กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1092.3 ข้างบ้านมีเพื่อนบ้านที่ดี
เดิมทีเด็กหนุ่มไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ในอดีตเคยเดินทางท่องไปใน โลกมนุษย์เหยียบย่าธุลีแดงมาครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นวิธีการห่วยๆ พวก นี้มาจนชินแล้ว ล้วนได้มาจากตาราหมากรุกฉบับไม่สมบูรณ์ เป็ น การค้าขายที่ได้กาไรไม่ขาดทุน ทว่าวันนี้เด็กหนุ่มกลับมีสีหน้า เคร่งเครียด เพียงแค่เพราะแผงลอยแผงนี้วางตาราหมากล้อมเอาไว้ เด็กหนุ่มนั่งลงตรงข้ามกับบุรุษที่ยิ้มต้อนรับลูกค้าพยายามทาสีหน้า ให้กระปรี้กระเปร่า สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็เล่นหมากล้อมที่วนสามจุดซ้า หาผลแพ้ชนะไม่ได้ซึ่งถือว่าเป็ นสถานการณ์หมากที่หาได้ยากยิ่งกว่า การเล่นให้ได้ผลที่เสมอกันเสียอีก บุรุษยิ้มเอ่ยว่าน่าเสียดายที่ขาดไป จุดหนึ่ง มิอาจเล่นวนซ้าสี่จุดได้ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องรบกวนให้สหาย เดินเพิ่มอีกหนึ่งก้าวแล้ว บุรุษยกมือข้างหนึ่งชี้ไปยังปากตรอกเล็ก เด็กหนุ่มเดินไปถึงปากตรอกก็หยุดแล้วหันหน้ากลับมา ถามว่าข้าชื่อ แซ่อะไร? บุรุษคล้ายเล่นทายคาปริศนา ชี้ไปที่ตัวเขาเอง เห็นเด็ก หนุ่มท าหน้างง บุรุษก็ได้แต่ยิ้มเอ่ยว่า รู ้แค่ว่าเจ้าแซ่อวี๋ เด็กหนุ่มแซ่อวี๋ เดินออกจากตรอก พริบตาเดียวก็มาถึงอาเภอขนาดเล็กที่กาลังมี การสอบเคอจวี่ มีผู้เฒ่าแก่หง่อมคนหนึ่งที่คอยเก็บกระดาษเก่า โดยเฉพาะ อยู่ในสถานที่ที่กลิ่นอายแห่งบุ๋นเข้มข้นนี้ แทบทุก ครัวเรือนล้วนจะต้องมีตะกร ้าไม้ไผ่สานใบเล็กที่เอาไว้บรรจุกระดาษ เสมอ ไม่ว่าจะเป็ นเทียบฝึ กเขียนตัวอักษรตามความชื่นชอบของ
ตัวเอง หรือจะเป็ นการฝึ กเขียนตัวอักษรทางการเพื่อเอาไว้ใช ้สอบ โดยเฉพาะ ขอแค่เป็ นกระดาษที่เคยผ่านการเขียนตัวอักษรมาก่อนก็ จะไม่ถูกทิ้งง่ายๆ จะเก็บรวบรวมเอามาไว้ในตะกร ้าไม้ไผ่ใบเล็กนี้ ด้าน นอกจะแปะกระดาษสีขาวล้อมไว้แล้วแปะกระดาษสีแดงกว้างเท่าฝ่ า มือในแนวตั้ง เขียนตัวอักษรแบบบรรจงด้วยหมึกเข้มข้นว่า “เคารพ
และถนอมตัวอักษร”
คนตระกูลใหญ่จะเอาตะกร ้าไม้ไผ่ใบนี้ไปวางไว้ข้างกระถางธูป ของศาลบรรพชน คนตระกูลเล็กก็ไม่กล้าละเลย ส่วนใหญ่จะเอาวาง ไว้ในมุมสะอาดของห้องโถง บรรจุกระดาษไว้เต็มตะกร้า รอให้ผู้เฒ่า ที่ทาหน้าที่เก็บกระดาษมาเก็บเอาไป ผู้เฒ่ามักจะสะพายตะกร ้าไม้ไผ่ ใบใหญ่ไว้บนหลัง เดินไปตามบ้านหลังต่างๆ เพื่อเก็บกระดาษ ตัวอักษรบรรจุไว้ในตะกร้าของตัวเอง แล้วก็จะแบกพวกมันไปถึงวัด เล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ค่อนข้างห่างไกล สุดท้ายเขาก็เป็ นคนเผากระดาษ พวกนี้ ในวัดไม่มีเทวรูปดินปั้นตั้งบูชาเอาไว้ นอกจากควันที่ลอยกรุ่น ตอนเผากระดาษแล้ว ตลอดทั้งปีก็ไม่มีควันธูปหรือควันอย่างอื่นอีก เพียงแต่ว่าบนผนังทางด้านทิศเหนือได้แขวนแกนม้วนภาพที่มีเพียง ตัวอักษรอย่างเดียวเอาไว้ เขียนเป็ นค าว่า “ต าแหน่ งเทพของ จักรพรรดิเหวินชาง
เด็กหนุ่มเดินตามผู้เฒ่าสะพายตะกร ้าไม้ไผ่มาถึงวัดเล็ก ผู้เฒ่าที่ นั่งยองเผากระดาษอยู่หน้าวัดยิ้มถามเข้าประเด็นว่า “ตัวตนในตอนนี้ สหายอวี๋คุ้นชินหรือไม่?”
