่าอย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องจากนั้นหัวเราะร่า วิ่งไล่จ้วงหยวนหญิง ตอนนี้หม่าเช่อสามารถพูดได้แล้ว “นาง” เริ่ม อธิบายเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อครั้งนี้ให้ฮ่องเต้หรือก็คือตัวเองที่ถูก ตัณหาบังตาฟัง คิดไม่ถึงว่า “เขา” คนนั้นได้ยินแล้วจะหัวเราะดังลั่น กลับกันยังชมว่า “นาง” มีความคิดบรรเจิดเลิศล้า ในที่สุดหม่าเช่อก็ห มดอาลัยตายอยากอย่างสิ้นเชิง นางจึงพุ่งตัวเอาหัวโหม่งภูเขาจ าลอง …นาทีถัดมา นางกลับพุ่งชนฮ่องเต้ คนทั้งสองร่วมร่างกันเป็ นหนึ่ง เดียว หม่าเช่อนอนกองอยู่กับพื้น อยู่ในสภาวะที่อยู่ไม่สู้ตาย เขาหลุด พ้นได้แล้วหรือ? หรือว่านี่เป็ นเพียงการดึงม่านเปิดฉากแสดงเท่านั้น?
และเวลานี้เอง หม่าเช่อก็มองเห็นมือกระบี่ชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้าง กายเจียงกุ้ย
หม่าเช่อคล้ายกับมองเห็นบุคคลที่น่ากลัวยิ่งกว่า “ตัวเอง” เสียอีก บนพื้นมีฉี่นองออกมา
เฉินผิงอันถาม “ในความคิดของอาจารย์เจียง อนาคตของหม่อ เช่อจะเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้หรือไม่ หากเป็ นขุนนางในราชส านัก หรือขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาจะได้ผลลัพธ ์เช่นไร?”
เจียงกุ้ยเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “หม่าเช่อต้องเป็ นขุนนางใหญ่ได้ แน่นอน อีกทั้งชื่อเสียงในการเป็ นขุนนางของเขาก็จะไม่ย่าแย่ด้วย”
เฉินผิงอันพลันถามว่า “เจียงกุ้ยไม่น่าจะใช่ชื่อจริงของเจ้า กระมัง?”
ผีบัณฑิตตอบตามสัตย์จริงว่า “ชื่อเดิมคือก่วนคุย ภูมิลาเนาอยู่ที่ เขตการปกครองเล็กๆ แห่งหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋งเก่า ใฝ่ หาทางธรรม มาตั้งแต่เด็ก เพราะทางบ้านพอจะมีฐานะอยู่บ้างจึงชอบออกเดินทาง ไปตามภูเขาลาน้าที่มีชื่อเสียง โชคไม่เลวได้พบเจอกับอาจารย์ ถูก เขารับไว้เป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดในส านักจึงตัดขาดความสัมพันธ ์กับ ล่างภูเขาเป็ นบรรพจารย์ของพรรคเล็กๆ แห่งนั้น ภายหลังลูกศิษย์ใน พรรคไปมีเรื่องกับบุคคลยิ่งใหญ่ทั้งสองฝ่ ายลงมือไม่รู ้หนักเบา สุดท้ายพวกเราก็ทาให้…บุคคลที่มิอาจไปมีเรื่องด้วยได้ผู้นั้นโมโห พูดถึงแค่จุดจบของข้าก็คือถูกผู้ฝึกกระบี่เชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ตู๋กู สังหารระบายความแค้น จิตวิญญาณโชคดีหนีรอดไปได้ จึงไม่กล้า อยู่ในราชวงศ์จูอิงอีกต่อไป เป็ นผีฝึกตนได้ยากลาบากยิ่งกว่าผู้ฝึก ตนอิสระเสียอีก เดิมทีอยากจะไปเปิดภูเขาก่อตั้งพรรคอยู่ที่ทะเลสาบ ซูเจี้ยน ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่ง หรือไม่ก็พึ่งพาเกาะกงหลิ่ว แต่ตอน นั้นหลิวเหล่าเฉิงไม่ได้อยู่บนเกาะ เวลานั้นหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจิน จวินกาลังอยู่ในช่วงที่รุ่งเรืองสุดขีด แต่ข้าคิดไปคิดมาก็รู ้สึกว่าพึ่งพา หลิวเหล่าเฉิงจะได้ผลประโยชน์มากกว่า ก็เลยเดินทางขึ้นเหนือไป รอบหนึ่ง หากรู ้แต่แรกก็คงอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนให้นานหลายปีหน่อย เพราะดูเหมือนว่าไม่ว่าจะพึ่งพาใคร ผลลัพธ ์ก็ล้วนไม่เลว ถึงอย่างไร ทุกวันนี้ก็เป็ นสานักเจินจิ้งแล้ว”
