กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1094.1 ยืมหมัด
อวี๋สืออู้เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามอย่างใคร่รู ้ว่า “เจ้าสามารถ ควบคุมความช ้าเร็วในการไหลหายไปของกาลเวลาในฟ้ าดินแห่งนี้ หรือไม่?”
เฉินผิงอันเงียบไม่ตอบ พริบตานั้นสิ่งที่สายตาของอวี๋สืออู้มอง เห็นก็คือภาพเหตุการณ์ผิดปกติพลันบังเกิด หิมะใหญ่หยุดตก กะทันหัน พริบตาเดียวก็กลายเป็ นฤดูใบไม้ผลิที่ดอกไม้เบ่งบาน ฝูง สกุณาบินโฉบเหนือพุ่มไม้ เด็กๆ ที่จับกลุ่มกันมาเล่นว่าวที่ริมตลิ่ง สายฝนในช่วงดอกเหมยบานพร่างพรม อากาศร ้อนเพิ่มขึ้นอย่าง ว่องไว ยามค่าคืนดวงจันทร ์ลอยเหนือน้า คลื่นน้ากระเพื่อมไม่หยุด พัก ริ้วลายดุจเส้นสายในภาพวาด มีคนข้ามแม่น้าคนหนึ่งลักษณะ คล้ายเทพเซียนแล้วก็คล้ายภูต เรือนกายผอมราวกับท่อนไผ่ สวมชุด สีขาวดุจเมฆล่องลอย เห็นเพียงว่าเขาเหยียบยืนอยู่บนเรือแจว ไม่ จาเป็ นต้องมีคนแจวเรือ เสื้อผ้าก็ปลิวไสวลอยข้ามผิวน้ามา ลมสารท เยียบเย็น มีพวกชาวบ้านแบกตะกร ้าไม้ไผ่บรรจุชายหญิงสองใบ มาถึงริมน้าพร ้อมเสียงดังเอะอะ สุดท้ายหิมะใหญ่เท่าขนห่านที่ทาให้ ฟ้ าดินเย็นยะเยือกก็ตกลงมาอีกครั้ง สาหรับคนที่เฝ้ ามองอยู่อย่า งอวี๋สืออู้แล้ว ทัศนี ยภาพที่สี่ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน ขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละช่วงเวลาก็เหมือนหน้ากระดาษ ของภาพวาดเล่มหนึ่งที่ถูกคนอ่านพลิกเปิดไปอย่างว่องไว ท่ามกลาง
ขั้นตอนนี้เรือนกายนี้ของอวี๋สืออู้สามารถสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลง ของอากาศเย็นและอุ่นในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างสมบูรณ์ ทว่าในขณะ ที่อวี๋สืออู้มั่นใจว่าเฉินผิงอันสามารถควบคุมแม่น้าแห่งกาลเวลาได้ อย่างง่ายดายนั้นเอง เฉินผิงอันพลันยกมือขึ้นมาตั้งขวางตรงหน้าขอ งอวี๋สืออู้แล้วดีดนิ้ว “ใบไม้บังตา เคยได้ยินกระมัง?”
ระหว่างที่พูดอวี๋สืออู้ก็ค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าตัวเอง กับเฉินผิงอันมาอยู่ในม่านราตรีมืดมิดที่ยื่นมือออกไปมองไม่เห็นนิ้ว ทั้งห้า เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ใบไม้บังตา ใบไม้ใบนี้ทั้งสามารถทาให้คน มองไม่เห็นอะไร แน่นอนว่าก็สามารถท าให้คนมองเห็นอะไรได้ด้วย ก็ หนีไม่พ้นว่าช่างแกะสลักงานละเอียดลงไปบนใบไม้ใบหนึ่ง เมื่อเทียบ กับฟ้ าดินเล็กที่สร ้างขึ้นมาให้ไร ้ช่องโหว่ไร ้ข้อบกพร่องอย่าง ยากล าบากแล้ว การเล่นตุกติกกับสายตาของเจ้าจะประหยัดเวลา ประหยัดแรง ประหยัดเงินและประหยัดแรงใจได้มากกว่า?”