อวี๋สืออู้ชอบบอกว่าจานวนครั้งที่ตัวเองลงจากภูเขาไม่มาก คราว นี้ก็น่าจะเต็มอิ่มแล้ว กระมัง?
อวี๋สืออู้ถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าลบเลือนความทรงจ าของ ข้าได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้มสง่างาม “ในเมื่อพวกเราสามารถเขียนตัวอักษรลง บนกระดาษได้ ก็ย่อมต้องลบตัวอักษรและภาพวาดออกจากบน กระดาษได้เช่นกัน”
อวี๋สืออู้ถามเสียงหนักจริงจัง “วางแผนทุกก้าวย่างอย่างรอบคอบ รัดกุมเช่นนี้ เจ้าต้องการอะไร?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “อ่านตาราเล่มเก่าซ้ามีนัยมากมายชวนให้ขบ คิด หนทางแห่งธรรมของข้าจะสัมฤทธิ์ผลได้ก็ต้องลงมือปฏิบัติจริง”
นอกศาลบรรพชน เห็นว่าเฉินผิงอันไม่ยินดีใช้สถานะของผู้ฝึก กระบี่รับมือกับศัตรู หม่าขู่เสวียนก็เอ่ยคล้ายจะเสียดายว่า “วิชาหมัด ตามความหมายทั่วไปของบนโลก ข้าได้เรียนรู้มาบ้างเล็กน้อย แต่ เมื่อเทียบกับเจ้าและเฉาสือแล้วก็ถือว่าไม่เป็ นโล้เป็ นพายอะไร ถ้า อย่างนั้นข้าก็ต้องพักไว้ก่อนแล้ว”
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ศึกที่สุสานเทพเซียนของบ้านเกิด เด็กหนุ่มสองคนก็ใช้หมัดเท้าปะทะหมัดเท้า
“หลายๆ ครั้งก็อิจฉาผู้ฝึกกระบี่อย่างเจ้าจริงๆ ดังนั้นหลายปีมานี้ ข้าจึงทุ่มเทก าลังไปไม่น้อยในการตามหาเส้นทางของผู้ฝึ กกระบี่ที่
เป็ น “เส้นทางที่ถูกต้อง” ช่วยไม่ได้ หาไม่เจอก็คือหาไม่เจอ ต่อให้ ถอยมาเลือกอันดับรอง แอบเปิดตาราลับโบราณหลายเล่มที่ถูกสั่ง ห้ามไปแล้ว พยายามจะหาทางลัดในการฝึ กตนที่คล้ายกับการสืบ ทอดต าแหน่งขุนนางโดยอาศัยบารมีบรรพบุรุษในวงการขุนนาง ผล ก็คือยังไม่สาเร็จอยู่ดี หากจะบอกว่าให้ข้าไปซื้อกระบี่จ าลองจาก ภูเขาชังกระบี่ของอุตรกุรุทวีปมาสวมรอยเป็ นผู้ฝึกกระบี่ ข้าก็ทาไม่ลง ไม่มีหน้าจะทาเรื่องพวกนี้”
เพราะถึงอย่างไรใต้หล้านี้ก็มีแค่ผู้ฝึ กกระบี่ขอบเขตหยกดิบ เท่านั้นที่กล้าพูดว่าเจอกับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินแล้วสามารถ ลงสนามรบต่อสู้ได้อย่างไม่ขลาดกลัว
อันที่จริงการที่ผู้ฝึกกระบี่ถูกมองเป็ นผู้นาของสี่ผีใหญ่ตอแยยาก บนภูเขาก็เป็ นเพราะในช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ห้าขอบเขตล่าง พลังใน การต่อสู้ของผู้ฝึกกระบี่จะก่อรูปได้เร็วเกินไป ไร ้เหตุผลเกินไป พูดถึง แค่วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเล่มหนึ่งที่เหมือนได้รับ บัญชาจากสวรรค์ก็ท าให้ผู้ฝึกลมปราณปวดหัวได้มากแล้ว เพราะถึง อย่างไรผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างก็ยังมีเรือนกายที่อ่อนแอ เวท คาถามากมายที่มีติดกายยังไม่ถูกฝึกปรือจนเข้าขั้นชานาญ เมื่อต้อง รับมือกับผู้ฝึกกระบี่แล้วผูกปมแค้นต่อกันขึ้นมา ไม่ต้องคิดอะไรให้ มากมาย เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา สวบทีเดียวก็ตัดสินสูง ต่า ตัดสินเป็ นตายกันได้ทันที ไหนเลยจะยังมีเหตุผลอะไรให้กล่าวถึง อีก?