พูดมากเกิน กลัวว่าเซียนกระบี่เฉินจะราคาญ พูดน้อยเกินก็กลัว ว่าจะถูกเข้าใจผิดคิดว่าไม่มีความจริงใจมากพอ
เฉินผิงอันกล่าว “ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร ์ที่อ่านยาก” ก่วนคุยเอ่ย “ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล ไม่ได้มีคาโกหกแม้แต่ครึ่งคา
ยี่สิบปีที่ข้าอยู่ในจวนหม่าแห่งนี้ นอกจากสอนหนังสือก็ไม่เคยทาเรื่อง
ชั่วร ้าย” เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “อันที่จริงพวกเราถือเป็ นคนร่วมอาชีพกัน
| ด้วย” ก่วนคุยฟังด้วยความมึนงง |
“แต่เจ้าก็ไม่ถือว่าเป็ นอาจารย์ที่ดีอะไร สอนไปสอนมาก็สอน ออกมาได้แค่พี่น้องสองคนอย่างหม่าชวนหม่าปี้ สอบได้ตาแหน่ง พูด ถึงแค่บทความในการสอบเคอจวี่ หม่าเช่อที่คนทั่วทั้งราชสานัก ยอมรับว่าเป็ นเด็กอัจฉริยะก็ไม่ต้องให้เจ้าสอนแล้ว”
“เจ้าขุนเขาเฉินกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
“ใช่แล้ว เป็ นเพราะอาจารย์ของเจ้าแช่เจียง พรรคมีอักษรค า ว่ากุ้ย เจ้าก็เลยใช ้นามแฝงว่าเจียงกุ้ยใช่ไหม? คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็ น คนที่เห็นแก่ความสัมพันธ ์เก่าก่อน”
ก่วนคุยถอนหายใจ กุมหมัดเอ่ยด้วยความจริงใจว่า “เจ้าขุนเขา เฉินมีความรู ้กว้างขวางจริงๆ แม้กระทั่งพรรคเล็กๆ อย่างตาหนักอวี่กุ้ ยของข้าก็ยังรู ้จัก”
ในวังหลวง ราชครูหวงเลี่ยเอาสองมือไพล่หลัง เดินก้าวไปยัง นอกประตูใหญ่ของตาหนักหยางชุ่ยที่ปูหลังคากระเบื้องแก้วใสสีทอง อร่ามด้วยฝีเท้าที่ไม่ช ้าไม่เร็ว ตลอดทางที่เดินมานี้พบเห็นเสาคาน บานประตูสีชาด ชายคาตวัดงอนงามประณีติสีครามสีมรกต รวมไป ถึงขั้นบันไดหินหยกขาว ทาให้ผู้เฒ่ารู ้สึกว่ามองกี่ร ้อยรอบก็ไม่เบื่อ บางครั้งก็รู ้สึกเสียดายภายหลังที่ตัวเองเป็ นเพียงผู้ฝึกลมปราณที่ฝึก ตนได้ส าเร็จเพียงเล็กน้อย หากเป็ นฮ่องเต้สวมชุดคลุมมังกรนั่งบน บัลลังก ์มังกร คิดดูแล้วก็น่าจะมีรสชาติที่แตกต่างไปจากนี้กระมัง? หวงเลี่ยเก็บความคิดส่วนนี้ลงไป ยื่นหน้าไปมองคนชุดเขียวที่เป็ น “นกพิราบยึดรังนกกางเขน” อยู่ด้านใน
มองแค่รูปโฉมผู้เฒ่าก็มองไม่ออกว่าอีกฝ่ ายคือใคร ดูเหมือนว่า จะไม่สอดคล้องกับบุคคลที่คาดเดาไว้ในใจเลย แน่นอนว่าไม่ตัด ความเป็ นไปได้ที่อีกฝ่ายจะใช ้เวทอาพรางตาด้วย
ชายหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่มองดูเหมือนสุภาพอ่อนโยน เวลานี้ นั่งอยู่ใกล้กับบัลลังก ์ล้าค่าของโอรสวรรค์ที่เคลือบสีทองวาดลายเมฆ และมังกร
คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้น เพดานทรงกลมเหนือศีรษะที่อยู่ตรงกลาง แกะสลักเป็ นรูปมังกรมังกรยื่นหัวลงมา ในปากคาบไข่มุกเอาไว้
หวงเลี่ยถามหยั่งเชิง “เซียนซือคือผู้ถวายงานหรือไม่ก็เค่อชิงที่ ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วหรือ?”