ในขณะที่อวี๋สืออู้กึ่งเชื่อกิ่งกังขานั้นเอง เฉินผิงอันกลับดึงอวี๋สื ออู้กลับมา “ที่เดิม” ยื่นมือไปรับเกล็ดหิมะเกล็ดหนึ่งเอาไว้ พึมพาว่า “ก่อนหน้านี้เข้าร่วมการประชุมในศาลบุ๋น โชคดีได้เดินเล่นไปบน ท่าเรือแห่งหนึ่งกับอาจารย์เจิ้งช่วงระยะทางหนึ่ง ระหว่างนั้นอาจารย์ เจิ้งเอ่ยถ้อยคาประหลาด ทาให้จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่กล้าเชื่อ เขา บอกว่า “ข้าเคยเห็นเกล็ดหิมะสองเกล็ดที่เหมือนกันอย่างไม่มี ผิดเพี้ยน”
อวี๋สืออู้ก้มตัวไปหยิบก้อนหินที่ค่อนข้างบางมาจากริมตลิ่ง โยน ไปบนผิวน้าให้หินกระดอน ก่อให้เกิดริ้วกระเพื่อมที่ไม่ต่อเนื่องกัน ดอกไม้น้าดอกแล้วดอกเล่าเบ่งบานจากใหญ่ไปเล็กตามล าดับ
และเวลานี้เอง มีดรุณีน้อยที่ไอน้าไอหมอกอบอวลไปทั่วร่างเดิน นวยนาดออกมาจากในน้า สวมชุดสีเขียวมงกฎเหลือง เรือนกาย สะโอดสะอง บอกว่าขอแค่เดาชื่อแซ่ของนางได้ก็จะได้เป็ นเขยที่แต่ง เข้าจวนวารี
อวี๋สืออุ้มองเฉินผิงอัน ความตั้งใจเดิมที่ทาให้เกิดฉากนี้ก็คือการ ทายค าปริศนาอย่างนั้นหรือ? เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยเตือนว่า “ได้น้า กลายเป็ นเซียน ชุดเขียวมงกุฎเหลือง เตือนสหายไปมากกว่านี้ไม่ได้ อีกแล้ว”
ในดวงตาของเซียนน้าผู้นั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง มอง มายังอวี๋สืออู้ด้วยสายตาลุ่มหลง เพียงแต่ฝ่ ายหลังกลับเหมือนตอไม้ ทึ่มที่อที่ไร ้สติปัญญา นางรออยู่พักหนึ่งก็ยังไม่ได้คาตอบที่ต้องการ จึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆ “เทพธิดาในน้ามาจากที่ไหน ชุดเขียว มงกุฎเหลืองป๋ ายอวี้อิง อวี้อิงเสียดายนักที่มีบุพเพแต่ไร ้วาสนากับ คุณชาย คงต้องจากไปก่อน ไว้พบกันใหม่คราวหน้า”
อวี๋สืออ้อยากจะกอบกู้ศักดิ์ศรีของตัวเองกลับคืนมาจึงชี้ไปที่เจ้า ขุนเขาเฉินที่อยู่ข้างกาย ถามว่า “ไฉนเทพธิดาถึงปฏิบัติต่อทุกคน อย่างไม่เท่าเทียมเช่นนี้ ไม่ลองถามสหายรักที่อยู่ข้างกายข้าบ้าง เล่า?”
นางยิ้มบางๆ “ข้าชอบคนที่หน้าตา” อวี๋สืออู้หัวเราะฮ่าๆ เฉินผิงอันมีสีหน้าเป็ นปกติ
รอกระทั่งเซียนน้าหวนกลับลงน้าไปอีกครั้ง เฉินผิงอันก็เอ่ย สัพยอกว่า “วันหน้าสหายอวี้อ่านต าราให้มากหน่อยนะ นี่ไม่ใช่ว่า พลาดโชควาสนาชีวิตคู่ไปแล้วหรอกหรือ?”