ในฐานะคนร่วมบ้านเกิดและคนวัยเดียวกัน นับตั้งแต่ที่สองฝ่ าย ได้รู ้จักกันก็ดูเหมือนว่าหม่าขู่เสวียนจะมีนิสัยประหลาดเช่นนี้ พอต้อง ต่อสู้เขาจะต้องพูดมากเหมือนผีขี้เหล้าคนหนึ่งที่พอดื่มเหล้าเมาแล้ว จะต้องพูดความในใจออกมา?
ก่อนหน้านี้ประมือกันไปสองครั้ง หม่าขู่เสวียนคิดว่าตัวเอง สามารถคว้าชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง ดังนั้นจึงมีท่าทางเยือกเย็นไม่ สะทกสะท้าน แต่ว่าครั้งนี้นี่มันอย่างไรกัน? เป็ นการเอ่ยคาสั่งเสียก่อน ตาย ฝากฝังเรื่องที่ต้องจัดการหลังเขาตายไป หากไม่พูดจะรู ้สึกอัด อั้นในใจอย่างนั้นหรือ?
หม่าขู่เสวียนมีสีหน้าซับซ ้อน ไม่รู ้ว่าเยาะเย้ยหรือเหน็บแนม ตัวเอง “ความในใจเต็มท้องยากที่จะเอื้อนเอ่ยกับคนธรรมดาทั่วไป แต่ ไม่รู ้ว่าทาไมทุกครั้งที่พบเจอเจ้า ข้าจะต้องอดไม่ไหวอยากพูด สัพเพเหระให้มากหน่อย”
เห็นว่าหม่าขู่เสวียนยังคงไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพูดมาก ถึงอย่างไร เฉินผิงอันก็ไม่ได้รีบร ้อนอยู่แล้ว เขาจึงคลายท่าหมัด ก้าวเดินเนิบช ้า ยืดเส้นยืดสายรอ
“เฉินผิงอัน ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ตอนที่อยู่บ้านเกิด ข้ายังอยู่ที่ ตรอกซิ่งฮวา เจ้ายังอยู่ที่ตรอกหนีผิง ข้าก็เห็นเจ้าเป็ นคนบนเส้นทาง เดียวกันแล้ว อืม คนบนเส้นทางเดียวกัน ค าพูดที่ค่อนข้างจะเป็ น ทางการนี้ หากพูดให้ง่ายหน่อยก็คือพวกเราคือคนแบบเดียวกัน เหมือนกันมาก อดทนกับความทรมานทนกับความยากล าบากได้ ใน
ดวงตามีคาพูด เก็บซ่อนเรื่องราวไว้ในใจได้ ยามที่มองโลกใบนี้ก็ ชอบสืบย้อนไปถึงต้นกาเนิด ไม่ยินดีถูกคนอื่นบงการ ต่อให้ “คนอื่น” ที่ว่านี้จะเป็ นสวรรค์ก็ไม่ได้เหมือนกัน เจ้าอย่าปฏิเสธเลย ในระดับ ใหญ่แล้วข้าเข้าใจเจ้าได้ดียิ่งกว่าคนหลายคนบนภูเขาลั่วพั่วเสียอีก คนที่ยืนรับลมเย็นอยู่ในร่มเงาไม้ย่อมไม่มีทางมองเห็นรูปโฉมทั้งหมด ของต้นไม้ใหญ่ได้อย่างชัดเจน คนที่ไล่ตามเจ้าและข้า ไม่ว่าจ านวน จะมีมากหรือน้อย ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีชีวิตอยู่ในเงาของพวกเรา แล้วจะรู ้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าและข้าได้อย่างไร?”