กู้ช่านถอนสายตากลับคืน ส่ายหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่อาจ เป็ นผู้ถวายงานหรือเค่อชิงของภูเขาลั่วพั่วได้หรอก”
หวงเลี่ยถามอีก “ขอถามเซียนซือ เดินทางมาครั้งนี้เพราะผ่าน ทางมาชมทัศนียภาพหรือว่า?”
กู้ช่านยิ้มเอ่ย “อาจารย์ผู้เฒ่ามาที่นี่เพราะจะโน้มน้าวให้ข้ารีบ จากไป หาไม่แล้วจะต้องเป็ นอย่างไรอย่างไรหรือ?”
หวงเลี่ยหัวเราะฮ่าๆ “ไม่ต้องรีบร ้อน เซียนซือสามารถกินขนม และผลไม้ของวังหลวงก่อนแล้วค่อยจากไปก็ยังไม่สาย คาดว่าตอนนี้ ฝ่ าบาทก็น่าจะสั่งให้ห้องเครื่องเตรียมมาให้แล้ว ขอแค่เซียนซือพยัก หน้าตอบตกลงก็จะเอามาส่งให้ทันที”
กู้ช่านเดินไปหยุดอยู่ข้างเสาสีทองของตาหนักใหญ่ที่มีมังกร ล้อมพัน เอานิ้วเคาะลงไปสองสามที จุ๊ปากเอ่ยว่า “อย่าว่าแต่เซียนดิน โอสถทองเลย เมื่อก่อนแม้กระทั่งทองก็ไม่เคยเห็น”
หวงเลี่ยนั่งยองลงตรงนอกประตูใหญ่ของตาหนักเสียเลย ปล่อย ให้มังกรข้ามแม่น้าที่ไม่รู ้ว่าเป็ นใครผู้นั้นเดินอยู่ในตาหนักไปเรื่อย อย่าว่าแต่เอานิ้วเคาะเสาไม่กี่ที หากอีกฝ่ายอยากจะขนย้ายไปก็ยังได้ ล้วนปรึกษาพูดคุยกันได้
กู้ช่านหันไปมองหน้าประตู ยิ้มเอ่ยว่า “พูดถึงห้องเครื่องก็นึกเรื่อง หนึ่งขึ้นมาได้ เคยอ่านเอกสารของวังหลวงที่กระจัดกระจายอยู่ข้าง นอกถึงได้รู ้ว่าที่แท้นายท่านฮ่องเต้ก็กินของจ าพวกกระเพาะวัว
หรือไม่ก็เครื่องในสัตว์ด้วยหรือ ปัญญาชนแคว้นอวี้เซวียนของพวก เจ้าพูดกันไม่ใช่หรือว่า หากมีคนเลี้ยงอาหารบนเหลา กินหม้อไฟเนื้อ แพะที่รสชาติดั้งเดิมอร่อยที่สุด ขอแค่เห็นอาหารจาพวกเครื่องในบน โต๊ะก็เหมือนถูกคนตบบ้องหู หากเป็ นพวกที่นิสัยใจร ้อนสักหน่อยก็ อาจถึงขั้นสะบัดหน้าเดินหนีด้วย?”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่วน “ข้าเองก็เพิ่งเคยได้ยินเรื่องแบบนี้เป็ นครั้งแรก ได้เพิ่มพูนความรู ้แล้ว”
หากว่าเปลี่ยนสถานที่ ลาพังแค่ไม่กี่ประโยคนี้ หวงเลี่ยก็ยินดีจะ เลี้ยงข้าวคนผู้นี้บนเหลา คุยเล่นกันเพิ่มอีกหลายประโยคจริงๆ
“ทาไมผู้อาวุโสถึงยินดีทางานอยู่ที่นี่ล่ะ? ทางทิศใต้จะไม่ดียิ่งกว่า
นี้หรอกหรือ?”