อวี๋สืออู้ถาม “เจ้าจะคืนร่างจริงและขอบเขตให้ข้าเมื่อไหร่?”
พอจะมั่นใจได้คร่าวๆ แล้วว่าเนื้อหนังมังสาของตนในเวลานี้ถือ เป็ น “จิตหยินออกจากช่องโพรงเดินทางไกล” ที่ไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก ส่วนร่างจริงนั้นก็ไม่รู ้ว่าถูกเฉินผิงอันกักตัวและสยบการาบไว้ที่ไหน
ก่อนหน้านี้ความทรงจาฟื้นคืนมาก็ราวกับว่า…เนื้อหนังมังสาที่ ว่างเปล่าเป็ นดั่งถังน้าเปล่า แล้วถูกคนวักน้าจากถังน้าใบข้างๆ มาเท ใส่
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “จะรีบร ้อนไปไหน ใจร ้อนก็กินเต้าหู้ร ้อนไม่ได้ เจ้าก็ถือเสียว่าข้าเป็ นเถ้าแก่ของร ้านรับจ าน าก็แล้วกัน?”
ร ้านรับจ าน า?
ลองสังเกตอย่างละเอียดก็เหมือนมาก เป็ นการเปรียบเทียบที่ไม่ เลวเลยจริงๆ
อวี๋สืออู้กล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนสถานะกัน เปลี่ยนให้เจ้ามา ลองดูบ้าง?”
เฉินผิงอันเงียบงัน เพียงหันหน้ามายิ้มมองอวี๋สืออู้
อวี๋สืออู้ใจสั่น
หรือว่า?
“ข้าอวี๋สืออู้ จึงจะเป็ นเฉินผิงอัน “เฉินผิงอัน” ที่อยู่ตรงหน้าจึงจะ เป็ นตัวเองที่แท้จริง?
เฉินผิงอันตบไหล่อวี๋สืออู้ หลุดขาอย่างอดไม่อยู่ “อย่าตื่นเต้น ตอนนี้ข้ายังไม่มีความสามารถส่วนนั้นของอาจารย์เจิ้ง”
อวี๋สืออู้หงุดหงิดอย่างห้ามไม่ได้ เขาเองก็อยากพร ้อมรับ สถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างเยือกเย็น แต่สิ่งที่ได้เห็นและได้ ยินมาตลอดทางนี้มีแต่เรื่องประหลาด เรื่องน่าเหลือเชื่อไม่ใช่แค่ ประโยคว่า “เปิดหูเปิดตากับโลกใบใหม่” จะสามารถบรรยายได้ แล้ว นับประสาอะไรกับที่ถูกถ่วงรั้งไว้อย่างนี้ มือสัมผัสไม่ถึงฟ้ าเท้าสัมผัส ไม่ถึงดิน ท าให้อวี๋สืออู้รู ้สึกไม่มั่นคงเอาเสียเลย เฉินผิงอันยิ้มปลอบใจ ว่า วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางอยู่ที่นี่นานนักหรอก จะพาเจ้าไปดูอีกสอง สามสถานที่ ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยตัดสินใจว่าจะร่วมมือกับข้าทาเรื่องที่ แตกต่างไปจากเดิมหรือไม่ ขอแค่เจ้าพยักหน้าตอบตกลง ข้าก็จะ ถอนสถานที่แห่งนี้ออก…ฟังมาถึงตรงนี้ อวี๋สืออู้ก็ถามว่า “หากว่าข้า ไม่ยอมตอบตกลงล่ะ?” เฉินผิงอันจึงยิ้มตอบว่า “ข้าบอกแล้วไม่ใช่