“ดังนั้นข้าจึงถึงขั้นตั้งสมมติฐานอย่างหนึ่งไว้นานแล้ว รอให้ข้า ร่ารวยเมื่อไหร่ก็จะพาเจ้ามาอยู่ข้างกาย ข้าจะมอบผลประโยชน์ที่มาก ที่สุดให้เจ้าด้วยความจริงใจ ใช ้ความร่ารวยสูงศักดิ์อย่างที่เด็กหนุ่ม ของตรอกหนีผิงไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึง ใช ้ผลประโยชน์ที่จับต้องได้ จริงค่อยๆ ขัดเกลาจิตใจที่อยากจะแก้แค้นของเจ้าให้ลบเลือนไปทีละ นิด แล้วเราก็กลายมาเป็ นสหายกันได้อย่างแท้จริง จากนั้นสักวันหนึ่ง ข้าจะสร ้างพรรคบนภูเขาขึ้นมา เจ้าก็คอยช่วยข้า ข้าไม่ต้องสนใจ เรื่องอะไรทั้งนั้น ยกหน้าที่จัดการเรื่องทุกอย่างในพรรคให้แก่เจ้า ข้า เชื่อว่าเจ้าสามารถทาออกมาได้ดีมาก ดียิ่งกว่าใคร ดังนั้นก่อนหน้านี้ ข้าถึงได้บอกว่าคนรุ่นเยาว์ของเมืองเล็กมีแค่พวกเราสองคนก็ เพียงพอแล้ว พรรคแห่งหนึ่ง ถึงเวลานั้นก็จะมีขอบเขตสิบสี่สองคนนั่ง พิทักษ์ภูเขา นี่จะยังไม่พออีกหรือ? ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าตอนนั้นข้า ไปเก็บหินดีงูที่ลาธารเล็กทาไม? เดิมทีก็ล้วนเก็บเอาไว้ให้เจ้า เตรียม
ไว้ให้เป็ นทรัพยากรในการเริ่มต้นขึ้นเขาฝึกตนของเจ้าในอนาคต น่า เสียดายที่ข้าคาดไม่ถึงว่าเจ้าจะได้พบเจอกับหนิงเหยาที่มาจาก กาแพงเมืองปราณกระบี่ อีกทั้งยังมีความเกี่ยวพันกับนางมากมายถึง เพียงนั้น และภายใต้คาชี้แนะจากช่างหร่วน เจ้าจะใช ้เงินเหรียญ ทองแดงแก่นทองสามถุงซื้อกลุ่มภูเขาจากภูเขาใหญ่ทิศตะวันตก กลายมาเป็ นเจ้าของที่ดินได้ นับแต่นั้นมาข้าก็รู ้แล้วว่าจุดจบที่ เหมือนกับการพบเจอกันในวันนี้ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้อีก ขาดแค่ว่า จะเกิดขึ้นช ้าหรือเร็ว ใครจะฆ่าใครได้ก่อนเท่านั้น”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หม่าขู่เสวียนก็หยุดชะงักไปเล็กน้อย ถามหยั่ง เชิงว่า “ครั้งนี้เจ้าเป็ นคนเลือกเวลา ส่วนข้าเลือกสถานที่ดีไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ได้สิ”
หม่าขู่เสวียนกล่าว “ในเมื่อเจ้าเชี่ยวชาญการสร ้างภาพฉาก สร ้างชัยภูมิเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจเจ้าแล้ว ไม่สู้เลือกสนาม รบเป็ นกาแพงเมืองปราณกระบี่? ยังไม่เคยไปที่นั่นมีความเสียดายที่ ไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่บ้างจริงๆ”
เพียงชั่วพริบตาหม่าขู่เสวียนก็ได้สมใจปรารถนา ตาแหน่งที่ฝ่ า เท้าของสองฝ่ ายเหยียบอยู่กลายมาเป็ นหัวกาแพงเมืองแห่งหนึ่ง หม่า ขู่เสวียนเงยหน้ามองไป บนฟ้ ามีทัศนียภาพแปลกตาที่ดวงจันทร ์สาม ดวงลอยอยู่เคียงคู่กัน เพียงแต่ว่าสภาพอากาศแปรเปลี่ยน เหมือนว่า หิมะใหญ่เพิ่งผ่านพ้นไป จึงแยกไม่ออกว่าบนพื้นเป็ นแสงจันทร ์หรือสี ของหิมะกันแน่
หม่าขู่เสวียนขยับเท้าไปสองสามก้าว เท้าที่สวมรองเท้าหุ้มข้อย่า ลึกอยู่ในพื้นหิมะส่งเสียงดังกรอบแกรบ เขายื่นมือไปคว้าหิมะที่ทับถม กันอยู่บนเชิงเทินหัวกาแพงเมืองมาหนึ่งกามือ ยัดใส่ปากแล้วเคี้ยว อย่างละเอียด พยักหน้าเอ่ยว่า “เหมือนจริงมาก เจ้าท าได้อย่างไร? โดยทั่วไปแล้ว เวทอาพรางตา หากคิดจะหลอกตาของห้าขอบเขตบน ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว แม้กระทั่งมือสัมผัสและรสสัมผัสก็ยังปิดบังได้ด้วย หรือ? ท าได้อย่างไร? คิดจะประคับประคองความสมจริงของภาพ มายาต้องผลาญปราณวิญญาณไปไม่น้อยกระมัง? รับมือกับ ลูกหลานสกุลหม่าที่ไม่ได้ความพวกนั้น ไฉนเจ้าต้องระดมกาลัง ใหญ่โตขนาดนี้ด้วย นี่จะเป็ นการเชือดไก่โดยใช ้มีดฆ่าวัวหรือไม่?”