“ทางใต้มีแคว้นเล็กหลายแห่งเสนอราคามาให้จริง เพียงแต่ว่า ทางฝั่งของสกุลเซวียแคว้นอวี้เซวียนให้เงินมากที่สุด”
นอกศาลบรรพชนสกุลหม่า
หม่าขู่เสวียนถาม “เฉินผิงอัน พวกเราจะตัดสินเป็ นตายหรือจะ อุ่นเครื่องกันก่อน ต่อสู้สามครั้งให้ชนะสองครั้ง? ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขต หยกดิบเจอกับขอบเขตเซียนเหรินที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็ใช่ว่าจะเป็ นไป ไม่ได้ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางต่อสู้กับเซียนเหริน โอสถชนะก็ยิ่ง มีไม่น้อย มีเพียงครั้งสุดท้ายที่แต่ละคนค่อยร่ายฝี ไม้ลายมือให้ เต็มที่?”
เห็นเจ้าหมอนั่นยังคงเงียบงันไม่พูดไม่จาอยู่เหมือนเดิม ใช ้ สายตาที่เหมือนมองคนโง่มองมายังตน หม่าขู่เสวียนก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ เชื่อใจข้าหรือ? กลัวว่าข้าจะใช ้ท่าไม้ตายตั้งแต่การต่อสู้ครั้งแรก หรือไม่ก็ครั้งที่สอง?”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ดูแคลนหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวาเกินไป แล้ว ขอแค่เป็ นคาพูดที่ข้าพูดออกจากปาก แต่ไหนแต่ไรมาก็ใช ้ ได้ผลยิ่งกว่าคาสาบานของผู้ฝึกตนเสมอ”
“เฉินผิงอัน เจ้าชอบขโมยเรียนนักไม่ใช่หรือ? โอกาสดีขนาดนี้ วางอยู่ตรงหน้า เจอของดีก็ไม่รู ้จักคว้าเอาไว้บ้างหรือ?”
บนร่างของเฉินผิงอันมีชุดคลุมอาคมสีแดงสดที่คล้ายกับคราบ ร่างเขียนเพิ่มมาหนึ่งตัว ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หม่าขู่เสวียนอะไรกัน เจ้า ควรจะชื่อว่าหม่าเสวียนต่างหาก”
หม่าขู่เสวียนสีหน้ามืดทะมึน
เฉินผิงอันกล่าว “อาศัยเรื่องที่ปีนั้นเจ้าเคยห้ามพ่อแม่ เรื่องนี้ก็จะ ไม่เกี่ยวข้องกับนางแล้ว”
หม่าขู่เสวียนแสยะปากยิ้ม “เชื่อใจเจ้า พวกเราเป็ นคนประเภท เดียวกัน”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “หม่าขู่เสวียน ปากของเจ้ายังเหม็นอยู่ เหมือนเดิม ข้าเรียนรู ้อย่างไรก็เรียนรู ้ไม่ได้”
หม่าขู่เสวียนที่ “ความหวังดีถูกมองเป็ นประสงค์ร ้าย” กลับคลี่ยิ้ม สดใส “เฉินผิงอันสุดท้ายนี้จะพูดความในใจกับเจ้าก็แล้วกัน ถ้า สวรรค์หลีจูมีพวกเราสองคน อันที่จริงก็เพียงพอแล้ว หากไม่เป็ น เพราะเจ้าและข้าต่างก็มีหนี้ให้ต้องใช ้พื้นที่ใหญ่เท่าฝ่ ามือ สักวันหนึ่ง จะมีขอบเขตสิบสี่สองคนปรากฏตัว แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ?”
เฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดตั้งท่าหมัดด้วยท่วงท่า ผ่อนคลายสบายอารมณ์ “กระบวนท่าหมัดที่เรียนรู ้มาจากเฉาสือ มี ชื่อว่ามังกรเดินลงลาน้า ไม่เบา”
หม่าขู่เสวียนขมวดคิ้วน้อยๆ
เฉินผิงอันกล่าว “ชนะเจ้าสามครั้งคือชนะ ชนะเจ้าห้าครั้งก็คือ ชนะ ดังนั้นไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น”