หรือว่าใจร ้อนก็กินเต้าหู้ร ้อนไม่ได้ ประโยคนี้ใช ้ได้ผลกับเจ้า แน่นอน ว่ากับข้าก็ต้องใช ้ได้ผลเหมือนกัน” ใบหน้าของอวี๋สืออู้เต็มไปด้วย ความอ่อนใจ เห็นได้ชัดว่าไอ้หมอนี่ต้องการจะยื้อเวลากับตน แค่ดูว่า ใครจะทนได้นานกว่ากัน? หลังจากนั้นอวี๋สืออู้ก็เห็นภาพภาพหนึ่ง ใน ภาพคือปัญญาชนอายุน้อยที่สะพายหีบหนังสือออกทัศนาจร แล้วมา หยุดค้างแรมอยู่ที่วัดแห่งนี้ จุดตะเกียงอ่านตาราถึงกลางดึก เหนื่อย ล้าและง่วงมากแล้วจึงฟุบตัวนอนหลับอยู่บนโต๊ะ ความคิดประหนึ่ง เมฆที่ม้วนลอย เหนือศีรษะขึ้นไปสามฉื่อเหมือนควันธูปที่ลอยกรุ่น เนื้อหาในฝันเหมือนม้วนภาพที่ปรากฏอยู่ในก้อนเมฆ บุรุษกาลังฝัน เห็นดรุณีน้อยอายุสิบสี่สิบห้าหน้าตางดงามคนหนึ่งถือฉาบไม้พลาง ขับร ้องเพลงอย่างไพเราะ ดอกไม้พืชพรรณแปลกตาเติบโตอยู่บน ภูเขาหินข้างห้อง เบื้องล่างมีลากาลังดื่มน้าในราง ด้านข้างมีต้นไม้สูง เทียมฟ้ า ดวงจันทร ์ทรงโค้งห้อยอยู่บนกิ่งไม้ ในดวงจันทร ์มีตาหนักก่ วงหานที่เล็กเท่าเมล็ดงา ในตาหนักสวรรค์ที่ไม่มีฝุ่นสักเม็ดมีเทพธิดา ท่าทางเย็นชาก าลังส่องกระจก ในกระจกนอกจากใบหน้าของ เทพธิดาแล้วยังมีภาพสะท้อนของม้วนภาพบนผนังในห้อง ก็คือภาพ ที่ปัญญาชนคนหนึ่งนอนฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ ราวกับเป็ นการวนซ้า สามจุดในการเล่นหมากล้อม
เฉินผิงอันอธิบายให้อวี๋สืออู้ฟังว่า “ยอดฝี มือในการเล่นหมาก ล้อมที่อยู่ในนี้แค่ต้องตรวจเทียบกับวิธีการวางหมากจากต าราหมาก ล้อมหลายพันเล่มนั้นก็พอ แล้วก็สามารถทาตามแบบอย่างได้ เหมือน
การคัดตัวอักษร นักเล่นหมากล้อมที่มีฝีมือการเล่นไม่เหมือนกันก็จะ มอบตาราหมากล้อมที่มาตรฐานแตกต่างกันให้พวกเขา หากเจ้าไม่ ลงเล่นหมากล้อมด้วยตัวเอง ก็มากพอจะให้เจ้าดูต่อเนื่องไปอีกหลาย พันปีโดยที่ไม่เจอช่องโหว่ใดๆ ส่วนหมากล้อมข้างทางที่เดิมพันเอา เงินกันซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในหมู่ชาวบ้านล้วนเป็ นตาราหมากรุกที่ไม่ สมบูรณ์แบบ มองดูเหมือนเป็ นรูปแบบที่แปลกพิสดาร แต่พอเล่น จริงๆ ขึ้นมากลับง่ายยิ่งกว่า แน่นอนว่าสืบสาวราวเรื่องกันแล้ววิธีการ พวกนี้ล้วนเดินไปบนเส้นทางที่คนรุ่นก่อนเคยเดินผ่าน เลือกเอา เส้นทางที่ใกล้ หาทางลัดในการเดิน ไม่ถือว่ามีความคิดสร ้างสรรค์ แปลกใหม่อะไร”
อวี๋สืออู้ขมวดคิ้วถาม “สมมติว่าข้าไม่รู ้มาก่อนว่าได้เข้ามาใน ดินแดนมายา แต่ในใจมีข้อสงสัย อีกทั้งข้ายังเป็ นยอดฝี มือที่ เชี่ยวชาญการเล่นหมากล้อมล่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่มีทางเข้ามาในฟ้ าดินแห่งนี้ ยกตัวอย่างเช่นเจ้าอาจจะเดินเข้าไปในอาณาเขตที่ยังไม่มีการเล่น หมากล้อมปรากฏขึ้น รอกระทั่งเจ้าไปอยู่ในนั้นแล้ว หากว่ามีเวลาว่าง มีอารมณ์สุนทรีก็จะสามารถกลายเป็ นบรรพบุรุษเปิดภูเขาสายน้า ความเบิกบานใจเช่นนี้ บางทีอาจจะลบความสงสัยส่วนหนึ่งของเจ้า ทิ้งไปได้กระมัง?”