ชุดคลุมอาคมสีแดงสดสะดุดตา เมื่อเทียบกับสีหิมะขาวโพลน ของฟ้ าดินแล้วก็ดูขัดกันอย่างชัดเจน
หม่าขู่เสวียนถอนหายใจ “ใช่แล้ว นับแต่เด็กมาเจ้าก็มีนิสัยเช่นนี้ ระมัดระวัง รอบคอบแก่เกินวัย หนักแน่น แม้แต่ตัวเองก็ยังถูกเจ้ามอง เป็ นศัตรูแฝง นี่ก็คือจุดที่ข้านับถือเจ้าที่สุดโดนด่าบ่อยไม่ตกใจ โดน ตีบ่อยไม่กลัว นี่จะเป็ นดั่งคากล่าวในตาราที่บอกว่าทุกครั้งที่เจอเรื่อง ใหญ่กลับสงบนิ่งเยือกเย็นได้หรือไม่?”
หม่าขู่เสวียนหันไปมองทัศนียภาพในเมือง เพียงไม่นานก็หา ตาแหน่งที่ตั้งของคฤหาสน์หลบร้อนเจอ “ถูกแผนการศึกนอกต ารา ทั้งฟันและกระพุ้งแก้มเต็มไปด้วยน้าค้างแข็ง”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “คาชมที่ไม่เกินจริง”
“จาได้ว่าตอนเด็กท่านย่ามักจะชอบพร่าพูดประโยคหนึ่งซ้าๆ นางบอกว่าทุกคนล้วนมีชะตาเป็ นของตัวเอง ชะตาชีวิตดีกับไม่ดีล้วน เป็ นสิ่งที่สวรรค์กาหนด ชาติก่อนของคนคนหนึ่งตัดสินชะตาชีวิต ของชาตินี้ มาเกิดในครรภ์แบบไหน เป็ นคนแบบใด พูดแบบไหน ล้วนมีการจัดวางมาไว้ก่อนแล้วถึงแปดเก้าส่วน โลกภายนอกต่างก็ พูดกันว่าเจ้าโชคดี โชคดีมากเหลือเกิน หาไม่แล้วก็ไม่อาจอธิบายได้ เลยว่าเด็กกาพร ้าในตรอกเก่าโทรมคนหนึ่ง ไฉนถึงมีโชควาสนา เช่นนี้ได้”
“เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่ว่าคนในครอบครัว ยากจนเป็ นดั่งปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร สอบติดเป็ นจ้วงหยวน คนยากจนชีวิตลาบากยากแค้นที่บ้านมีแต่ผนังสี่ด้านคนหนึ่งจู่ๆ ก็ ร่ารวยขึ้นมา กลายเป็ นคนมีเงินที่เป็ นเศรษฐีของพื้นที่แถบหนึ่ง ต่อ ให้จะเป็ นหลินโส่วอีก็ดี ต่งสุ่ยจิ่งก็ช่าง คนนอกต่างก็พอจะท าความ เข้าใจได้ มีแต่เจ้าเท่านั้นที่หลักการเหตุผลทั่วไปมิอาจอธิบายได้ ดู เหมือนว่านอกจากมีโชคดีค้าฟ้ าแล้วก็ไม่มีคาอธิบายอย่างอื่นอีก เฉินผิงอัน เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าเห็นพ้องตามมติของคนหมู่มาก”