อวี๋สืออู้ส่ายหน้า “การปลูกฝังสิ่งที่ผิดพลาด ต่างกันแค่ตัวอักษร เดียวก็ก่อให้เกิดความก ากวมได้แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “แกะสลักตัวอักษรจากป้ ายศิลา สรุปแล้วควร จะเรียนรู ้วิธีการใช ้ปลายพู่กันหรือใช ้ปลายมีดกันแน่?”
อวี๋สืออู้เปลี่ยนเรื่องคุย “ติดขัดที่รากฐานของร่างจริงเจ้า ดังนั้น ระดับชั้นของฟ้ าดินมายาพวกนี้จึง…ไม่สูง? ก่อนหน้านี้ที่มีเซียนขี่ กวางกับเทพธิดาน้าโผล่มาก็ถือเป็ นขั้นสูงสุดของวิชาคาถาเจ้าแล้ว? เจ้าของเก่าของซากปรักจวนเซียนทั้งหลาย แม้กระทั่งตัวข้าเอง เมื่อ เอาความจริงทั้งหมดมารวมกัน จนได้ “หนึ่ง” นั้น ก็ถูกลิขิตมาแล้วว่า จะไม่สูงเกินปริมาณรวมของปราณวิญญาณที่เจ้าสะสมได้สาหรับ ขอบเขตในตอนนี้? ถ้าอย่างนั้นข้าสามารถเข้าใจได้หรือไม่ว่า “คน” อย่างพวกเรา เมื่อเอามารวมกับภูเขาสายน้าหมื่นสรรพสิ่ง ก็น่าจะ เท่ากับเจ้า?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ถูกแล้วก็ไม่ถูก”
อวี๋สืออู้คล้ายจะคว้าจับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งได้จึงซักไซ ้ต่อว่า “การเตรียมการมากมาย หากพูดโดยสรุปคร่าวๆ แล้วก็เท่ากับพื้นที่ มงคลระดับล่างแห่งหนึ่งที่เจ้าเป็ นคนสร ้างขึ้นมากระมัง?”
เฉินผิงอันกล่าว “ตั้งตารอดู”
ตลาด ยุทธภพ ราชสานัก สุดท้ายจึงจะเป็ นบนภูเขาที่มีกลิ่นอาย เซียนล่องลอย ก็เหมือนการฝึ กปรือฝี มือของช่างผู้สร ้างคนหนึ่งที่ เปลี่ยนจากง่ายไปเป็ นยาก ค่อยๆ พัฒนาไปตามลาดับขั้นตอน
แต่หากฝีมือมีขีดจากัดอยู่แค่นี้ อย่างมากสุดก็เป็ นได้แค่ระดับ ล่างของผลงานจริงพื้นที่มงคลกระดาษขาว ในสายตาของผู้ฝึกตน บนยอดเขา แน่นอนว่ายากที่จะใช ้คาว่า “การรังสรรค์แห่งสวรรค์” ได้
ดังนั้นเพียงไม่นานอวี๋สืออู้ก็มองเห็นยอดเขาสูงตระหง่านที่ราว กับว่ามีต้นก าเนิดมาจากเส้นทางมังกรแห่งใต้หล้า มีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ เปลือยหน้าอก ใบหน้าถูกไอหมอกล้อมวนเห็นเพียงหน้าท้องที่ขยับ ขึ้นลง เสียงกรนสนั่นราวเสียงฟ้ าผ่า ทุกครั้งที่หายใจจะต้องมีสมบัติ วิเศษแห่งฟ้ าดินหลากสีสันพร่างพราวถูกพ่นออกมาจากปาก ลาก เอาเส้นวงโคจรของลาแสงเส้นแล้วเส้นเล่ากระจายไปตามสถานที่ ต่างๆ ของฟ้ าดิน
อวี๋สืออู้มองอย่างเหม่อลอย ก่อนจะทอดถอนใจเอ่ยว่า “หาก ไม่ใช่ภาพมายา อย่างน้อยที่สุดก็เป็ นมาตรฐานของพื้นที่มงคล ระดับกลางแล้วกระมัง? เจ้ามีปราณวิญญาณสะสมไว้มากมายขนาด นี้ได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันเอ่ย “บอกตามตรง ภูเขาลั่วพั่วของข้ามีฐานก าลัง ทรัพย์ที่ไม่เบาบางเลยล่ะ”
เพราะถึงอย่างไรก็ติดตามหลี่เซิ่งเดินทางไกลไปนอกฟ้ ามารอบ หนึ่ง ผลเก็บเกี่ยวจึงมากมาย
อวี๋สืออู้โพล่งหลุดปากเหมือนถูกผีดลใจ “ถ้าหาก ข้าพูดว่าถ้า หาก เจ้าเก็บรวบรวมเศษชิ้นส่วนร่างทองของโลกมนุษย์ทั้งใบมาไว้ได้ นั่นก็ไม่เท่ากับว่า?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ อวี๋สืออู้ก็โคลงศีรษะ จินตนาการบรรเจิดเกินไป หากท าส าเร็จได้จริงก็ไม่เท่ากับว่าเฉินผิงอันสามารถสร ้างสรวง สวรรค์ของเมื่อหมื่นปีก่อนขึ้นมาได้ใหม่หรอกหรือ?
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะเอ่ยว่า “เคยคิดเหมือนกัน แต่ก็แค่เคย คิดเท่านั้น ไม่เพียงแต่เพราะระดับความยากของเรื่องนี้มีมากเกินไป ยังเป็ นเพราะแทบจะถูกลิขิตมาแล้วว่าเป็ นความคิดเลื่อนลอยดุจการ ใช ้ตะกร ้าไม้ไผ่ตักน้า ข้ายังกังวลด้วยว่าการกระทาเช่นนี้จะทาให้ตก สู่สภาวะของวงโจรสามจุดซ้าจึงรีบทาลายความคิดที่ไม่ควรมีนี้ โดยเร็ว”
อวี๋สืออู้เอาสองมือรองใต้ท้ายทอย
เฉินผิงอันกล่าว “คนที่ไม่เคยสงสัยในความเป็ นจริงของโลกใบนี้ นั่นก็แสดงว่าโลกที่พวกเขาอยู่ต้องเป็ นจริงเสมอไปหรือ? คนที่ยืน กรานจะสงสัยในความเป็ นจริงของโลกใบนี้โลกที่เขาอยู่ก็ต้องเป็ น ของปลอมเสมอไปหรือ?”
“เกี่ยวกับเรื่องที่ว่า “ข้า” เป็ นจริงหรือปลอม คนที่อยากรู ้คาตอบ มากที่สุด พูดถึงแค่ในบรรดาคนที่ข้ารู ้จักก็มีอยู่สองคน”
“ลู่เฉิน เจิ้งจวีจง”
“คนที่มีคุณสมบัติจะให้คาตอบมากที่สุดก็มีอยู่สองคน” “ศาสดาพุทธกับมรรคาจารย์เต๋า”
อวี๋สืออู้ฟังมาถึงตรงนี้ก็ถามอย่างระมัดระวังว่า “แล้วปรมาจารย์ มหาปราชญ์ล่ะ?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “ดูเหมือนว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ จะไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไร”
อวี๋สืออู้เงียบคิดอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ยอมเปิ ดใจเป็ นครั้งแรก “อันที่จริงข้ารู ้ชะตาชีวิตในท้ายที่สุดของตัวเองมานานแล้ว”
เมื่อหมื่นปีก่อน การร่วมกันสังหาร
อวี๋สืออู้ต้องแบกรับผลกรรมที่หนักหนาไปส่วนหนึ่ง สาหรับอวี๋สือ อู้ที่เป็ นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนแล้ว นี่ก็เป็ นความยากลาบากที่มิ อาจเอื้อนเอ่ยได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นมนุษย์ธรรมดามีการวางแผน ไว้ล่วงหน้าสาหรับฝนที่จะตก ก็แค่ซื้อร่มเตรียมไว้ รอให้ฝนตกเท่านั้น แต่อวี๋สืออู้ต้องมีวิธีการทาให้สวรรค์ไม่ปล่อยฝนนั้นลงมาจากฟ้ า เขา จะท าได้อย่างไร? ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้ อวี๋สืออู้จึงมองเรื่องนอก กายอย่างไม่ยึดติด ก็เหมือนอย่างในโรงเตี๊ยมที่อยู่ฝั่งซ ้ายมือของ เส้นทางสู่หานตัน คนบางคนที่พบเจอในดินแดนมายาซึ่งร ้อยเรียง ต่อเนื่องกัน หญิงหม้ายที่เป็ นเถ้าแก่เนี้ยะในร ้านเหล้า นางไม่สนใจอีก แล้วว่าชะตาชีวิตของวันพรุ่งนี้จะดีหรือร ้าย พออวี๋สืออู้คิดถึงนางก็จะ คิดถึงตัวเอง แล้วก็คิดไปถึงธงผ้าที่ถูกลมพัดอยู่นอกร ้านเหล้า
ราวกับว่าทุกอย่างนี้ล้วนเป็ นการบอกเป็ นนัยที่เฉินผิงอันมีต่อ ตนเอง? คือการ…ท านายชะตาชีวิตอย่างหนึ่ง?
คงเป็ นเพราะเดาความคิดของอวี๋สืออู้ได้ เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “เจ้า เหมือนก าลังท านายชะตาชีวิตให้กับตัวเอง ต่อจากนี้ล่ะ ก็คือรอไปทั้ง อย่างนี้น่ะหรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู ้หรือไม่ว่าพวกชาวบ้านร ้านตลาดไป หาคนดูดวงให้เพราะมีความหมายอย่างไร? มีความหมายว่าหาก ท านายได้ว่าดวงชะตาดีก็สามารถเดินหน้าต่อได้อย่างสบายใจ แต่ หากท านายได้ว่าชะตาไม่ดีก็เปลี่ยนเส้นทางในการฝึ กบาเพ็ญตน ต้องเปลี่ยนความคิด ต้องสลัดนิสัยบางอย่างที่ฝังแน่นให้หลุดออกไป เป็ นเหตุให้การฝึ กบาเพ็ญตนไม่เคยอยู่แค่เฉพาะบนภูเขาเท่านั้น หากไร ้บุญสัมพันธ ์ ย่อมไม่พบกัน แต่หากมีหนี้เวรย่อมต้องได้เจอ จะ เปลี่ยนจากกรรมสัมพันธ ์เป็ นบุญสัมพันธ ์อย่างไร คนที่มาทวงหนี้ควร จะเผาใบกู้ยืมอย่างไร คนที่ติดหนี้ควรจะใช ้หนี้ให้หมดสิ้นอย่างไร ก็ คือการฝึกบ าเพ็ญตนของทุกคน”
อวี๋สืออู้ได้ยินประโยคนี้ ความกลัดกลุ้มบนใบหน้าก็เริ่มเจือจาง ลง
เฉินผิงอันกล่าว “ต้องถามคาถามเจ้าข้อหนึ่ง ชาตินี้ควรต้อง ชดใช ้หนี้ของชาติก่อนหรือไม่ ชาตินี้ควรต้องรับผิดชอบต่อชาติหน้า หรือไม่”
อวี๋สืออู้พลันสับสนท าอะไรไม่ถู